กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 856.3 มองลงต่ำ
เฒ่าตาบอดเอ่ยว่า “สถานที่ที่นกไม่มาขี้ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”
บนม่านฟ้ามีทางช้างเผือกทอดยาว
ผู้เฒ่าที่เรือนกายผ่ายผอมดุจท่อนฟืน สวมชุดยาวสีม่วง บนชุดปักเป็นภาพปากว้าหยินหยางสองสีขาวดำ
ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เป็นประกายวาววับ เพียงแต่ว่าด้านในคล้ายจะรวบรวมเอาภาพบรรยากาศอันงดงามตระการตาของทางช้างเผือกทั้งเส้นบนนภากาศเอาไว้ ทว่าเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ในขั้นสูงสุดแล้วยังด้อยกว่ามากนัก
มีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่ง มีความคิดที่จะใช้วิธีฝึกเป็นเซียน รวบรวมปณิธานความมุ่งมั่นให้กลายเป็นความจริง ดุจเซียนนั่งแพไม้ไผ่ ดวงดาวเคลื่อนคล้อยเปลี่ยนตำแหน่ง เดินทางไกลข้ามธาราสวรรค์
เรื่องราวทั้งหลายที่อยู่บนฟ้านับแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน ล้วนหนีไม่พ้นภาพปรากฎการณ์ของดวงดาว
คนหนุ่มมองฝูลู่อวี๋เสวียนแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “ขอแสดงความยินดีด้วย”
อวี๋เสวียนลูบหนวดยิ้ม “ช่วยป๋ายเหย่ อีกนิดเดียวก็เกือบจะช่วยให้เสียเรื่องซะแล้ว หลังจบเรื่องรู้สึกละอายใจจนไม่กล้าไปพบเจอหน้าเขา คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์จะสั่งให้มาฝึกตนที่นี่ ได้ครอบครองโชคชะตาฟ้าเพียงลำพัง ก็ยิ่งละอายใจมากกว่าเดิม”
แม้จะพูดอย่างนี้ก็จริง แต่ตอนประชุมศาลบุ๋น ยามที่ผู้เฒ่าพูดคุยกับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์และฮว่อหลงเจินเหรินกลับไม่มีความละอายเลยแม้แต่น้อย
อวี๋เสวียนหยิบเหล้าภูเขาชิงเสินกาหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชูขึ้นสูง “เอาสักกาไหม?”
คนหนุ่มส่ายหน้า
อวี๋เสวียนจึงกรอกเหล้าเข้าปากตัวเอง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสซึ่งมีคุณธรรมมีชื่อเสียงสูงส่ง ไยต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจูด้วยเล่า?”
พูดถึงเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่เผาออกมาจากเตาเผามังกร
และผู้บรรลุมรรคาที่รูปโฉมอ่อนเยาว์ผู้นี้ก็เคยเป็นนายแห่งเซียนดิน และยิ่งได้รับการขนานนามที่ไพเราะว่าบรรพบุรุษแห่งหมื่นคาถา
หนึ่งในสถานที่ฝึกตนของคนผู้นี้มีชื่อว่าภูเขาเหลาซาน ว่ากันว่าตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรใหญ่ ทวยเทพมาขยับก็ไม่เคลื่อนไหว เซียนเจินมิอาจปีนป่าย อยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์
บนภูเขามีป้ายศิลา หอ ห้วย
บนป้ายศิลาแกะสลักคำว่า ‘สะบั้นความโง่เขลาและดึงดันออกจากจักรวาลที่สงบสุข’ ด้านล่างหอหลอมมารมีลำห้วยลึกอยู่เส้นหนึ่ง ชื่อว่าลำห้วยคลำเงิน
และน้ำที่อยู่ในห้วยลึกแห่งนั้นก็คือวิธีเดียวที่ใช้สร้างเงินก่อนหน้าเงินเทพเซียนสามชนิดอย่างเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชซึ่งใช้กันทั่วหลายใต้หล้า หรือก็คือรูปแบบเดิมของเงินเหรียญทองแดงแก่นทองในยุคหลัง
วัตถุประสงค์ที่ทำเช่นนี้ เดิมทีก็เพื่อแบ่งแยกและทำลายความเป็นเทพให้ได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแต่ว่าภายหลังเกิดช่องโหว่ที่ไม่เล็ก อาศัยการผลัดเปลี่ยน รวบรวมและรับคืนอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาพันกว่าปี ถึงได้เปลี่ยนมาใช้เงินเทพเซียนสามชนิดอย่างในทุกวันนี้ได้สำเร็จ
คนหนุ่มเอ่ยว่า “ชิงถงเทียนจวินเป็นสหายรักของข้า เขามีเรื่องขอร้อง อะไรที่ข้าช่วยได้ก็ต้องช่วย”
อวี๋เสวียนดื่มเหล้า ไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเก่าแก่นานนมพวกนี้
ในบรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ซานซานจิ่วโหวท่านนี้ก็มีชิงจวินที่มีสำนักตั้งอยู่ที่ภูเขาฟางจู้ ฐานะของสามภูเขาในอดีตยังสูงกว่าห้าบรรพตของไพศาลที่รวมถึงภูเขาสุ้ยซานในทุกวันนี้อีกด้วย
การทดลองในปีนั้นของหลี่เซิ่ง กุญแจสำคัญข้อหนึ่งนั้นอยู่ที่การตั้งใจเชิญอาจารย์ท่านนี้ออกจากภูเขา มาร่วมกำหนดมารยาทกฎเกณฑ์ด้วยกัน
และยังมีลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออีกสองคน คือนักพรตหวังหมินและผู้ฝึกกระบี่หลูเยว่ที่อยู่ในยุคเดียวกับป๋ายเหย่ คนทั้งสองที่อยู่บนภูเขาและล่างภูเขาของโลกมนุษย์ต่างก็ชื่อเสียงไม่โดดเด่น เรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาเพียงแค่ถูกพูดถึงบนยอดเขาของไพศาลเท่านั้น
คนหนึ่งได้รับคำสั่งให้ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน ส่วนหลูเยว่นั้น ลุกผงาดและร่วงดับประหนึ่งดาวตกที่พุ่งฉิวผ่านท้องนภา
‘คนหนุ่ม’ ผู้นี้ ในอดีตเคยอยู่อาศัยในถ้ำสวรรค์หลีจูช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ถนนฝูลวี่? ถนนฝูลู่ (ยันต์)
ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นลูกศิษย์ซึ่งไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนนั้นก็มีชาติกำเนิดจากสกุลหลูบนถนนฝูลวี่
ส่วนดอกท้อทั้งหลายที่อยู่ในตรอกเถาเย่ ก็เป็นเขาที่ปลูกกับมือตัวเอง แน่นอนว่าเป็นแค่การกระทำที่ทำไปตามโอกาสเท่านั้น
การสร้างเหรียญทองแดงแก่นทองของราชวงศ์ต้าหลีก็เป็นเขาที่มอบแม่พิมพ์ไปให้
หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูหล่นร่วงลงสู่พื้น สกุลหลูถนนฝูลวี่ที่เคยมีความสัมพันธ์โยงใยกับราชวงศ์สกุลหลูก็เคยแอบมอบหน้าหนังสือจากตำราโบราณให้กับฮองเฮาต้าหลีในเวลานั้นไปสองสามแผ่น
แผ่นหนึ่งในนั้นบันทึกยันต์ไว้บทหนึ่ง มองดูเหมือนระดับขั้นไม่สูง ผลประโยชน์ไม่มาก
ปีนั้นตอนที่หนันจานอยู่ในตรอกหนีผิงก็เคยเอามาปรับใช้หลังจากที่ได้เรียนรู้มา นางร่ายเวททะลุกำแพงบทนั้นด้วยตัวเอง เดินหนึ่งก้าวจากห้องของซ่งจี๋ซินเข้าไปในบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน
‘ฟ้าดินเชื่อมโยง ภูเขาและผนังเชื่อมติด อ่อนนุ่มเหมือนดอกซิ่งฮวา บางเหมือนหน้ากระดาษ นิ้วข้าคือกระบี่ เปิดประตูว่องไว จงมารับคำสั่งของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ณ บัดนี้’
เพียงแต่ว่าแม้แต่ฮองเฮาหนันจาน หรือควรจะเรียกว่าลู่เจี้ยงไทเฮาเหนียงเนียงในภายหลัง ปีนั้นก็ยังไม่เคยได้ยินนามต้องห้ามของซานซานจิ่วโหวมาก่อน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรู้รากฐานมหามรรคาของเขาเลย
น่าเสียดายที่พอหนันจานกลับมาถึงเมืองหลวงก็ยังไม่อาจสืบหาความจริงได้ เป็นเหตุให้หลายปีมานี้นางไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก่อน ไม่อย่างนั้นหากยันต์ชิ้นนี้ไปตกอยู่ในมือของคนที่ดูของเป็น ลำพังแค่กระดาษหน้านั้นก็กลายมาเป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาได้แล้ว
ฝูลู่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ผู้อาวุโสช่างเป็นเทพผู้สมบูรณ์แบบโดยแท้ ข้ามธารดวงดาวข้ามตะวันจันทรา เดินทางไปนอกสามภูเขาสี่มหาสมุทรห้าบรรพต ความเป็นความตายไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน”
คนหนุ่มส่ายหน้าเอ่ย “เมื่อหมื่นปีก่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นเจ้าของฟ้าดินแห่งนี้ ข้ามธารดวงดาวนั้นง่าย แต่ข้ามตะวันจันทราก็อย่าดีกว่า รนหาที่ตายอย่างนั้นหรือ?”
ฝูลู่หันหน้าไปมองยังทิศไกล “เจ้าสองคนนั้น เวลานี้กำลังจับตามองมาที่พวกเราสองคนหรือไม่?”
คนหนุ่มกลับไม่ได้มองตามเส้นสายตาของฝูลู่อวี๋เสวียนไป กลับกันยังหันไปมองภูเขาสายน้ำบนพื้นดินของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแทน “ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่คิดจะย้ายภูเขา”
สะพานโค้งสีทองแห่งหนึ่ง
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งมาอยู่ที่นี่ก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน
โจวมี่เดินขึ้นฟ้า ได้ยึดครองตำแหน่งประธานของซากปรักสรวงสวรรค์บรรพกาลอย่างสมเหตุสมผล
เทพอัคคีกลับคืนสู่ตำแหน่ง ฐานะเท่าเทียมกัน ทั้งสองฝ่ายไม่มีแบ่งสูงต่ำ สามารถนั่งทัดเทียมกันได้
หลีเจินคือผู้สวมเสื้อเกราะคนใหม่ที่มารับหน้าที่
ในอดีตมีผู้ฝึกกระบี่สามคนจับมือกันพกกระบี่มาฟาดฟันใส่ภูเขาทัวเยว่ ‘ฝูผิง’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินชิงตูเล่มนั้นแตกสลายอย่างสิ้นเชิงอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ และภายหลังถึงได้ทำการผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลงจวินมีชื่อว่าสุสานเซียนต้าซวี
ส่วนร่างเดิมของหลีเจินนั้นก็คือผู้ฝึกกระบี่กวานจ้าว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขามีชื่อว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลา
อวี่ซื่อเทพวารีคนใหม่ที่ได้เลื่อนขั้น เป็นเจ้านายของเฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์
เทพวารีหลี่หลิ่วถูกหร่วนซิ่วดึงความเป็นเทพบนมหามรรคาส่วนใหญ่ออกมาแล้วโยนไปให้กับอวี่ซื่อ
ตอนที่เดินขึ้นฟ้า โจวมี่ได้พกพื้นที่มงคลติดกายมาด้วยหลายแห่ง ส่วนถ้ำสวรรค์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้น มาอยู่ที่แห่งนี้ก็ไม่มีความหมาย มีแต่จะกลายมาเป็นภาระเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายของพื้นที่มงคล เป็นทั้งต้นกำเนิดควันธูปของโลกมนุษย์ แล้วก็เป็นที่มาในการเลือกคนเสริมส่วนที่ขาดให้กับตำแหน่งเทพทั้งหลาย
เดิมทีผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหรานเหมาะสมกับการคาดการณ์ล่วงหน้าของโจวมี่มากที่สุด เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการมาแทนที่ผู้ครองกระบี่ ตำแหน่งเทพต่ำกว่าห้าเทพชั้นสูงสุดของสรวงสวรรค์เก่า แต่กลับสูงกว่าสิบสองเทพชั้นสูง
เพราะถึงอย่างไรผู้ครองกระบี่ท่านนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
แต่กระบี่เซียนไท่ป๋ายที่ป๋ายเหย่มอบไปให้ผู้อื่นก็ได้เลือกเฉินผิงอัน หลิวไฉ จ้าวเหยา สุดท้ายก็คือเฝ่ยหรานที่เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่ง!
ช่างเป็นการวางหมากอย่างไร้เหตุผลที่แม้กระทั่งเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวก็ไม่มีทางวางหมากเช่นนี้
ย่อมไม่ใช่การจัดการของศาลบุ๋นอย่างแน่นอน นี่ก็คือการสยบกำราบบนมหามรรคาอย่างไร้รูปลักษณ์แบบหนึ่งที่ใต้หล้าไพศาลมีต่อเจี่ยเซิงแห่งไพศาล
โจวมี่จึงได้แต่ถอยไปเลือกในอันดับรอง ทิ้งเฝ่ยหรานไว้ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เลื่อนให้อีกฝ่ายกลายเป็นผู้ครองใต้หล้า
ไม่มีเฝ่ยหราน ก็ได้แต่เลือกจวินทาน นอกจากนี้โจวมี่ยังพาผู้ฝึกกระบี่อีกหลายสิบคนมาที่แห่งนี้ด้วย นอกจากที่ทุกคนจะติดอันดับร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่แล้ว ก็ยิ่งเป็นเทพกลับชาติมาเกิดที่ภูเขาทัวเยว่วางแผนไว้นานสองพันปี เพียงแต่ว่าล้วนเป็นเหมือนกับพวกอวี่ซื่อ จวินทาน ที่แม้ว่าจะพากันครอบครองตำแหน่งเทพตำแหน่งหนึ่ง แต่กระนั้นก็มีความเป็นเทพที่ไม่ครบสมบูรณ์ในระดับที่แตกต่างกันไป ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก อีกทั้งยังอยู่ในการคาดการณ์ของโจวมี่อยู่แล้ว ความคลาดเคลื่อนจึงมีน้อยมาก
แต่เรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นหลังจากที่ขึ้นฟ้ามาแล้ว โจวมี่เพิ่งจะค้นพบว่าความเป็นเทพที่บริสุทธิ์ของตน ไม่ได้ขาดหายไปเลย ถึงขั้นที่ว่ายังสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อีกด้วย ทว่าปมของปัญหานั้นอยู่ที่ว่า หนึ่งนั้น โจวมี่ได้มาครองแค่เกือบครึ่งเท่านั้น ปัญหาคือคำว่าเกือบครึ่งนี้อยู่ใกล้มากๆ แล้ว ทว่าก็เพราะความต่างเพียงเสี้ยวนี้ที่กลายมาเป็นความต่างราวฟ้ากับเหว
อีกทั้งต่อให้โจวมี่จะใช้แผนการที่เตรียมไว้รับมือภายหลัง แต่หนึ่งนั้นกลับเป็นเหมือนเรือที่ลอยสูงตามน้ำไปด้วย ทำให้โจวมี่ไม่อาจขยับไปเกินครึ่งได้เสียที
ต่อให้โจวมี่ในทุกวันนี้จะได้ครอบครองดินแดนเกินครึ่งจากการเป็นผู้ครองสรวงสวรรค์ในอดีตแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจรวบรวมหนึ่งนั้นให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
เป็นเหตุให้เขาจำต้องถ่วงเวลาในการหวนคืนสู่โลกมนุษย์เอาไว้
เป็นเหตุให้บุคคลที่มีความเป็นเทพบนมหามรรคาครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดในเวลานี้จึงกลายมาเป็นเทพอัคคีที่มีตำแหน่งสูงดุจราชา
หากบรรพจารย์สามลัทธิไม่ผสานมรรคากันต่อไป พอผ่านครึ่งหนึ่งมาได้แล้ว ใต้หล้าสามแห่งก็จะถูกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนมหามรรคา อีกทั้งความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนี้ก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
หรือไม่ก็…ได้แต่สลายมรรคาเท่านั้น
นอกจากนี้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของทุกวันนี้ที่อายุค่อนข้างน้อยต่างก็ไม่รู้ความลับเรื่องหนึ่ง บุรพจารย์ของสำนักการทหารเคยมีสัญญาหมื่นปีร่วมกับบรรพจารย์สามลัทธิ
ก่อนจะหวนกลับคืนสู่โลกมนุษย์ ไม่รู้ว่าเหตุใด โจวมี่ถึงได้อนุญาตให้เทพชั้นสูงที่ได้เลื่อนขั้นจำนวนหนึ่งเก็บรักษาความเป็นมนุษย์ส่วนหนึ่งเอาไว้
ยกตัวอย่างเช่นคนสามคนที่เคยเป็นสหายร่วมกระโจมเจี่ยเซินอย่างหลีเจิน และยังมีอวี่ซื่อ จวินทาน
ท่ามกลางสงครามที่หอบม้วนเอาสองใต้หล้าเข้ามาพัวพัน หากมีเทพชั้นสูงตายดับอยู่บนสนามรบ ก็จะเป็นการได้กลับบ้านเกิดหลังเดินทางไกลร่อนเร่นานนับหมื่นปีครั้งหนึ่ง คือการกลับคืนสู่ตำแหน่ง ก็แค่ว่าต้องสูญเสียความเป็นเทพที่บริสุทธิ์ไปในระดับที่ไม่เท่ากัน
อาณาเขตของสรวงสวรรค์เก่ากว้างใหญ่ไพศาลจนเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนบนยอดเขาคนใดจะคาดคิดได้
ไม่ว่าจะเป็นเทพชั้นสูงคนใดก็ตาม ก็เหมือนว่าได้ครอบครองดินแดนของหลายใต้หล้าไว้เพียงผู้เดียว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับมาตุภูมิเดิมแล้วกลับดูวิเวกเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด
พูดถึงแค่ระยะห่างระหว่างประตูสวรรค์สี่บาน บางทีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนใดก็ตาม ใช้เรี่ยวแรงและเวลาของชาติหนึ่งหมดไปแล้ว ก็ยังได้แค่เดินทางไกลจากประตูใหญ่บานหนึ่งไปยังประตูอีกบานหนึ่งได้เท่านั้น
ซากปรักสรวงสวรรค์เก่าในความหมายแคบๆ ก็คล้ายกับเมืองหลวงแห่งหนึ่งของราชวงศ์ในโลกมนุษย์
หลีเจิน อวี่ซื่อ จวินทาน
วันนี้คนทั้งสามนัดหมายมาเจอกันที่ปลายด้านหนึ่งของสะพานโค้งสีทอง พวกเขาสาวเท้าเดินไปเนิบช้า
แต่ละคนต่างก็ร่ายเวทอำพรางตาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำให้มองดูเหมือน...คนมากกว่าเทพ
อาศัยความเป็นมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่มาเป็นคน นั่นคือความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด นี่ก็คงเป็นการไร้อิสระเสรีตามความหมายที่แท้จริงกระมัง
หากกลายเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ก็ราวกับว่าคำว่าอิสระเสรีได้กลายเป็นคำศัพท์คำหนึ่งที่ไร้ความหมายที่สุด
จวินทานพึมพำ “ฉวยโอกาสตอนที่ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเสียใจภายหลัง…”
อวี่ซื่อสีหน้าเฉยชา “คิดจะแสร้งเป็นคนยังไม่ง่ายอีกหรือ วันหน้าก็แค่จำแลงใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วแบ่งความเป็นเทพส่วนหนึ่งออกไป ตัวเองคนนั้นต้องมีอิสระยิ่งกว่าเมื่อก่อนแน่นอน คิดจะทำความผิดอย่างไรก็ทำตามแต่ใจได้เลย”
ใบหน้าจวินทานเต็มไปด้วยความเดือดดาล “‘ตนเอง’ คนนั้นยังเป็นตัวเองอยู่ไหม? ตัวเองคนนี้ก็มองตัวเองคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาอยู่ดีไม่ใช่หรือ หลุบตามองลงต่ำอย่างโง่งมหนึ่งร้อยปี พันปี หรือว่าหมื่นปี?! มีความหมายตรงใด?”
เมื่อความเป็นเทพกลบทับความเป็นคนอย่างสมบูรณ์แบบ ก็จะไม่มีความรู้สึกสุขเศร้าขุ่นเคืองเบิกบานใดๆ อีก สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขาแล้ว แทบจะได้ครอบครองอิสระเสรีอย่างไร้ที่สิ้นสุด ได้ครอบครองความเป็นไปได้มากมายเหลือคณานับ แต่การไร้อิสระเพียงหนึ่งเดียวก็คือไม่อนุญาตให้ตนเองไม่ใช่เทพ ไม่อนุญาตให้ตัวเองทำลายตัวเอง
หลีเจินคล้ายจะเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรที่สุด เขาสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยิ้มเอ่ยว่า “คิดถึงช่วงเวลาตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ ถึงอย่างไรข้าก็คัดลอกภาพเหตุการณ์เอาไว้แบบไม่คลาดเคลื่อนไปสักนิดแล้ว วันหน้าสามารถคุยเล่นกับใต้เท้าอิ่นกวานได้บ่อยๆ แล้ว”
หลีเจินเอ่ยต่ออีกว่า “ตามคำกล่าวของเฉินชิงตูกับหลงจวินในอดีต หากได้กลายเป็นหนึ่งในห้าเทพสูงสุดอย่างสมชื่อจริงๆ ดูเหมือนว่าจะสามารถทำลายตรวนพันธนาการนั่นได้เล็กน้อย ไม่ต้อง…น่าเบื่อเหมือนพวกเราตอนนี้”
ดวงตาของจวินทานเป็นประกายวาบ
ทันใดนั้นระหว่างฟ้าดินก็มีแสงสว่างเจิดจ้าเปล่งออกมา มีเสียงของสตรีที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ดังขึ้นกะทันหัน “อาศัยเศษสวะอย่างพวกเจ้าน่ะหรือ?”
เทพวารีอวี่ซื่อรู้สึกหายใจไม่ออกแทบจะทันที
ความเป็นคนถูกบดขยี้จนเหลือเล็กเท่าเมล็ดฝุ่น จำต้องเผยดวงตาสีทองคู่นั้นออกมา ร่างทองของเขาใหญ่เหมือนดวงดาว
จวินทานเองก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใด แต่การสยบกำราบบนมหามรรคาส่วนนั้นคล้ายจะไม่ได้หนักหนาเท่าที่อวี่ซื่อได้รับในเวลานี้
หลีเจินถือว่าดีหน่อย ยังคงรักษาร่างมนุษย์ร่างเดิมเอาไว้ได้
หลีเจินพูดกลั้วหัวเราะหน้าทะเล้น “อวี่ซื่อเอ๋ย นี่ก็คือโอกาสที่พันปียากจะพานพบเชียวนะ รีบเอ่ยท้าทายแม่นางหร่วนของพวกเราสักสองสามประโยคสิ ไม่แน่ว่าหากถูกฆ่าตาย จะดีจะชั่วก็ยังได้หลุดพ้นชั่วครู่ชั่วยาม จากนั้นค่อยถูกโจวหมี่จับมาประกอบขึ้นใหม่”
เทพเจ้า ถูกเรียกขานว่าผู้มิหลับใหล
โจวมี่ให้พวกเขารักษาความเป็นคนส่วนหนึ่งไว้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา ก็เหมือนกับว่าคนนอนเก่งคนหนึ่งในโลกมนุษย์ได้กลายมาเป็นคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ
แต่ขอแค่ทำลายความเป็นคนที่หลงเหลืออยู่ไปให้หมด ถูกความเป็นเทพกลืนกินจนสะอาดเอี่ยม ก็ไม่ต้องมีความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในส่วนนี้แล้ว
คำว่าเทพเจ้านั้น ก็เหมือนกับกระดานหมากอันหนึ่ง ทุกๆ ช่องว่างบนกระดานล้วนวางอารมณ์ชนิดหนึ่งเอาไว้ หยิบขึ้นมาอย่างแม่นยำ วางกลับลงไปอย่างแม่นยำ
ตำแหน่งเทพยิ่งสูงก็เหมือนว่ากระดานหมากยิ่งขยายใหญ่ ได้ครอบครองช่องว่างมากกว่าเดิม
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าการขึ้นลง การทับซ้อนหรือการผสานรวมของทุกๆ อารมณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นแบบเดี่ยวหรือหลากหลาย ก็ล้วนไม่ใช่ว่าจะไร้เป้าหมายไร้ทิศทาง มิอาจทำได้ดังใจปรารถนา เพราะต้องเป็นระเบียบมีขั้นตอน เป้าหมายต้องชัดเจนตลอดไป
อีกทั้งจำนวนรวมของทั้งเม็ดหมากสีขาวและเม็ดหมากสีดำก็มักจะเป็นจำนวนที่แน่นอนอย่างครึ่งต่อครึ่งเสมอ
หากจะบอกว่าความเป็นคนคือกรงขังตามธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เทพเจ้ามอบให้กับเผ่ามนุษย์
ถ้าอย่างนั้นความอิสระเสรีที่จริงแท้แน่นอนและบริสุทธิ์ก็คือกรงขังที่ใหญ่ยิ่งกว่า
อีกทั้งนี่เป็นแค่ความคิดของเผ่ามนุษย์เท่านั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ตัว หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือเทพเจ้าไม่มีทางคิดเช่นนี้ตลอดกาล
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเทพเจ้าก็ดูเหมือนว่าอิสระล้วนเป็นกรงขังแห่งหนึ่ง
‘คนมิใช่อริยะปราชญ์ที่จะไม่เคยทำความผิดพลาด รู้ผิดแล้วแก้ไขคือความประเสริฐอย่างใหญ่หลวง’
ต้องเคยทำผิด และยังสามารถแก้ไขความผิด และนี่ก็คืออิสระอีกอย่างหนึ่ง
ไม่มีถ้อยคำไพเราะงดงามใดๆ ที่สามารถปลอบใจคนได้เท่าคำนี้อีกแล้ว
สตรีผู้หนึ่งที่ไม่ได้มัดผมหางม้าอีกต่อไปยืนอยู่บนราวรั้วแถบใจกลางของสะพานหินโค้งสีทอง
นางโบกมือหนึ่งที กระชากอวี่ซื่อเทพวารีที่อยู่ในร่างทองอันยิ่งใหญ่โอฬารให้ร่วงลงไปในดวงตะวันดวงหนึ่ง แล้วใช้เปลวเพลิงเผาผลาญอีกฝ่าย
อวี่ซื่อผู้ฝึกตนใหญ่ที่เท่าเทียมได้กับขอบเขตสิบสี่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนางกลับไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย
โจวมี่พลันปรากฏตัว แต่กลับไม่ได้ขัดขวางการกระทำที่กำเริบเสิบสานของนาง ถึงอย่างไรความเป็นเทพของเทพวารีก็ยังคงอยู่ตรงนี้ ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย อย่างมากกลับไปเขาก็แค่ประกอบรวมขึ้นมาใหม่เท่านั้น
โจวมี่ฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว หลุบตาลงต่ำมองไกลๆ ไปยังใต้หล้าทั้งหลาย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใครเล่าจะคิดได้ว่า ข้ากับหนึ่งนั้นจะเคยคลาดกันไปในระยะประชิดบนหัวกำแพงเมือง”
น่าเสียดายที่ไม่อาจกลายเป็นหนึ่งนั้นได้ ความสามารถในการมองเห็นของโจวมี่ตอนนี้ มีอยู่หลายสถานที่ที่ยังมิอาจสัมผัสได้ถึง
ทว่านางที่ยืนอยู่บนรั้วกลับไม่มีพันธนาการจากมหามรรคาส่วนนี้ เพราะจุดที่แสงอาทิตย์ส่องไปถึงล้วนเป็นดินแดนของนาง
นางไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ดวงตาสีทองหนึ่งคู่ เส้นผมยาวสีทอง และชุดคลุมอาคมสีทอง
แต่โจวมี่กลับรู้ว่า หลังจากเดินขึ้นฟ้าแล้ว นางมองไปทั่วทุกหนแห่งในโลกมนุษย์ มีเพียงไม่ได้มองไปที่คนผู้นั้นคนเดียวเท่านั้น