กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 857.1 สองสามเรื่อง
บนยอดเขาของสำนักที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลับมีผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์สองคนยืนอยู่
ไม่ถึงครึ่งก้านธูป นครป่ายฮวาที่มีโครงกระดูกเรียงรายดุจผืนป่าก็กลายเป็นปฏิทินเหลืองหน้าหนึ่งไปแล้ว เมื่อเวลาผันผ่านก็จะกลายเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ไม่มีใครถามถึง
ภายใต้คำสั่งของฉีถิงจี้ เทพเกราะทองเรือนกายสูงพันจั้งสี่ตนตั้งตระหง่านอยู่สี่ทิศของฟ้าดินริมชายแดนนครป่ายฮวา สร้างเป็นค่ายกลที่เหมือนตาข่าย ป้องกันไม่ให้พวกปลาหลุดลอดหว่างแหตัวใหญ่ทั้งหลายฉวยโอกาสที่สถานการณ์วุ่นวายเผ่นหนีไป
นอกจากนี้ก็ยังมีภาพปรากฎการณ์ประหลาดอีกหลากหลายชนิด ฟ้าคำรามอยู่ในเมฆขาว ดวงจันทร์เกิดริ้วคลื่นมรกต สายฟ้าสีทองนับร้อยนับพันเส้นที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามร่วงตกลงมายังโลกมนุษย์ ประดุจเทพกรมสายฟ้าที่ฟาดแส้โบยใส่พื้นดินอย่างกำเริบเสิบสาน ภูเขาสายน้ำปริแตก พื้นดินพลิกตลบ พลิกหาเผ่าปีศาจที่หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำในช่องทางลับออกมาทีละตน และยังมีเจียวสีหมึกหลายสิบตัวที่เลื้อยอยู่กลางอากาศ กลืนกินเผ่าปีศาจทั้งหลายที่ทะยานลมหลบหนี เคี้ยวกร้วมๆ คำใหญ่ เสียงดังปานประทัดระเบิดต่อเนื่องเป็นระลอก
อย่าลืมล่ะว่าผู้ฝึกกระบี่ก็คือผู้ฝึกลมปราณเช่นเดียวกัน นอกจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแล้วก็ยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่มีความประหลาดพิสดารอีกนับร้อยนับพันที่ผ่านการหลอมใหญ่และหลอมกลางมาแล้ว
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการที่ฉีถิงจี้ร่ายใช้อย่างง่ายๆ ตามอารมณ์ ไม่พูดถึงสถานะผู้ฝึกกระบี่และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ก็สามารถมองฉีถิงจี้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่พลังพิฆาตมหาศาลคนหนึ่งได้เลย
ไม่ว่าจะเอาไปวางในไว้ใต้หล้าแห่งใด ผู้ฝึกตนได้ครอบครองวิธีการและเวทคาถาระดับนี้ก็สามารถถือเป็นผู้มีพรสวรรค์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้แล้ว ทว่าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ฉีถิงจี้กลับถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมองว่าจิตไม่นิ่ง เวทคาถาฉูดฉาด ดีแต่รูปลักษณ์ใช้งานจริงไม่ได้ ห่างไกลจากคำว่าบริสุทธิ์มากขึ้นทุกที…สรุปก็คือไม่มีประโยคดีๆ สักคำ
นี่ยังเป็นตอนที่เฉินชิงตูอารมณ์ไม่เลวอีกด้วย ถึงได้เอ่ยสั่งสอนเขาสองสามประโยคอย่างที่หาได้ยาก เวลาส่วนใหญ่แล้ว เฉินชิงตูคร้านจะพูดแม้แต่คำเดียว ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตสูงเท่าไร เขาก็ยิ่งไม่ชอบพูดคุยด้วยมากเท่านั้น กลับเป็นเด็กๆ บางคนที่จับกลุ่มกันมาเล่นสนุกบนหัวกำแพงเมือง หากผ่านกระท่อมหลังนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้พูดคุยกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสองสามคำ
เคยมีเด็กคนหนึ่งเล่นว่าวแล้วสายว่าวขาดไปหล่นลงบนหลังคากระท่อม ไหนเลยจะกล้าเปิดปากเอ่ยขอจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ยิ่งไม่กล้าปีนขึ้นไปบนกระท่อม จึงได้แต่กลับบ้านไปอย่างหม่นหมอง คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะไปถึงประตูหน้าบ้านก็สังเกตเห็นว่าพ่อแม่ยืนรออยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี ในมือของบิดามีว่าวกระดาษที่คล้ายมีขาวิ่งกลับบ้านได้เองตัวนั้นอยู่ด้วย เด็กชายถามถึงได้รู้ว่าที่แท้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโยนกลับมาให้ง่ายๆ ในช่วงเวลาที่เป็นเด็กชายถึงเป็นเด็กหนุ่ม เรื่องเล็กๆ เรื่องนี้กลับกลายเป็นหัวข้อพูดคุยที่ใหญ่ที่สุด ภายหลังรอให้เด็กชายคนนี้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ คนหนุ่มไม่ทันกลายเป็นคนแก่ก็เหมือนว่าวที่สายป่านขาด ชีวิตก็คือเรื่องเล็ก ถูกโยนทิ้งไปบนสนามรบง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ลู่จือหยิบเอากระบี่ยาวที่ถูกชะตาที่สุดสองเล่มออกมาจากในกล่องกระบี่ ชิวสุ่ย จ๋าวเชี่ยว นางถือกระบี่สองมือ บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เป้าผู่’ (เป็นคำศัพท์ของทางลัทธิเต๋า หมายถึงโอบกอดความบริสุทธิ์เรียบง่าย) สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบไปตนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์นครป่ายฮวา ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เข่นฆ่า ลู่จือแค่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนเซียนดินจำนวนเพียงหยิบมือที่มิอาจรับการฟาดฟันได้ ส่วนพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป จำไม่ได้แล้ว แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจำด้วย
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ถูกกระบี่ยาวชิวสุ่ย (น้ำฤดูใบไม้ร่วง) สังหาร ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่สะสมปราณวิญญาณเอาไว้พลันเหมือนน้ำที่ท่วมทำนบ น้ำพลันท่วมกลบทับช่องโพรงลมปราณ ไร้เหตุผลสิ้นดี หากถูกจ๋าวเชี่ยว (ทะลุทะลวงช่องโพรงทั้งเจ็ด) ทำร้าย ขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินของร่างกายเผ่าปีศาจก็จะเจอหายนะ จ๋าวเชี่ยวมีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งติดมาด้วยตั้งแต่กำเนิด เมื่อร่วมมือกับปราณกระบี่อันยิ่งใหญ่ไพศาลของลู่จือก็คล้ายกับมีซินแสด้านฮวงจุ้ยคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการตามหารังมังกรเป็นคนนำทาง ปราณกระบี่ประดุจกองทัพอาชาเหล็กเจาะทะลวงขบวนรบ เกือกม้าย่ำทะลวงผ่าน รากภูเขาแต่ละเส้นปริแตกพังภินท์
ลู่จือเก็บกระบี่บิน ‘เป้าผู่’ กลับมา ส่วนเป่ยโต้วที่เป็นกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งนั้น กำลังใช้ยันต์ชำระกระบี่มาหลอมกระบี่
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เป้าผู่’ ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตสองอย่าง อย่างหนึ่งในนั้นคือกระบี่บินสามารถกักเงาของผู้ฝึกตนเอาไว้ได้ พริบตาเดียวก็ทำร้ายไปถึงจิตหยิน ภาพสะท้อนของจิตหยินก็เหมือนถูกกระบี่บินปักตรึงไว้บนผ้าสีดำผืนหนึ่งในตำแหน่งเดิม ผู้ฝึกตนขยับตัวเปลี่ยนตำแหน่งก็เหมือนฉีกกระชากจิตหยินของตัวเอง ขณะเดียวกันขอแค่ผู้ฝึกตนไม่ยอมสละจิตหยินทิ้งไป ตัดสินใจได้ไม่เฉียบขาดมากพอ ก็จะต้องเผชิญหน้ากับวิชาอภินิหารของกระบี่บินชนิดที่สองที่สามารถเรียกได้ว่า ‘บรรลุแก่นแท้อันลี้ลับ สืบเสาะสาวเส้นไหม’ สามารถใช้จิตแห่งกระบี่ที่บริสุทธิ์มาสร้างจิตหยางกายนอกกายได้อีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นจิตหยินหรือจิตหยางก็ล้วนเกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง วิชาอภินิหารกระบี่บินเหมือนการโอบกอด ตามติดดั่งเงาอยู่บนสนามรบ
เป็นเหตุให้บนสนามรบของสำนักหนึ่งก่อนหน้านี้ ลู่จือบิดหมุนข้อมือ กระบี่ยาวชิวสุ่ยสะบัดควงแสงกระบี่พร่างพราว แสงกระบี่สีขาวหิมะสว่างเจิดจ้าเหมือนคลื่นน้ำสารทฤดู ส่องสะท้อนสี่ทิศ เงาสะท้อนของผู้ฝึกตนปรากฏขึ้นทันใด
ฉีถิงจี้เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้เจ้าไปหลอมกระบี่ที่ป๋ายอวี้จิง ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ไม่เพียงแต่ ‘เป่ยโต้ว’ กระบี่บินเล่มที่สองที่มหามรรคาสอดคล้องกับป๋ายอวี้จิง ข้าเดาว่ากระบี่บิน ‘เป้าผู่’ มีโอกาสที่จะได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างที่สาม นอกจากนี้เจ้าเองก็ไม่ค่อยเหมือนกับข้าและเฉินซี เรื่องการบุกเบิกถ้ำสถิต พวกเราคงได้แต่หยุดอยู่ที่ก้าวนี้แล้ว ยากมากที่จะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น แต่ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของเจ้ากลับไม่เหมือนกัน ยังมีความเป็นไปได้อีกมากมายยิ่งนัก”
ลู่จือรับฟังด้วยอาการใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แน่นอนว่าไม่ใช่ว่านางแยกแยะดีชั่วไม่ออก แต่เป็นเพราะไม่มีความสนใจเลยจริงๆ
นางนิสัยเฉยเมย ทั้งเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แล้วก็เป็นอิทธิพลจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่หล่อหลอมในภายหลัง ทำให้จิตใจของนางเฉยชาไร้ความปรารถนาอย่างผิดสามัญ
เวลานี้ความคิดของลู่จือยังคงอยู่กับกระบี่ที่เก็บซ่อนไว้ในกล่องกระบี่ กระบี่อาคมลัทธิเต๋าอีกหกเล่มที่เหลือซึ่งมีโหยวฝู เค่ออี้เป็นหนึ่งในนั้น แต่ละเล่มต่างก็มีเวทลับชั้นสูงบางอย่างติดตัวมาเช่นเดียวกัน ลู่จือรู้สึกว่าหากมีชีวิตรอดกลับไปจะไปหาเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวเพื่อปรึกษาเขาสักรอบหนึ่ง
ในอนาคตเมื่อเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงไปทวงหนี้ที่สำนักกระบี่หลงเซี่ยงก็จัดการได้ง่ายแล้ว คืนกระบี่? กระบี่ที่อิ่นกวานยืมมาจากเจ้า มาหาข้าลู่จือทำไม?
ฉีถิงจี้เห็นว่าลู่จือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาก็ไม่ได้โน้มน้าวต่ออีก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสตรีคนหนึ่งที่แม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยังเกลี้ยกล่อมไม่ได้
ฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของลู่จือคล้ายกับว่าทั้งๆ ที่กินอาณาเขตพันลี้ แต่กลับมีห้องอยู่แค่ไม่กี่ห้อง บอกว่านางมีเงินก็มีเงินจริงๆ เหมือนคนที่ได้ครอบครองนาดีหมื่นไร่ แต่หากจะบอกว่านางไม่มีเงินก็ไม่ผิดเหมือนกัน พูดถึงใบไม้ผลิเพาะพันธ์ใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยวที่ได้มาอย่างแท้จริง กลับมีแค่หนึ่งไร่สามวา (เปรียบเปรยว่าขอบเขตอิทธิพลหรืออาณาเขตของตัวเองที่มีน้อยนิด) อย่างน่าสงสารเท่านั้น
เพราะนอกจากลู่จือจะมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม ก็มีแค่วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหลอมใหญ่สองสามชิ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะสำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนคนใดก็ตาม นี่ถือเป็นจำนวนที่เรียกได้ว่าแร้นแค้นอย่างยิ่ง
ของทั้งสามชิ้นล้วนถูกลู่จือนำมาใช้ประคับประคองการฝึกตน ช่วยให้ดูดดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้เร็วกว่าเดิม รวมไปถึงช่วยบำรุงสามจิตเจ็ดวิญญาณ วัตถุที่ใช้ในการโจมตีของนางก็มีแค่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มนั้นเท่านั้น
ผู้ฝึกตน แม้ว่าทั่วทั้งเรือนกายจะเหมือนฟ้าดินเล็ก อาณาเขตของขุนเขาสายน้ำกลับกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด สิ่งที่เป็นของ ‘ตัวเอง’ อย่างแท้จริง ก็คือการนำปราณวิญญาณฟ้าดินที่ดึงดูดมามาเป็นต้นกำเนิดสายน้ำ ราดรดลงไปบนขุนเขาสายน้ำที่อยู่บนผืนแผ่นดิน คำว่าการฝึกตน ก็เหมือนการหว่านไถผืนนา บุกเบิกที่ดินก่อตั้งจวนเป็นของตัวเอง ปลูกเรียงรายติดกันเป็นแถบจนกลายเป็นนครขนาดใหญ่ยักษ์ เมื่อมีนครมากแล้วก็จะกลายเป็นหนึ่งแคว้น ผู้ฝึกตนเหมือนจักรพรรดิของหนึ่งแคว้น สุดท้าย ‘การพิสูจน์มรรคา’ ก็คล้ายการได้เป็นผู้ครอบครองใต้หล้าของฟ้าดินร่างกายมนุษย์
เพียงแต่ว่าสำหรับผู้ฝึกลมปราณแต่ละคนแล้ว การบุกเบิกถ้ำสถิต การสร้างห้องโอสถไว้ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ผู้ฝึกตนจะมีขีดจำกัดอยู่ที่คุณสมบัติ ต่างคนต่างมีคอขวดขวางกั้นอยู่ อย่างมากที่สุดก็คือพอขอบเขตสูงแล้ว ไม่ขาดเงินเทพเซียนและวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินแล้วก็จะเริ่มผลัดเปลี่ยน แทนที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตเดิมที่เคยมีอยู่โดยไม่สนความเสียหาย ดังนั้นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดทุกคนจึงจำต้องเริ่มไล่ไขว่คว้าขอบเขตสิบสี่ที่เป็นมายาล่องลอยมา
ผู้ฝึกตนใหญ่อย่างฉีถิงจี้ เงินเทพเซียน ปราณวิญญาณและสมบัติอาคมล้วนถือว่าแค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง น่าเสียดายก็แต่วัตถุจับต้องได้จริงทุกอย่างบนฟ้าดิน ได้กลายเป็นของนอกกายอย่างสมชื่อไปแล้ว หากละโมบโลภมากจะกลายมาเป็นภาระ มีเพิ่มมาเพียงส่วนเดียวก็จะกลายเป็นว่าอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ยังไม่ถึงครึ่งก้านธูป หากไม่เป็นเพราะรีบไปเยือนภูเขาลูกถัดไปก็ยังคุยเล่นกันได้อีกหลายประโยค”
ในมือของเขามีชุดคลุมอาคมสีเขียวเข้มที่ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีเพิ่มมาตัวหนึ่ง เป็นของตกทอดของเจ้าสำนักเซียนเหรินคนนั้น มีชื่อว่าชิงถง เป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ก็แค่ว่าหากคิดจะซ่อมต้องใช้เงินอีกเล็กน้อย ลู่จือออกกระบี่อำมหิตเกินไปจริงๆ
ชุดคลุมอาคมชิงถงตัวนี้ ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบร้อนน่าจะมีบันทึกไว้ เพราะในประวัติศาสตร์ ผู้ฝึกตนของนครป่ายฮวาที่ไปเยือนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีไม่น้อย ขอบเขตเซียนเหรินที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง วันนี้กลับเผ่นหนีเร็วที่สุด แต่กระนั้นก็ยังถูกฉีถิงจี้ขัดขวางทางไป บังคับให้อีกฝ่าย ‘สละร่างใต้คมอาวุธ’ บนเส้นทาง แต่อีกฝ่ายได้ร่ายวิชาหลบหนีแห่งชะตาชีวิตบทหนึ่ง ทว่าจิตหยินกลับถูกสังหาร จะรักษาขอบเขตหยกดิบไว้ได้หรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว
นอกจากนี้ยังมีโอสถปีศาจของเผ่าปีศาจอีกหลายเม็ด ขอบเขตหยกดิบหนึ่งเม็ด เซียนดินหลายเม็ด ล้วนถูกฉีถิงจี้กวาดออกมาจากบนศพทั้งหลาย ถือประคองไว้เหนือฝ่ามือ ปล่อยให้พวกมันหมุนวนไปช้าๆ
ฉีถิงจี้คิดเสียว่ากำลังชื่นชมทิวทัศน์อยู่
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนใดก็ตามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่คู่ควรกับคำเรียกขานว่าเซียนกระบี่ มีใครบ้างที่ไม่ใช่บุคคลซึ่งเดินออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด มีสักกี่คนที่เป็นคนปกติ?
ลู่จือชำเลืองตามองโอสถปีศาจเหล่านั้น สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นหม่นหมอง
จำได้ว่าในอดีตเคยมีผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ทำหน้าที่บันทึกคุณูปการในการสู้รบคนหนึ่ง ขอบเขตไม่สูง เป็นโอสถทองที่คุณสมบัติธรรมดา ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหาร อันที่จริงลู่จือไม่รู้ชื่อของนาง รู้แค่ว่านางเป็นสตรีที่นิสัยอ่อนหวานอบอุ่นคนหนึ่ง รูปโฉมไม่เลว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่เคยแต่งงาน หน้าตาอาจเทียบกับโจวเฉิงไม่ได้ แต่แน่นอนว่าต้องงดงามกว่านางลู่จือมากนัก
สตรีที่ลู่จือไม่ทราบแม้แต่ชื่อของนางผู้นี้ ทุกครั้งหลังผ่านสงครามจะต้องรับผิดชอบคอยจดบันทึก ตรวจสอบประเมิน ทำเอกสารผลงานการสู้รบ เมื่อนางมองเห็นผู้ฝึกกระบี่หญิงทั้งหลายที่กลับออกมาจากสนามรบได้ จะต้องคลี่ยิ้มอย่าง…งดงามน่ามองมาก
ลู่จือถึงขั้นจดจำใบหน้าของสตรีผู้นั้นได้อย่างพร่าเลือนเต็มที มีเพียงรอยยิ้มนั้นของนางที่ราวกับว่าต่อให้จงใจหลงลืมไปก็ยังมิอาจลืมได้ลง
ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ทั้งยังไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่สุดท้ายนางกลับเลือกที่จะกระโจนลงสนามรบ ในช่วงเวลาที่อาจตายหรืออาจรอด นางกลับไม่ได้เลือกอย่างหลังติดตามนครบินทะยานไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แต่นางกลับขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังหัวกำแพงเมือง คงเป็นเพราะนางรู้สึกว่าในเมื่อจะรักษากำแพงเมืองปราณกระบี่เอาไว้ไม่ได้แล้ว บนโลกมนุษย์ใบนี้ไม่มีบ้านเกิดของนางอีกแล้ว ก็ม่จำเป็นต้องให้นางเป็นผู้จดบันทึกผลงานทางการสู้รบอีกแล้ว
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ใช่สตรีที่สำคัญอะไร
ขนาดการจากไปของโจวเฉิงสหายรัก ลู่จือก็ยังปล่อยวางได้ไม่ยากขนาดนี้ ช่างเป็นเรื่องประหลาดเสียจริง
แต่ดูเหมือนว่าจนกระทั่งบัดนี้ รอกระทั่งลู่จือนึกถึงสตรีที่ธรรมดาจนธรรมดาไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนี้ขึ้นมา พอคิดว่านางไม่อยู่แล้ว ลู่จือถึงได้รู้สึกตัวอย่างเชื่องช้าว่า ดูเหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่อยู่แล้วจริงๆ
ลู่จือรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย กวาดตามองไปรอบด้านด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่เหลือเผ่าปีศาจให้สังหารอีกแล้ว
มารดามันเถอะ หากสามารถเริ่มฟันคนใหม่อีกรอบได้ตั้งแต่ต้นก็ดีน่ะสิ
ส่วนเจ้าของโอสถปีศาจขอบเขตหยกดิบตนนั้น เวลานี้เรือนกายล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ยืนอยู่ข้างกายเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักชื่อลงบนหัวกำแพงเมืองอย่างกล้าๆ กลัวๆ สามจิตเจ็ดวิญญาณที่น่าสงสารล้วนถูกปราณกระบี่เฉียบคมกักขังไว้ในกรงขังแห่งหนึ่ง จิตวิญญาณเผชิญกับความทุกข์ทรมาน เวลานี้ยังมีแต่ความกระวนกระวาย กังวลว่า ‘ฉีลู่ซ่าง’ (ลู่ซ่างแปลว่าบนถนน) แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้จะเปลี่ยนใจผิดคำสัญญา ถือโอกาสส่งมันขึ้นถนนออกเดินทางอีกรอบโดยตรง
ที่แท้ฉีถิงจี้ที่รับหน้าที่จับปลาที่หลุดลอดออกจากแห นอกจากจะใช้เวทคาถาจัดวางค่ายกลแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลไปรอบหนึ่ง ระหว่างทางได้คว้าเอาตัวผู้ถวายงานนครป่ายฮวาที่หนีไม่ทันมาได้คนหนึ่ง ก็คือขอบเขตหยกดิบที่จิตวิญญาณถูกกักขังในเวลานี้ เขารับปากว่าจะไว้ชีวิตมัน ถามมันว่าคลังลับทั้งหลายของนครป่ายฮวาตั้งอยู่ที่ใดบ้าง จากนั้นให้มันนำทางไปค้นหามารอบหนึ่ง ไม่ต้องให้มันแสดงท่าทีกระตือรือร้นด้วยการเปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำทีละชั้นอะไรด้วยซ้ำ เพราะฉีถิงจี้ใช้ปราณกระบี่แหวกเส้นทางไปตลอดทางโดยตรง
กองกำลังตระกูลเซียนอักษรจงทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์ที่ทำรังสามรัง จะต้องเอาตำราลับในการฝึกตน เงินเทพเซียน สมบัติอาคมอาวุธวิเศษแบ่งแยกกันไปไว้ตามสถานที่ต่างๆ แน่นอนว่านี่ยังจำกัดอยู่เฉพาะสำนัก ‘ทั่วไป’ เท่านั้น อย่างฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งใต้หล้าไพศาล จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ และยังมีนครจักรพรรดิขาวของเจิ้งจวีจง แน่นอนว่าต้องมีความพิถีพิถันอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้
ในเมื่อเฉินผิงอันกำหนดเวลาไว้ที่ครึ่งก้านธูป ฉีถิงจี้จึงไม่ได้กวาดค้นต่อไป เรื่องอย่างการขุดดินลึกสามฉื่อนี้ ยังคงเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่เชี่ยวชาญมากกว่า
แต่สิ่งของที่สายตามองเห็น ฉีถิงจี้กลับไม่ยอมปล่อยให้เสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย สมบัติอาคมวัตถุวิเศษที่ปริแตกทั้งหลายซึ่งถูกกระบี่ของลู่จือฟันร่วงลงพื้น มีมากมายสารพัดรูปแบบ แม้จะบอกว่าสมบัติวิเศษบนภูเขาที่ปริแตกแล้ว ราคาจะแตกต่างจากก่อนหน้านั้นราวฟ้ากับดิน แต่ต่อให้ไม่มีค่ามากขนาดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีค่าแล้ว
และยังมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอีกมากมายที่หลังจากถูกฆ่าตายศพก็ได้เผยร่างจริงดั้งเดิมออกมา รวมไปถึงโครงกระดูกขาวที่อยู่ในลักษณะของวิญญาณวีรบุรุษที่ต่างก็ถูกฉีถิงจี้เก็บมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อทั้งหมด
สำนักกระบี่หลงเซี่ยงเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่เรื่องต้องใช้เงิน คิดไม่ถึงว่าวันนี้เดินทางผ่านนครป่ายฮวา เก็บตะวันออกมาผสมกับตะวันตก สะสมจากน้อยกลายเป็นมาก ก็ได้เงินเทพเซียนจำนวนน่าดูชมมาก้อนหนึ่งแล้ว
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่จิตวิญญาณถูกกักขังปลุกความกล้าถามเสียงเบา “เซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉี ท่านคงรักษาคำพูดกระมัง? ข้ายินดีจะติดตามคอยปรนนิบัติผู้อาวุโส!”
ฉีถิงจี้คลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
เป็นวัวเป็นม้านั้นช่างเถิด สำนักกระบี่หลงเซี่ยงรับแต่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น
เห็นว่าเซียนกระบี่ผู้อาวุโสไม่คุยด้วย มันก็พลันรู้สึกหดหู่หมดอาลัยเหมือนขี้เถ้ามอด เอ่ยเสียงสั่นว่า “ไม่รักษาคำพูดก็ช่างเถอะ แต่ท่านช่วยลงมือให้ไวหน่อยได้ไหม?”
ฉีถิงจี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ชีวิตนี้เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนหรือไม่?”
ในใจมันปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง รีบตอบทันที “ไม่เคยไปมาก่อน สามารถสาบานต่อฟ้าได้ว่าไม่เคยไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้ฝึกกระบี่ ระยะทางยาวไกล ขอบเขตต่ำต้อย ไหนเลยจะกล้าไปรนหาที่ตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่…”
ฉีถิงจี้พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าก็ไปเกิดในครรภ์ดีๆ ไปลองชมทัศนียภาพของที่นั่นดูสักครั้ง”
โบกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งง่ายๆ จิตวิญญาณแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาจำนวนไม่น้อยของใต้หล้าไพศาล บางทีอาจจะรู้ว่ามีตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่อยู่ แต่ก่อนหน้าตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แท้จริงแล้วแรกเริ่มสุดกลับเป็นตำราร้อยเซียนกระบี่ที่จัดพิมพ์ขึ้นอย่างหยาบๆ
เวลาอยู่ว่างๆ ฉีถิงจี้ก็เคยเปิดอ่านมาก่อน เขาไม่ได้สนใจอยากจะแอบไปซื้อตราประทับพวกนั้น ในสายตาของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสท่านนี้ ฝีมือการแกะสลักของอิ่นกวานหยาบไปสักหน่อย ยังไม่ถือว่าได้เดินเข้าห้อง เลื่อนติดอันดับของผู้เชี่ยวชาญด้านหินและทองอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าบนตราประทับจะมีอักษรริมขอบอยู่ประโยคหนึ่งที่ทำให้ฉีถิงจี้รู้สึกว่าไม่เลว
ไม่มีสถานที่แห่งขุนเขาสายน้ำอันเลื่องชื่อลือนาม แต่กลับเป็นนครที่สูงที่สุดของโลกหล้า