กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 857.2 สองสามเรื่อง
ลู่จือกล่าว “ลงมือครั้งนี้ ได้กำไรมาไม่น้อยหรือ?”
คนทั้งกลุ่มมาปรากฎตัวที่ประตูภูเขาแห่งนี้ เรื่องเกิดขึ้นฉุกละหุกจึงเป็นเหตุให้เผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนนั้นไม่ทันไปเยือนคลังสมบัติ แม้จะบอกว่าคนตายเพราะโลภในทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลอีกแล้ว คนที่เป็นผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ล้วนเข้าใจหลักการตื้นเขินข้อนี้ดี เทพเซียนบนภูเขาที่ตายอยู่ในกองเงินนั้นน่าอัดอั้นขัดเคืองใจที่สุดแล้ว
“ของทั้งหลายรวมกันก็ไม่น้อยจริงๆ จะบอกว่าได้กำไรเป็นกอบเป็นกำก็ไม่เกินจริง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นรากฐานของสำนักแห่งหนึ่ง ต่อให้ไม่พูดถึงยันต์ชำระกระบี่สามแผ่นนั้นก็ยังได้กำไรเยอะอยู่ดี”
ฉีถิงจี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกนักพนันในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เคยพูดกันไว้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือว่า ร่วมมือกับอิ่นกวานเป็นเจ้ามือ คิดจะขาดทุนก็ยังยาก ต่อให้นอนอยู่ก็ยังได้กำไร”
ลู่จือเอ่ยเตือนว่า “เฉินผิงอันเป็นนักบัญชีที่คิดคำนวณได้อย่างละเอียดรอบคอบนะ”
ฉีถิงจี้พยักหน้า “เดี๋ยวกลับไปแล้วนับผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากการมาเยือนนครป่ายฮวาก็จะแบ่งให้อิ่นกวานสัก…สี่ส่วน?”
คิดไม่ถึงว่าลู่จือจะเอ่ยว่า “สี่ส่วน? เขาไม่ได้ออกแรงเสียหน่อย แบ่งให้เขาสองส่วนก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้ว”
ฉีถิงจี้เอ่ยอย่างปลาบปลื้มว่า “ในที่สุดก็พอจะมีท่าทีของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งบ้างแล้ว”
ลู่จือพูด “ชุดคลุมไม่เลว เป็นของข้า วันหน้าข้าจะได้เอาไปมอบให้แม่นางน้อยอู๋ม่านเหยียนผู้นั้น”
ฉีถิงจี้หยิบชุดคลุมอาคมชิงถงตัวนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนให้ลู่จือ
ลู่จือยื่นมือไปรับมา สะบัดชุดคลุมอาคมเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เรื่องอย่างการนั่งลงแบ่งของโจรนี้ ดูเหมือนว่าพอได้ทำแล้วชักจะติดใจแล้วนะ”
ฉีถิงจี้พยักหน้ารับ “ข้าเองก็เพิ่งจะค้นพบเหมือนกัน”
ลู่จือเบ้ปาก เมื่อก่อนตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ล้วนไม่มีนิสัยนี้ นี่ถือเป็นนิสัยเสียๆ ที่ถูกอิ่นกวานชักนำปลูกฝังมาหรือไม่?
จากนั้นคนทั้งสองก็จับมือกันมาเยือนภาพมายาภูเขาอีกแห่งหนึ่งของยันต์สามภูเขา หนิงเหยาได้ออกไปจากซากปรักสนามรบโบราณแห่งนี้แล้ว ดูเหมือนว่าหลังจากส่งกระบี่ออกไปแล้วนางก็ไม่สนว่าจะเหลือปราณกระบี่ทิ้งไว้หรือไม่ เป็นเหตุให้ซากปรักสนามรบในเวลานี้ยังคงมีปราณกระบี่น่าสะพรึงกลัว คอยบดขยี้เข่นฆ่าผีกองทัพหยินที่แตกฉานซ่านเซ็นอยู่สี่ทิศอย่างกำเริบเสิบสาน
หลังจากฉีถิงจี้จุดธูปคารวะแล้วก็พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ยากจะจินตนาการได้ว่า หากยังไร้พันธนาการอยู่แบบนี้ ขอบเขตบินทะยานที่นับว่าพอจะต่อสู้ได้อย่างพวกเรา อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้จะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างไร”
การดำรงอยู่ของบรรพจารย์สามลัทธิ แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ยิ่งใหญ่โอฬาร ก็คล้ายกับว่ามีคนสามคนยึดครองกระแสน้ำไหล กักขวางมหานที ทั้งสามท่านนี้ไม่ต้องพูดหรือทำอะไรแม้แต่น้อย เพราะการดำรงอยู่ของพวกเขาก็เป็นการสยบขวัญที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งอยู่แล้ว
ต่อให้จะเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่วิถีทางโลกวุ่นวายอลหม่านแห่งนี้ ก็ยังมีภูเขาทัวเยว่ ไม่อย่างนั้นหากพูดถึงแค่จูเยี่ยนบรรพบุรุษเผ่าพันธ์ย้ายภูเขา ถ้าร่วมมือกับอดีตผู้ครองลำคลองเย่ลั่วอย่างหย่างจื่อ แล้วยังดึงเอาปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าอีกตนหนึ่งมาเป็นพวกได้ ก็สามารถเดินกร่างไปทั่วใต้หล้าได้แล้ว คาดว่าจนถึงท้ายที่สุดก็คงจะมีปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสี่และขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดรวมแล้วไม่ถึงยี่สิบตนด้วยซ้ำที่ได้แบ่งสรรใต้หล้ากันไป หยุดมือชั่วคราว จากนั้นก็เข่นฆ่ากันต่อ ฆ่ากันจนถึงท้ายที่สุดเหลือเพียงแค่ขอบเขตสิบสี่เพียงหยิบมือกลุ่มสุดท้าย
ฉีถิงจี้หยิบธงผืนหนึ่งออกมา โยนไปไว้ในพื้นที่ใจกลางของสนามรบโบราณ ธงพลันปักตั้งตระหง่าน ประหนึ่งเปิดประตูบานใหญ่ เพียงไม่นานก็รวบรวมเอากองทัพหยินหลายหมื่นตนที่สติปัญญาขุ่นมัวมาจากสี่ด้านแปดทิศ ราวกับว่าได้รับโองการคำสั่งอย่างหนึ่ง ประหนึ่งกองทัพใหญ่ที่เป่าแตรหยุดรบสั่งให้กองทัพกองแล้วกองเล่าถอยทัพกลับมา กรูกันเข้าหาธงผืนนั้นอย่างบ้าคลั่ง นอกจากนี้ตัวของธงผืนนี้ก็ยังควบอยู่ระหว่างถ้ำสวรรค์กับพื้นที่มงคล คือสถานประกอบพิธีกรรมเซินหลัว (ปรากฎการณ์อันมากมายหลากหลาย) แห่งหนึ่งที่เหมาะแก่การฝึกตนของภูตผี ทว่าวิญญาณวีรบุรุษ แม่ทัพผีเซียนดินบางส่วนที่เดิมทีได้แบ่งแยกดินแดนมาตั้งตัวเป็นอิสระ แน่นอนว่าย่อมไม่ยินดีพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น สูญเสียอิสรภาพที่มีอยู่ไป แต่ละตนจึงพากันเก็บงำลมปราณ พยายามที่จะหลบซ่อนตัว
ผลคือฉีถิงจี้หยิบของชิ้นหนึ่งจากในบรรดาวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากมายหลายชิ้น พอเรียกออกมาแล้วก็เห็นเป็นปล้องไม้ไผ่สีทองที่ซุกซ่อนปณิธานที่แท้จริงของเวทอสนี เมื่อหล่นลงใกล้กับธง ปล้องไม้ไผ่ก็หยั่งรากลงสู่พื้นดิน เวลาเพียงชั่วพริบตา บนสนามรบโบราณก็คล้ายกับมีป่าไผ่สีทองแถบหนึ่งที่กินรัศมีหลายร้อยลี้ ตลอดทั้งพื้นดินเต็มไปด้วยสายฟ้าที่ถักทอแปลบปลาบ อีกทั้งป่าไผ่ยังอาศัยปล้องไม้ไผ่ที่แผ่ขยายไปต่อเนื่องด้านใต้พื้นดิน ทำให้เกิดเป็นแสงทองทอประกายระยิบระยับเป็นจุดๆ ล้วนเป็นหน่อไผ่สีทองที่ผุดพ้นพื้นดินออกมาอย่างว่องไว จากนั้นก็กลายเป็นต้นไผ่ต้นแล้วต้นเล่า แสงสีทองของป่าไผ่ส่องประกายวับวาว ใบไม้แต่ละใบล้วนซุกซ่อนท่วงทำนองแห่งวิชาอสนีเอาไว้ส่วนหนึ่ง เป็นเหตุให้เบื้องใต้ป่าไผ่ที่อยู่บนพื้นดินได้เกิดเป็นสายฟ้าบ่อหนึ่งขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นเวทอสนีแห่งมหามรรคาหรือตัววัสดุของปล้องไผ่เอง ทั้งสองอย่างล้วนเป็นวัตถุที่สามารถกำราบภูตผีมาได้ตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้ว
สุดท้ายบนซากปรักก็หลงเหลือเพียงเส้นทางสี่เส้นที่ทอดยาวไปสู่ธงผืนนั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่เหลือเส้นทางใดๆ ให้พวกภูตผีได้เดินกันอีก
ลู่จือมองธงเรียกวิญญาณที่อยู่ห่างไปไกลแวบหนึ่ง เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เจ้ายังทำเรื่องนี้เป็นด้วยหรือ?”
ฉีถิงจี้อธิบายด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนตอนอยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกครั้งที่พวกเราส่งกระบี่ออกไปจะต้องถูกเล่นงาน แน่นอนว่าไม่อาจเอ้อระเหยลอยชายได้ จึงไม่มีเวลามากพอให้ข้าได้ร่ายใช้วิธีการที่มีลวดลายฉูดฉาดพวกนี้”
พูดง่ายๆ ก็คือ เวทคาถาวิชาอภินิหารนับพันหมื่นก็ล้วนมิอาจสู้แสงกระบี่ที่เปล่งวูบทีเดียวได้
เว้นจากวิถีกระบี่แล้ว หากผู้ฝึกตนบนภูเขาเชี่ยวชาญวิชานอกลู่นอกทางก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงาน พอๆ กับบัณฑิตคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการตีเหล็กผ่าฟืน
ลู่จืออยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงหยิบกระบี่ที่เหลืออีกสองเล่มออกมาจากกล่องกระบี่ เถียวเจี่ย ถึงกับเป็นคราบร่างที่ล้ำค่าของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งของป๋ายอวี้จิง สามารถนำมาทำเป็นชุดคลุมอาคมที่คล้ายคลึงกับเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารได้ สามารถทำให้ผู้ฝึกตนกลายเป็นคนที่เข้าใจได้โดยไม่ต้องมีอาจารย์สั่งสอน ครอบครองเวทลับชั้นสูงสองชนิดของป๋ายอวี้จิง หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน แต่กลับทำให้ลู่จือรู้สึกอึดอัดอย่างถึงที่สุด จึงโยนกระบี่เล่มนี้กลับเข้าไปไว้ในกล่องกระบี่
กลับเป็น ‘หนันหมิง’ เล่มนั้นที่พอถือไว้ในมือก็สามารถมีค่ายกลประหลาดเพิ่มมาแห่งหนึ่ง ลู่จือค้นพบว่าดูเหมือนตนเองจะมายืนอยู่ใจกลางสระสวรรค์ที่ผืนน้ำกว้างใหญ่ มองดูเหมือนอยู่ห่างจากฉีถิงจี้ที่อยู่ข้างกายแค่ไม่กี่ก้าว แต่แท้จริงแล้วกลับห่างไกลกันเป็นพันลี้ เหมาะแก่การนำมารับมือกับอาวุธหนักที่ใช้ในการโจมตีซึ่งเป็นสมบัติก้นกรุทั้งหลาย แน่นอนว่าสามารถนำมารับมือกับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นศัตรูได้เหมือนกัน
ส่วนโหยวเริ่นเล่มนั้นก็มหัศจรรย์มากเหมือนกัน ลู่จือถือกระบี่ยาวไว้ในมือ ข้างกายก็มีภาพมายาของสัตว์วิเศษที่มีรูปร่างเป็นปลามังกรตัวหนึ่งปรากฎขึ้นมา ปลาสีเขียวตัวใหญ่นี้ลอยอยู่กลางอากาศแล้วว่ายล้อมวนไปรอบกายของลู่จือ
ลู่จือรู้สึกว่ามองแล้วถูกชะตาอย่างมาก จึงไม่ได้เก็บกระบี่ยาวโหยวเริ่นเล่มนี้กลับไป
อีกทั้งหลังจากที่สองมือแยกกันถือหนันหมิงและโหยวเริ่นแล้ว เพียงไม่นานลู่จือก็ต้องรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง ที่แท้ปลาสีเขียวที่สะบัดหางว่ายวนอยู่ข้างกายตัวนั้นสามารถสร้างให้มีจากไม่มี ถึงกับดึงเอาโชคชะตาน้ำของจริงมาจากน้ำในสระสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าของนางที่เดิมทีเป็นภาพมายา นำมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้
ลู่จือกล่าว “มรรคกถาของลู่เฉินค่อนข้างน่าสนใจ”
ฉีถิงจี้พูดอย่างอ่อนใจ “คนเขาจะดีจะชั่วก็เป็นถึงเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงเชียวนะ”
ลู่จือกล่าว “ช่วยไม่ได้ เวลาที่ลู่เฉินอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็เหมือนกับ…เป็นแค่ลูกจ้างในร้านที่คอยวิ่งทำงานจุกจิกให้คนอื่น ยากที่ข้าจะเอาเขาไปคิดรวมกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งได้”
ฉีถิงจี้หลุดหัวเราะพรืด
ลู่จือไม่มัวคุยเล่นอีก ถือโอกาสที่ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบครึ่งก้านธูปเริ่มหลอมกระบี่ หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือหลอมยันต์ชำระกระบี่ที่ได้มาจากนครอวี้ซูแผ่นนั้น
ไม่เสียแรงที่เป็นยันต์ใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้ามืดสลัว ธรณีประตูในการวาดยันต์สูงยิ่ง ทว่ายามที่คนนอกหลอมขึ้นมากลับว่องไวอย่างมาก
ยันต์ชำระกระบี่สามแผ่นที่มีมูลค่าควรเมือง หากลู่จือเอามาใช้ขัดเกลาคมของกระบี่บิน ‘เป่ยโต้ว’ ทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้จะเด่นชัดอย่างยิ่ง ระดับความคมของกระบี่บินที่ลู่จือประเมินไว้ล่วงหน้าก็สามารถเพิ่มขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่ง
ยันต์ชำระกระบี่ทำให้ลู่จือประหยัดเวลาการฝึกตนไปอย่างน้อยที่สุดเกือบหกสิบปี ไม่ได้หมายถึงเวลาหกสิบปีที่กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไม่มีหยุดพัก แต่หมายถึงเวลาที่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งตั้งใจฝึกตน มุ่งมั่นอยู่แต่กับการหลอมกระบี่อย่างเดียว การฝึกตนหลายสิบปีหลายร้อยปีของผู้ฝึกตนที่กล่าวถึงกันนั้น ล้วนเป็นการตั้งสมาธิมุ่งมั่น นั่งเข้าฌาน ปิดด่านนั่งนิ่ง ขัดเกลาจิงชี่เสินออกมาทีละเล็กทีละน้อย นี่ต่างหากถึงจะเป็น ‘หนึ่งขวบปี’ ของผู้ฝึกลมปราณ เป็นอายุที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะถือเป็น ‘อายุลวง’ ที่ใช้เวลาผ่านไปอย่างเสียเปล่าทั้งสิ้น
ดังนั้นหนึ่งขั้นนี้จึงไม่ถือว่าน้อยแล้วจริงๆ เส้นทางของการหลอมกระบี่บินนี้ เดินทางหนึ่งร้อยลี้ เดินไปได้เก้าสิบลี้ถึงเพิ่งจะถือว่ามาถึงครึ่งทาง (เปรียบเปรยว่ายิ่งใกล้จะทำสำเร็จความยากยิ่งมากขึ้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เป่ยโต้ว’ เล่มนี้ของลู่จือที่ต่อให้จะอยู่ห่างจากความสมบูรณ์แบบแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังยากที่จะใช้กระบี่ตัดหัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งในครั้งเดียวได้ แต่หากว่านางก้าวข้ามธรณีประตูนั้นไปได้ ถ้าอย่างนั้นพลังพิฆาตของกระบี่บินลู่จือ ต่อให้จะเป็นในประวัติศาสตร์หมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ยังถือว่าอยู่ในยอดบนสุด
ขอแค่ระดับขั้นของกระบี่บินเป่ยโต้วได้ถูกหล่อหลอมจนถึงขอบเขตที่ไร้จุดบกพร่อง สมมตว่าในอนาคตนางเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้สำเร็จ นี่ก็หมายความว่าหากคนนอกคิดจะสังหารลู่จือก็ต้องให้ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานสองคนร่วมมือกัน จากนั้นก็ต้องยอมมอบสองชีวิตมาให้เสียแต่โดยดี
ฉีถิงจี้รู้เรื่องนี้ชัดเจนดี ในอดีตเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่เคยคาดหวังเรื่องการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ของเขากับเฉินซี มีเพียงกับลู่จือที่มิอาจฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหรินได้เสียทีที่เขาเห็นดี นอกจากนี้ก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ฮู่ และยังมีโฉวเหมียวที่ภายหลังไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อน ส่วนหนิงเหยา คาดหวังอะไร ไม่จำเป็น ในสายตาของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส นั่นมันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว
ลู่จือเงยหน้าขึ้น อยู่ดีๆ ก็เอ่ยออกมาว่า “อันที่จริงคนผู้นั้น หากไม่พูดถึงความถูกความผิดแล้วล่ะก็ เขาก็ร้ายกาจอย่างมาก”
นางกำลังพูดถึงโจวมี่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นมหาสมุทรความรู้แห่งเปลี่ยวร้าง เป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้มีฝีมือสูงส่งเทียมฟ้า
นับถือก็ส่วนนับถือ แน่นอนว่าไม่ถ่วงรั้งลู่จือตอนอยู่บนสนามรบ หากสามารถฟันโจวมี่ให้ตายได้นางต้องฟันแน่ ไม่มีทางใจอ่อนออมมือเด็ดขาด
ฉีถิงจี้กล่าว “ลู่จือ การที่ตอนนั้นข้าอยากคิดผิดคำสาบาน เร่งรุดไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า ก็เพราะใจหวังว่าจะยังโชคดี จะพยายามอาศัยโชควาสนาบนมหามรรคาที่ช่วงชิงมาได้จากการเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้า ใช้หินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก ช่วยให้ข้าฝ่าทะลุคอขวดที่ใหญ่เทียมฟ้านั้น เพราะข้าหวังว่าจะอาศัยสิ่งนี้มาบอกกล่าวความจริงเรื่องหนึ่งแก่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เฉินชิงตูมองฉีถิงจี้ผิดไปแล้ว”
ลู่จือไม่ถนัดเรื่องการพูดจาแลกเปลี่ยนความในใจกับคนอื่น อันที่จริงฉีถิงจี้ก็ยิ่งไม่ชอบพูดคุยเรื่องในใจกับใคร วันนี้เอ่ยประโยคนี้ออกมานับว่าผิดแผกจากสามัญไปมากแล้ว
ลู่จือลืมตาขึ้น นางไม่เคยพูดจาอ้อมค้อมวกวน “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่อยู่แล้ว ยังจะงัดข้ออะไรกับเขาอีก อีกอย่างต่อให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะยังอยู่บนโลก ได้เห็นเจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ในใต้หล้าห้าสีกับตาตัวเองก็มีแต่จะยิ่งผิดหวัง ยิ่งดูแคลนฉีถิงจี้”
ฉีถิงจี้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ข้ากลับหวังว่าจะยังมีโอกาสที่เขาจะผิดหวังในตัวข้า”
สำหรับการจากไปของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ความรู้สึกของผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของนครบินทะยานในทุกวันนี้ กับความรู้สึกอันซับซ้อนของพวกคนเฒ่าคนแก่อย่างฉีถิงจี้ กลับไม่ค่อยเหมือนกัน
ฉีถิงจี้พลันเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “นครบินทะยานหลังจากนี้ คนบนโต๊ะสุราคุยกันไปคุยกันมา ไม่ว่าจะชมเชยหรือก่นด่า ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นอิ่นกวานของพวกเราท่านนี้ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้คนหงุดหงิดใจนัก”
ลู่จือเอ่ยโน้มน้าว “เป็นถึงเจ้าสำนักแล้ว ใจกว้างหน่อยเถอะ”
ฉีถิงจี้ถอนหายใจ “ขอร้องเจ้าว่าวันหน้าอย่าเกลี้ยกล่อมคนอื่นอีกเลย”
ลู่จือหัวเราะร่า “ข้าคนนี้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของคนอื่นได้ดีที่สุดแล้วล่ะ”
ขุนเขาใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างตรงหน้าลูกนี้มีชื่อว่าภูเขาชิงซาน
ยันต์สามภูเขาส่วนแรกที่ผู้ฝึกกระบี่สี่คนมีอยู่ในมือ ท่าเรือของภูเขามายาสามลูกแบ่งออกเป็นนครป่ายฮวา ซากปรักสนามรบโบราณ มหาบรรพตชิงซาน
หลังจากที่หนิงเหยาจุดธูปคารวะซานซานจิ่วโหวที่ตีนเขาก็ไม่ได้เดินทางไปยังภูเขาลูกถัดไป แต่เดินเลียบเส้นทางเทพเดินขึ้นบันไดไป
ฐานะของภูเขาลูกนี้สูงส่ง คือขุนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เป็นข้อยกเว้นที่ได้ครอบครองภูเขาทายาทจำนวนสองมือนับ ส่วนชื่อ ‘ชิงซาน’ ของขุนเขาใหญ่ลูกนี้ก็ยิ่งมีเพียงหนึ่งเดียว
ด้านในตำหนักใหญ่ของศาลซานจวินตั้งวางเทวรูปลงสีเอาไว้ ริ้วแสงสีทองกระเพื่อมเป็นระลอก มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา ในมือถือลูกประคำเนื้อไม้ เหมือนคนจำพวกที่ชอบกินเจสวดมนต์ หน้าตาธรรมดาสามัญ เรือนกายผ่ายผอม ผิวหยาบเหมือนเปลือกไม้ของต้นสนที่ขึ้นริมน้ำ
ซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ท่านนี้มีฉายาว่าปี้อู๋ เกิดมาพร้อมอาการประหลาด รูม่านตาสองชั้นเปล่งประกายแปดแสง สวมเสื้อสีแดงเข้มปล่อยผมสยาย สวมรองเท้าสานคู่หนึ่ง
สัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ส่วนนั้น ปี้อู๋ซานจวินก็รีบร้อนออกมาต้อนรับแขก พอเห็นผู้ฝึกกระบี่หญิงคนนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “หนิงเหยา?!”
หนิงเหยาผงกศีรษะ “ไม่มีอะไร ข้าแค่มาเดินเล่นเท่านั้น”
ความคิดแรกของปี้อู๋ก็คือ ใต้หล้าไพศาลยกทัพตีมาถึงหน้าประตูภูเขาบ้านตนแล้วหรือ ได้แต่หัวเราะหยันตัวเอง เหตุใดถึงได้บุกมาเร็วขนาดนี้ อีกอย่างหากแม้แต่ภูเขาชิงซานก็ยังรักษาไว้ไม่อยู่ นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดดินแดนครึ่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนตกเป็นของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางหมดแล้ว
ปี้อู๋กุมหมัดเอ่ย “เทพภูเขาปี้อู๋คารวะเซียนกระบี่หนิง”
ได้เจอกับซานจวินใหญ่ขอบเขตบินทะยานท่านนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เห็นลูกประคำบนข้อมือของอีกฝ่าย หนิงเหยาก็รู้แล้วว่าเหตุใดภูเขาชิงซานถึงยังปลอดภัยดี
คิดแล้วหนิงเหยาก็แค่พอจะนึกถึงฉายา ขอบเขตของปี้อู๋ขึ้นมาได้อย่างเลือนราง จำได้ว่าเขาได้ครอบครองสมบัติหนักตระกูลเซียนที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งอย่าง รถอัคคีสายฟ้าแลบ เล่าลือกันว่าความมหัศจรรย์ของรถคันนี้นั้นอยู่ที่แกะสลักคำว่า ‘กองบัญชาการณ์ประกายฟ้า’
นอกจากนี้ซานจวินผู้นี้ยังศรัทธาในพุทธศาสนาจากใจจริง จึงสร้างอารามเหวินซูซึ่งคล้ายคลึงกับ ‘ศาลประจำตระกูล’ ขึ้นมา
ส่วนที่มากกว่านี้ นางก็ไม่รู้แล้ว คิดดูแล้วเฉินผิงอันต่างหากที่น่าจะรู้กระจ่างชัดเหมือนสมบัติในบ้านตัวเอง
ได้ยินประโยคเกรงใจของหนิงเหยา ปี้อู๋ก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน มิใช่ว่ากังวลถึงความปลอดภัยของตัวเอง อยู่ในถิ่นของตัวเอง ต่อให้เผชิญหน้าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ต่อสู้เอาเสียเลย ต่อให้โอกาสชนะจะน้อยนิดแค่ไหน แต่รักษาชีวิตรอดก็ไม่ใช่เรื่องยาก ลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ภูเขาบ้านตนกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมีบุญคุณความแค้นต่อกัน เพียงแต่ถึงอย่างไรหนิงเหยาก็คงไม่น่าจะถึงกับบุกเดี่ยวมาเข่นฆ่าถึงที่แห่งนี้หรอกกระมัง?
ปี้อู๋ถามหยั่งเชิง “อิ่นกวานเดินทางมาพร้อมกับเซียนกระบี่หนิงด้วยหรือไม่?”
หนิงเหยาเงียบไม่ตอบ
ปี้อู๋ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังปิดปากไม่เอ่ยคำใด กลืนถ้อยคำที่อาจทำให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคิดจะตีสนิทกลับลงท้องไปอย่างรู้กาลเทศะ
กำแพงเมืองปราณกระบี่กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานับหมื่นปี ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากัน ไหนเลยจะยังต้องรอให้ ‘พูดไม่เข้าหูกันคำเดียว’ อะไรนั่น แค่เจอหน้าก็ฟันกันได้แล้ว ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรด้วยซ้ำ
หนิงเหยาเดินขึ้นเขาไปอีกครู่หนึ่งก็ถามว่า “ซานจวินรู้จักเขาหรือ?”
ปี้อู๋ที่เดินมาเป็นเพื่อนตลอดทางยิ้มเอ่ย “คนผู้หนึ่งที่อยู่ในภูเขามานานไม่เคยออกไปไหน จะรู้จักอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร เพียงแต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนมีสหายรักคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากเผ่าพันธ์น้ำของบึงใหญ่ เคยตั้งใจไปเที่ยวชมซากปรักของภูเขาห้อยหัวโดยเฉพาะ บางครั้งเห็นอิ่นกวานยืนอยู่ริมหน้าผาก็เลยวาดภาพเขาขึ้นมา สหายรักกลับมาถึงบ้านเกิด เดินทางผ่านที่แห่งนี้จึงมอบม้วนภาพนั้นให้แก่ข้า”
หนิงเหยาเอ่ย “เมื่อครู่นี้เขาก็มาแล้ว แต่เจ้าไม่สังเกตเห็นเท่านั้น”
ปี้อู๋ไม่รู้สึกว่าหนิงเหยากำลังพูดข่มขู่ให้เขาตกใจกลัวแม้แต่น้อย เขาทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “คาดไม่ถึงว่ามรรคกถาของอิ่นกวานก็จะลี้ลับมหัศจรรย์เช่นนี้ ยอดฝีมือที่แท้จริงไม่เปิดเผยตัวตนจริงเสียด้วย”
หนิงเหยาเอ่ยเตือน “ถือเสียว่าพวกเราไม่เคยมาเยือน”
ปี้อู๋พยักหน้า เอ่ยอย่างเข้าใจ “วันนี้ในภูเขายังคงไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น ก็แค่แวะมาดูก้อนเมฆม้วนตัวคลายตัว บุปผาผลิบานบุปผาร่วงโรยเท่านั้น”
เห็นว่าหนิงเหยาเตรียมจะจากไป ซานจวินปี้อู๋ก็ถามหยั่งเชิง “เซียนกระบี่หนิงจะไม่ดูภาพวาดสักหน่อยหรือ?”
หนิงเหยาที่ถือยันต์ออกเดินทางไกลถามอย่างกังขา “คนตัวเป็นๆ ไม่มอง จะไปมองดูภาพวาดทำไมกัน”