กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 859.1 ดึงแม่น้ำ
หลังจากนครเซียนจานครึ่งบนถูกฝ่ามือหนึ่งตบออกไป ลำแสงนับร้อยนับพันเส้นก็พากันสว่างวาบในเวลาเดียวกัน คือเงาร่างของผู้ฝึกตนของนครเซียนจานที่พากันทะยานลมจากไป
ลู่เฉินเหลือบมองภาพที่กลิ่นอายเซียนล่องลอย สีสันพร่างพราวเจิดจ้า งดงามตระการตาภาพนี้ น่าเสียดายที่เป็นไม้ล้มลิงค่างแตกซ่าน วันหน้าเปลี่ยวร้างจะไม่มีนครสูงอันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
รวบรวมทรายกลายเป็นภูเขาอย่างยากลำบาก กระแสน้ำไหลกระจัดกระจาย เสน่ห์อันองอาจย่อมต้องถูกลมพัดฝนซัดให้ปลิวหายไปได้เช่นกัน แต่วันนี้นครเซียนจานถูกอิ่นกวานหนุ่มใช้ท่วงท่าของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมาทำลายให้หักครึ่งแล้วทุบจนแหลกเละ
ลู่เฉินเก็บสายตากลับคืนมา เอ่ยเตือนว่า “พวกเราหยุดแค่พอสมควรเถอะ เสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปจะถ่วงรั้งการออกกระบี่”
เฉินผิงอันแบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจเอาไว้ ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เดิมทีก็ถูกมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสยบกำราบไว้อยู่แล้ว อันที่จริงตลอดทางที่ลู่เฉินเดินทางไกลมานี้ก็ไม่ได้ผ่อนคลายนัก ต้องคอยช่วยเฉินผิงอันจำแลงมรรคกถาอย่างต่อเนื่อง คอยสลายการสยบกำราบที่ล่องลอยมีอยู่ทุกหนทุกแห่งนั้นทิ้งไป ไม่อย่างนั้นยันต์เปินเยว่สามแผ่น แค่กระดิกนิ้วก็ได้มา ถึงอย่างไรมันก็ไม่เหมือนกับยันต์สามภูเขา ยันต์เปินเยว่คือยันต์ที่ลู่เฉินเป็นผู้สร้างขึ้นมา เจ้าลัทธิสามอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวไม่มีอะไรทำ อยู่ที่ป๋ายอวี้จิงรู้สึกอุดอู้ก็จะทะยานลมไปกลางนภากาศ ดื่มสุราอยู่ในดวงจันทร์ (เปินเยว่แปลว่าบินเข้าหา มุ่งเข้าหาดวงจันทร์) เพียงลำพัง
ไม่เหมือนที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บนท้องฟ้าของใต้หล้าแห่งอื่นๆ ล้วนมีดวงจันทร์ดวงเดียว ซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้ามอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ขอบเขตของผู้ฝึกตนเพียงพอที่จะประคับประคองให้เดินทางไกล แต่การบินทะยานไปยังดวงจันทร์ก็คือเรื่องต้องห้ามใหญ่อันดับหนึ่ง พูดถึงแค่ใต้หล้ามืดสลัว เคยมีผู้ฝึกตนใหญ่พยายามแหกกฎไปเที่ยวเล่นที่ซากปรักของตำหนักดวงจันทร์บรรพกาล ผลคือถูกอวี๋โต้วที่อยู่ในป๋ายอวี้จิงจับเบาะแสได้ จึงปล่อยกระบี่อยู่ไกลๆ ฟันคนให้ร่วงลงบนโลกมนุษย์ จากขอบเขตบินทะยานหล่นมาเป็นขอบเขตหยกดิบ ผลคือได้แต่กลับมาที่สำนัก ดื่มเหล้าดับทุกข์อยู่ในดวงจันทร์ของพื้นที่มงคลบ้านตัวเอง ป่าวประกาศว่าเต๋าเหล่าเอ้อหากเจ้าแน่จริงก็ลองสอดมายุ่งเรื่องของข้าผู้อาวุโสอีกสิ ข้าผู้อาวุโสดื่มเหล้าอยู่ในถิ่นของบ้านตัวเอง เจ้าลองควบคุมฟ้าควบคุมดินอีกสิ…ผลคืออวี๋โต้วปล่อยกระบี่ออกมาอีกครั้งจริงๆ ฟันให้ดวงจันทร์ของพื้นที่มงคลแยกออกเป็นสองส่วน ถึงท้ายที่สุดเต้ากวานหลายร้อยคนของทั้งสำนักกลับไม่มีใครสักคนที่กล้าไปตีกลองฟ้าร้องทุกข์ กลายเป็นเรื่องตลกขบขันเรื่องหนึ่ง
ในที่สุดกายธรรมนักพรตของเฉินผิงอันก็หยุดมือ เหลือบตามองร่องรอยของผู้ฝึกตนที่หนีกระเจิงกันไปกลางอากาศ “ดูเหมือนว่าจะไม่มีเงาของรองเจ้านครอิ๋นลู่ ในนครอีกครึ่งหนึ่งก็สัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของปีศาจตนนี้ เจ้าหาตัวเขาเจอหรือไม่?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “คาดว่าคงใช้เวทลับบางอย่างหลบซ่อนตัวไปแล้ว แสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางความเสี่ยงนี่นะ รากฐานมหามรรคาของนครเซียนจานหยั่งรากลึกอยู่ที่นี่นานแล้ว ขอแค่เจ้าไม่ทำลายปิ่นนักพรตชิ้นนั้นทิ้ง อิ๋นลู่เซียนเหรินที่อีกเดี๋ยวก็จะฉวยโอกาสนี้เลื่อนขั้นเป็นเจ้านคร ก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาลุกผงาดใหม่อีกครั้ง ด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของมัน ช่วงชิงขอบเขตบินทะยานมาก็ไม่ถือว่าเป็นความเพ้อฝัน แน่นอนว่าเป็นแค่ขอบเขตบินทะยานที่มีเพียงโครงว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อเทียบกับอาจารย์ของมันแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ขายหน้าปีศาจใหญ่ของเปลี่ยวร้างยิ่งนัก มิน่าเล่าเสวียนผู่ถึงไม่เคยกล้าไปโผล่หน้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกเดี๋ยวพวกเราสองคนไปในนครอีกครึ่งนั้น ผินเต้าพอจะเป็นวิชาคำนวณอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจหาเบาะแสอะไรเจอ”
พูดมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินเผยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่หาได้ยาก “ขอผินเต้าปากมากพูดสักประโยค ห้ามคิดทำลายปิ่นชิ้นนั้นเด็ดขาดเชียว อดีตเจ้าของของวัตถุชิ้นนี้ มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อโลกมนุษย์ของพวกเรา ตามคำกล่าวในปฏิทินเหลืองเก่าแก่ ถือเป็นผู้ที่บนมรรคามีทักษะ โลกมนุษย์มีตบะฌาน มีครบถ้วนทั้งทักษะและตบะฌาน ดังนั้นทางที่สุดที่สุดพวกเราไม่ควรไปมีเรื่องด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็หยุดแต่เพียงเท่านี้ ไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่แล้ว”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เรื่องที่ใช้สองหมัดทุบทำลายนครเซียนจาน ให้ผู้ฝึกตนของนครเซียนจานรื้อถอนศาลบรรพจารย์กันเอง ในสายตาของผินเต้า เห็นได้ชัดว่าเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่มากกว่า”
เก็บกายธรรมนักพรตสูงแปดจั้งนั้นลงไป ร่างสูงเท่าคนปกติ เฉินผิงอันเปลี่ยนมาอยู่ในชุดคลุมสีเขียวสวมกวานเต๋าอีกครั้ง เงยหน้ามอง ‘นครเซียนจาน’ ที่ไม่ขัดตามากถึงเพียงนั้นแล้วหลายที ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็แค่รู้เหตุผลว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ก็เท่านั้น”
เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง ก็เหมือนชาวบ้านฐานะธรรมดาแต่กลับชอบทำบุญทำทาน ย่อมยากที่จะเข้าใจว่าตระกูลเศรษฐีร่ำรวยที่ได้ครอบครองภูเขาเงินภูเขาทอง เหตุใดถึงได้ขี้เหนียวกว่าตน เหตุใดถึงได้ตัดใจทำบุญทำทานได้ยากนัก อันที่จริงก็แค่มองเส้นสายเส้นหนึ่งไม่ออก เดิมทีเงินทองบางส่วนก็เข้าบ้านมาจากประตูด้านข้าง แล้วจะเพ้อฝันให้เงินทองพวกนี้ออกจากประตูหลักด้านหน้าได้อย่างไร? ก็เหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยากจะทำความเข้าใจหลักการถามถึงแค่การหว่านไถ ไม่ถามถึงผลเก็บเกี่ยว ผู้ฝึกตนเองก็ยากจะทำเรื่องที่ถามแค่สาเหตุไม่ถามถึงผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริงเช่นกัน
จิตของลู่เฉินขยับไหว สองนิ้วประกบกันปาดลงมาเป็นเส้นตรง วาดเส้นตรงเส้นหนึ่ง จากนั้นจึงวาดจักจั่นตัวหนึ่งอยู่ข้างเส้นตรงนี้ คล้ายจักจั่นเกาะต้นไม้
จักจั่นตัวหนึ่งบนกระดาษคล้ายจะส่งเสียงร้องว่าทราบแล้ว ทราบแล้วไม่หยุดอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วง…
ลู่เฉินยกสองมือขึ้นอีกครั้ง ใช้นิ้ววาดกรอบภาพครอบภาพนี้เอาไว้ แล้วเก็บม้วนภาพใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ “ไม่เสียแรงที่เดินทางมาครั้งนี้”
ลู่เฉินยื่นฝ่ามือมาบังไว้ตรงหน้าผาก กวาดตามองไปรอบด้าน ถามว่า “พวกหนิงเหยายังตามมาไม่ทัน จะเอาอย่างไร? จะไปหาอิ๋นลู่แล้วพูดคุยกันสักสองสามประโยคไหม?”
ถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็เป็นภาพมายาภูเขาแห่งสุดท้ายแล้ว ไม่มีขีดจำกัดเวลาที่หยุดอยู่ที่นี่ได้แค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น รอให้พวกหนิงเหยาสามคนมาเจอกันที่นี่ ลู่เฉินก็จะมอบยันต์สามภูเขาส่วนสุดท้ายให้พวกเขา ภาพมายาภูเขาสามแห่งแบ่งออกเป็นสำนักจิ่วเฉวียน ลำคลองอู๋ติ้งซึ่งเป็นน่านน้ำในอาณาเขตของลำคลองเย่ลั่ว ภูเขาทัวเยว่
หากไม่เป็นเพราะรีบร้อนอยากจะเดินทางไปเยือนภูเขาทัวเยว่ เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาที่จะรออยู่ที่เดิม เฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ในนครเซียนจานแห่งนี้จริงๆ
หากบวกกับหาวซู่สิงกวาน นักเดินทางไกลอย่างกลุ่มของพวกตนนี้ก็คือขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานสามคน รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งที่พลังการต่อสู้สามารถมองเป็นขอบเขตบินทะยานได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่พลังการสู้รบขั้นสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าส่วนใหญ่จะไปอยู่ในสนามรบของอาเหลียงกับจั่วโย่วหมดแล้ว
ใครจะมาเป็นกองหนุน? หากไม่กล้ามา เฉินผิงอันก็อยากจะเอาความกล้าให้พวกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าใหม่พวกนั้นยืมจริงๆ
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เซียนเหรินอย่างอิ๋นลู่นี้ ความสามารถในการเก็บทรัพย์สมบัติและอำพรางร่องรอยช่างสุดยอดจริงๆ นครเซียนจานครึ่งหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าแห่งนี้กลับไม่เหลือของมีค่าอะไรไว้ให้เจ้าเลย”
อันที่จริงนี่ก็คือคนฉลาดเสียท่าเพราะความฉลาดของตัวเอง ไม่ฉลาดเลยจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ทั้งในและนอกนครเซียนจาน คนที่ต้องการชีวิตของอิ๋นลู่ ไม่ได้มีแค่อิ่นกวานหนุ่มคนเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “พื้นที่มงคลแห่งนั้น หากนำไปได้ก็นำไป นำไปไม่ได้ ต่อให้ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อ ต่อให้ข้าต้องทุบนครเซียนจานให้แหลกเละก็ต้องหาตัวมันออกมาให้ได้”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ข้า?”
ยังคงไม่ใช่พวกเรา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต่อให้เป็นการแบ่งผลกำไรจากการร่วมมือกันทำการค้า ตลอดทางมานี้เจ้าลัทธิลู่ไม่มีคุณความชอบก็ต้องมีคุณความเหนื่อยยาก หากมีแต่จ่ายไม่มีรับ ขนาดข้าก็ยังทนมองไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ดวงตาลู่เฉินเป็นประกายวาบ “หากได้มาจริงๆ ข้าจะไม่นำไปใต้หล้ามืดสลัว มอบให้ศาลบุ๋นก็แล้วกัน แลกมาด้วยโอกาสที่จะได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนกันสามครั้ง”
นครเซียนจานครึ่งหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลหลายร้อยลี้ ประหนึ่งศพผู้ฝึกตนที่นอนตายอยู่บนพื้น
ทว่าเพียงชั่วพริบตานั้น นครสูงที่ถูกทำลายคล้ายรากภูเขาคว่ำอยู่บนพื้นกลับสามารถตรงตั้งตระหง่านชี้ขึ้นฟ้าได้อีกครั้ง พยายามจะพุ่งกลับมายังที่เดิม ประกบติดกับนครครึ่งล่างที่เหลือ
เพียงแต่ถูกเฉินผิงอันยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบลงไป พริบตาเดียวก็ร่วงลงพื้นเหมือนเดิม ใช้มรรคกถาของขอบเขตสิบสี่สยบวิชาการชักนำแห่งชะตาชีวิตของปิ่นนักพรตชิ้นนั้นเอาไว้
ขณะเดียวกันเฉินผิงอันที่แต่งกายเป็นนักพรตก็ยกมือขึ้น วาดยันต์บทหนึ่งเหนือนครเซียนจานที่อยู่ตรงหน้า อันที่จริงก็แค่เขียนอักษรคำว่า ‘ภูเขา’ ลงไปคำเดียวเท่านั้น
ส่วนเฉินผิงอันอีกคนที่สวมชุดสีเขียวก็โคจรตราประทับแห่งชะตาชีวิตอักษรภูเขา นิ้ววาดขระกลางอากาศ เขียนยันต์น้ำตามมาติดๆ ภูเขาสายน้ำอิงแอบแนบชิด ถึงอย่างไรก็ย่อมมีการจากลา
เฉินผิงอันชุดเขียวไปเยือนห้องหลอมโอสถที่เสวียนผู่สร้างไว้บนยอดเขา ใช้วิชาอภินิหารจักรวาลในชายแขนเสื้อ ไม่เพียงแต่เตาหลอมสามเตา แม้แต่ขวดกระปุกหลายร้อยใบที่วางไว้บนชั้นวางก็ล้วนเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นจึงเก็บชั้นไม้ที่ใช้วางโอสถมา พบว่าวัสดุไม้นั้นดีเยี่ยม คือไม้ตระกูลเซียนไม่ทราบชื่อชนิดหนึ่ง รื้อเสาคานของห้องที่สร้างจากไม้ท่อนใหญ่เก็บมาด้วยกัน สุดท้ายสังเกตเห็นว่าอิฐที่ปูเต็มพื้นแวววาวเหมือนทองคำ ดูเหมือนจะมีข้อพิถีพิถันอยู่บ้าง จึงทรุดตัวลงนั่งยองงัดอิฐก้อนหนึ่งออกมา พบว่าด้านใต้อิฐทุกก้อนล้วนแกะสลักปีและชื่อของผู้ควบคุมการสร้างและชื่อของช่างที่สร้าง จึงสะบัดชายแขนเสื้อ เก็บก้อนอิฐสีทองที่มีสองพันกว่าก้อนมาไว้ในชายแขนเสื้อทั้งหมด
สุดท้ายเฉินผิงอันมองห้องใหญ่ที่ ‘ทั้งบ้านมีแต่ผนังสี่ด้าน’ ว่างเปล่าไร้สิ่งใด เดิมทีคิดว่าทำดีก็ควรทำให้ถึงที่สุด เพียงแต่พอมาคิดอีกทีกลับรู้สึกว่าเป็นคนควรไว้หน้าคนอื่นบ้าง
เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่กลับมาที่ศาลบรรพจารย์อีกครั้ง อันที่จริงสามารถเรียกว่าเป็นซากปรักแห่งหนึ่งได้แล้ว
บรรพจารย์เปิดภูเขาของนครเซียนจานเหมือนจะยังไม่ได้ตั้งฉายาให้กับตัวเอง มีแค่ชื่อเดียว กุยหลิงเซียง นางก็คือผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ในภาพเหมือน ถือเป็นเจ้าของคนที่สองของปิ่นนักพรตบรรพกาลชิ้นนั้น
ส่วนบรรพจารย์ไท่ซ่างของเซียนเหรินอิ๋นลู่ มีฉายาว่าฉงโอว ก็คือผีหญิงชราที่พอเห็นท่าไม่ดีก็รีบตัดสินใจอย่างเฉียบขาด นางตัดใจทิ้งแส้ปัดฝุ่นที่เป็นสมบัติหนักซึ่งมีระดับขั้นสูงมากชิ้นนั้นทิ้งไป ถึงสลายน้ำมันหอมสีทองทั้งหมดทิ้งไปได้ จึงไม่ถึงกับปูทางเส้นใหญ่สีทองที่ทิ่มแทงนัยน์ตาอย่างถึงที่สุดสายนั้นไว้ระหว่างเส้นทางกลับโลกมืดของนาง อันที่จริงตอนนั้นเพื่อรักษาชีวิตรอด นางยังเล่นงานลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเองไปด้วย ก็คือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่กำยำที่มีฉายาว่าอูถีผู้นั้น เพื่อรับประกันว่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่จะไม่สามารถเล่นงานตนได้อย่างเต็มกำลัง ตอนที่นางกำม้วนภาพอยู่ในความว่างเปล่าเวิ้งว้าง ยังสกัดขวางการร่ายเวทคาถาบทหนึ่งของลูกศิษย์อูถี เป็นเหตุให้ฝ่ายหลังไม่อาจเลียนแบบนางได้
เวลานี้อูถียืนอยู่ตรงริมอาณาเขตของซากปรักศาลบรรพจารย์ ผู้ฝึกตนเฒ่าสวมชุดคลุมสีดำ หนวดเคราแข็งเหมือนง้าว ในมือกำแกนภาพสองชิ้น แน่นอนว่าภาพเหมือนได้ถูกทำลายจนสิ้นซากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นหากจุดอ่อนนี้ตกอยู่ในมือของคนชุดเขียว อูถีก็ไม่คิดจริงๆ ว่าตัวเองจะเจอเรื่องดีอะไรได้
ในเมื่อก่อนหน้านี้อีกฝ่ายสามารถโยนมันทิ้งมาไว้ที่นี่ได้ง่ายๆ แน่นอนว่าย่อมต้องมีความมั่นใจว่าจะเก็บกลับไปได้ง่ายๆ เช่นกัน
การกระทำของปีศาจใหญ่เปลี่ยวร้าง ในหลายๆ ครั้งมักจะตรงไปตรงมาเช่นนี้เสมอ ขอแค่คิดเรื่องหนึ่งจนกระจ่างแล้วก็มักจะไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ
ดังนั้นอูถีจึงไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็สังหารเสวียนผู่ลูกศิษย์ที่รักซึ่งรับนครเซียนจานไปดูแลต่อจากตน แล้วก็จริงเสียด้วย เจ้าเสวียนผู่ผู้นี้ นับแต่เล็กมาก็ไม่เก่งกาจด้านการต่อสู้
อูถียังสามารถหยุดเวลาอยู่ในโลกสว่างได้อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากจัดการเสวียนผู่แล้วก็ได้สลายจิตสำนึกแต่ละส่วนไป เมื่อเทียบกับคนชุดเขียวที่ไม่รู้ความเป็นมาแล้ว เขายังอยากหาตัวลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเสวียนผู่ให้เจอยิ่งกว่าเสียอีก เพราะอีกฝ่ายก็คือตัวเลือกเจ้านครเซียนจานคนถัดไป เรื่องของการอัญเชิญตัว มีเพียงเจ้าสำนักแต่ละยุคแต่ละสมัยเท่านั้นที่จะถ่ายทอดแก่ผู้ที่สืบทอดตำแหน่งกับปากตัวเอง เรื่องนี้เป็นความลับมิอาจแพร่งพราย ความมืดและความสว่างมีเส้นทางที่แตกต่าง ไปกลับโลกคนเป็นกับโลกคนตาย มีกฎเกณฑ์มากมาย
แม้จะบอกว่าม้วนภาพถูกทำลายไปแล้ว แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน อูถีจึงคิดว่าจะจัดการลูกศิษย์ของลูกศิษย์คนนั้น ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซากเสียก่อน ระบบสืบทอดของนครเซียนจาน ควันธูปจะสืบทอดต่อกันไปอย่างไร ไหนเลยจะสำคัญล้ำค่าเท่าชีวิตบนมหามรรคาของตัวเอง
เมื่อครู่นี้หนึ่งในร่างแยกของอูถีได้จับตัวผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งของนครเซียนจานมา หลังจากถามถึงสถานะและฉายาของอิ๋นลู่แล้วก็หักคอศิษย์หลานที่เป็นขอบเขตโอสถทองทิ้ง กินโอสถปีศาจของอีกฝ่าย เจ้าพวกคนที่ต่อให้ตายเป็นร้อยรอบก็ยังมิอาจไถ่ถอนความผิดพวกนี้ สร้างความเดือดร้อนให้กิจการของบรรพบุรุษต้องพังภินท์ลงในวันเดียว ตายทีเดียวแล้วสิ้นเรื่องกันไปก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว อูถีย่อมมีวิธีการมากมายที่จะทำให้พวกผู้ฝึกตนอยู่ไม่สู้ตาย
ปัญหานั้นอยู่ที่ทุกวันนี้นครเซียนจานเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล อูถีถึงกับมิอาจหาที่ซ่อนตัวลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้นั้นออกมาได้ในทันที
เฉินผิงอันยิ้มถาม “กำลังตามหาอิ๋นลู่ จะได้ไม่ต้องทิ้งภัยพิบัติไว้เบื้องหลัง? หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้านครในอนาคตวาดภาพขึ้นมาใหม่แล้วจุดธูปอัญเชิญ น้อมรับบรรพจารย์มายังโลกสว่างอีกครั้งหรือ?”
อูถีเหลือบมองกระบี่ยาวที่ยังไม่ออกจากฝัก หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ศิษย์หลานเศษสวะที่ดีแต่จะทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่บนหน้าท้องสตรี ข้าจะต้องกังวลอะไร กังวลก็แต่ว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะรออยู่ด้านข้างต่างหาก”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าจะออกจากนครเซียนจานแล้ว”
“นครเซียนจาน? ตอนนี้จะยังมีนครเซียนจานกะผายลมอะไรอีก”
อูถีหลุดหัวเราะพรืด “ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวผายลมอะไรกับข้าแล้ว”
ยันต์ภูเขาแผ่นหนึ่งแปะลงบนนครครึ่งหนึ่ง เป็นเหตุให้นครสูงลดลงต่ำอย่างต่อเนื่องจนไปเชื่อมต่อกับรากภูเขา และสถานที่แห่งนี้ หลังจากร่ายยันต์น้ำแผ่นหนึ่งไปแล้วก็มีลางว่าจะมีหิมะใหญ่ตกลงมา เชื่อว่าอีกไม่นานคงต้องเผชิญกับหิมะใหญ่เท่าขนห่าน หากปิ่นนักพรตชิ้นนั้นถูกโชคชะตาขุนเขาสายน้ำอาบย้อมมากเกินไป ผู้ฝึกตนรุ่นหลังคิดอยากจะฝืนดึงยันต์ภูเขาสายน้ำสองแผ่นที่ทั้งรูปลักษณ์และจิตวิญญาณวิญญาณรวมเป็นหนึ่งออกมา ก็เหมือนการถลกหนังดึงเส้นเอ็นของคนธรรมดา การแบ่งแยกจิตวิญญาณของผู้ฝึกตน เว้นเสียจากว่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่เชี่ยวชาญมรรคกถาสายยันต์ซึ่งอยู่ตรงหน้าผู้นี้กำลังจะจากไปจริงๆ จากนั้นก็มีผู้ฝึกตนใหญ่ที่ขอบเขตเท่ากันอีกคนหนึ่งเดินทางมาถึง ยอมสละตบะของตัวเองอย่างไม่เสียดาย ช่วยสาวเส้นไหมให้กับนครเซียนจาน ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะกลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้คร่าวๆ แต่นั่นต้องเป็นความฝันของคนปัญญาอ่อนแน่นอน หรือว่าบนโลกในทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่มากมายเพียงนั้น?
ผู้ฝึกตนเฒ่าหันกลับไปมองตรงจุดที่เคยแขวนภาพเหมือนสตรีที่เป็นบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาในอดีตแล้วพลันรู้สึกเสียใจอย่างที่หาได้ยาก
เขาไม่ได้มีความทรงจำที่ดีอะไรต่ออาจารย์อย่างฉงโอว นางทำเรื่องแบบนั้นออกมาได้ อูถีไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกประหลาดใจ ถึงขั้นที่ไม่รู้สึกโมโหอะไรด้วยซ้ำ มีเพียงความรู้สึกที่มีต่อบรรพจารย์หญิงกุยหลิงเซียงที่แตกต่างออกไป ต่อให้เป็นปีศาจใหญ่ผู้มีจิตใจเห่อเหิมทะเยอทะยานอย่างอูถี ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่จะทำเรื่องชั่วช้าสามานย์มาจนชิน แต่พอคิดถึงว่ากิจการของบรรพจารย์ท่านนี้ต้องมาล้มครืนไม่เป็นท่าด้วยน้ำมือของเศษสวะอย่างพวกเขา เขาก็ยังอดเสียใจหม่นหมองไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ของอูถี นอกจากบรรพจารย์กุยหลิงเซียงแล้วก็ไม่เคยเจอกับผู้ฝึกตนที่ไม่ชิงดีชิงเด่นกับใครเป็นคนที่สองอีก