กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 860.4 เหล่าคนรุ่นเยาว์
เจ้าอ้วนรีบเปลี่ยนคำพูดทันใด “หากจะให้กว่าเหรินพูดนะ คำว่าบ้านเมืองสันติสุข นอกจากความชอบด้านการสู้รบและการปกครองที่จักรพรรดิขุนนางสำคัญทิ้งไว้ในตำราประวัติศาสตร์แล้ว สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็หนีไม่พ้นชีวิตสงบสุขที่ชาวบ้านไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการกินอยู่ ทุกครอบครัวล้วนยินดีอบรมปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิต รู้ตัวอักษร เขียนหนังสือเป็น พูดหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์บนตำราได้สักสองสามประโยค กว่าเหรินออกจากบ้านมาครั้งนี้ก็ถือว่าได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง ไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด เบิกตากว้างมองไปมองมา บวกกับข่าวลือบนภูเขาทั้งหลาย ก็ยังไม่มีคนที่เข้าตาได้สักกี่คน มีเพียงความสามารถในการปกครองกองทัพของสกุลซ่งต้าหลีที่พอจะเทียบเคียงกับกว่าเหรินในอดีตได้อย่างถูไถ”
ดวงตาสองข้างของมันเป็นประกายแวววาว สองมือกำเป็นหมัด ใบหน้าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม “กองทัพม้าเหล็กหยุดพักให้ม้าศึกได้ดื่มน้ำ แสงสายน้ำบนนทีสะท้อนภาพเกราะเหล็ก มากพอจะพิฆาตเจียวหลง!”
“ขอร้องเจ้าช่วยมียางอายหน่อย”
จงขุยหัวเราะอย่างฉุนๆ “หรือว่าขอร้องไปก็ไม่มีประโยชน์!”
“จงขุย ในอดีตเจ้าเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษา ถือว่าเอาคนมีความสามารถไปใช้ในงานเล็กน้อยแล้ว”
มันเอ่ยอย่างจริงใจ “หากเจ้าโชคดี สามารถเจอกับกว่าเหรินเร็วกว่านี้ แต่งตั้งตำแหน่งบัณฑิตแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินให้กับเจ้า รับรองว่าจะไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง”
จงขุยยิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็พูดจาภาษาคนเป็นด้วย”
วลีติดปากของเจ้าอ้วนผู้นี้ก็คือ ลากตัวออกไป ประหาร กระโดดบ่อน้ำ ห้าม้าแยกร่าง มอบสุราพิษให้หนึ่งจอก มอบผ้าแพรขาวให้หนึ่งจั้ง…
มันทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ ใครไม่เคยเป็นคนมาก่อนบ้างเล่า”
จงขุยหัวเราะหึหึ
เจ้าอ้วนรีบตะโกนทันที “กว่าเหรินผิดไปแล้ว!”
ก่อนที่จงขุยจะไปชักนำวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นให้ข้ามภพ จู่ๆ ก็พลันหันไปมองทิศทางที่ตั้งของซากปรักภูเขาห้อยหัว พึมพำเอ่ย “ทุกวันนี้เจ้าเด็กนี่ได้ดิบได้ดีไม่น้อยเลยนี่นา”
เจ้าอ้วนหลุดหัวเราะพรืด “ก็แค่หาภรรยาที่ดีได้ มีอะไรร้ายกาจตรงไหนกัน”
ไม่ต้องให้จงขุยพูดอะไร เจ้าอ้วนก็ตีอกชกตัว พูดอย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจขึ้นมาก่อนแล้ว “กว่าเหรินอิจฉาแทบตายแล้ว เจ้าเด็กนี่เป็นยอดฝีมือเลยนะ…”
ทันใดนั้นเจ้าอ้วนก็เก็บเสียง แล้วก็เริ่มกลืนน้ำลายอีกครั้ง
แต่งตั้งตำแหน่งบัณฑิตแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินกะผายลมอะไรกัน ในอดีตหากเจ้าจงขุยตกมาอยู่ในกำมือของข้า ต่อให้สอบติดจ้วงหยวน ข้าก็ไม่ให้เจ้าได้เป็นขุนนาง
การที่มันองอาจผึ่งผายถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะตอนนี้จงขุยได้ออกเดินทางไกลไปแล้ว บอกว่าไกลก็ไม่ได้ไกล คล้ายกับว่าห่างแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ไปที่ฝั่งตรงข้าม บอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ความต่างระหว่างมืดและสว่าง คือความแตกต่างราวฟ้ากับเหว
บนเส้นทางสู่ปรโลกสายหนึ่ง
อูถีเซียนผีขอบเขตบินทะยาน บรรพจารย์แห่งนครเซียนจานที่ได้ไปเยือนโลกสว่างมาแล้วรอบหนึ่งพลันหยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ
อูถีเพิ่งจะเกิดจิตสังหารขึ้นมา เรือนกายก็คล้ายมีไฟกองใหญ่ลุกโชน ดวงวิญญาณเหมือนอยู่ในกระทะน้ำมันเดือดพล่าน อูถีจึงได้แต่รีบล้มเลิกความคิดที่เหมือนความฝันของคนปัญญาอ่อนนั้นทิ้งไป
เพราะตรงหน้ามันมีคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีแดงสดคนหนึ่งเผยกาย มือหนึ่งถือแผ่นหยก มือหนึ่งถือพู่กัน ด้านหน้าวางตำราเอาไว้เล่มหนึ่ง ประโยคแรกที่คนผู้นี้เอ่ยหลังจากเปิดปากก็เป็นประโยคที่กำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด “เจ้าโขกหัวก่อน ข้าค่อยคุยเล่นกับเจ้า”
……
ใต้หล้ามืดสลัว
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกับเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือรูปโฉมงดงามหมดจด ทุกวันนี้อยู่ในต่างถิ่นต่างแดนอย่างใต้หล้ามืดสลัว ทำเรื่องเก่าของบ้านเกิดด้วยการขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียน
ก็คือหลิวสือลิ่วที่กำลังเดินทางอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว กับป๋ายเหย่ที่เพิ่งจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวที่อารามเสวียนตูได้ไม่นาน
ก่อนหน้านี้ไม่นานหลิวสือลิ่วปล่อยหมัดหนึ่งต่อยไปที่ป๋ายอวี้จิง จากนั้นก็ลากป๋ายเหย่เผ่นหนีไปด้วยกัน
ตอนนั้นเต๋าเหล่าเอ้อที่รับหน้าที่นั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิงถึงกับยอมแหกกฎไม่ได้ไล่ตามไปเอาเรื่องการกระทำล่วงเกินที่ถือเป็นความผิดมหันต์นี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ออกกระบี่ แม้แต่ท่าทีว่าจะลงมือก็ยังไม่มี เพียงแค่ปล่อยให้เซียนเหรินลัทธิเต๋าของห้านครสิบสองหอเรือนร่ายวิชาอภินิหารกันไป สกัดขวางหมัดนั้นเอาไว้ พูดถึงแค่นครแห่งหนึ่งในนั้นก็มีนครหลิงเป่าที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่ประดุจรุ้งทุติยภูมิ
สุดท้ายอวี๋โต้วเพียงแค่มองเด็กหนุ่มที่สวมหมวกหัวเสือซึ่งร่างถูกลากไปในแนวนอนเหมือนเส้นๆ หนึ่งอยู่ไกลๆ เต๋าเหล่าเอ้อผู้นี้ตีหน้าเคร่ง สุดท้ายคล้ายว่าจะอดไม่ไหว จึงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
สำหรับผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ของไพศาลผู้นี้ อวี๋โต้วยินดีที่จะให้ความเคารพอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นตอนนั้นอวี๋โต้วก็ไม่มีทางยอมให้ป๋ายเหย่ยืมกระบี่
ตอนนั้นเจียงอวิ๋นเซิงที่มีรูปโฉมเป็นนักพรตน้อย ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นของเจ้าลัทธิรอง ก็เหมือนเห็นผีในป๋ายอวี้จิงอย่างไรอย่างนั้น
ในอาณาเขตเมืองหลวงของราชวงศ์แห่งหนึ่ง หิมะใหญ่เพิ่งจะหยุดตก เดินอยู่ท่ามกลางพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งแสงจันทร์และสีของหิมะต่างก็งดงามเหมาะสมกัน
ระหว่างที่เดินทางหาประสบการณ์ สหายรักสองคนได้เห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างจากใต้หล้าไพศาล เต้ากวานเป็นทั้งเซียนซือผู้ฝึกตน แล้วก็เป็นทั้งขุนนางในราชวงศ์โลกมนุษย์ ใต้หล้าแห่งหนึ่ง บนภูเขาล่างภูเขา ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่เต้ากวาน ทำเนียบเต๋าก็คือทะเบียนอันดับหนึ่งของยอดฝีมือ ทุกๆ ครั้งที่เจออุทกภัยในอาณาเขต เต้ากวานในพื้นที่ก็จะโยนยันต์ลงน้ำจุดที่เขื่อนพังทลาย หรือไม่ก็ใช้เอกสารตำราชาดเรียกทหารเทพให้มาช่วยกำจัดภัยแล้ง เต้ากวานจะถือไม้ไผ่อยู่ในมือ จูงม้าเดินข้ามภูเขา และยังมีเต้ากวานที่ตั้งแท่นบูชาเพื่อร่ายคาถา ขับไล่เสนียดจัญไร สระขนาดเล็กพลันแห้งขอด ด้านในมีเจียวหลงที่อาละวาดขดตัวอยู่ เรื่องราวมากมาย ไม่ได้มีเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น
หลิวสือลิ่วเดินเนิบช้าเหยียบหิมะผ่านไป ข้างกายมีเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือที่ยากจะเอามาคิดเชื่อมโยงกับชื่อของป๋ายเหย่ได้
บ้านเกิดที่เป็นมาตุภูมินั้น ป๋ายเหย่มีชื่อเสียงในปีเทียนเป่า หลังจากฝึกตนก็ยิ่งถูกขนานนามว่าเบื้องหลังกวีของป๋ายเหยาจึงจะมีดวงจันทร์
หลิวสือลิ่วหิ้วกาเหล้าใบหนึ่งออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “หากขึ้นไปบนเรือราตรีลำนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้เจอกับคนรู้จักเก่าบางส่วน”
เด็กหนุ่มขยับหมวกหัวเสือ “ล้วนเป็นของปลอม ไม่มีพลังชีวิตแล้ว”
หลิวสือลิ่วเอ่ย “ข้าคิดว่าจะไปหาคนคนหนึ่ง คาดว่าคงต้องให้นักพรตซุนช่วย”
เด็กหนุ่มอืมรับหนึ่งที “ข้าเป็นคนเปิดปากเอง เจ้าอย่าได้ติดค้างน้ำใจคนอื่นเลย”
เมื่อหลายปีก่อนตรงตลาดปลาใกล้กับท่าเรือแห่งหนึ่ง มีคนต่างถิ่นสองคนมาเปิดเหลาสุราแห่งใหม่ เถ้าแก่คือคุณชายหน้าตาหล่อเหลา แซ่สกุลเดียวกับเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง เถ้าแก่เนี้ยะแซ่หยวน
ลู่ไถที่อยู่ที่แห่งนี้อยู่ในลักษณะที่ลี้ลับของจิตหยินออกเดินทางไกลอยู่ตลอดเวลา ส่วนสตรีที่ร่วมหุ้นกับเขาเปิดหอสุรา เจอใครก็บอกว่าตัวเองเป็นเถ้าแก่เนี้ยะ มาจากพื้นที่มงคลสือไผ มีชื่อว่าหยวนอิ๋ง นักพรตหญิงอายุน้อยที่ยังไม่ได้เข้าทะเบียนเต้ากวานผู้นี้ ผู้ถ่ายทอดมรรคาก็คือหลิ่วชีและเฉาจู่ เพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปีก็กลายเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าแล้ว
ตอนที่นางติดอันดับ อันที่จริงอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ตอนนั้นเพิ่งจะฝึกตนได้แค่แปดปี หยุดอยู่ที่ขอบเขตรั้งคนนานหกปี จากนั้นก็เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว กลายเป็นขอบเขตหยกดิบ
สำหรับลู่ไถแล้ว เขาคือรักแรกพบสำหรับนาง
ตอนที่ลู่ไถมาหาประสบการณ์ในพื้นที่มงคลสือไผก็เพราะมีจุดมุ่งหมายในตำราชะตาชีวิตคู่ของผู้เฒ่าจันทราครึ่งเล่มนั้น
ลู่ไถไม่เคยทำสีหน้าดีๆ อะไรให้หยวนอิ๋งเห็น เหตุผลก็คือตนเป็นสตรีที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าใดนัก จึงไม่มีความมั่นใจว่าจะอยู่ร่วมกันไปจนแก่เฒ่าได้
ตอนที่อยู่เขตไหวหนัน ได้ร่วมกันสร้างเหลาสุราแห่งนี้ขึ้นมา มีสามชั้น ข้างหน้ามีแม่น้ำข้างหลังคือภูเขา ลู่ไถต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ถึงจะซื้อมาได้ ก่อนหน้านี้เคยเป็นโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่กิจการซบเซา ทัศนียภาพงามเลิศล้ำ หน้าต่างโปร่งเปิดไปเจอแม่น้ำ น้ำและต้นไม้เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์มีชีวิตชีวา
เหลาสุราห่างจากตลาดปลาไม่ไกล ตอนเช้าตรู่ลู่ไถจะต้องไปเลือกพวกปลาหรือกุ้งแม่น้ำตรงเวลาทุกวัน อีกทั้งยังเข้าครัวลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง ฝีมือในการทำอาหารยอดเยี่ยมนัก
ในตัวเมืองยังมีท่าเรืออยู่แห่งหนึ่งที่หากมีสตรีหน้าตางดงามหรือแต่งกายสะดุดตาผ่านทางไป จะต้องมีลมฟ้าลมฝนพัดกระโชกทำลายเสื้อผ้าหน้าผมของสตรี อันที่จริงในใต้หล้ามืดสลัวไม่มีตระกูลเซียนอะไรทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไรเซียนซือก็ล้วนมีทำเนียบเต้ากวานทั้งสิ้น เจอใครสวมชุดคลุมเต๋าบนทางก็แค่เรียกคำหนึ่งว่าเต้าเหย่ก็พอแล้ว ไม่มีทางผิดแน่นอน
ในร้านเหล้ายังมีอาหารขึ้นชื่ออยู่หลายอย่าง ปลากุ้ยนึ่งน้ำใส เต่าน้ำทอด (เต่าน้ำในที่นี้หมายถึงแมลงชนิดหนึ่ง เปลือกแข็ง มองเผินๆ เหมือนเต่าตัวเล็ก) บะหมี่ข้ามสะพาน ต้มจืดหน่อไม้หมูหมักเกลือ
ลู่ไถยังคบหาสหายที่เชี่ยวชาญการขึ้นเขาหาของป่าอีกกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นเหลาสุราจึงมีปลากับกุ้งแม่น้ำ และยังมีของหายากบนภูเขา ราคาของอาหารแค่ไม่แพงเสียที่ไหน ต้องบอกว่าไม่แพงจนทำให้พวกเหลาสุราน้อยใหญ่ในเขตปกครองเต้นผางด่าคน ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีคนที่เปิดร้านทำการค้าเช่นนี้ ไม่อยากหาเงิน ขอแค่ไม่ขาดทุนเท่านั้น นอกจากเหลาสุราแล้ว ลู่ไถจ้างช่างฝีมือของบนภูเขาให้มาช่วยสร้างศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง นั่งล้อมวงดื่มสุราในศาลาริมน้ำ รอบด้านคือดอกบัวบานสะพรั่ง
ลู่ไถมักจะเดินไปชมทัศนียภาพที่นั่นเพียงลำพังบ่อยๆ บนแม่น้ำมีเรือแจวลำแล้วลำเล่าล่องผ่านมา คล้ายชีวิตคนที่ไปมาไม่หยุดพัก ดุจกระสวยที่สอดแล่นไปบนกี่ทอผ้า
บางครั้งริมน้ำก็จะมีเฒ่าประมงเอาเสื้อฟางกันฝนมาตากไว้ ล้วนเป็นพ่อเฒ่าพ่อแก่ร่วมหมู่บ้านที่หาปลาประทังชีพ ไม่ใช่ผู้เร้นกายในป่าเขาที่ใจกว้างห้าวเหิมอะไร บางครั้งลู่ไถก็จะออกจากศาลา เดินไปพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับพวกเขาสองสามประโยค
เพราะรู้ว่าอยู่ที่นี่ นอกจากเต้ากวานขึ้นทะเบียนแล้ว อำเภอใดๆ ก็ตามที่มีคนสอบติดสามอันดับแรกของขั้นหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้วงหยวน ขุนนางในอำเภอสามารถเลื่อนขั้นสามขั้นติดต่อกัน ชาวบ้านในอำเภอก็จะได้ยกเว้นภาษีสามปี เพื่อแสดงถึงการชมเชยและให้รางวัล ดังนั้นลู่ไถจึงไปเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ผลคืออย่าว่าแต่จ้วงหยวนเลย แม้แต่จิ้นซื่อก็คว้าเอามาไม่ได้…กระนั้นเหลาสุราก็ยังคงจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ที่จ่ายเงินราวน้ำไหล ในงานเลี้ยงเชิญแขกมาจากแปดทิศ เถ้าแก่ลู่ในเวลานั้น ในมือรวบพัดไม้ไผ่หยกเอาไว้ กุมหมัดยิ้มคารวะให้กับสี่ทิศ ทำเอาหยวนอิ๋งที่มองดูอยู่สายตาเลื่อนลอยไปชั่วขณะ คุณชายลู่ช่างน่ามองเกินไปแล้ว!
นางพลันหน้าแดงก่ำ คล้ายนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ สายตาจึงเปลี่ยนมาเป็นหนักแน่น ให้กำลังใจตัวเองเงียบๆ
ต้องนอนกับคุณชายลู่ให้ได้!
ยามที่เปิดหนังสือเขาจะต้องใช้หยกมันแพะชิ้นหนึ่งพลิกหน้าหนังสือ ยามกินข้าวต้องวางกระโถนแก้วใสไว้ใบหนึ่ง ทั้งสามารถทำอาหารอย่างประณีติละเอียดอ่อน ทั้งสามารถใช้ชีวิตอย่างธรรมดาเรียบง่าย ดังนั้นถึงได้บอกว่าคุณชายลู่ทั้งสามารถสง่างาม แล้วก็สามารถธรรมดาสามัญได้ด้วย
ปีนี้ฤดูใบไม้ผลิมาเร็วหิมะหนา คุณชายลู่มักจะพกพัดพับไว้ตรงเอว ในมือถือไม้เท้าเดินป่าที่ทำมาจากไผ่เขียวอันหนึ่ง แล้วชอบขึ้นเขาไปเพียงลำพังโดยไม่พานางไปด้วย
แต่อันที่จริงเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนแล้ว ภูเขาใหญ่เพียงเท่านั้น ไม่น่าดูชมมากพอจริงๆ อีกทั้งทุกครั้งที่คุณชายลู่ดื่มเหล้าให้พอกรึ่มๆ ก็มักจะชอบพูดจาวางโตไม่น่าเชื่อถือ ทำนองว่าบ้านข้าคือหอสูง เบื้องหน้าคือสายน้ำเบื้องหลังคือภูเขา คือเหลาสุราอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ห้านครสิบสองหอเรือนก็มิอาจเทียบเคียง อะไรที่บอกว่าพันภูเขาหมื่นล่องลึกล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคา ไยต้องแวะเวียนไปเยือนป๋ายอวี้จิง
ดูแล้วคงจะมีความไม่พอใจต่อลู่เฉินและป๋ายอวี้จิงอยู่ไม่น้อย หยวนอิ๋งไม่สนใจเรื่องพวกนี้ รู้สึกเพียงว่าตนกับคุณชายลู่คือคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานมา มีเพียงในเรื่องของการกินเท่านั้นที่หยวนอิ๋งรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อยู่บ้างเล็กน้อย เพราะเกี่ยวพันกับเฉาจู่ผู้เป็นอาจารย์ นับแต่เด็กมานางจึงชอบพูดติดปากว่า ‘เชี่ยปู้เชี่ยฟ่าน’ (แปลว่ากินข้าวหรือไม่ แต่เป็นการออกเสียงที่ติดสำเนียงท้องถิ่น ไม่ใช่สำเนียงของภาษากลาง ภาษากลางจะพูดว่า ชือปู้ชือฟ่าน) พอเปิดปากพูดก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว แต่นางกลับแก้ไม่ได้ อีกทั้งนับแต่เด็กมานางก็ชอบกินข้าวคู่กับกลีบกระเทียม
แรกเริ่มหยวนอิ๋งยังรู้สึกอายอยู่บ้าง มักรู้สึกว่าเป็นสตรีคนหนึ่งกลับเอากระเทียมกับถั่วแขกดองมากินเป็นกับแกล้ม ไม่ค่อยจะเหมาะสมสักเท่าไร
คิดไม่ถึงว่าลู่ไถกลับชอบที่นางเป็นอย่างนี้อยู่มาก บอกว่าบนร่างของเจ้าก็มีแค่ข้อนี้ที่ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ไม่ควรต้องเปลี่ยนแปลงอะไรจริงๆ
อันที่จริงหยวนอิ๋งเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างมาก กลอนกวีบทประพันธ์ล้วนเชี่ยวชาญ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิ่วชี อีกทั้งยังเติบใหญ่อยู่ในพื้นที่มงคลสือไผ มีหรือที่จะขาดกลิ่นอายแห่งวรรณกรรม ดังนั้นลู่ไถจึงมักจะเอ่ยสัพยอกนาง ว่าโคลงกลอนที่ดีขนาดนั้นกลับดังเจื้อยแจ้วออกมาจากปากของเจ้า กลิ่นกระเทียมก็ลอยมาด้วยเลย
นางเคยไปที่ตลาดปลากับลู่ไถอยู่สองสามครั้ง เคยเห็นเขาต่อรองราคากับพวกพ่อค้าหาบเร่ ถลึงตาใส่เถียงจนคอแดงก่ำ คุณชายลู่ในเวลานั้นยิ่งรูปงามจนคนมองสติเลอะเลือน
หยวนอิ๋งกลับไม่สนใจพวกสตรีที่ตามมาตอแยคุณชายลู่พวกนั้น สตรีบ้าผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ประทินโฉมได้น่าเกลียดเหลือทน ไม่เห็นจะงามเท่าคุณชายลู่เลย
อีกอย่าง พวกนางยังคิดจะบ้าผู้ชายมากกว่าข้าอีกหรือ? ห่างชั้นกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ พวกนางเคยช่วยซักเสื้อผ้าให้คุณชายลู่ไหม?
ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าใครที่คิดเหลวไหลทำการประเมินสองครั้งนั้นออกมา คัดเลือกคนรุ่นเยาว์สิบคนและตัวสำรองสิบคนของหลายใต้หล้า แม้จะบอกว่าย่อมมีคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นรายชื่อสองฉบับที่มีพลังสยบใจคนมากที่สุดในช่วงเวลาตลอดหลายพันปีได้แล้ว
พูดถึงแค่ใต้หล้ามืดสลัวที่นางอยู่แห่งนี้ คนที่ถูกเลือกให้ติดอันดับไม่มากไม่น้อย นอกจากหยวนอิ๋งแล้วก็ยังมีลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋า เจ้าคนที่มีฉายาว่าซานชิงผู้นั้น ลู่เฉินรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ ไปอยู่ที่ใต้หล้าห้าสี ทว่าอยู่ดีไม่ว่าดีกลับไปท้าทายนครบินทะยาน จึงถูกหนิงเหยาซ้อมเสียจนมีสภาพน่าอเนจอนาถ