กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 862.1 เปิดภูเขา
เฉินผิงอันถือกระบี่ด้วยมือซ้าย
ตรงหน้ามีภูเขาใหญ่ขวางทาง
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในนครเซียนจาน กายธรรมนักพรตของเฉินผิงอันไม่ได้ร่ายใช้เวทกระบี่ใดๆ เลือกที่จะใช้แค่สองหมัดเขย่านครสูง เป็นการเตือนเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงว่า อันที่จริงทั้งสองฝ่ายยังมีบัญชีเก่าที่ยังไม่ได้ชำระกัน
ภายหลังที่ลู่เฉินวาด ‘ภาพทราบแล้ว’ ที่เป็นรูปจักจั่นเกาะอยู่บนเส้นตรงเส้นหนึ่ง ไยจะไม่ใช่การมอบของขวัญตอบแทนกลับคืน เป็นการบอกเฉินผิงอันโดยนัยว่า คิดจะปล่อยกระบี่ไปยังภูเขาทัวเยว่ให้สำเร็จ กระบี่ยาวเย่โหยวที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนยังคงไม่พอ ต้องใช้กระบี่เล่มใหม่
ตอนที่อยู่ในนครเซียนจาน เฉินผิงอันอดนึกถึงภาพตอนที่เป็นเด็กหนุ่มขึ้นมาไม่ได้ เพราะไม่เคยจงใจปิดบังความคิดในจิตใจ ลู่เฉินที่ให้ยืมมรรคากถาขอบเขตสิบสี่ทั้งร่างได้แต่พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น พักพิงอยู่ในจิตวิญญาณของเฉินผิงอัน เขาจึงเหมือนได้มองม้วนภาพแห่งกาลเวลาภาพหนึ่งที่ค่อยๆ คลี่กางออก ถึงได้มีการวาด ‘ภาพทราบแล้ว’ ของลู่เฉินในภายหลัง
ไม่เป็นไร
วันหน้าเมื่อไปเที่ยวเยือนป๋ายอวี้จิง แม้แต่เต๋าเหล่าเอ้อที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นก็ยังจะต้องถูกฟันอยู่เหมือนเดิม
หวนนึกถึงปีนั้น ระหว่างเส้นทางที่ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลเป็นครั้งแรก เด็กหนุ่มเฉินผิงอันสวมรองเท้าสานถือมีดผ่าฟืน ช่วยเปิดทางขึ้นภูเขาให้กับคนอื่นด้วยความเคยชิน
เคยเผชิญหน้ากับภูเขาสูงที่เพิ่งจะมาทราบชื่อภายหลังว่าเป็นภูเขาสุ้ยซานด้วยกัน เคยมีการถามตอบครั้งหนึ่ง
นางถามเฉินผิงอัน หากมีขุนเขาใหญ่สกัดขวางมหามรรคา ควรจะทำเช่นไร?
ตอนนั้นเฉินผิงอันตอบว่าปีนข้ามไป ไม่ใช่เดินอ้อมผ่านไป
นางถามอีกว่าหากในมือมีกระบี่ล่ะ? เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่าเปิดภูเขาแล้วเดินผ่านไป
‘เดินทางไปด้วยกัน!’
ครานั้น ก่อนที่เฉินผิงอันจะปล่อยกระบี่ ทั้งสองฝ่ายได้เอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างใจตรงกัน
กระบี่ยาวที่เด็กหนุ่มถืออยู่ในมือร้องครางสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง
ประหนึ่งมีจักจั่นใบไม้ร่วงที่อยู่เดียวดายมาหมื่นปี เกาะอยู่บนกิ่งไม้ที่สูงที่สุดของโลกมนุษย์แล้วเปล่งเสียงไปยังฟ้าดิน
เบื้องหน้ามีภูเขาทัวเยว่ สูงตระหง่านเสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆ ภูเขาลูกนี้ในอดีตหลังจากที่บรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างได้หอบินทะยานแห่งหนึ่งไปครอบครอง ก็ยังมิอาจหลอมใหญ่ได้สำเร็จ สุดท้ายจึงทำเพียงแค่หลอมกลางเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่ง เป็นการผสานมรรคากับรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งภูเขาทัวเยว่และหอบินทะยาน ตั้งตระหง่านอยู่ในฟ้าดินมาหมื่นกว่าปีแล้ว
ปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่บัญชาการณ์ภูเขาทัวเยว่ในทุกวันนี้ คือบุรุษสวมชุดเหลืองคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเขา มีฉายาว่าหยวนซง แล้วก็เป็นคนเฝ้าภูเขาคนแรกในประวัติศาสตร์ของภูเขาทัวเยว่ด้วย ในช่วงเวลาที่อาจารย์หายตัวไปก็เป็นเขาที่ปกป้องดูแลใต้หล้าทั้งแห่ง ในฐานะศิษย์พี่ของซินจวงและหลีเจิน ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้าง ชื่อเสียงของหยวนซงกลับไม่โดดเด่น หนึ่งเพราะน้อยครั้งที่จะออกไปจากภูเขาทัวเยว่ อีกอย่างก็คือตอนหลังเขาเองก็ไม่ได้ปรากฎตัวในกระโจมเจี่ยจื่อและใต้หล้าไพศาล เป็นเหตุให้ตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็คิดกันว่าลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ท่านนี้ไม่มีตัวตน
เวลานี้หยวนซงยืนอยู่ตรงจุดที่สูงที่สุดของภูเขาทัวเยว่ เอาสองมือไพล่หลัง หลุบตาลงมองอิ่นกวานหนุ่มที่ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นจึงหันไปมองผู้ฝึกกระบี่ที่แยกกันยืนอยู่สี่ทิศ “ให้พวกเขาออกกระบี่ได้ตามสบาย”
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดตนนี้ไม่เชื่อจริงๆ ว่าอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะสามารถฟันจนเกิดเป็นผลลัพธ์อะไรได้
เว้นเสียจากว่าผู้ฝึกกระบี่สี่คนที่ต่างก็มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนสามารถฟันกระบี่ได้มากถึงหมื่นกว่าครั้ง อีกทั้งยังต้องฟันสำเร็จในทุกกระบี่ สามารถเปิดภูเขาได้ทุกครั้ง
ปีศาจใหญ่หยวนซงผสานมรรคากับภูเขาทัวเยว่มาหมื่นกว่าปีแล้ว
ดังนั้นถึงได้เก็บตัวสันโดษ น้อยครั้งนักที่จะเผยโฉม
เฉินผิงอันที่อายุน้อยๆ ผู้นั้นเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวได้สักกี่ปีกัน? แล้วเพิ่งจะผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แค่กี่ปี?
เรื่องเดียวที่คนเฝ้าภูเขาในประวัติศาสตร์แต่ละรุ่นของภูเขาทัวเยว่ซึ่งมีหยวนซงเป็นหนึ่งในนั้นต้องคบค้าสมาคมกับนอกภูเขา ก็คือรับผิดชอบคอยรวบรวมดวงวิญญาณของหลงจวินและกวานจ้าวมาอย่างลับๆ
การถามกระบี่ของเมื่อหมื่นปีก่อนนั้น ราคาที่เฉินชิงตูต้องจ่ายคือการสูญเสียกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘ฝูผิง’ ไป
การต่อสู้ครั้งนั้น ทั้งภูเขาทัวเยว่และกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ไม่มีบันทึกไว้แม้แต่น้อยว่าสาเหตุการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามคืออะไร ขั้นตอนการออกกระบี่เป็นอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นไร ล้วนไม่มีการบันทึกไว้เป็นตัวอักษรแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของใต้หล้าแห่งใด จะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ขอแค่พลิกเปิดปฏิทินเหลืองหน้านี้ต่างก็ต้องสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ที่ซัดตลบอบอวลพุ่งมาปะทะใบหน้าแล้ว
ในรัศมีหลายหมื่นลี้รอบภูเขาทัวเยว่ ฟ้าดินพลิกตลบ ขุนเขาสายน้ำพังถล่มทลาย ถูกปราณกระบี่ซัดทำลายจนกลายเป็นสถานที่ไร้อาคมที่ไม่เหมาะแก่การฝึกตน
ภูเขาทัวเยว่ก็ยิ่งถูกหลงจวินใช้กระบี่ฟันราบจนหายไปครึ่งหนึ่ง นี่ถึงได้มีเรื่องที่นครเซียนจานเป็นคนมาทีหลังแต่นำแซงหน้า กลายมาเป็นนครสูงอันดับหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
กระบี่สุดท้ายในชีวิตนี้ของกวานจ้าวฟันให้เกิดเป็นเค้าโครงของลำคลองเย่ลั่วในยุคหลังของเปลี่ยวร้าง
ขณะเดียวกันเฉินชิงตูก็ใช้หนึ่งกระบี่ฟันให้เส้นทางการขึ้นสวรรค์ของหอบินทะยานย่อยยับ ผลลัพธ์ที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นก็คือเฉินชิงตูทำให้ต่อให้ผ่านไปอีกหมื่นปี บรรพบุรุษใหญ่ของเปลี่ยวร้างก็ยังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบห้าได้ ยังคงขาดไปก้าวหนึ่งอยู่ตลอด
มีจุดจบที่ถูกเฒ่าตาบอดพูดหยอกเย้าว่า ‘บางทีอาจเป็นเพราะคุณสมบัติในการฝึกตนไม่ได้เรื่อง’
หลงจวินสูญเสียหนึ่งจิตสองวิญญาณไป ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในตำหนักอิงหลิงหรือสมรภูมิรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลงจวินเพียงแค่เผยกายต่อหน้าผู้คนด้วยสภาพอเนจอนาถในร่างของชุดคลุมยาวสีเทาตัวหนึ่ง ศีรษะของเขาก็ยิ่งถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่า ป๋ายอิ๋งที่นั่งสูงอยู่บนบัลลังก์กระดูก ตัวตนที่แท้จริงก็คือจิตหยางกายนอกกายของโจวมี่ เหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าตามใจชอบ
ส่วนร่างเดิมของหลีเจิน จุดจบของผู้ฝึกกระบี่กวานจ้าวก็ยิ่งอนาถกว่าหลงจวิน เป็นการกายดับมรรคาสลายตามความหมายที่แท้จริง ร่างจริงได้แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่การถามกระบี่ครั้งนั้นปิดฉากลงแล้ว ดวงวิญญาณกระจัดกระจายอยู่ในฟ้าดิน ภายหลังถูกคนเฝ้าภูเขาของภูเขาทัวเยว่ตามหาหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดมาได้ ต่อมาก็นำดวงวิญญาณส่วนที่เหลือมาปะติดปะต่อกัน ถึงได้มีผู้สวมเสื้อเกราะของสรวงสวรรค์ใหม่อย่างในทุกวันนี้
ดังนั้นเมื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างฟันจนกลายเป็นสองส่วน เฉินชิงตู หลงจวิน กวานจ้าว ผู้ฝึกกระบี่สามคน หากว่ากันในบางความหมายแล้วก็คือการกลับมาพบกันใหม่หลังจากลากันไปนานที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุดครั้งหนึ่ง
ฉีถิงจี้หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่หอกระบี่เป็นผู้สร้างออกมาจากในชายแขนเสื้อ หมายจะใช้กระบี่เล่มนี้ปล่อยกระบี่แรกเซ่นไหว้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสองท่านของเมื่อหมื่นปีก่อนอย่างหลงจวินและกวานจ้าวอยู่ไกลๆ
ในมือของหนิงเหยาถือเทียนเจินหนึ่งในสี่กระบี่เซียน
หลังจากที่สิงกวานหาวซู่เรียกกระบี่แห่งชะตาชีวิตออกมา ในรัศมีร้อยลี้รอบด้านก็เหมือนมีคันฉ่องแสงจันทร์บานหนึ่งตั้งวางอยู่บนพื้น ดวงจันทร์อยู่บนฟ้า ในโลกมนุษย์เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำค้าง มีเพียงหาวซู่ที่ยืนอยู่ด้านในนั้น
ลู่จือตัดใจใช้กระบี่สองเล่มอย่างหนันหมิง โหยวเริ่นไม่ลง แล้วนับประสาอะไรกับที่กระบี่สองเล่มนี้ก็ไม่เหมาะจะเอามาฟันภูเขา ต่อให้ฟันจนคมกระบี่ม้วนงอ กระบี่ยาวหักท่อน ก็ต้องเก็บเอาไว้ท้ายสุด การจำแลงวิถีแห่งกระบี่ของหนันหมิง โหยวเริ่น ทำให้ลู่จือเข้าไปอยู่ในค่ายกลใหญ่สระสวรรค์ที่ลัทธิเต๋าเรียกว่า ‘จิตฟ้ากว้างใหญ่’ ของหนันหมิง และปลาเขียวตัวหนึ่งที่เกิดมาจาก ‘ฝีมืออันชำนาญ’ (มาจากประโยคภาษาจีนว่า 游刃有余 โหยวเริ่นโหย่วอวี๋) ก็สามารถดึงดูดชะตาน้ำมาจากสระสวรรค์ที่เป็นภาพมายาได้ นางดึงกระบี่ยาวเถียวเจี่ยซึ่งเป็นคราบร่างเกาเจินของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตบินทะยานแห่งป๋ายอวี้จิงออกมา เพื่อให้จำนวนครั้งในการปล่อยกระบี่มีมากกว่าเดิม ลู่จือจึงได้แต่ข่มกลั้นความกระอักกระอ่วนเอาไว้ สวมมันลงบนร่าง พริบตาเดียวเมื่อจิตใจเชื่อมโยงถึงกันก็ราวกับว่าได้รับพลังอภินิหารที่สวรรค์ประทานมาให้ ลู่จือจึงได้ครอบครองมรรคกถาชั้นสูงสองบทของป๋ายอวี้จิงแล้ว
นางคิดอีกทีก็หยิบเอาชิวสุ่ยและจ๋าวซานที่ใช้ได้ชินมือตั้งแต่ตอนอยู่นครป๋ายฮวาก่อนหน้านี้ออกมา จากนั้นจึงเอากระบี่ที่เหลือซึ่งมีซานมู่ เค่ออี้เป็นหนึ่งในนั้นออกมาพร้อมกันด้วย ปล่อยให้พวกมันหยุดลอยอยู่ข้างมือ หากเล่มใดหักไปจะได้สะดวกหยิบเอาอีกเล่มมาฟันต่อ รอกระทั่งกระบี่ทั้งแปดเล่มในกล่องถูกลู่จือทยอยหยิบออกมา นางถึงพลันเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่านี่ถึงกับเป็นค่ายกลกระบี่ที่คล้ายกับของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าชุดหนึ่ง ใช่แค่มีครบทั้งป้องกันและโจมตีเสียที่ไหน ต้องเรียกว่าเป็นฟ้าดินเคลื่อนที่แห่งหนึ่งที่มหามรรคาสามารถโคจรได้ด้วยตัวเอง ก็เหมือนกับอริยะลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่สามารถพกพาอารามเต๋าออกเดินทางไกลไปตามฟ้าดิน เหมือนผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่งที่สามารถแบกซากปรักสนามรบทั้งแห่งวิ่งเตร่ไปทั่ว
นางพยักหน้า ก่อนหน้านี้พูดไม่ผิดเลยจริงๆ มรรคกถาของลู่เฉินค่อนข้างน่าสนใจจริงเสียด้วย
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของภูเขาทัวเยว่ ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนไม่มีใครที่เส้นเอ็นหัวใจไม่ขึงตึง สงครามที่ศัตรูทั้งสองฝ่ายมีเพียงขอบเขตบินทะยานเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติโผล่หน้ามาเช่นนี้ ใครเข้าร่วมคนนั้นก็ต้องตาย หากภูเขาทัวเยว่รักษาไว้ได้ยังพูดได้ง่าย แต่ขอแค่รักษาไว้ไม่ได้ก็ได้แต่รอความตายอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว
เฉินผิงอันพลันกระชับกระบี่ยาวในมือแน่น เอ่ยด้วยเสียงในใจว่า “ร่วมกันเปิดภูเขา!”
เจอกับนครเซียนจานก็ทุบทำลายเมือง เจอกับลำคลองเย่ลั่วก็กระชากดึงแม่น้ำ
ถ้าอย่างนั้นเจอกับภูเขาทัวเยว่ก็แน่นอนว่าต้องย้ายภูเขา!
เฉินผิงอันเผยกายธรรมหมื่นจั้ง
หนึ่งกระบี่ฟันให้ค่ายกลใหญ่ของแม่น้ำแห่งกาลเวลาแยกออกจากกัน
นอกจากนี้แสงกระบี่สี่เส้นจากฉีถิงจี้ หนิงเหยา ลู่จือและหาวซู่ก็พร้อมใจกันฟันลงบนภูเขาทัวเยว่
หนึ่งกระบี่ผ่านไป เรือนกายของหยวนซงปีศาจใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดเขาก็แหลกสลาย เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาก็กลับมารวมกันเป็นหนึ่ง ราวกับว่ากระบี่ทั้งหลายเหล่านั้นล้วนหล่นลงบนความว่างเปล่า ไม่ได้สัมผัสโดนภูเขาทัวเยว่เลย
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างที่จำต้องนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ยังไม่ทันได้ไชโยโห่ร้องต่อฝีมืออันเลิศล้ำค้ำฟ้าของหยวนซงก็ค้นพบว่าในภูเขามีแสงกระบี่ประดุจสายรุ้งโผล่มาจากความว่างเปล่านับไม่ถ้วน ปราณกระบี่บนยอดเขาเหมือนน้ำตกที่สาดเทลงมา ปราณกระบี่ตรงตีนเขาเหมือนน้ำทะลักท่วมทำนบ จะหลบก็ไม่พ้น จะหนีก็ไม่ทัน พริบตาเดียวผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจร้อยกว่าตนที่นอกจากพวกขอบเขตเซียนเหรินที่พอจะมีวิธีเอาตัวรอดบางส่วนแล้ว แม้แต่ขอบเขตหยกดิบก็ยังถูกบดขยี้ให้ตายคาที่ กลายมาเป็นปราณวิญญาณฟ้าดินที่ถูกภูเขาทัวเยว่ดูดดึงไปทั้งหมด
กระทั่งบัดนี้ถึงเพิ่งจะมีเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินไม่กี่คนที่มาเป็นแขกที่รู้สึกตัวอย่างเชื่องช้าว่า เหตุใดลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ถึงไม่โผล่หน้ากันมาเลย ที่แท้ก็ดูเหมือนว่าหยวนซงจะคาดเดาได้ถึงหายนะเปิดภูเขาที่มาจากการถามกระบี่ครั้งนี้ได้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
เพียงแต่ว่าหลายสิบกระบี่ผ่านพ้นไป นอกจากหยวนซงที่อยู่บนยอดเขาภูเขาทัวเยว่ และขอบเขตเซียนเหรินไม่กี่คนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว ในภูเขาก็ไม่เหลือผู้ฝึกตนที่มีชีวิตอยู่อีก
หยวนซงที่ถูกอิ่นกวานหนุ่มใช้กระบี่ฟันร่างจริงครั้งแล้วครั้งเล่ายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตลอด ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดตนนี้เพียงแค่ใช้ท่วงท่าอันโดดดเด่นของผู้ที่ไร้ขอบเขตมาฝ่าภยันอันตรายหลายสิบครั้ง
ภูเขาทัวเยว่ก็เหมือนผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่สะสมตบะมานานหมื่นปี มีเพียงถูกผ่าภูเขาติดต่อกันหมื่นครั้งเท่านั้นถึงจะสามารถย้ายภูเขาลูกนี้ไปได้
หากจะบอกว่าหยวนซงยืนอยู่ในสถานะมิพ่ายชั่วคราว ถ้าอย่างนั้นผู้ครองกระบี่ในสายตาของหยวนซงคนนั้นก็อยู่ในท่วงท่าที่เหนือกว่าอย่างการที่แค่ถือกระบี่ก็ไร้ศัตรูทัดทาน
หยวนซงเหลือบตามองดวงตาสีทองของอิ่นกวานหนุ่มคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
ลู่เฉินยืนอยู่ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัว เบิกตากว้างกวาดมองไปรอบด้าน ใช้เสียงในใจตะโกนว่า “นี่ๆๆ หนึ่งนั้นน่ะ ใช่เจ้าจริงหรือ? เสี่ยวเต้าลู่เฉินลำบากลำบนขนาดนี้ ทำหน้าหนาเป็นวิญญาณตามติดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันไม่ยอมไปไหนก็เพียงแค่เพื่อรอที่จะได้ถามคำถามหนึ่งกับเจ้าในวันนี้ สรุปแล้วเจ้าเป็นแค่ฝันของข้าลู่เฉินเพียงคนเดียว หรือว่าทุกชีวิตล้วนสร้างฝันขึ้นเพื่อเจ้าเพียงคนเดียวกันแน่? อย่าเงียบสิ เสี่ยวเต้ามั่นใจเลยว่าเจ้าต้องได้ยินแน่นอน!”
หากคนหมื่นหมื่นคนตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาล้วนเป็นความฝันของคนคนเดียว? ไม่เพียงแต่เฉินผิงอันที่เป็นหนึ่งนั้น ในความเป็นจริงแล้วสรรพชีวิตทั้งหมดในช่วงเวลาหมื่นปีของโลกมนุษย์ต่างก็เป็นหนึ่งนั้นด้วย ถ้าอย่างนั้นการฝึกตนของข้าลู่เฉินจะมีความหมายที่ตรงใด? หากตื่นจากฝันแล้วได้รู้ว่าไม่มีเผ่ามนุษย์คนใดได้เดินขึ้นสวรรค์ ไม่เคยมีการพังทลายของวิถีแห่งฟ้าอะไรมาก่อนล่ะ?
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของเฉินผิงอันอย่างเผยเฉียนเพิ่งจะมารู้เอาทีหลังว่า หอเรือนสูงในจิตธรรมของพ่อครัวเฒ่า ที่แท้ก็จำลองมาจากป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว
ระหว่างเส้นทางเดินทางไกลหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันเคยถามคำถามหนึ่งกับสี่คนในภาพวาดโดยไม่ตั้งใจ มีเพียงจูเหลี่ยนที่ยืนกรานพูดจนถึงท้ายที่สุดว่า ต่อให้ฆ่าหนึ่งคนแล้วสามารถช่วยเหลือใต้หล้าได้ เขาก็ยังไม่ช่วยอยู่ดี เพราะเขากังวลว่าตัวเองก็คือหนึ่งนั้น ปีนั้นจูเหลี่ยนพาเพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหูกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว เคยเอ่ยประโยคหนึ่งโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยขณะที่อยู่บนเนินสูงแห่งหนึ่งของภูเขาฉีตุน บอกว่าเมื่อตื่นจากฝันก็คือการกระโดดหน้าผาครั้งหนึ่ง บอกว่ายิ่งนานตนก็ยิ่งไม่มั่นใจว่าตัวเองกับฟ้าดินมีอยู่จริงหรือไม่ บอกว่าเพ่ยเซียงมิอาจให้คำตอบได้ สุดท้ายจูเหลี่ยนชี้ไปยังทิศไกล บอกว่าจำเป็นต้องมีคนที่เขาเชื่อใจคนหนึ่งเป็นคนมาบอกคำตอบแก่เขา เขาถึงจะยอมเชื่อ
การที่ลู่เฉินยินดีให้เฉินผิงอันยืมมรรคกถาของทั้งร่าง แท้จริงแล้วก็เพราะหวังว่าตัวอ่อนของหนึ่งนั้นจะสามารถไขข้อข้องใจให้กับตนได้!
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะให้คำตอบอะไร ขอแค่เขายินดีเปิดปาก ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับหรือปฏิเสธ ลู่เฉินก็ย่อมมีวิธีการเป็นของตัวเอง ไม่ว่าตนจะได้รับคำตอบแบบใดก็ล้วนสามารถกลายมาเป็นการตื่นจากฝันครั้งที่สำคัญที่สุด เมื่อตื่นจากฝันหนึ่งได้แล้วก็จะตื่นได้จากทุกฝัน
น่าเสียดายที่เขาไม่สนใจคำถามของลู่เฉิน
ราวกับว่าบนร่างของเฉินผิงอันไม่ได้มีหนึ่งนั้นอยู่เลย
ลู่เฉินรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เจ้าดูแคลนผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งขนาดนี้เชียวหรือ?
หรือจะบอกว่าเฉินผิงอันสยบกำราบหนึ่งนั้นเอาไว้?
ระหว่างบุรพแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีป สะพานเชื่อมกลางมหาสมุทรที่เคยข้ามผ่านสองทวีปได้ถูกรื้อไปแล้ว ไม่อย่างนั้นโชคชะตาของสองทวีปจะปะปนกันมั่ว
นักพรตเด็กหนุ่มกับนักพรตเฒ่าที่เรือนกายสูงใหญ่ออกมาจากอาณาเขตของหลงโจวด้วยกัน มาเดินอยู่บนมหาสมุทร
เจ้าอารามผู้เฒ่าหันกลับไปมองแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง “ซิ่วหู่ผู้นี้ก็ถือว่าได้สร้างคุณูปการค้ำฟ้ายันมหาสมุทรที่สมชื่ออย่างแท้จริงให้กับลัทธิขงจื๊อแล้ว”
“แทนที่จะปล่อยให้โจวมี่สมหวัง ก็ไม่สู้ให้เขาเฉินผิงอันยอมรับชะตากรรม”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มบางๆ “ปล่อยให้เขาเป็นคนรับหนึ่งนี้ไปเถอะ เป็นนกในกรง ตัวเองเลือกที่จะบินวนอยู่ในกรงหนึ่งปีก็เท่ากับว่าออกจากกรงไปไม่ได้หนึ่งปี และหากบินวนอยู่ได้นานหมื่นปี ก็คือกรงขังหมื่นปี”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “บินวน? ข้ากับข้าบินวนอยู่นาน” (คำว่าบินวนนี้ภาษาจีนคือ 我与我周旋久 ใช้ได้สองความหมาย หนึ่งคือวัตถุหรือสัตว์ปีกเคลื่อนที่แบบหมุนรอบจุดศูนย์กลาง อีกหนึ่งความหมายคือการต้อนรับขับสู้ การไปมาหาสู่ การจัดการเรื่องราวต่างๆ)
นี่ก็เหมือนว่าได้ทำให้โจวมี่ที่ช่วงชิงหนึ่งนั้นเดินวนอยู่ที่เดิม ถูกผีบังตาอยู่ในกรงตามเฉินผิงอันไปด้วย
ชุยฉานและฉีจิ้งชุนปล่อยให้โจวมี่เดินขึ้นสวรรค์ กลายไปเป็นนายของซากปรักสรวงสวรรค์เก่า ก็คือการเชิญท่านลงโอ่งครั้งหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าโลกมนุษย์ในใต้หล้านี้จะยังมีกรงขังอีกแห่งหนึ่งที่กำลังรอคอยโจวมี่อยู่