กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 864.1 ปฏิทินเหลืองเล่มเก่า
เฮ้อโซ่วอาจารย์ผู้เฒ่าที่เป็นหนึ่งในอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋น รับหน้าที่ดูแลซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ รีบพลิ้วกายลงมาจากม่านฟ้า ทะยานลมหยุดลอยตัวอยู่นอกหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนั้น อาจารย์ผู้เฒ่าถือว่าทำตามสัญญา รักษากฎระเบียบ สองเท้าไม่สัมผัสหัวกำแพงเมือง ประสานมือคารวะผู้ฝึกกระบี่ที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์มากที่สุด เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ผู้เยาว์เฮ้อโซ่วคารวะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส”
ฉายาเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสนี้ แรกเริ่มสุดเป็นอาเหลียงที่ช่วยตั้งให้ ภายหลังผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เลยเรียกตามกันมา บวกกับผู้ฝึกกระบี่ของแต่ละทวีปที่หวนกลับบ้านเกิดเองก็เคยชินที่จะเรียกเฉินชิงตูด้วยความเคารพเช่นนี้ จึงเหมือนกลายเป็นประเพณีนิยมที่ผู้คนยอมรับกันถ้วนทั่วไปแล้ว
เฉินชิงตูเพียงแค่มองไปทางภูเขาทัวเยว่ ไม่ได้สนใจคำทักทายของอริยะปราชญ์แห่งศาลบุ๋นท่านนี้
เฮ้อโซ่วที่ถูกเมินก็ไม่ได้คิดมาก หากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนี้พูดง่ายก็คงไม่ใช่เฉินชิงตูแล้ว
แต่แล้วเฮ้อโซ่วก็ต้องยิ้มจืดเจื่อน การอำพรางตน ปรากฏตัวและลงมือของเทพชั้นสูงตนนั้น ตนถูกปิดหูปิดตาอยู่ตลอด เป็นเหตุให้เดือดร้อนไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งที่เฉินผิงอันผสานมรรคา ก่อนที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจะปรากฎตัว ตำแหน่งการผสานมรรคาของเฉินผิงอัน แท้จริงแล้วได้ถูกวิชาอภินิหารหนึ่งโจมตีอย่างหลบซ่อนไปแล้วทีหนึ่ง
ไม่ว่าจะอย่างไร นี่ก็คือการละเลยหน้าที่ของตน ต้องยอมรับ
ตอนนี้เฮ้อโซ่วแค่แน่ใจเพียงเรื่องหนึ่งเท่านั้น การลงมืออย่างลับๆ ของเทพตนนี้คล้ายจะเป็นการ ‘ปลุก’ ให้แก่นวิญญาณส่วนหนึ่งของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตื่นขึ้นมา
ไม่เคยปล่อยกระบี่ใส่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เพียงแค่ใช้กระบี่เปิดฟ้า ปกป้องคุ้มครองส่งนครบินทะยานไปยังใต้หล้าห้าสี
สุดท้ายใช้อีกหนึ่งกระบี่สังหารหลงจวินที่ข้ามเขตแดนมา
เมื่อครู่ปล่อยไปอีกแค่กระบี่เดียวก็สามารถฟันให้ความเป็นเทพของร่างทองของเทพชั้นสูงตนหนึ่งแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิงได้
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเฉินชิงตูถึงสามารถเผยกายบนโลกได้อีกครั้ง เฮ้อโซ่วไม่ยินดีจะสืบเสาะหาคำตอบ
เฮ้อโซ่วจำต้องยอมรับว่าหากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทิ้งทางหนีทีไล่ไว้ให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฮ้อโซ่วต้องไม่มีทางปกป้องหัวกำแพงเมืองครึ่งที่เฉินผิงอันผสานมรรคาได้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นผลลัพธ์ที่ตามมาต้องเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิดได้ ไม่เพียงแค่สถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าที่จะกลายเป็นการกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง ด้วยนิสัยเข้าข้างคนของตัวเองอย่างสุดชีวิตของซิ่วไฉเฒ่า แค่ด่าตนสาดเสียเทเสียจนไม่เหลือชิ้นดีจะนับเป็นอะไรได้ คาดว่าซิ่วไฉเฒ่าต้องแอบไปแบกเทวรูปบูชาของตนออกจากศาลบุ๋นเลยกระมัง
ปีนั้นเหตุใดซิ่วไฉเฒ่าถึงได้กระทืบเท้าจนขุนเขากลางของแผ่นดินกลางพังยุบลงมา
ก็ไม่ใช่เพราะรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนจวินเชี่ยนผู้เป็นลูกศิษย์หรอกหรือ ปีนั้นจวินเชี่ยนพาศิษย์น้องฉีจิ้งชุนออกเดินทางขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนด้วยกัน ไม่เพียงแต่ถูกซานจวินท่านนั้นปฏิเสธไม่ให้เข้าบ้าน ยังด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เปิดโปงที่มาของหลิวสือลิ่วว่าเป็นคนต่างเผ่าเป็นพวกเผ่าปีศาจ ดูเหมือนว่าซานจวินของมหาบรรพตที่มีความเกี่ยวข้องกับป๋ายอวี้จิงผู้นั้นยังพยายามจะกักตัวหลิวสือลิ่วกับฉีจิ้งชุนไว้ในภูเขาด้วย
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง สาวเท้าเดินเนิบช้า ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจ หัวกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ถูกทำลายไม่ใช่หรือ สำหรับเฉินผิงอันในตอนนี้แล้วไม่ได้เป็นปัญหาที่ใหญ่นัก ถึงอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็ชินกับการถูกซ้อมมานานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายซ่อนตัวมานานขนาดนั้น กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราก็ยังสัมผัสไม่ได้เหมือนกัน อีกอย่างความสามารถแท้จริงของบัณฑิตอย่างพวกเจ้ายังคงเป็นการถ่ายทอดวิชาความรู้ไขข้อข้องใจ เรื่องรบราฆ่าฟัน ไม่ค่อยได้เรื่องจริงๆ”
เฮ้อโซ่วขยับปากจะพูด แต่คิดๆ ดูแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
เดิมทีอยากพูดว่าความสามารถในการต่อยตีของปรมาจารย์มหาปราชญ์กับหลี่เซิ่งก็ไม่ได้แย่นะ
แต่ก็ไม่อยากถกเถียงกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วยเรื่องนี้
ต่งซานเกิง เซียวสวิ้น เฉินซี ฉีถิงจี้ ฯลฯ เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านี้ และยังมีอาเหลียง จั่วโย่ว เผยหมิ่น โจวเสินจือ ฯลฯ ของใต้หล้าไพศาล หลิวชามือกระบี่เคราดกของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวมไปถึงอวี๋โต้วที่ถูกป๋ายอวี้จิงขนานนามว่าผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูที่เป็นผู้นำด้านสายกระบี่ของลัทธิเต๋า…
ถึงอย่างไรหมื่นปีที่ผ่านมา วิถีกระบี่ของหลายๆ ใต้หล้ามีเหล่าผู้มากความสามารถโดดเด่นเพียงใด ประดุจหมู่ดวงดาราที่พร่างพราวแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เคยมีใครกล้าบอกว่าตัวเองคือผู้ไร้เทียมทานบนวิถีกระบี่
เพียงแค่เพราะบนหัวกำแพงของที่แห่งนี้มีผู้เฒ่านามว่าเฉินชิงตูก็เท่านั้น
คนที่เย่อหยิ่งทระนงตนเช่นอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรอง ในอดีตก็ยังไม่กล้าถามกระบี่กับเฉินชิงตูโดยพลการ หยุดเท้าอยู่แค่ที่ศาลาจัวฟ่างของภูเขาห้อยหัว
ไม่อย่างนั้นอวี๋โต้วก็แค่ต้องก้าวหนึ่งก้าวผ่านประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัวไป จากนั้นแค่เดินอีกก้าวเดียวก็จะไปถึงหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
เหตุใดถึงไม่กล้า ไม่ยินดี ไม่อาจถามกระบี่ เพราะหากถามกระบี่ก็อาจต้องแพ้ ต้องบาดเจ็บ ต้องตาย
เล่าลือกันว่าตอนที่อาเหลียงเพิ่งจะมาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แค่ไม่กี่ปี มีครั้งหนึ่งหลังจากสร่างเมาตื่นขึ้นมาในเมืองก็วิ่งไปร่วมการประชุมเซียนกระบี่บนยอดเขาที่อันที่จริงแล้วไม่ได้เรียกให้เขาไปร่วมด้วย พอไปถึงหัวกำแพงเมือง เขาก็เชิดหน้ายืดอกเดินอาดๆ ไปที่กระท่อมหลังนั้น หากใช้คำพูดของเขาก็คือสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนหัวกำแพงมานานหมื่นปี แต่กลับไม่มีคนมาถามกระบี่แม้แต่คนครึ่งคน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเปลี่ยวเหงาเกินไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ให้อาเหลียงเป็นคนแหกกฎเถอะ ทุกคนถอยไป ให้ข้าทำเอง!
ทว่าพวกเซียนกระบี่ที่ประชุมอยู่บนหัวกำแพงเมืองและพวกผู้ฝึกกระบี่ที่รอชมเรื่องสนุกอยู่นอกหัวกำแพงเมืองกลับไม่มีใครเอ่ยห้ามอาเหลียงเลยสักคน รอกระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเดินออกมาจากกระท่อมแล้วพยักหน้าเอ่ยคำว่า ‘ดี’ อาเหลียงก็คล้ายจะคืนสติในชั่วพริบตา กระโดดผลุงหนึ่งที พลิ้วกายลงข้างกายเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เอ่ยเสริมมาอีกหนึ่งประโยคอย่างเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรม ‘ให้ข้านวดไหล่ให้กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส พวกเจ้านี่มันพวกลูกเต่าลูกตะพาบที่มโนธรรมในใจถูกหมากินไปหมดแล้วจริงๆ ไม่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบ้างเลย ต้องให้ข้าที่เป็นคนนอกมาไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบอย่างนั้นหรือ?’
คงเป็นเพราะหลังจากนั้น อาเหลียงจึงกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มีฉายาที่โด่งดังเลื่องลืออย่างหนึ่ง
และหลังจากนั้นมา อาเหลียงชาติสุนัขก็มักจะชอบเรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นผ้านวมผืนน้อยของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ชวนสะอิดสะเอียนเกินไป มันถึงได้ไม่แพร่ไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อย่างนั้นเกินครึ่งอาเหลียงคงต้องมีฉายาเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง
เฉินชิงตูมองดาบยาวที่หล่นอยู่บนพื้นเล่มนั้นแวบหนึ่ง คุ้นตาอย่างมาก เพราะมันเป็นของที่เทพยุคบรรพกาลซึ่งทำหน้าที่ลงทัณฑ์ถือไว้ในมือ ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เพียงคุ้นตา เมื่อหมื่นปีก่อนยังเคยสัมผัสกับมันมาไม่น้อย
คำว่าสัมผัส แน่นอนว่าเป็นดาบกับกระบี่ที่ฟาดฟันกันและกัน ในสงครามครั้งสุดท้าย ผู้ที่โจมตีให้เทพองค์นี้พ่ายแพ้คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เป็นคนรุ่นเดียวกับหลงจวินและกวานจ้าว เพียงแต่ว่าภายหลังคนผู้นี้ติดตามบรรพจารย์สำนักการทหารพยายามที่จะเดินไปบนเส้นทางอีกสายหนึ่ง ไม่เสียดายที่จะปล่อยให้สรรพชีวิตในโลกมนุษย์ที่นอกเหนือจากผู้ฝึกลมปราณตายสิ้น สุดท้ายเป็นเหตุให้ภายในของเผ่ามนุษย์เกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ ผู้ฝึกตนบาดเจ็บและล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน
และเทพที่ตอนนั้นไม่ได้ตายดับอย่างสิ้นซากองค์นี้ก็เคยเลื่อนเป็นหนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูง ตามการแบ่งภาระหน้าที่ของสรวงสวรรค์เก่า ก็ถือว่าเป็นเทพที่ขึ้นตรงอยู่ใต้การปกครองของผู้ครองกระบี่ท่านนั้น
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ภายใต้คมดาบของอีกฝ่าย กระดูกขาวของเผ่าปีศาจกองทับกันเป็นภูเขา เลือดสดเอ่อนองรวมตัวกันกลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่ไหลผ่านเปลี่ยวร้างยุคบรรพกาล
ฟ้าดินมองคนเหมือนมดตัวน้อย มหามรรคามองฟ้าดินเหมือนฟองอากาศ
เฉินชิงตูถอนหายใจ ดูท่าปีนั้นผู้อาวุโสท่านนั้นมาเที่ยวเยือนที่นี่ ไม่แน่ว่านอกจากจะมาพบเฉินผิงอันแล้วก็คงรู้สึกคิดถึงสหายเก่าด้วยกระมัง?
มิน่าเล่าดาบแคบพิฆาตที่แต่เดิมหล่นหายไปในใต้หล้ามืดสลัว ถึงได้ติดตามเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผ่านมือคนมากมายมาตลอดทาง สุดท้ายเป็นเฉินผิงอันที่ได้ไปครอง
ดาบแคบพิฆาตถือเป็นวัตถุที่ใช้ลงทัณฑ์บนแท่นสังหารมังกรยุคโบราณ ดาบเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนภูเขาทายาทของมหาบรรพตลูกหนึ่ง มีนัยคู่ควรแก่การกราบไหว้
วิถีฟ้าพังทลาย แตกแยกกันไปอยู่คนละฝ่าย วงจรของมหามรรคา กลายเป็นประกายดาบสองด้านที่ห้ำหั่นกัน
จิตของเฉินชิงตูขยับไหวเล็กน้อย ดาบยาวสีขาวหิมะที่ไร้ฝักเล่มนั้นก็พุ่งมาที่หัวกำแพงเมืองทันที เขาเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวรบกวนเจ้านำดาบเล่มนี้มอบให้ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราด้วย บอกว่าเป็นของขวัญอวยพรงานแต่งของเขากับแม่หนูหนิงในวันหน้า คนไม่ไปร่วมงานได้ แต่ของขวัญต้องล้ำค่า”
เฮ้อโซ่วพยักหน้าตอบตกลง
เฉินชิงตูโบกมือ “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ พวกเราไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกัน พูดจาเกรงใจกันไปมา ได้แต่พูดเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไร ทั้งสองฝ่ายต่างย่อมกระอักกระอ่วนกันมาก”
เดิมทีเฮ้อโซ่วไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนเลยสักนิด เพราะถึงอย่างไรการที่ได้พูดคุยกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมากหน่อยก็เป็นเรื่องมีเกียรติที่ใหญ่เทียมฟ้า
เพียงแต่ว่าเฉินชิงตูพูดถึงขนาดนี้แล้ว เฮ้อโซ่วจึงได้แต่คารวะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่างนอบน้อมอีกครั้ง อาจารย์ผู้เฒ่าหวนกลับไปจับตามองท่าเรือทั้งหลายบนม่านฟ้าที่อยู่ห่างไปไกลดังเดิม เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย การจากลากันครั้งนี้คงไม่มีโอกาสได้พบเจอกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอีกครั้งแล้วจริงๆ
เว่ยจิ้นลุกขึ้นยืนนานแล้ว ทะยานลมมายังแถบริมหน้าผาของหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่ง กุมหมัดคารวะอยู่ไกลๆ “เว่ยจิ้นคารวะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส”
เฉินชิงตูเดินก้าวหนึ่งมาถึงริมหน้าผา เหลือบตามองเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะแล้วพยักหน้า “ขอบเขตทะยานขึ้นพรวดๆ เลยนะ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ต้องมองเจ้าเสียใหม่แล้ว”
เว่ยจิ้นรู้สึกอ่อนใจเป็นทบทวี
เฉาจวิ้นมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเว่ยจิ้น ไม่กล้าหายใจแรงแม้สักครั้ง ได้แต่พึมพำในใจว่า ลักษณะการพูดจาเช่นนี้ ไฉนถึงได้ฟังแล้วคุ้นหูนักนะ?
เฉินชิงตูมองไปยังปณิธานกระบี่บริสุทธิ์หลายกลุ่มที่อยู่นอกหัวกำแพงเมือง ถามว่า “ตำรากระบี่ก็มอบให้เจ้าแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ได้รับการยอมรับจากวิถีกระบี่ของจงหยวนสักที?”
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสนวดคลึงปลายคาง “ไม่มีเหตุผลเลยนี่นา พวกเจ้าสองคนอยู่ห่างกันหลายพันปี ตามหลักแล้วไม่ว่าใครก็แย่งภรรยาของใครไม่ได้ เจ้าเด็กจงหยวนนั่นยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนนิสัยดีอ่อนโยนเสียด้วย บวกกับที่เป็นพวกลุ่มหลงในรัก ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะเกลียดขี้หน้าเจ้านี่นา”
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงก็มีผู้ฝึกกระบี่บางส่วนที่สามารถพูดคุยกับเฉินชิงตูได้หลายประโยค
ยกตัวอย่างเช่นจงหยวนในอดีต ต่งกวานพู่ในภายหลัง
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพลันหรี่ตาลง หันหน้าไปมองสนามรบประหลาดตรงพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างที่ความลับสวรรค์ถูกสกัดกั้นเอาไว้ “มิน่าเล่า เจ้าโจวมี่เล่นตุกติกอีกแล้ว”
โบกมือหนึ่งครั้ง เฉินชิงตูคลี่ม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่คนนอกไม่อาจมองเห็นไว้เบื้องหน้าตัวเอง ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ต่างก็เคยมาฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่ง
ไล่มองตัวอ่อนเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนั้นไปทีละคน สุดท้ายมองไปยังผู้ฝึกกระบี่อ่อนเยาว์คนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าคุณสมบัติค่อนข้างแย่ ไม่ได้รับปณิธานกระบี่มาเสียที
เห็นว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่เอ่ยอะไร เว่ยจิ้นก็ปิดปากอย่างรู้กาลเทศะ
เฉาจวิ้นเบิกตากว้าง ถึงอย่างไรมองเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้มากเท่าไรก็ได้กำไรมากเท่านั้น
ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มฝึกกระบี่อยู่บนหัวกำแพงแห่งนี้ ดูเหมือนว่าจะชอบใจลอย ไม่เอาจริงเอาจัง เหมือนผู้ฝึกลมปราณที่ออกมาเที่ยวเล่นตามภูเขาสายน้ำมากกว่า เพียงแค่มองเหม่อไปนอกหัวกำแพงเมืองเท่านั้น
เมื่อผู้ฝึกลมปราณฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาได้ก็ถือว่าตั้งตัวได้แล้ว ไม่เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ภารกิจเร่งด่วนก็คือพยายามหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตหนึ่งหรือสองบทของกระบี่บินให้ได้โดยเร็วที่สุด
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าจึงมีน้อยนักที่จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล หนึ่งพราะจำนวนของผู้ฝึกกระบี่ เมื่อเทียบกันแล้วมีน้อยและล้ำค่าอย่างมาก คือลูกรักที่ไม่ว่าสำนักใดก็ล้วนไม่รังเกียจ อีกอย่างก็คือเส้นทางการหลอมกระบี่สิ้นเปลืองภูเขาเงินภูเขาทองมากเกินไป ฝึกตนด้วยสถานะของผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่เมื่อสูญเสียการสนับสนุนด้านกำลังทรัพย์จากสำนักไป ก็ยากที่จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว สุดท้ายเรื่องสำคัญในสำคัญอีกทีก็คือวิชาอภินิหารของกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ ความแตกต่างของผู้ฝึกกระบี่ แท้จริงแล้วก็คือ ‘พรสวรรค์อันโดดเด่น’ ตามความหมายของตัวอักษร แทบจะมองเป็นเรื่องพรจากสวรรค์ที่เทพเทวดาประทานข้าวให้กินอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่นั้น รากฐานต้นกำเนิดของมหามรรคาก็เคยเป็น ‘ท้องน้ำทางตรง’ ทั้งหลายของแม่น้ำแห่งกาลเวลามาก่อน จึงเป็นเหตุให้กลายเป็นลูกรักคนสำคัญที่สุดในบรรดาพันหมื่นเวทคาถาในโลกยุคหลัง ‘มีระเบียบ’ มากที่สุด แล้วจึงตามมาด้วยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินที่จำแลงออกมาได้นับไม่ถ้วน
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมผู้ฝึกกระบี่ถึงมีข้อได้เปรียบมากที่สุดในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ เพราะผู้ฝึกกระบี่คือผู้ที่ ‘ได้รับพรสวรรค์มากเป็นพิเศษ เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร’ อย่างสมชื่อมากที่สุด
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ถึงได้มีคุณสมบัติให้ไร้เหตุผลที่สุดบนภูเขา ต่อให้เจ้าจะมีเวทคาถามากมายไร้ที่สิ้นสุดแค่ไหน ข้าก็มีหนึ่งกระบี่ที่ทำลายหมื่นอาคม
ในช่วงเวลาหลายปีนั้น ผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ทยอยกันออกไปจากหัวกำแพงเมือง ทว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ถูกเฉินชิงตูเลือกตัวมาคนเดียวผู้นี้ ลำดับขั้นอยู่ท้ายสุด ชื่อเสียงไม่โดดเด่น เขาออกไปจากหัวกำแพงเมืองช้าที่สุด มองดูเหมือนจะไม่ได้รับผลเก็บเกี่ยวใดๆ แทนที่จะบอกว่าคนผู้นี้คือผู้ฝึกกระบี่ที่มาหลอมกระบี่ ไม่สู้บอกว่าเขาคอยใช้การพิศวารีจันทราและการพิศกระดูกขาวมองสำรวจไปทั่วซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังถูกต้องกว่า บางครั้งมีปณิธานกระบี่ที่จงหยวนทิ้งไว้ลอยผ่านกลางอากาศไป ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยังทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่ได้ถูก ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ก่อนหน้านั้นมาคุยเล่นกับเฉินผิงอันพาตัวจากไปอย่างเงียบเชียบ ไม่อย่างนั้นหลงจวินก็คงต้องทำตามกฎของกระโจมเจี่ยจื่อ ผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่อาจเอาปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ไปครองได้ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดเดินลงไปจากหัวกำแพงเมือง
——