กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 864.2 ปฏิทินเหลืองเล่มเก่า
เพียงไม่นานเฉินชิงตูก็หาเบาะแสพบ
ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งใจวางแผนเอาไว้ นอกจากผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวจำนวนน้อยนิดที่ ‘ชาติกำเนิดสะอาดบริสุทธิ์’ แล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนมีความเกี่ยวข้องกับพวกเทพแทบทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้ที่ยิ่งต้องเป็นเทพมาจุติเกิดใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย จึงสืบทอดวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเทพชั้นสูงบางองค์มาส่วนหนึ่ง วิชาอภินิหารของกระบี่บินเล่มนั้นจึงเข้าใกล้ ‘นิมิตหมาย’ มากแล้ว
มองทะลุเนื้อหนังไปเห็นกระดูก อนุมาน ปะติดปะต่อจิตธรรมอย่างต่อเนื่องจนขยับเข้าใกล้ความจริงบางอย่าง
เพียงแค่เพื่อนิมิตภาพของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จงหยวน
เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในวิธีรับมือภายหลังของโจวมี่ คือเรื่องน่าประหลาดใจระคนน่ายินดีอย่างหนึ่งที่เขาจะมอบให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าไพศาล
จงหยวนหวนกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ถือเป็นเรื่องไม่คาดฝันหรือไม่
โลกมนุษย์ได้พบเจอจงหยวนอีกครั้ง ใช่เรื่องน่าตะลึงระคนยินดีหรือไม่
เฉินชิงตูสลายม้วนภาพแห่งกาลเวลานั้นทิ้งไป เอ่ยกับเว่ยจิ้นว่า “เลือกเรื่องสำคัญมาเล่า”
เนื่องด้วยจิตผูกพัน แก่นวิญญาณบางส่วนจึงมิอาจอยู่บนโลกมนุษย์ได้นานนัก
เว่ยจิ้นจึงเล่าเรื่องใหญ่ๆ ด้วยถ้อยคำกระชับเรียบง่าย
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่อยู่บนยอดเขาภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลาง กับบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่อยู่ตรงซากปรักร่องเจียวหลง สองฝ่ายประชันมรรคกถากันไกลๆ
อาเหลียงถูกสยบอยู่ใต้ภูเขาทัวเยว่นานหลายปี ขอบเขตถดถอยจากขอบเขตสิบสี่ อันดับแรกคือไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดีก่อน แล้วค่อยหวนกลับมายังไพศาล
กระบี่เซียนสี่เล่มมารวมตัวกันครบถ้วนที่ฝูเหยาทวีป ป๋ายเหย่พกกระบี่ไปท้าทายราชาบนบัลลัง์หกท่านเพียงลำพัง ภายหลังถูกเหวินเซิ่งพาไปอยู่ที่อารามเสวียนตูใหญ่แห่งใต้หล้ามืดสลัว
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยึดครองใบถง ฝูเหยา เกราะทองสามทวีปได้สำเร็จ สุดท้ายถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีสกัดขวางไว้ที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป โจวมี่นำพากลุ่มคนขึ้นฟ้าจากไป
หนิงเหยาที่อยู่ในบ้านเกิดใหม่เอี่ยมซึ่งถูกตั้งชื่อให้ว่าใต้หล้าห้าสีฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกัน เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน กลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้า ระหว่างนี้นางยังสังหารเทพชั้นสูงองค์หนึ่งกับมือตัวเอง
การประชุมในศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง บอกว่าจะโจมตีใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็โจมตีทันที
อาเหลียงพาผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งแทรกซึมเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง ภายหลังจั่วโย่วพกกระบี่ออกเดินทางไกลไปช่วยอาเหลียง
เฉินผิงอันพาผู้ฝึกกระบี่สี่คนออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เมื่อไม่นานมานี้
ระหว่างนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยแค่สองประโยคเท่านั้น
“น่าเสียดายที่ป๋ายเหย่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ไม่อย่างนั้นมาที่นี่ ข้าจะได้สอนเวทกระบี่ที่เหมาะกับเขาสักสามสี่บท”
“หนิงเหยาไม่ทำให้คนประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย”
เฉินชิงตูถามคำถามอีกสองข้อ
“ทุกวันนี้จั่วโย่วเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วหรือไม่?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า อธิบายว่าความคิดของอาจารย์จั่วใหญ่เกินไป เดิมทีมีโอกาสจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ แต่เพราะแสวงหาวิถีกระบี่ที่กว้างใหญ่กว่าเดิมจึงถ่วงการฝ่าทะลุขอบเขตของเขา
สุดท้ายเฉินชิงตูถามว่า “การประชุมที่ศาลบุ๋นกับภูเขาทัวเยว่คุมเชิงกัน เป็นจอมปราชญ์น้อยที่บอกว่าจะทำสงครามหรือ?”
เว่ยจิ้นยิ้มกล่าว “ไม่ใช่หลี่เซิ่ง เป็นเฉินผิงอันที่เปิดปากก่อน บอกว่าจะตีก็ตีเลย”
เฉินชิงตูพยักหน้า ใบหน้าคลี่ยิ้มบางๆ
เจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลย
เหมือนตนอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าไม่เคยรู้สึกว่าความมีชีวิตชีวาของคนคนหนึ่งต้องดูแค่จากคำพูดคำจาที่ลิงโลดเบิกบาน หรือการลงมือที่โดดเด่นเท่านั้น
แต่เป็นในช่วงเวลาที่ต้องเจอกับทุกด่านสำคัญในชีวิต ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก คนหนุ่มสาวกลับยังคิ้วตาเบิกบาน มีปณิธานฮึกเหิม
ทำเรื่องที่เหนือการคาดคิดที่สุด ปล่อยกระบี่ออกไปเร็วที่สุด เอ่ยคำพูดที่มีน้ำหนักมากที่สุดในฟ้าดินแห่งนี้
คนที่เวลาปกติพูดน้อย บางครั้งเปล่งเสียงออกมาถึงกับทำให้คนข้างๆ ที่ไม่อยากฟังก็ยังต้องฟัง
เฉินชิงตูเก็บความคิดกลับคืนมา เบนสายตามองไปทางเฉาจวิ้น ยิ้มถามว่า “เซียนกระบี่อายุไม่น้อยผู้นี้ชื่อแซ่อะไร มาจากไหนรึ?”
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่บ้านตนอย่างเฉินผิงอัน หนิงเหยาและพวกเว่ยจิ้นแล้ว อายุร้อยกว่าปีของเฉาจวิ้นที่เป็นคนต่างถิ่นก็ถือว่าอายุไม่น้อยแล้วจริงๆ
เฉาจวิ้นกุมหมัดเอ่ย “ผู้เยาว์เฉาจวิ้น ภูมิลำเนาอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแจกันสมบัติทวีป อยู่ตรอกเดียวกับบ้านบรรพบุรุษของอิ่นกวาน เพียงแต่ว่าผู้เยาว์เกิดที่ทักษินาตยทวีป บรรพบุรุษเฉาซีรับหน้าที่ดูแลหอพิทักษ์มหาสมุทร”
เฉาจวิ้นอดกลั้นอยู่นาน แต่ก็ยังอดไม่ไหวเอ่ยมาอีกประโยคว่า “อันที่จริงผู้เยาว์เพิ่งจะอายุหนึ่งร้อยสี่สิบปีเท่านั้น”
เดิมทีคิดจะเอ่ยเสริมไปอีกว่า หากไม่เป็นเพราะในอดีตถูกจั่วโย่วทำลายจิตแห่งกระบี่ให้แหลกสลาย คงได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนนานแล้ว ไม่แน่ว่ายังมีหวังที่จะอยู่ขอบเขตเดียวกับเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะด้วย
เพียงแต่คิดขึ้นมาได้ว่าอยู่กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนี้ ดูเหมือนว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินก็ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง จึงกลืนคำพูดประโยคนี้กลับลงท้องไป
เฉินชิงตูอืมรับหนึ่งที พยักหน้าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็อายุและขอบเขตพอๆ กับจั่วโย่ว เด็กรุ่นหลังนี่น่ากลัวจริงๆ”
เว่ยจิ้นกลั้นขำ
เฉาจวิ้นรู้สึกเพียงว่าถูกโคลนเหลืองๆ ป้ายเต็มหน้า แต่ก็ไม่กล้าเถียงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ข่มกลั้นเอาไว้จนย่ำแย่
ในที่สุดเขาก็เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแท้จริงแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่คู่ควรกับสองคำว่า ‘เซียนกระบี่’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นิสัยของแต่ละคนแปลกใหม่แจ่มจ้าไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
หนิงเหยา ไม่ชอบแย้มยิ้มพูดคุย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนไม่เก็บมาใส่ใจ
ลู่จือ ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่านางเจอใครก็อยากฟันหลายๆ ที
ฉีถิงจี้ คนรุ่นเยาว์ทั้งหลาย ชาติหน้าระวังหน่อย เซียนกระบี่ผู้อาวุโสใช้สีหน้าที่นุ่มนวลเป็นมิตรที่สุด พูดจาอำมหิตโหดร้ายที่สุด
นอกจากนั้นก็คือความปราณีน่าใกล้ชิด ท่าทางเข้ากับคนง่ายของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนี้
แม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะที่ครองตนอยู่ในความเที่ยงธรรมมาโดยตลอดอย่างเว่ยจิ้นก็ยังเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘เจ้าเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้’
เฉินชิงตูมองไปนอกหัวกำแพงเมือง แล้วพลันเอ่ยเสียงเบาว่า “จะไปก็ไปเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้ต้องพะวงหาแล้ว เป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว ตอนมีชีวิตอยู่ยามออกกระบี่จำเป็นต้องเลือกฝ่าย แต่ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงปณิธานกระบี่น้อยนิดแค่นี้ ยังจะต้องแบ่งแยกฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูกับผายลมอะไร”
เว่ยจิ้นมีสีหน้าเป็นปกติ หันตัวกลับไป หันหน้ามองไปยังทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง
นาทีนี้จิตแห่งกระบี่ของเว่ยจิ้นยิ่งใสสว่างสะอาดเอี่ยม กุมหมัดคารวะจงหยวนผู้ฝึกกระบี่ผู้ล่วงลับด้วยความเคารพนบนอบอยู่ไกลๆ
อย่างมากวันหน้าเมื่อพบเจอกันบนสนามรบ ค่อยออกกระบี่ตัดสินความสูงต่ำของวิถีกระบี่ ตัดสินเป็นตายกับผู้ที่ได้รับการสืบทอดปณิธานกระบี่ไปจากผู้อาวุโสจงหยวนก็แล้วกัน
เฉินชิงตูพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “จงหยวนก็คือจงหยวน”
ความองอาจหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรียังคงเดิม
ที่แท้ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีไม่เคยใกล้ชิดกับเว่ยจิ้นพวกนั้น พลันกลายร่างเป็นสายรุ้งแสงกระบี่สี่เส้น สุดท้ายมาล้อมวนอยู่รอบกายเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะช้าๆ ไม่จากไปไหน
นี่หมายความว่านับแต่นี้ไป บนเส้นทางวิถีแห่งกระบี่ เว่ยจิ้นก็ถือเป็นคนของสายจงหยวนแล้ว
ไม่มีพิธียิบย่อยของการสืบทอดระหว่างอาจารย์และศิษย์ ไม่มีการจุดธูปกราบไหว้ภาพเหมือนในศาลบรรพจารย์
เว่ยจิ้นใช้เสียงในใจสอบถาม “ขอถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส สิ่งนั้นของเมื่อหมื่นปีก่อน สรุปแล้วเป็นการดำรงอยู่อย่างไรกันแน่?”
เฉินชิงตูลังเลเล็กน้อย ผู้เฒ่ามีสีหน้าซับซ้อน แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “เคยเห็นสองครั้ง ไม่มีอะไรให้พูดถึง”
ศึกขึ้นฟ้า นอกจากห้าเทพชั้นสูงสุดแล้ว พูดถึงแค่เทพชั้นสูงสิบสององค์ของยุคบรรพกาล เกินครึ่งล้วนตายดับอยู่ในสงครามอันโหดร้ายที่เปลี่ยนฟ้าผลัดดินครั้งนั้น
นอกจากนี้หากไม่ได้ออกไปจากซากปรักของสรวงสวรรค์เก่า กลายเป็นผีวิญญาณเร่ร่อนอยู่นอกฟ้า
ก็หล่นร่วงลงไปบนพื้นดินของโลกมนุษย์ จำศีลยาวนาน โครงกระดูกหลับสนิท
ชิงถงเทียนจวินที่ดูแลหอบินทะยานแห่งหนึ่ง ในฐานะหนึ่งในเผ่ามนุษย์คนแรกสุดที่กลายเป็นเทพ เคยทำหน้าที่รับเซียนดินชายบินทะยาน
ท่านที่จำศีลอยู่ในใต้หล้าห้าสี ในอดีตได้รับบาดเจ็บสาหัสในศึกเผ่ามนุษย์เดินขึ้นฟ้า เคยเป็นลูกน้องใต้อาณัติของผู้สวมเสื้อเกราะ
องค์เทพที่เยื้องกรายจากฟ้ามาเยือนใบถงทวีป ข้ามมหาสมุทรเดินทางไกลไปยังแจกันสมบัติทวีป ตอนที่ขึ้นฝั่งได้ถูกชุยฉานกับฉีจิ้งชุนร่วมมือกัน เคยได้รับการขนานนามให้เป็น ‘ผู้ส่งเสียงสะท้อน’
เซอเยว่สืบทอดตำแหน่งเทพส่วนหนึ่ง นางไม่เพียงแต่เป็นเมล็ดพันธ์ดวงจันทร์อย่างเรียบง่ายเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วถือเป็นคนในตำแหน่งสูงที่มีความหวังมากที่สุดที่จะเลื่อนขั้นเป็น ‘ร่างเดิมแสงจันทร์’
สังหารเทพชั้นสูงพวกนี้ สำหรับโลกมนุษย์แล้วมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือมีศัตรูคู่อาฆาตของเผ่ามนุษย์ที่พลังการสู้รบน่าตะลึงน้อยลง ข้อเสียคือจะมีตำแหน่งเทพที่ว่างลง หลังจากโจวมี่เดินขึ้นฟ้าแล้วก็ย่อมต้องสร้างเทพใหม่เอี่ยมเข้ามาแทนตำแหน่งอย่างแน่นอน
เมื่อหมื่นปีก่อน เทพชั้นสูงพวกนี้ไม่ใช่พวกคนที่สามารถอยู่ร่วมกันด้วยดีได้ เพียงแต่ว่าหมื่นปีให้หลัง ด้านหนึ่งก็เป็นวิถีฟ้าที่พังทลาย ก็เหมือนกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งที่สูญเสียวิธีการโจมตีส่วนใหญ่ไป นอกจากนี้ก็คือกรงขังตัวอักษรที่มองไม่เห็นในฟ้าดินซึ่งมีพันธนาการต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก
มหาสมุทรความรู้โจวมี่เคยสร้างตัวอักษรขึ้นมาด้วยตัวเอง และได้เผยแพร่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาหลายพันปีแล้ว
นี่ก็เพื่อให้ยามที่เทพเก่าใหม่หวนกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งหลุดพ้นจากกรงขังตัวอักษรที่เหวินเซิ่งสร้างขึ้นมาให้ได้มากที่สุด
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตรงหน้าแห่งนี้ก็คือท่าเรือที่ทวยเทพมากมายของสรวงสวรรค์ใหม่จะลงมาพักเท้าแล้ว
ภาษาเพียงหนึ่งเดียวของเทพบรรพกาล แท้จริงแล้วก็คล้ายคลึงกับเสียงในใจของผู้ฝึกตนทุกวันนี้ ทว่าก็แค่คล้ายคลึงเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด
เทพชั้นสูงที่เมื่อครู่นี้ถูกเฉินชิงตูใช้หนึ่งกระบี่ฟันจนร่างทองแตกยับ มีชื่อว่า ‘ผู้ลงทัณฑ์’ เคยอยู่ใต้อาณัติของผู้ครองกระบี่ เผ่าปีศาจในใต้หล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกมังกรแท้จริงที่ถูกลงโทษคือผู้ที่ต้องเจอกับความทุกข์ทรมานมากที่สุด
เพียงแต่ว่าความเป็นเทพไม่ครบถ้วน น่าจะเป็นเพราะจำศีลหลับสนิทไปอย่างยาวนาน บวกกับได้ถูกภูเขาทัวเยว่ดึงเอาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ออกไปนานแล้ว เป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ แน่นอนว่า เพียงแค่เทียบกับในอดีตแล้วไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้มากถึงเพียงนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฆ่าได้ง่าย
ส่วนเทพชั้นสูงที่ถูกภูเขาทัวเยว่เอามาเป็นหนึ่งในท่าไม้ตาย เพื่อใช้รับมือกับอาเหลียงและจั่วโย่วโดยเฉพาะนั้น น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่า ‘ผู้หลับฝัน’
หนึ่งในวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก็คือการถูกจำคุกอยู่ในฝันร้าย คำโบราณกล่าวไว้ว่ากลางคืนยาวนานฝันมาก ก็คือรากฐานส่วนหนึ่งของเทวบุตรมารนอกฟ้าที่จำแลงได้พันหมื่นรูปแบบในโลกยุคหลัง
และยังมี ‘ผู้ไร้คำพูด’ ที่ได้ครอบครองวิชาอภินิหาร ‘หยุดพูด’ หรือมีอีกชื่อว่า ‘เสียงในใจ’
รวมไปถึง ‘ผู้ทำสำเนา’ ที่สร้างตะวันจันทรามากมาย พื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำนับไม่ถ้วน หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ‘นักจินตนาการ’ และ ‘นักหล่อหลอม’
แน่นอนว่าชื่อเรียกของเทพบรรพกาลพวกนี้ล้วนเป็นคำเรียกขานที่ได้มาหลังสงครามเดินขึ้นฟ้าสิ้นสุดลง
เมื่อไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยตัวอักษร ก็เหมือนหน้าแรกสุดของปฏิทินเหลืองเก่าแก่ฉบับหนึ่งตั้งใจทิ้งหน้ากระดาษว่างเปล่าไว้ให้กับพวกบุคคลที่อยู่ในยุคโบราณเหล่านี้
มนุษย์เกิดมาบนโลก ดูเหมือนว่าไม่ว่าอะไรเด็กๆ ก็มักสงสัยใคร่รู้ คนหนุ่มสาวไม่ว่าอะไรก็ล้วนรู้ทั้งหมด คนวัยกลางคนไม่ว่าอะไรก็ล้วนสงสัย คนแก่ไม่ว่าอะไรก็ล้วนยอมรับชะตากรรม
ส่วนคนดีคนไม่ดี ในใจของแต่ละคนต่างมีตาชั่งน้ำหนักคนละหนึ่งอัน ยากมากที่จะบอกว่าใครคือคนดีแน่นอน
เด็กคนหนึ่งอายุน้อยเกินไป ทำอะไรไม่ได้มากนัก
อันที่จริงผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อายุมากแล้ว ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำอะไรได้มากนัก
เฉินชิงตูลูบคลึงปลายคาง ทอดสายตามองไกลไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
น่าจะยังปล่อยกระบี่ได้อีกครั้ง
ถามกระบี่กับใครดี?
ป๋ายเจ๋อที่หวนกลับมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้างอีกครั้งหรือ?
ป๋ายเจ๋อมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับจอมปราชญ์น้อย แต่ไม่ได้สนิทอะไรกับข้าเฉินชิงตู
……
ป๋ายเจ๋อกับเฟยเฟยเดินอยู่ริมท้องน้ำที่แห้งขอดสายหนึ่งซึ่งแยกตัวออกไปจากลำคลองเย่ลั่ว
เฟยเฟยสัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์ผิดปกติเสี้ยวหนึ่งทางซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ให้อกสั่นขวัญผวา ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ป๋าย แท้จริงแล้วตาแก่หนังเหนียวนั่น…ยังไม่ตาย?”
ป๋ายเจ๋อกล่าว “ไม่ใช่ว่าเพราะเฉินผิงอันผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งแล้วจะลืมว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งแห่งได้ ตอนนั้นที่โจวมี่ขึ้นไปบนหัวกำแพง นอกจากรวบแหแล้วก็เพื่อยืนยันเรื่องนี้ให้แน่ใจ ในเมื่อโจวมี่ไม่ได้ลงมือ หากไม่เป็นเพราะสัมผัสไม่ได้ แม้แต่เขาก็ยังถูกหลอก ไม่อย่างนั้นก็คงเพราะรู้สึกว่าหากถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกกระบี่ใส่อย่างเต็มกำลังที่นั่น ไม่คุ้มค่า จึงต้องวางแผนในระยะยาวใหม่”
มหาสมุทรความรู้โจวมี่เคยใช้เรือนกายของลู่ฝ่าเหยียนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ หรือก็คืออาจารย์ของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าอย่างเชี่ยอวิ้นและเฝ่ยหราน เดินทางมาเที่ยวเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่รอบหนึ่ง แล้วยังได้คุยเล่นกับเฉินผิงอันพักหนึ่ง
ป๋ายเจ่อพลันพูดกลั้วหัวเราะเอ่ยเตือนว่า “ยังควรต้องให้เคารพเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสักหน่อย”
เฟยเฟยสังเกตเห็นว่าต่อให้เฉินชิงตูเผยตัว ความสนใจของป๋ายเจ๋อกลับยังอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ นี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมากแล้ว
ภูเขาทัวเยว่แห่งนั้น ทุกวันนี้ก็คือโครงว่างเปล่าที่ทิ้งหยวนซงให้ประคับประคองไว้คนเดียวเท่านั้น จึงส่งผลกระทบต่อโชคชะตาฟ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ไม่มากแล้ว
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ถูกเจ้าบ้าเฉินผิงอันเปิดภูเขาได้สำเร็จ เกรงว่ายังส่งผลกระทบลึกล้ำยาวไกลได้ไม่เท่าดวงจันทร์ดวงนั้นถูกพวกหนิงเหยาพกกระบี่บินทะยานไปฟันให้ร่วงลงมาด้วยซ้ำ
——