กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 865.4 ตัวต่อตัว
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยอย่างขัดเขิน “มีแค่สองแผ่นนี้”
“อะไรนะ? แค่สองแผ่น? ผู้อาวุโสไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหรอกหรือ? ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกกลับแร้นแค้นถึงเพียงนี้?”
เจียงซ่างเจินเริ่มรู้สึกนับถือในความใจกล้าของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนนี้แล้ว “ติดตามผู้อาวุโสอาเหลียงมาที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้อาวุโสท่านคิดว่าตัวเองมาเที่ยวเล่นตามขุนเขาลำน้ำจริงๆ หรือไร?”
เฝิงเซวี่ยเทาจนคำพูด แต่ต่อมาก็เป็นอย่างที่เปิงเลอะเจินจวินพูดไว้จริงๆ เขาเข้าไปอยู่ในหอจักรพรรดิที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกล่องลอยแห่งหนึ่ง เฝิงเซวี่ยเทาเดินลอดระเบียงไปตามที่อีกฝ่ายชี้ทางให้อย่างคล่องแคล่ว ประหนึ่งเจ้าของบ้านที่เดินเล่นอยู่ในลานบ้านของตัวเอง อดไม่ไหวถามว่า “สหายเชี่ยวชาญศาสตร์การทำนายหรือ?”
“ไม่เชี่ยวชาญ เรียนรู้แล้วก็เอามาใช้ทันที อริยะปราชญ์บอกไว้ว่าวิญญูชนไม่ควรเสี่ยงทายไม่ใช่หรือ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าคนนี้ไม่เชื่อเรื่องชะตากรรมที่สุด ดังนั้นจึงถือเป็นการกอดขาพระเมื่อจวนตัว เข้าวัดแล้วค่อยจุดธูป นับว่าโชคดีที่เวลาปกติเคยทำความดีมาบ้าง”
“สหายล้อเล่นแล้ว”
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเป็นคนที่สิบที่ยังไม่ได้ปรากฏตัวหรือ?”
“โชคในการเดิมพันของข้าไม่เลวมาโดยตลอด ชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้ลางสังหรณ์ของข้าแม่นยำมาก”
ตอนที่เฝิงเซวี่ยเทาเป็นเด็กหนุ่มเคยเข้าบ่อนในหมู่ชาวบ้านแล้วได้เจอกับยอดฝีมือคนหนึ่งที่ภายหลังเป็นผู้นำพาให้เขาเดินไปบนวิถีแห่งการฝึกตน
บนโต๊ะเดิมพันนั้น เฝิงเซวี่ยเทาเดิมพันสิบชนะเก้า ทว่าทุกครั้งที่ออกจากบ่อนล้วนต้องขาดทุน
โชคในการเดิมพันดีมาก แต่ฝีมือในการวางเดิมพันกลับย่ำแย่ ท่านเซียนผู้นั้นบอกว่าชะตาของเขานั้นมีช่องทางแต่ขาดทักษะ แค่เพราะไม่มีหนทางในการเรียนรู้ ดังนั้นจึงเหมาะกับการฝึกตนที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเป็นการย่ำยีวัตถุดิบของสวรรค์
แต่ท่านเซียนผู้นั้น ถึงท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับเขาเป็นศิษย์ บอกว่าตัวเองมีชะตาของความโชคดีตื้นเขิน มิอาจรับการโขกหัวกราบอาจารย์จากเฝิงเซวี่ยเทาได้
เจียงซ่างเจินพลันตะโกนขึ้นว่า “รีบตรวจสอบฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์เดี๋ยวนี้ ระวังจะมีกระบี่บินบินทะลวงอยู่ภายใน!”
เฝิงเซวี่ยเทารีบตรวจสอบฟ้าดินเล็กทันที ผลกลับกลายเป็นว่ายังคงสกัดขวางไม่ทัน ถูกปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งปั่นทะลวงช่องโพรงลมปราณไปมากมาย โชคดีที่เฝิงเซวี่ยเทาหาวิธีรับมือได้ทันกาล เพียงแค่มี ‘ป่าเปลี่ยวชานเมือง’ เพิ่มมาในขุนเขาสายน้ำของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์อีกเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็เกือบจะลามไปโดนช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตสองแห่งที่อยู่ใกล้เคียง อันที่จริงปราณกระบี่กลุ่มนั้นหาประตูใหญ่เจอแล้ว แต่คงเพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะบุกทำลายช่องโพรงลมปราณได้สำเร็จ อีกทั้งยังไม่ยินดีจะเข่นฆ่ากับดวงจิตของขอบเขตบินทะยานที่มีการป้องกันมาก่อนแล้วซึ่งๆ หน้า จึงแหวกสิ่งกีดขวางแห่งขุนเขาสายน้ำออก ถอนตัวถอยออกมาจากฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของเฝิงเซวี่ยเทาทันทีทันใด
เฝิงเซวี่ยเทามองทางออกบน ‘ม่านฟ้า’ ของฟ้าดินเล็กร่างกายตัวเองที่เกิดจากกระบี่บินก็ให้กลัดกลุ้มใจนัก หากไม่มองอย่างละเอียด บาดแผลเล็กน้อยแค่นั้นสามารถเรียกได้ว่าไร้ร่องรอยได้เลย
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้จะเล็กบางแค่ไหน เมื่อเข้ามาในฟ้าดินร่างกายมนุษย์ของศัตรู ตามหลักแล้วก็ควรจะต้องขยายใหญ่เท่ายอดเขาเหมือนๆ กัน
เจียงซ่างเจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “น่าเสียดายที่ร่างจริงของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นอาศัยยันต์กักกระบี่หลายปึกนั้นก็พอจะมีโอกาสจับตะพาบในไหจริงๆ”
ครั้นจึงไขข้อข้องใจให้กับผู้อาวุโสชิงมี่อีกครั้ง “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่หญิงหลิวป๋าย ในคฤหาสน์หลบร้อนได้ถูกใต้เท้าอิ่นกวานตั้งชื่อให้ชั่วคราวว่า ‘เมล็ดงา’ กระบี่บินเล่มนี้แปลกประหลาดยิ่ง เล็กบางแทบมิอาจสังเกตเห็นได้ ระดับขั้นสูงมาก”
สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับปราณวิญญาณฟ้าดิน ประหนึ่งใบไม้ใบหนึ่งที่ลอยอยู่กลางทะเลสาบกว้างใหญ่ ผู้ฝึกลมปราณจะเหมือนมนุษย์ธรรมที่ยืนอยู่ริมฝั่ง ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
“สหายคือเซียนกระบี่ที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ? แฝงตัวอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพื่อรอโอกาสลงมือ?”
ยอดฝีมือผู้เร้นกายจากโลกภายนอกซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนนี้ เรียกตัวเองว่าเปิงเลอะเจินจวิน ฟังดูคล้ายจะเป็นคนของลัทธิเต๋า แต่ในเมื่อรู้เรื่องลับของคฤหาสน์หลบร้อนดั่งรู้ฝ่ามือของตัวเอง เกินครึ่งคงจะเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงคนหนึ่งแล้ว
“ผู้อาวุโสชิงมี่คงไม่เคยไปเยือนสามทวีปที่อยู่ทิศตะวันออกของใต้หล้าไพศาลแน่นอน ไม่อย่างนั้นฉายานี้ของผู้เยาว์พอจะมีชื่อเสียงอยู่ที่นั่นอยู่บ้าง คำประเมินบนภูเขาก็พอใช้ได้ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีน้ำใจมีคุณธรรม มีจิตใจของจอมยุทธผู้กล้า”
เฝิงเซวี่ยเทาคลางแคลงใจ หรือว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาคนหนึ่งของใต้หล้าไพศาลที่ชอบลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์?
“ไยสหายต้องเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้ด้วย?”
เขากับคนประหลาดที่เรียกตัวเองว่าเปิงเลอะเจินจวินผู้นี้ไม่รู้จักกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุผลที่อีกฝ่ายจะมาช่วยเหลือตัวเองเช่นนี้
“ข้าคนนี้เคยชินกับการเดินบนคมดาบ เสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความร่ำรวย”
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ “อีกอย่าง เจอกันนับเป็นวาสนา ผู้อาวุโสคือคนบ้านเดียวกันคนแรกที่ข้าเจอในการเดินทางไกลมาเที่ยวเปลี่ยวร้างครั้งนี้ หากเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ ก็กังวลว่าจะถูกฟ้าผ่า”
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หากครั้งนี้เฝิงเซวี่ยเทารอดไปได้ ไม่กล้าพูดจาใหญ่โตอะไร แต่ขุนเขาสูงสายน้ำไหลยาว สหายแค่ตั้งตารอก็พอ”
คำสัญญาที่จริงใจของผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง พอจะมีค่าอยู่บ้าง
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ได้เลยๆ ขนบธรรมเนียมภูเขาบ้านข้านั้นดีเยี่ยม แต่ไหนแต่ไรมาก็มีความเคยชินที่ทำดีไม่หวังผลตอบแทนอยู่แล้ว”
หลังจากนั้นก็คือกาลเวลาอัน ‘ยาวนาน’ ช่วงหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยอันตราย อีกทั้งยังทำให้จิตแห่งมรรคาของคนทุกข์ทรมานเต็มกลืน
นิยายเรื่องเล่าพิสดารที่แพร่หลายอยู่ในหมู่ชาวบ้าน มักจะชอบพูดเหลวไหลว่าบนสวรรค์หนึ่งวันบนโลกมนุษย์หนึ่งปี หรือไม่ก็บอกว่าเวลาหกสิบปีบนภูเขา บนโลกกลับผ่านไปพันปีแล้ว
คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจียงซ่างเจินจะมาเจอเข้ากับตัวจริงๆ
ราวกับว่าลำธารแห่งกาลเวลาที่อยู่ในฟ้าดินเล็กแห่งนั้นได้ไหลผ่านทะเลสาบหัวใจของเจียงซ่างเจินและเฝิงเซวี่ยเทาไปอย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่ไม่ชวนเศร้าใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะอยู่กับเขาก็คืออยู่กับผู้ชายตัวโตๆ จริงแท้แน่นอน นอกจากรับมือกับเวทโจมตีแปลกประหลาดทั้งหลายซึ่งจำต้องทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าแล้ว เพื่อฆ่าเวลา ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องอะไรที่คุยได้ก็ล้วนเอามาคุยกันหมด หลักๆ เป็นเจียงซ่างเจินถามชิงมี่ตอบ เท่ากับว่าเวลา ‘หนึ่งร้อยยี่สิบปี’ ได้ผ่านไปแล้ว เวลานี้แม้แต่บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของผู้อาวุโสชิงมี่ เคยมีสตรีคนรู้ใจมากี่คน รู้จักกันได้อย่างไร ถูกใจได้อย่างไร เขาล้วนเข้าใจหมดแล้ว
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยอย่างอ่อนใจ “หากยังผลาญเวลาอย่างนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าขอบเขตคงต้องถดถอยแน่”
การต่อสู้ครั้งนี้ช่างเป็นการต่อสู้ที่ทำให้คนอัดอั้นจริงๆ
ตามคำกล่าวของสหายเปิงเลอะท่านนี้ ค่ายกลใหญ่แห่งนี้ได้กำหนดภาพบรรยากาศฟ้า กฎเกณฑ์ดิน หยินหยางเคียงคู่ ท้องฟ้าเริ่มขึ้นที่ขั้วโลกเหนือ ผืนดินเกิดจากภูเขาทัวเยว่ หากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสิบคนนี้ขอบเขตสูงกว่านี้สักนิด ยกตัวอย่างเช่นอย่างน้อยที่สุดทุกคนต่างก็เป็นขอบเขตเซียนเหริน ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเวลาถึงสามพันหกร้อยปี ตะวันจันทราดวงดาวหมุนเคลื่อนครบหนึ่งรอบ กาลเวลาไหลผ่านไปแค่ไม่กี่รอบง่ายๆ เกรงว่านอกจากผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่แล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งก็คงต้องตายดับอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาในเวลาเพียงครู่เดียวได้อย่างแน่นอน
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปหาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่ต่างคนต่างมีวิชาอภินิหารแตกต่างกันไป ทั้งยังสามารถสร้างค่ายกลขโมยโชคชะตาฟ้าดินกลุ่มนี้มาจากที่ใดกัน
“อย่าตื่นตระหนก”
เจียงซ่างเจินยิ้มพูดปลอบใจ “น้ำและลมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน อีกเดี๋ยวก็จะสามารถใช้สิบคนรับมือกับสิบคนได้แล้ว ถึงคราวที่ผู้อาวุโสชิงมี่ต้องชมงิ้วบ้างแล้ว”
เพราะร่างจริงของตนได้นำพาคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าไพศาลกลุ่มนั้นเร่งเดินทางมายังที่แห่งนี้แล้ว
ตามคำกล่าวของชุยตงซาน สามใต้หล้าอย่างไพศาล เปลี่ยวร้างและมืดสลัว ต่างก็มีถ้ำเทพเซียน ป่าหยกไพรทองที่ก่อกำเนิดขึ้นมาตามโชควาสนา คนรุ่นเยาว์ก็ถือโอกาสนี้ลุกผงาดตามมาด้วย
ถ้ำสวรรค์หลีจูนั้นไม่ต้องพูดถึง ทุกครั้งที่เจียงซ่างเจินเอาเงินไปส่งให้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ไม่เคยไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ที่อำเภอไหวหวงเลยสักครั้ง หากจะพูดถึงเรื่องของความใจกล้า เจียงซ่างเจินเองก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่ทุกครั้งที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว โจวอันดับหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่กลับแทบไม่เคยลงจากภูเขาไปเดินเล่นเลย
ดังนั้นเจียงซ่างเจินจึงนับถือเด็กชายชุดเขียวจากใจจริง จะบอกว่าเฉินหลิงจวินเรียนรู้จากบทเรียนความผิดพลาดก็ไม่ผิดเลย แต่จะบอกว่าเฉินหลิงจวินไม่รู้จักจำก็ไม่ผิดอีกเช่นกัน
นอกจากนี้ก็คือราชวงศ์ของใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้น คือบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ โชคชะตาแคว้นทอดยาว รากฐานลึกล้ำ ในเขตการปกครองของเมืองหลวงที่มีไว้เพื่อให้ลูกหลานขุนนางชนชนสูงทั้งหลายอยู่อาศัยโดยเฉพาะ มีลูกหลานท่านอ๋องที่สวมพัสตราภรณ์สีสันสดใสควบม้าห้อตะบึงไม่เกรงใจใคร ในประวัติศาสตร์ถูกขนานนามให้เป็นเด็กหนุ่มอู่หลิง โจรข้าวสารหวังหยวนลู่ และยังมีคนถือดาบชีกู่ที่ต่างก็มีภูมิลำเนาอยู่ที่นี่
หรือหากจะย้อนไปไกลกว่านั้นเล็กน้อย อันที่จริงยังมีผู้ฝึกตนมากพรสวรรค์อีกสองคนที่ขึ้นเขาฝึกตนเร็วยิ่งกว่า ต่างก็อยู่ในกลุ่มของนักพรตสามพันคนที่เดินทางไปยังใต้หล้าห้าสี แบ่งออกเป็นชื่อโยวหราน หนันซาน ทุกวันนี้ต่างก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิด และชายหญิงที่มาจากสำนักซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นกันสองคนนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงเกิดวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน แม้แต่ชั่วยามที่เกิดก็ยังไม่คลาดเคลื่อนกันสักเสี้ยว เรียกได้ว่าเป็นคู่ฟ้าประทานโดยแท้
ในพื้นที่มงคลระดับล่างแห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่มีชื่อว่า ‘พื้นที่มงคลหลิงส่วง’ นอกจากจู๋เชี่ยที่ถูกหลิวชาพาออกมาจากบ้านเกิดแล้ว ยังมีผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจอายุน้อยที่ได้เลื่อนติดอันดับร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่อีกสองคน รวมไปถึงเซียนดินที่มีความหวังบนมหามรรคาอีกหลายคน
ถ้ำสวรรค์หลีจู ราชวงศ์อู่หลิง พื้นที่มงคลหลิงส่วง สถานที่สามแห่งนี้ต่างก็เป็นสถานที่เล็กๆ อย่างสมชื่อ แต่กลับมีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่มหัศจรรย์พันลึกอย่างที่ไม่อาจหาเหตุผลมาบรรยายได้
ผู้ฝึกตนแผนภูมิฟ้าสิบคนร่วมมือกันขัดขวางทางถอยของเฝิงเซวี่ยเทา ทำเช่นนี้ก็เพียงแค่เพื่อล้อมสังหารผู้ฝึกตนบนยอดเขาของไพศาลที่มีฉายาว่าชิงมี่ผู้นี้เท่านั้น
นี่ก็คือความต่างระหว่างการที่แค่ตรวจสอบหาตัวอ่อนด้านการฝึกตนในขุนเขาสายน้ำของทวีปแห่งหนึ่ง กับค้นหาตัวผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนมาจากทั่วทั้งใต้หล้า
เด็กหนุ่มชุดขาวที่ชายแขนเสื้อกว้างสองข้างทิ้งตัวห้อยลงมาสวมหน้ากากไว้บนใบหน้า เขาจุ๊ปากพูดกลั้วหัวเราะ “ซิ่วหู่แห่งไพศาล ช่างน่าเวทนา น่าสงสาร น่าทึ่ง สตรีต่อให้มีฝีมือแค่ไหน แต่ไม่มีวัตถุดิบก็ปรุงอาหารรสเลิศออกมาไม่ได้ ใช้กำลังของหนึ่งแคว้นคือหนึ่งทวีปตามหาสายแผนภูมิดินมาอย่างยากลำบาก ถึงท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีน้ำหนักสักคนก็ยังหาออกมาไม่ได้”
อวี้ผูยิ้มกล่าว “แน่จริงก็พูดแบบนี้ต่อหน้าอิ่นกวานสิ”
ชิวอวิ๋นหัวเราะฮ่าๆ “หากอิ่นกวานอยู่ด้วยต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่แน่นอน โชคดีที่ข้าเก็บสะสมคำประจบสอพลอไว้เต็มท้องแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอหน้ากัน”
เคยมีการต่อสู้สองครั้งที่เด็กหนุ่มชุดขาวได้เห็นอย่างชัดเจนและใส่ใจมากที่สุด หนึ่งคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ ผู้ฝึกกระบี่หลีเจินจับคู่เข่นฆ่ากับเฉินผิงอัน หลังจากนั้นยังมีศึกที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนมาพบเจอกัน ถามหมัดกัน
ชิวอวิ๋นมีศิษย์พี่อยู่คนหนึ่ง ก็คือโหวขุยเหมินผู้นั้น
เคยเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่ได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ชอบโอ้อวดสมบัติหนักฉูดฉาดที่มีอยู่บนร่าง สวมเกราะโซ่ตรวนสี่แดงสด บนศีรษะสวมมงกุฎม่วงทองปักขนนกยาวสองเส้น สมบัติหนักบรรพกาลชุดนี้มีชื่อว่ากรงกระบี่ ได้ทั้งป้องกันและโจมตี สามารถมองเป็นยันต์กักกระบี่ที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้เลย
น่าเสียดายที่ตอนอยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โหวขุยเหมินเป็นดั่งดอกราตรีที่เบ่งบานเพียงชั่วข้ามคืน ไม่เพียงแต่ไม่สามารถสร้างคุณความชอบได้ ยังไม่อาจฉวยโอกาสนี้ฝ่าทะลุขอบเขต ตายไปแล้วก็ยังกลายมาเป็นเรื่องตลกขบขันที่ไม่เล็กของผู้คน
สุดท้ายถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าตนหนึ่งโคจรวิชาอภินิหาร สิงอยู่บนร่างของโหวขุยเหมินที่เดิมทีพยายามจะอาศัยสงครามครั้งนี้ฝ่าทะลุขอบเขต ช่วงชิงเอาโชคชะตาบู๊มา มองอีกฝ่ายเป็นดั่งหมากตัวหนึ่งที่ถูกทิ้งแล้ว คิดว่าจะใช้ชีวิตของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งแลกมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของอิ่นกวานหนุ่มบนสนามรบ
ในสายตาของศิษย์น้องอย่างเขา โหวขุยเหมินช่างตายได้อย่างไร้ประโยชน์เสียจริง
ประเด็นสำคัญคือนอกจากกรงกระบี่ชุดนั้นที่ไม่ถูกใต้เท้าอิ่นกวานเก็บไปอย่างที่คาดไม่ถึงแล้ว ตามกฎของภูเขาทัวเยว่ จึงต้องคืนให้กับคนที่เป็นศิษย์น้องอย่างเขา นอกจากนี้ก็ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ให้ไขว่คว้ามาแม้แต่นิดเดียว
ท่ามกลางค่ายกลใหญ่มีเพียงคนเก้าคนซึ่งมีหลิวป๋าย จู๋เชี่ยเป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้นที่เผยกายอยู่ตลอด เพราะผู้ฝึกตนแผนภูมิฟ้าคนสุดท้าย เดิมทีก็เป็นใจกลางของค่ายกลฟ้าดินอยู่แล้ว
นางมีนามว่าเลี่ยนเยี่ยน
สตรีผู้หนึ่งที่เรือนกายสูงหลายจั้งเผยกายออกมา กระโปรงยาวของนางลากระพื้น บริเวณโดยรอบมีลำแสงไหลเวียนวน นางเอ่ยกับผู้ฝึกตนทั้งเก้าคนว่า “ภูเขาลูกหนึ่งห่างไปประมาณหกหมื่นลี้มีคนนอกกลุ่มหนึ่งที่โชคชะตาเข้มข้นกำลังเดินทางมา”
ชิวอวิ๋นเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยดวงตาฉายประกายร้อนแรง “ในกลุ่มคนมีอิ่นกวานหรือเฉาสือหรือไม่?!”
“มีเฉาสือ”
ค่ายกลใหญ่ฟ้าดินแห่งหนึ่งถูกคนผู้หนึ่งใช้หมัดฝ่าทำลายตราผนึกนำมาก่อน ครั้นจึงตามมาด้วยบุรุษชุดขาวคนหนึ่งที่เผยกาย หลังจากที่บอกชื่อแซ่แล้ว เฉาสือก็พยักหน้ายิ้มถาม “ถามหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”
เด็กหนุ่มชุดขาวกะพริบตาปริบๆ หัวเราะคิกคักถามด้วยน้ำเสียงปรึกษาหารือ “ไม่มีธุระได้ไหม?”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีจู๋เชี่ย หลิวป๋าย ชิวอวิ๋น อวี๋ซู่ เหย่าเถี่ยว จื่ออู่เมิ่ง จินตัน หยวนอิง อี้ผู เลี่ยนเยี่ยน
ใต้หล้าไพศาลมีเฉาสือ ฟู่จิ้น หยวนพาง กู้ช่าน อวี้เจวี้ยนฟู ฉุนชิง จ้าวเหยากวง ซวีหมี สวี่ป๋าย
แน่นอนว่ายังมีเจียงซ่างเจินที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือซึ่งกำลังโบกไม้เท้าไผ่เขียวให้กับเฝิงเซวี่ยเทาแรงๆ พลางตะโกนว่า “ผู้อาวุโสชิงมี่ ข้าคือเปิงเลอะเจินจวินเอง ผู้เยาว์มาช่วยท่านช้าไปแล้ว”
หลังจากที่เฝิงเซวี่ยเทาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของ ‘สหายเปิงเลอะ’ ผู้นั้นก็อึ้งไปนาน ก่อนจะแผดเสียงหัวเราะดังลั่น แล้วจึงตามมาด้วยสบถด่าเจียงซ่างเจิน เจ้าตะพาบแซ่เจียงผู้นี้ ในอดีตตอนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชิงมี่แห่งแผ่นดินกลาง เขาหลอกเทพธิดาไปได้หลายคนเลยจริงๆ เป็นเหตุให้ขอแค่ฮว่อหลงเจินเหรินไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเมื่อใดก็จะต้องไปรำลึกความหลังกับเฝิงเซวี่ยเทาที่ถูกใส่ร้ายโดยเฉพาะอยู่เสมอ แน่นอนว่ารำลึกความหลังนั้นเป็นแค่ฉากบังหน้า รีดไถทรัพย์สินต่างหากจึงจะเป็นของจริง
เฉาสือกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็คือไม่มีเรื่องแต่หาเรื่องแล้ว”
ตลอดทั้งฟ้าดินพลันสะเทือนเลือนลั่น ที่แท้เฉาสือก็ออกหมัดแล้ว
……
ทางฝั่งของลำคลองเย่ลั่ว ป๋ายเจ๋อทรุดตัวลงนั่งยอง แบฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาแล้วแนบลงกับพื้นดินเบาๆ
เฟยเฟยค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าหัวใจของตน หัวใจจริงๆ ที่ไม่ใช่จิตแห่งมรรคา ถึงกับเกิดการสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้
จากนั้นตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เกิดเสียงทึบอื้ออึงที่เหมือนจะดังมาจากหัวใจที่เต้นกระหน่ำของผู้ที่จำศีลหลับสนิท
เกิดเป็นภาพบรรยากาศอันดุร้ายที่กลิ่นอายโบราณเก่าแก่หลายขุมแผ่กำจาย
ราวกับว่าผู้ที่จำศีลมาอย่างยาวนานหลายท่านได้ค่อยๆ ฟื้นตื่นขึ้นมาในช่วงแมลงตื่นจากการจำศีล
ป๋ายเจ๋อเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เลิกนอนกันได้แล้ว”
สีหน้าของเฟยเฟยสดใสมีชีวิตชีวา
ป๋ายเจ๋อพลันเงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าว “อยู่ห่างจากข้าหน่อย ยิ่งห่างเท่าไรยิ่งดี”
เพราะการกระทำนี้ของป๋ายเจ๋อเท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่งแล้ว
ช่วยไม่ได้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างในเวลานี้ คนที่สามารถต้านรับกระบี่นั้นของเฉินชิงตูได้ดีที่สุดก็มีเพียงตนแล้ว
ชูเซิงที่อายุไม่น้อยพอๆ กัน หรือผู้ครองใต้หล้าในนามอย่างผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหราน รวมไปถึงเซียวสวิ้นที่เป็นขอบเขตสิบสี่ ต่างก็ทำไม่ได้
เฟยเฟยไม่พูดพร่ำทำเพลง ได้ยินคำเตือนจากป๋ายเจ๋อแล้วนางก็ร่ายวิชาอภินิหารเวทน้ำอย่างสุดกำลัง หนีไปได้ไกลแค่ไหนก็พยายามไปให้ไกลมากเท่านั้น
ป๋ายเจ๋อลุกขึ้นยืน เผยร่างกายธรรม
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที
หนึ่งกระบี่ผ่านไป แผ่นดินกว้างใหญ่แหลกลาญไม่เหลือสภาพดี กายธรรมของป๋ายเจ๋อก็ยิ่งถูกแสงกระบี่กระแทกให้จมลึกเข้าไปในใต้ดินพันกว่าลี้
อันที่จริงเป็นแค่ครึ่งกระบี่เท่านี้
ครึ่งกระบี่นี้มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
และยังมีกระบี่ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่พลังอำนาจสะท้านฟ้า ราวกับมาจากการต่อสู้ของนอกฟ้าที่หล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์
กายธรรมของป๋ายเจ๋อเพิ่งจะยื่นมือใหญ่ยักษ์คู่นั้นมาวางไว้บนแผ่นดินกว้างใหญ่ริม ‘ปากบ่อ’
กลับถูกกระบี่ครึ่งหนึ่งนั้นซัดกลับให้ร่วงลงไปใต้ดินลึกกว่าเดิม
ป๋ายเจ๋อเกือบจะถูกแสงกระบี่นำพากายธรรมเจาะทะลุทะลวงไปทั่วใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างสิ้นเชิงแล้ว