กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 866.1 รื้อฟื้น
อาณาเขตของลำคลองเย่ลั่วคล้ายกับได้บุกเบิกตำหนักอิงหลิงใหม่เอี่ยมขึ้นมาแห่งหนึ่ง น้ำใหญ่พากันไหลทะลักเข้ามาที่นี่ จากนั้นจึงถูกปราณกระบี่ที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามปั่นคว้านจนเกิดเป็นไอน้ำไอหมอกลอยอบอวล
สาขาแยกของลำคลองเย่ลั่วหลายเส้นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ระดับน้ำลดฮวบลงในชั่วพริบตา ท้องน้ำเผยเปิดเปลือยอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว เผ่าน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนรีบกระโดดหนีขึ้นฝั่ง ย้ายถิ่นที่อยู่กันอลหม่าน หวังเพียงให้อยู่ห่างไกลจากหลุมยักษ์ที่ปราณกระบี่พุ่งทะยานฟ้าหลุมนั้นให้ได้มากที่สุด ปราณกระบี่สีเขียวมากเกินจะนับเอ่อล้นออกมาประหนึ่งคลื่นยักษ์โถมเทียมฟ้าที่ซัดไปรอบด้านแล้วแผ่กระจายออกไป น่านน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลของท้องน้ำหลักเส้นหนึ่งของลำคลองเย่ลั่วและลำน้ำสายแยกอีกสิบกว่าสายที่อยู่ใกล้เคียง มีเผ่าน้ำที่ทยอยกันตายจากแรงกระเทือนและคลื่นปราณกระบี่ไปมากมาย ศพกองเกลื่อนพื้น มากเกินกว่าจะนับได้ไหว
พลังของหนึ่งกระบี่ ฟ้ายุบดินถล่ม
เฉินชิงตูยืนอยู่ริมขอบยอดสูงสุดของหลุมโพรงนั้น ขมวดคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ตามหลักแล้ว ป๋ายเจ๋อไม่ควรจะ…อ่อนแอถึงเพียงนี้
คำว่าอ่อนแอ แน่นอนว่าแค่เทียบกับบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ที่อยู่ในสภาวะพรั่งพร้อมขั้นสูงสุดเท่านั้น
หากป๋ายเจ๋ออ่อนด้อย กระบี่ที่ออกแรงอย่างเต็มกำลังของเฉินชิงตู ไยต้องเลือกป๋ายเจ๋อ นั่นไม่ใช่การหมิ่นเกียรติป๋ายเจ๋อ ทั้งยังเหยียบย่ำตัวเองหรอกหรือ
ส่วนการที่ป๋ายเจ๋อไม่หลบไม่เลี่ยง จงใจแบกรับกระบี่ที่มาถึงทีละครึ่งนั้น
คงถือเป็นการพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนานนับหมื่นปีอย่างหนึ่ง เป็นการแสดงความเคารพที่ป๋ายเจ๋อมีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่และมีต่อเฉินชิงตูเป็นครั้งสุดท้ายกระมัง
และผลลัพธ์จากการส่งกระบี่ที่เฉินชิงตูต้องการอย่างแท้จริง คือสามารถขัดขวางและถ่วงรั้งการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบห้าของป๋ายเจ๋อได้ในระดับที่แน่นอน ช้าไปหลายสิบปีหรือไม่ก็ร้อยกว่าปี
ก็เหมือนอย่างในฟ้าดินเรือนกายมนุษย์ของป๋ายเจ๋อที่ยังมีร่องลึกปราณกระบี่เส้นหนึ่งซึ่งคล้ายผืนดินถูกกรีดผ่า ป๋ายเจ๋อคิดอยากจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าก็ต้องค่อยๆ ชดเชยเติมเต็มไป
แต่ปัญหากลับอยู่ที่ว่า ดูเหมือนป๋ายเจ๋อจะไม่มีความตั้งใจเช่นนี้? ไม่ต้องการขอบเขตสิบห้าแล้ว?
ตั้งใจไว้ก่อนแล้วจึงลงมือ หลีกทางให้กับบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ก่อน แล้วครั้งนี้ก็หลีกทางให้ชูเซิงอีก?
หรือว่ามีแผนการที่ยาวไกลยิ่งกว่านั้น ต้องการยกตำแหน่งให้กับเฝ่ยหรานผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นผู้ครองเปลี่ยวร้างคนใหม่ในนามแต่เนิ่นๆ?
เฉินชิงตูลูบคลึงปลายคาง หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ปล่อยกระบี่ใส่ชูเซิงจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ?
แสงรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากก้นหลุม สุดท้ายป๋ายเจ๋อก็ยืนอยู่ตรงข้ามกับเฉินชิงตู ประโยคแรกที่เอ่ยถึงกับเป็น “เอาเหล้าสักกาไหม?”
เฉินชิงตูส่ายหน้า “ใต้หล้าไพศาลไม่มีสุราดี”
ป๋ายเจ๋อกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นแต่หลุมบ่อเต็มไปหมด ลำคลองเย่ลั่วที่น่าสงสาร อิ่นกวานกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสลงมือสองครั้ง ก็ต้องติดร่างแหเดือดร้อนอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปด้วยถึงสองครั้งติด
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่างน้อยที่สุดก่อนที่ข้าจะจากไป เจ้าก็อย่าได้หวังว่าจะช่วยคลี่คลายได้ ลำคลองเย่ลั่วมีสิ่งสกปรกฝังอยู่อีกหลายปีแล้ว”
หมื่นปีที่ผ่านมา ใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ สถานที่หลายแห่งซึ่งมีลำคลองเย่ลั่วและนครเซียนจานเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็กระตือรือร้นฮึกเหิมกันอย่างมาก กี่ครั้งก็ไม่เคยพ่าย จะมากจะน้อยก็ต้องแสดงท่าทีสักหน่อย ก่อนหน้านี้ต่อให้หย่างจื่อไม่ไปก็ต้องมีพวกแม่ทัพกุ้งหอยปูปลาที่พอจะมีตบะอยู่บ้างไปโอ้อวดบารมีที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
ไม่อย่างนั้นในคุกของเฒ่าหูหนวกก็คงไม่มีทางมีหนีชิว ‘ชิงชิว’ ตัวนั้น และเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนตนนี้ก็เคยเป็นหนึ่งในสี่คนดุร้ายของลำคลองเย่ลั่วเช่นกัน
ป๋ายเจ๋อมองเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
สหายที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในอดีต หมื่นปีผ่านไป คนรู้จักค่อยๆ ล่วงลับจากลา
เฉินชิงตูคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “ไม่ต้องอ่อนไหวขนาดนี้หรอก แต่ก็จริงนะ ปีนั้นก็เป็นเจ้าป๋ายเจ๋อที่อารมณ์อ่อนไหวมากที่สุด เหมือนคนยิ่งกว่าคนเสียอีก”
ป๋ายเจ๋อถาม “ทำไมถึงไม่ติดตามท่านผู้นั้นไปที่ดินแดนพุทธะสุขาวดี เหลือโอกาสรอดชีวิตให้กับตัวเองเสี้ยวหนึ่ง?”
ภิกษุวัยกลางคนที่ปรากฏตัวบนหัวกำแพงก่อนหน้านี้ ก็คือพระพุทธเจ้า
เมื่อคนตายไป ฟ้า ดิน คน สามจิต ต่างก็มีสถานที่ให้พึ่งพิง
ระหว่างที่ถือยันต์เดินทางไกลร่วมกับเฉินผิงอัน ลู่เฉินก็เคยแพร่งพรายความลับสวรรค์ บอกว่าสถานที่ที่จิตฟ้าจะไปเยือนก็คือกรงฟ้า สถานที่ที่จิตดินไปเยือนก็คือนครเฟิงตูเมืองผีอันเป็นดินแดนแห่งปรโลก
ฟ้าดินหล่อเลี้ยงให้กำเนิดหมื่นสรรพสิ่ง ควรจะตอบแทนฟ้าดินอย่างไร? สองจิตฟ้าดินจึงคล้ายการใช้หนี้คืนอย่างหนึ่ง มีเพียงจิตคนเท่านั้นที่นำพาเจ็ดวิญญาณป้วนเปี้ยนอยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อจิตนี้บินหายเจ็ดวิญญาณก็ไม่หลงเหลือ เป็นเหตุให้ในหมู่ชาวบ้านมีคำกล่าวว่าเจ็ดวันหลังตายไปวิญญาณจะกลับคืนมา และคำว่าร่มเงาบรรพบุรุษคอยปกป้องก็มีที่มาจากเหตุนี้ คำว่ากักจิตจับวิญญาณของผู้ฝึกตน อันที่จริงนั้นยากที่จะจับทั้งสามจิตเจ็ดวิญญาณมาได้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตฟ้าและจิตดินที่ยิ่งเหมือนภาพลวงตาซึ่งผู้ฝึกตนแยกแยะได้ยากยิ่ง ประหนึ่งบุปผาในม่านหมอกดวงจันทร์ในสายน้ำ
ห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์ล้ำลึก ธุลีแดงคละคลุ้งหมื่นจั้ง เหตุใดการฝึกตนถึงถูกมองเป็นการกระทำเนรคุณที่ต้องขโมยตัวตน?
ผู้ฝึกตนพิสูจน์มรรคาแสวงหาความเป็นอมตะ ฝึกบำเพ็ญวิชาหลากหลายชนิดที่ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีการสละร่างไปเกิดใหม่ซึ่งมีวิชาลับที่สืบทอดกันมาอีกมากมาย รวมไปถึงการจุดตะเกียงต่อชะตาในศาลบรรพจารย์ แต่ละเรื่องราวล้วนจะต้องถูกวิถีแห่งฟ้าสยบกำราบอย่างที่มองไม่เห็นทั้งสิ้น
ตอนนั้นพระพุทธองค์ปรากฏกายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สาเหตุหนึ่งในนั้นก็คืออยากจะเห็นจิตดินส่วนสุดท้ายของเฉินชิงตู
ในความคิดของป๋ายเจ๋อ หากเฉินชิงตูยินดี ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะสามารถอาศัยสิ่งนี้ไปจุติเกิดใหม่ที่ดินแดนพุทธะสุขาวดี
เฉินชิงตูหลุดหัวเราะพรืด “รักตัวกลัวตาย จะยังมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ทำไม”
คนถ่อยตายเพราะผลประโยชน์ วีรบุรุษพลีชีพเพื่อน้ำมิตร อริยะพลีชีพเพื่อคุณธรรม
ผู้ฝึกกระบี่ย่อมต้องพลีชีพด้วยกระบี่ ตอบแทนใต้หล้าด้วยความกตัญญู ล่องเรือตัดสินเป็นตายกับศัตรู!
ในเมื่อได้ทำความปรารถนาในใจให้เป็นจริงแล้ว นครบินทะยานได้หยัดยืนอย่างมั่นคงอยู่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยมแล้ว ความถูกความผิดทั้งหมดของอนาคตก็มอบให้กับคนรุ่นเยาว์จัดการแล้วกัน
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “หมื่นปีก่อนโยนภาระทิ้งไม่สนใจ หมื่นปีให้หลังจะมาชดเชย อย่างเจ้านี่ถือว่าถอดกางเกงผายลมหรือไม่?”
ป๋ายเจ๋อกล่าว “เจ้าต้องการปกป้องควันธูปของผู้ฝึกกระบี่ไม่ให้ขาดสะบั้น ข้าเองก็เป็นห่วงถึงการดำรงอยู่การดับสูญของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเช่นเดียวกัน”
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือหากใต้หล้าไพศาลคิดจะโจมตีเปลี่ยวร้างก็ต้องผ่านด่านของป๋ายเจ๋อไปให้ได้ก่อน
ต่อให้ป๋ายเจ๋อจะไม่ชอบสงครามแค่ไหน ก็ไม่ถึงขั้นที่จะปล่อยให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างล่มสลายคาตาตัวเอง
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ในเมื่อไม่แสวงหาขอบเขตสิบห้า แต่กลับมั่นใจถึงเพียงนี้ จำได้ว่าป๋ายเจ๋อในความทรงจำไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาวางโต ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของเจ้าเมื่อหมื่นปีก่อนมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่สินะ?”
ป๋ายเจ๋อคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดเผยถึงเพียงนั้น
ตอนนั้นเหล่าทวยเทพผู้สูงส่งเหนือใครตายดับไปนับไม่ถ้วน ซากปรักสรวงสวรรค์เก่ากลายมาเป็นดินแดนไร้เจ้าของที่ทั้งไม่อาจทำลาย แล้วก็ยากยิ่งที่จะยึดครองมาเป็นของตน นอกจากนี้ใต้หล้าแห่งอื่นๆ ก็เพิ่งจะก่อรูปก่อร่าง เพียงแต่ว่าผู้ครองใต้หล้าทั้งหลาย แท้จริงได้มีการกำหนดมาไว้นานแล้ว ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์สามลัทธิที่ไม่มีอะไรให้ต้องแย่งชิง มีเพียงใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้นที่มีตัวแปรอยู่จำนวนหนึ่ง ป๋ายเจ๋อ ชูเซิง คนหนึ่งได้ครอบครองบารมีและพลังอำนาจเป็นเอก อีกคนหนึ่งมีความกล้าหาญ แล้วก็มีขอบเขต ต่างก็สามารถงัดข้อกับบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ในภายหลังได้
เพียงแต่ว่าป๋ายเจ๋อติดตามบรรพบุรุษใหญ่ขึ้นเขาไปด้วยกัน ช่วยตั้งชื่อให้ว่าภูเขาทัวเยว่ ยังตั้งชื่อจริงให้กับเด็กชายคนนั้น นี่ก็หมายความว่าป๋ายเจ๋อยอมรับในสถานะผู้ครองใต้หล้าของบรรพบุรุษใหญ่
บรรพบุรุษชูเซิงย่อมไม่อาจใช้กำลังของตัวเองคนเดียวไปท้าทายคนทั้งสองได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพิ่งจะก่อตั้ง ชูเซิงไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งภายในจนใต้หล้าแห่งอื่นมีโอกาสให้ฉกฉวย จึงล้มเลิกความคิดนั้นไปอย่างสิ้นเชิง แต่กระนั้นก็ยังไม่ยินดีจะพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น จึงสร้างตำหนักอิงหลิงขึ้นมาเพื่อคุมเชิงกับภูเขาทัวเยว่อยู่ไกลๆ
ปีศาจใหญ่ขอบเขตยอดเขากลุ่มน้อยที่ได้รับบาดเจ็บในสงครามใหญ่ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจึงทยอยกันเข้าสู่สภาวะหลับใหลจำศีล
ภายหลังผู้ที่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลด้วยตัวเองก็ได้อาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่ง มรรคกถาและขอบเขตที่สูงส่ง กลายมาเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่า ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งในตำหนักอิงหลิงเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ยกตัวอย่างเช่นจูเยี่ยนบรรพบุรุษย้ายภูเขาและเจ้าอารามดอกบัวที่ได้ยึดครองดวงจันทร์ ‘จินจิ้ง’ ดวงที่อยู่ตรงกลางมาหล่อหลอมเป็นสถานที่ในการฝึกตน
หวงหลวนเริ่มรวบรวมซากปรักถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลและจวนเซียนแต่ละแห่งมาเป็นของตน หย่างจื่อที่พอฟื้นตื่นขึ้นมาก็หมายตาลำคลองเย่ลั่วที่ถูกผู้ฝึกกระบี่กวานจ้าวใช้หนึ่งกระบี่ฟันเปิดไว้ทันที
นอกจากนี้พวกราชาบนบัลลังก์เก่าที่เหลืออย่างหลิวชา เฟยเฟย เมื่อเทียบกับปีศาจใหญ่ยุคโบราณกลุ่มนี้แล้วจึงถือว่าเป็นคนรุ่นเยาว์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่หลิวชาที่อายุน้อยมากที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้ที่โชคชะตากระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหมายตา
รอกระทั่งหลิวชาถูกขังอยู่ในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งของสวนกงเต๋อ การโคจรของโชคชะตาในใต้หล้าซึ่งรวมถึงโชคชะตาบนวิถีกระบี่เป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ถูกถ่ายโอนไปให้กับเฝ่ยหรานอย่างที่มองไม่เห็น
ด้วยเรื่องนี้ ก่อนที่ป๋ายเจ๋อจะออกมาจากใต้หล้าไพศาลยังตั้งใจไปหาหลิวชาที่สวนกงเต๋อมาโดยเฉพาะรอบหนึ่ง
ทางฝั่งของศาลบุ๋นถึงกับยอมให้เหมาเสี่ยวตงเดินทางไปด้วยพอเป็นพิธีแค่คนเดียวเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าศาลบุ๋นวางใจในตัวป๋ายเจ๋ออย่างยิ่ง
มือกระบี่เคราดกที่จะต้องตกปลาอยู่ที่นั่นทุกวัน หลังจากที่ผู้อาวุโสป๋ายเจ๋อเอ่ยด้วยความเสียดายว่าผลสำเร็จบนวิถีกระบี่ของเขาต้องหยุดชะงักอยู่ที่ต่างบ้านต่างเมือง หลิวชาก็เอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า
‘ให้ใต้หล้าไพศาลมีคนซึ่งมีโอกาสเก้าในสิบว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ลดน้อยไปคนหนึ่ง อันที่จริงข้าก็ไม่ได้เสียเปรียบมากนัก’
นี่แสดงให้เห็นว่าหลิวชามั่นใจว่าหากเสาคานค้ำยันสายหย่าเซิ่งอย่างเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ไม่ได้ตายภายใต้คมกระบี่เขา ก็ย่อมต้องสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้อย่างแน่นอน และจะเลื่อนขั้นได้เร็วมาก ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องช้ากว่าฝูลู่อวี๋เสวียนที่ผสานมรรคากับธารดวงดาว
หากเฉินฉุนอันที่บนบ่าแบกตะวันจันทราเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้สำเร็จ สำหรับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดถึง
ในเมื่อเป็นการผสานมรรคากับคนสามัคคีอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังควบความได้เปรียบของฟ้าอำนวยและดินอวยพร บวกกับวิชาอภินิหารของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อของเฉินฉุนอันเอง ขอบเขตสิบสี่ที่เป็นเช่นนี้ พลังการสู้รบต้องน่ากลัวอย่างมากแน่นอน
ต้องรู้ว่าบนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้น ก่อนหน้าต่งซานเกิง เฉินฉุนอันก็เคยลากดวงจันทร์ที่เป็นของเจ้าอารามดอกบัวมาก่อนแล้ว
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “หากเปลี่ยนข้าไปเป็นจอมปราชญ์น้อยท่านนั้น จะต้องพูดโน้มน้าวปรมาจารย์มหาปราชญ์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องร่วมมือกันจัดการเจ้าให้ได้ จะไม่มีทางทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลังเด็ดขาด”
ก็เหมือนอย่างหลานชายของต่งซานเกิง ผู้ฝึกกระบี่ต่งกวานพู่ที่อันที่จริงเฉินชิงตูถูกชะตากับเขามาก และยังเคยฝากความหวังบนวิถีกระบี่ไว้ที่เขา
แต่ชอบก็ส่วนชอบ สมควรฆ่าก็ยังต้องฆ่าทิ้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่หลี่เซิ่งแล้ว”
ป๋ายเจ๋อส่ายหน้า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่ได้ฆ่าได้ง่ายขนาดนั้น”
ปีนั้นการที่ป๋ายเจ๋อยอมหลีกทางให้กับบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ไม่ใช่เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง แต่เป็นเพราะหากป๋ายเจ่อฝ่าทะลุขอบเขตในเวลานั้น จะส่งผลกระทบต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างรุนแรง สุดท้ายจะกลายเป็นว่าสถานการณ์ใหญ่จะเกิดความขัดแย้งกับมหามรรคาในใจของป๋ายเจ๋อ
ป๋ายเจ๋อเคยฝากความหวังไว้ที่กฎเกณฑ์ของหลี่เซิ่งจอมปราชญ์น้อย หวังว่าจะสามารถทำให้เผ่ามนุษย์ของไพศาลและเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างร่วมกันสร้างโลกอันผาสุกที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างปรองดอง
นี่เกี่ยวพันกับในยุคบรรพกาลที่เวทคาถาตกลงมาในโลกมนุษย์เหมือนสายฝน เนื่องจากรากฐานมหามรรคาในการหล่อหลอมเรือนกายของเผ่าปีศาจมีขั้นตอนการหลอมร่างที่เป็นกุญแจสำคัญเพิ่มมามากกว่าเผ่ามนุษย์หนึ่งขั้น จึงกลายมาเป็นธรณีประตูอย่างหนึ่งระหว่างเผ่าปีศาจกับผู้ฝึกตน ขัดขวางการเปิดสติปัญญาของเผ่าปีศาจที่อยู่บนพื้นดินจำนวนนับไม่ถ้วน ถือเป็นข้อเสียที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่หากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหลอมเรือนกายได้สำเร็จ เนื่องจากระดับความแข็งแกร่งของร่างจริงจึงจะมีข้อได้เปรียบในภายหลังเพิ่มมาข้อหนึ่ง
ความตั้งใจเดิมของชูเซิงบรรพบุรุษผู้สร้างตำหนักอิงหลิง ก็คือพยายามที่จะอาศัยการถ่ายทอดวิชาทำให้เวทคาถาพันหมื่นแพร่ไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเป็นดั่งหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่แตกหน่อทั่วพื้นดินหลังฝนตก หวังว่ามดตัวน้อยของเปลี่ยวร้างจะกลายมาเป็นงูเป็นมังกรที่มีกำลังมีอำนาจ สุดท้ายจึงสร้างผู้ฝึกลมปราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่ยุคบรรพกาลเรียกขานว่าเซียนดินขึ้นมา
ดังนั้นจึงมีมรรคาจารย์เต๋าขี่วัวข้ามด่าน ก็เพื่อมาตามหาชูเซิง หวังประลองมรรคกถา
หากผู้ฝึกตนที่เดินขึ้นเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่มีความต่างด้านบานประตู การฝึกตนไม่มีธรณีประตูใดๆ ให้เอ่ยถึง สุดท้ายเมื่อผู้ฝึกตนหล่อหลอมเรือนกายก็จะสามารถศึกษาเวทคาถาประเภทต่างๆ ได้อย่างผ่อนคลาย ชูเซิงทำปณิธานอันยิ่งใหญ่ในใจให้สำเร็จได้ ก็จะมีโอกาสทำให้ ‘มีเพียงผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเท่านั้นที่เนื้อหนังก่อนกำเนิดเป็นอริยะ เวทคาถาหลังกำเนิดดั่งเทพเซียน’ กลายมาเป็นความจริง