กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 867.3 ในภูเขามีอะไร
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยว่า “ชื่อติดกุ้ยป่าง (กระดานประกาศผลสอบระดับมณฑล) ดื่มสุรางานเลี้ยงลู่หมิง” (งานเลี้ยงสำหรับผู้ที่สอบติดระดับเคอจวี่)
“รู้ได้อย่างไร? หรือว่าอาจารย์ผู้เฒ่าดูดวงเป็นด้วย?”
“ดูดวงหรือ ก็พอจะเป็นอยู่บ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าอริยะปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า เรื่องของการดูดวง คนโบราณไม่ทำเรื่องแบบนี้ คนมีความรู้ก็ดูแคลนที่จะพูดถึงเรื่องนี้”
บุรุษอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น โบกตำราอริยะที่เพิ่งจะถูกยกเลิกคำสั่งห้ามมาได้ไม่นานเล่มที่อยู่ในมือ “มีเหตุผล มีเหตุผล คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “นั่นสิ นั่นสิ คิดไม่ถึงว่าสายตาของคนหนุ่มจะเฉียบแหลมเช่นนี้”
บุรุษม้วนตำราเล่มนั้น กุมหมัดเขย่า “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอให้สมพรปากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วกัน ขอแค่สอบผ่านระดับมณฑล ข้าจะเลี้ยงเหล้าอาจารย์ผู้เฒ่าเอง”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
บุรุษเก็บตำราสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่ายังยิ้มมองมาที่ตนก็ตบหัวตัวเองหนึ่งที เอ่ยอย่างคนที่เพิ่งจะเข้าใจ “เกือบจะลืมบอกกับอาจารย์ผู้เฒ่าไปแล้ว ข้าชื่อหลูหลิงชาง วันที่ประกาศผลสอบ หากสอบติดเป็นจวี่เหริน ข้าจะมาตั้งกระดานหมากรออาจารย์ผู้เฒ่าอยู่ที่นี่ หากสอบไม่ติดก็คงต้องกลับบ้านเดิมไปโดยตรงแล้ว”
“เยี่ยมไปเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “น้องหลู ขอให้ข้าพูดมากสักคำสองคำ รูปโฉมดีร้ายไม่ใช่ตัวกำหนดโชคดีหรือโชคร้าย ความสามารถสูงก็มิควรอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่าน”
หลูหลิงชางพยักหน้ายิ้มรับ แต่ก็ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร รอให้ข้าผู้อาวุโสสอบติดจวี่เหรินแล้วค่อยสอบจิ้นซื่อ ในอนาคตได้เป็นขุนนางแล้วค่อยมาพูดกันถึงเรื่องคุณธรรมและความสามารถทัดเทียมกันอะไรนั่นก็แล้วกัน
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนขอตัวลา หลูหลิงชางนั่งยองอยู่บนพื้น เมื่ออาจารย์ผู้เฒ่าเดินออกไปได้สองสามก้าวแล้วหันหน้ากลับมามองอีกครั้ง บุรุษก็ยิ้มพลางโบกมืออำลา
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเดินจากไป
ลมเหนือพัดอากาศสกปรกจากไป ลมใต้พัดพาเสียงแห่งความตายมาเยือน อุปสรรคในชีวิตสร้างความทุกข์ให้ข้าอย่างแท้จริง
ยามเยาว์วัยไม่มานะ ยามแก่เฒ่ายังเกียจคร้าน ศึกษาหาความรู้ได้หนึ่งพลาดสิบ น้ำแข็งบนบกกับเมฆแข็งบนฟ้า แค่เห็นดอกเหมยสายตาก็จ้าแจ่ม
ซิ่วไฉเฒ่าเกิดแรงบันดาลใจในการแต่งกลอน รู้สึกเพียงว่าเป็นบทกวีที่ดี ต่อให้น้องป๋ายเหย่มาอยู่ที่นี่ก็คงต้องข่มกลั้นความวู่วามที่อยากจะตบโต๊ะโห่ร้องชอบใจเลยกระมัง
ตรอกที่ตั้งของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น ข้างกายหลี่ซีเซิ่งมีชุยซื่อเด็กรับใช้ติดตามมาด้วย พวกเขาพากันมาเที่ยวเยือนเมืองหลวงต้าหลี
ก่อนหน้านี้หลังจากที่หลี่ซีเซิ่งออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับมายังอุตรกุรุทวีป ก็ได้ไปศึกษาหาความรู้อยู่ในหอหนังสือที่แคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งนั้นต่อ จู่ๆ ก็มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งมาเยือนถึงบ้าน ภายหลังระหว่างที่หลี่ซีเซิ่งเดินทางลงใต้ก็ได้เจอกับนักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งและเจ้าอารามผู้เฒ่าคนหนึ่งพอดี
อันที่จริงการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในคราวนี้ สำหรับหลี่ซีเซิ่งแล้ว เขาออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋ากลับบันเทิงเริงใจอย่างมาก
ทุกวันนี้หลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแห่งไพศาลได้กลับมาเจอกับมรรคาจารย์เต๋าผู้เป็นอาจารย์ของตัวเองอีกครั้ง สรุปแล้วควรจะก้มกราบคารวะแบบลัทธิเต๋าหรือควรจะประสานมือคารวะแบบลัทธิขงจื๊อดีเล่า?
ผลคือหลี่ซีเซิ่งก้มหัวกราบคารวะมรรคาจารย์เต๋าก่อน จากนั้นจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะ
หลังจากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็พาชุยซื่อมาที่เมืองหลวง หลักๆ แล้วเป็นเพราะก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวของที่นี่รุนแรงเกินไป หลี่ซีเซิ่งที่อยู่ไกลถึงอุตรกุรุทวีปก็ยังสัมผัสได้ทางจิต
กองทัพม้าเหล็กต้าหลี กล้าหาญไร้เทียมทาน
ใต้หล้าสะเทือนเลือนลั่นแต่ใจคนไม่พรั่นผวา
ด้านหน้าของตรอกเล็ก หลิวเจียเห็นบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อบุคลิกไม่ธรรมดายืนอยู่นอกตรอกเล็ก จากนั้นก็ขยับเท้าเดินเข้ามาในตรอก
ผู้ฝึกตนเฒ่ารีบหันไปมองลูกศิษย์ตัวเองทันที
เด็กหนุ่มใช้สายตาแทนคำตอบ ทำไมหรือ
ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นเขาหัวทึบก็ได้แต่ใช้เสียงในใจถามว่า “ควรจะขวางไว้หรือไม่?”
จ้าวตวนหมิงใช้เสียงในใจตอบ “เอาเป็นว่าข้าไม่รู้จักเขาก็แล้วกัน”
“แน่ใจรึ? ไม่ลองดูอีกทีก่อนหรือ?”
“อาจารย์ ไม่รู้จักจริงๆ”
“ภาพเหมือนของอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นมีเยอะขนาดนั้น เจ้าหนูเจ้าลองคิดดูให้ดีๆ อีกครั้ง เอาสายตาที่ลูกหลานสกุลจ้าวเทียนสุ่ยสมควรมีออกมาใช้หน่อย”
“อาจารย์ท่านไม่รู้สึกรำคาญบ้างหรือไร ข้าไม่รู้จักเขาจริงๆ ไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด!”
“ตวนหมิง เจ้าสาบานสิ”
“อาจารย์ แค่พอสมควรก็พอแล้วกระมัง ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์อาจารย์และศิษย์ระหว่างพวกเราสองคนจะจืดจางจริงๆ แล้วนะ”
หลิวเจียวางใจลงได้จึงเผยกาย ถามว่า “ใครกัน?”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มตอบ “ข้าชื่อหลี่ซีเซิ่ง บ้านเกิดคืออำเภอไหวหวงจังหวัดหลงโจวต้าหลี”
หลิวเจียเอ่ยด้วยสีหน้ามีเมตตาปราณี “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นคนบ้านเดียวกับเฉินผิงอันสินะ ขอโทษด้วย เจ้าต้องหยุดเดินเสียตั้งแต่ตรงนี้”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ยังมีนักพรตเรือนกายสูงใหญ่มาเยือนคนหนึ่ง ข้างกายมีนักพรตเด็กหนุ่มที่เกินครึ่งน่าจะมีสถานะเป็นลูกศิษย์ของเขาติดตามมาด้วย
พวกเขาเองก็เคยปรากฏตัวที่นี่ แต่ต้องหยุดเท้าอยู่นอกตรอกเล็ก หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กยืนเคียงบ่ากัน หันหน้ามามองในตรอกเล็กอยู่หลายที
แน่นอนว่าถูกหลิวเจียขวางเอาไว้แล้ว ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เช่นนั้น เหมาะสมแล้วหรือ
ในเมื่อเป็นคนของลัทธิเต๋า เขาเองก็มีภาระหน้าที่ติดตัว ยังต้องกลัวอะไร?
แล้วนับประสาอะไรกับที่นักพรตสองคนนั้นก็ไม่ได้สวมชุดคลุมเต๋าของลัทธิเต๋าสามสายแห่งป๋ายอวี้จิงอะไรด้วย
……
ในเรือนของเฉินหน่วนซู่แขวนปฏิทินเล่มหนึ่งและตารางแผ่นใหญ่ไว้หนึ่งแผ่น
และยังมีสมุดเล่มเล็กหนึ่งเล่ม หนึ่งปีหนึ่งเล่ม ทุกๆ วันที่สามสิบซึ่งเป็นวันสิ้นปีจะต้องเอามาเย็บรวมเข้าเล่ม สามร้อยหกสิบห้าหน้า หนึ่งวันหนึ่งหน้า
ทุกวันล้วนมีการจดบันทึกเอาไว้ และหน่วนซู่เองก็ชอบจดบันทึกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ยินมาหรือไม่ก็เรื่องที่เห็นมาแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ
ดังนั้นบนภูเขาลั่วพั่ว คนที่มีสมุดบัญชีหนาสุด จำนวนเล่มมากที่สุด แท้จริงแล้วคือหน่วนซู่ ไม่ใช่เผยเฉียนด้วยซ้ำ แน่นอนว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึงหมี่ลี่น้อยที่เอาแต่จดค่าใช้จ่ายในการซื้อเมล็ดแตงเท่านั้น
ทุกวันนอกจากปัดกวาดเช็ดถูเรือน ยังต้องปรนนิบัติดูแลต้นไม้ดอกไม้ แบ่งแยกประเภทของหนังสือที่เก็บสะสมไว้บนภูเขาที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีเยอะ เมื่อมีตำรา ก็ต้องเลือกวันที่แดดดีๆ เอาตำราออกมาตากแดด ช่วยไปหาไม้ไผ่แก่ในป่าไผ่บนภูเขาบ้านตัวเองให้กับอาจารย์ผู้เฒ่าจู แกะสลักแผ่นไม้ไผ่บางส่วนเอามาใช้เป็นของประดับตกแต่ง เก็บผักป่าตามฤดูกาล แล้วนางยังต้องหมักเหล้าด้วยตัวเอง ดองผักหมักเนื้อตากฮว่อถุ่ย (แฮมรมควัน) เส้นทางหลายเส้นที่หมี่ลี่น้อยใช้ลาดตระเวนภูเขาก็จำเป็นต้องทำความสะอาด หลีกเลี่ยงไม่ให้มีพืชหญ้ารกชัฏ พอถึงช่วงสิ้นปี นอกจากตัดกระดาษแปะหน้าต่างแล้วยังต้องขอให้อาจารย์ผู้เฒ่าจูหรือไม่ก็อาจารย์จ้งเขียนกลอนปีใหม่ จากนั้นพาหมี่ลี่น้อยเอากลอนไปแปะด้วยกัน นอกจากนี้ยังต้องกราบไหว้บูชาเทพเจ้าแห่งเตาไฟ น้อมส่งเทพเจ้าแห่งความยากจน
ภูเขาใต้อาณัติมากมายขนาดนั้นก็มักจะมีเรื่องให้ต้องดูแลซ่อมแซมอยู่เป็นประจำ จึงต้องให้นางที่พกยันต์กระบี่ทะยานลมออกจากบ้าน ไปพลิ้วกายอยู่ตรงตีนเขา จากนั้นจึงเดินขึ้นเขาเอาพวกน้ำชาของว่างไปมอบให้กับพวกช่างทั้งหลาย การคบค้ากับผู้อื่นยามถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน บนภูเขาอย่างภูเขาหลังอ๋าว ยอดเขาอีไต้ อันที่จริงหากพูดถึงอดีตนานยิ่งกว่านั้นก็ยังมีสำนักกระบี่หลงเฉวียนของช่างหรวนที่ต้องไปเยือนเสมอ ส่วนทางฝั่งของเมืองเล็กล่างภูเขาก็มีผู้เฒ่าที่เป็นเพื่อนบ้านหลายคนที่จำต้องคอยแวะเวียนไปเยี่ยมเยือน แล้วยังต้องเรียนการทำบัญชีมาจากอาจารย์เหวย ลงจากภูเขาไปที่จังหวัดหลงโจวเพื่อซื้อข้าวของตามเวลาที่กำหนด
และยังมีตรอกหนีผิงของนายท่านที่นอกจากทำความสะอาดบ้านบรรพบุรุษแล้ว บ้านสองหลังที่อยู่ติดกัน แม้ว่าจะไม่มีคนอยู่อาศัย แต่หลังคาและกำแพงดินก็ต้องคอยดูแล อะไรที่ซ่อมแซมได้ก็ต้องซ่อม
เพราะคนบนภูเขาลั่วพั่วมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเรื่องของสำมะโนครัวจึงมักจะต้องไปพูดคุยกับทางที่ว่าการอำเภออยู่เป็นประจำ ยกตัวอย่างเช่นช่วงนี้ที่ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงมีคงโหวมาอยู่ ส่วนร้านฉ่าวโถวก็มีชุยฮวาเซิง แรกเริ่มหน่วนซู่กังวลว่าฝ่ายครัวเรือนของที่ว่าการอำเภอไหวหวงจะรู้สึกว่าตนเป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่ง ทำอะไรไม่น่าเชื่อถือ จึงเรียกให้อาจารย์ผู้เฒ่าจูลงจากภูเขาไปด้วยกัน ภายหลังเซียนกระบี่อวี๋หมี่ก็ไปช่วยด้วย เป็นฝ่ายเสนอตัวว่าจะไปยังเมืองเล็กที่อยู่ในอำเภอกับนาง แต่ทุกวันนี้ไม่ต้องแล้ว ทางฝ่ายครัวเรือนสนิทสนมกับนางมาก คนผู้หนึ่งที่เคยเรียกแค่ท่านลุงซ่ง ทุกวันนี้ต้องเรียกว่าท่านปู่ซ่งแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ นางกลับตัวไม่สูงขึ้นเลย คนของที่ว่าการอำเภอกลับเห็นจนชินไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่มีคำวิพากษ์วิจารณ์อะไรด้วย
เอาหินประหลาดสารพัดรูปแบบที่หามาจากภูเขาใต้อาณัติทั้งหลายของบ้านตัวเองมาทำเป็นสวนกระถาง เอาไว้ใช้เป็นของตกแต่งห้องหนังสือ ทำเหมือนนกนางแอ่นที่ค่อยๆ คาบโคลนมาทำรัง คอยขนย้ายเข้าไปในเรือนพักทั้งหลายที่แท้จริงแล้วไม่ค่อยมีคนมาพักเท่าใดนัก และยังมีภาพวาดขุนเขาสายน้ำ ภาพบุปผาวิหค ภาพสาวงามที่อาจารย์ผู้เฒ่าจูจะวาดด้วยตัวเอง ไม่สามารถเอาไปกองไว้อย่างระเกะระกะ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าหยาบกระด้างไม่น่ามอง แล้วยังต้องคิดว่าควรจะจับคู่เครื่องกระเบื้องอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นถ้าจะเลี้ยงดอกไม้ต้องใช้แจกัน เพื่อให้สมกับคำกล่าวของปัญญาชนที่บอกว่า ‘ที่พำนักของเทพีแห่งบุปผา’ ตัวเลือกแรกต้องเป็นกู (ภาชนะสำหรับใส่สุราในพิธีกรรมสมัยโบราณ ทรงยาว ลักษณะเหมือนแตร) ทองสัมฤทธิ์ที่เก็บมานาน ตัวเลือกอันดับสองคือเครื่องกระเบื้องของทางการสีฟ้าครามเหมือนท้องฟ้า เนื้อละเอียดเรียบลื่นชนิดต่างๆ
เรือนพักทุกหลังบนภูเขาล้วนจำเป็นต้องจัดวางสี่สมบัติในห้องหนังสือ ตู้เสื้อผ้าชั้นวางหนังสือ ฉากบังลมภาพวาดติดฝาผนัง ปลูกดอกไม้พืชพรรณหลากหลายชนิดซึ่งแตกต่างกันไปตามความชื่นชอบที่แตกต่างกันของเจ้าของเรือน ดังนั้นหน่วนซู่จึงสร้างโรงเรือนดอกไม้ขึ้นมาให้ตัวเองหนึ่งแห่ง ศาสตร์การปลูกดอกไม้ก็ขอความรู้จากอาจารย์ผู้เฒ่าจูและอาจารย์ผู้เฒ่าจ้ง นางเองก็เปิดตำราอ่านเองด้วย ดังนั้นบนชั้นวางหนังสือของนางจึงมีแต่หนังสือประเภทนี้
ต่อให้ยิ่งนานคนก็ยิ่งเยอะขึ้น ยิ่งนานก็มีธุระเรื่องราวมากขึ้นทุกที ทั้งในภูเขาและนอกภูเขาก็ยังถูกแม่นางน้อยชุดกระโปรงสีชมพูเก็บกวาดดูแลจนสะอาดเอี่ยม เป็นระเบียบเรียบร้อย
นอกจากนี้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หน่วนซู่ก็รู้ชัดเจนแทบทุกเรื่อง
แน่นอนว่าหมี่ลี่น้อยเองก็คอยช่วยเหลืออยู่บ่อยๆ นางจะแบกคานหาบสีทอง ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ รับคำสั่ง รับคำสั่ง!
วันนี้หมี่อวี้เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยอยู่บนภูเขา เห็นว่าหน่วนซู่มีเวลาว่างอย่างที่หาได้ยาก เวลานี้กำลังนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา
หมี่อวี้เดินไปหา ยิ้มถามว่า “หน่วนซู่ เจ้ามาอยู่ที่นี่กี่ปีแล้ว?”
หน่วนซู่รีบลุกขึ้นยอบกายคารวะเซียนกระบี่หมี่ หลังนั่งลงแล้วถึงได้ยิ้มตอบ “ยังไม่ถึงสามสิบปีกระมัง”
หมี่อวี้แทะเมล็ดแตง ถามเสียงเบา “ไม่รู้สึกเบื่อบ้างเลยหรือ?”
ยี่สิบกว่าปีแล้ว ทุกวันยังต้องยุ่งวุ่นวายอยู่แบบนี้ ประเด็นสำคัญคือล้วนเป็นเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยที่ทำซ้ำวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ราวกับว่าจะไม่มีวันสิ้นสุด
แม้แต่เขาที่เป็นคนเอ้อระเหยลอยชาย ต่อให้จะชอบกินเปล่าอยู่เปล่ารอความตายอยู่บนภูเขาลั่วพั่วมากแค่ไหน บางครั้งก็ยังอยากจะลงจากภูเขาไปผ่อนคลายอารมณ์ ขี่กระบี่เดินทางไปกลับเงียบๆ บ้าง ยกตัวอย่างเช่นไปชมทัศนียภาพระหว่างขุนเขาสายน้ำของแคว้นหวงถิงตอนกลางวัน พอตกกลางคืนก็ไปนั่งเรือบุปผาที่เมืองหงจู๋ แล้วยังสามารถไปร่ำสุราชมจันทร์กับเว่ยซานจวินที่ภูเขาพีอวิ๋นได้ด้วย
หน่วนซู่ส่ายหน้า “ไม่เลยนะ”
หมี่อวี้ถาม “ไม่เหนื่อยหรือ?”
หน่วนซู่ยิ้มกล่าว “ข้าก็พักผ่อนไงล่ะ”
เดิมทีอยากบอกว่าตนเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัว แต่พอคิดถึงขอบเขตของตัวเอง หน่วนซู่ก็อายเกินกว่าจะเปิดปากพูด
หมี่อวี้รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
เมื่อหลายปีก่อนมีเด็กชายชุดเขียวที่ชอบทำตัวแก่เกินวัย มีแม่นางน้อยถ่านดำผู้เจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาด มีหมี่ลี่น้อยที่ร่าเริงน่ารัก…
ทุกวันนี้ก็มีป๋ายเสวียนที่มาตั้งโต๊ะไว้ในศาลาริมทาง มีคงโหว
มีเพียงเฉินหน่วนซู่แม่นางน้อยสวมชุดกระโปรงสีชมพูที่คงเป็นเพราะนิสัยอ่อนโยน เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้วจึงไม่ค่อยสะดุดตามากนัก
อันที่จริงก็เหมือนอย่างเวลาที่เฉินหลิงจวินคุยโวให้เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยฟัง บอกว่าตนเป็นถึงขุนนางผู้ประคับประคองมังกรที่อยู่ข้างกายนายท่านมาตั้งแต่แรกเริ่มสุด คือผู้อาวุโสที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์มากที่สุด มาดเล็กที่สุด
แล้วยังมาก่อนที่เผยเฉียนจะรับอาจารย์พ่อ ห่านขาวใหญ่จะรู้จักอาจารย์ พี่น้องต้าเฟิงเป็นคนในพื้นที่ก็จริง แต่เขาขึ้นเขามาช้านี่นา หากจะว่ากันถึงลำดับอาวุโสแล้ว เขาก็ยังต้องอยู่ท้ายๆ ไม่ใช่หรือ?
อีกอย่างยังมีใครที่เคยเฝ้าคืนข้ามปีเป็นเพื่อนนายท่านที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง? แน่จริงก็ลุกขึ้นยืนเลยสิ ข้าเฉินหลิงจวินจะโขกหัวให้เขาเดี๋ยวนี้
ในเมื่อเฉินหลิงจวินเป็นเช่นนี้ หน่วนซู่ก็ย่อมต้องเป็นเช่นเดียวกัน
หมี่อวี้พลันเอ่ยว่า “วันหน้าหากมีใครรังแกเจ้า มาบอกข้า”
เพียงแต่ว่าพอประโยคนี้หลุดออกจากปากไป หมี่อวี้กลับรู้สึกว่าตัวเองพูดจาไร้สาระ
ไหนเลยจะถึงคราวที่ตนได้ลงมือ
หากมีคนรังแกหน่วนซู่จริงๆ คาดว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นขอบเขตบินทะยานก็ยังต้องตาย อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วด้วย
ดังนั้นหมี่อวี้จึงเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “ยกตัวอย่างเช่นหากเฉินหลิงจวินพูดจาโง่เง่าทำนองนั้นอีก ข้าจะช่วยเจ้าสั่งสอนเขาเอง”
คิ้วตาของหน่วนซู่โค้งลงเหมือนพระจันทร์เสี้ยว โบกมือเอ่ย “ไม่มี ไม่มี”
เด็กชายชุดเขียวที่ชายแขนเสื้อโบกสะบัดคนหนึ่งหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “โอ้โห เซียนกระบี่ใหญ่อวี๋ กำลังชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับเจ้าเด็กโง่อยู่หรือ? เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้นหากเอาแต่คลานเป็นเต่า ทำตัวเหมือนมดย้ายรังก็คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร”
หมี่อวี้ยิ้มตาหยีมองไปทางหน่วนซู่ หน่วนซู่ลังเลเล็กน้อย กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
หมี่อวี้จึงปัดมือ ลุกขึ้นยืน เดินไปหาเฉินหลิงจวิน
เฉินหลิงจวินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ “พี่อวี๋ นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?! มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน ไม่มีหลุมใดที่ข้ามไปไม่ได้ ไม่มีความเข้าใจผิดใดที่คลี่คลายไม่ได้ ไม่มีเรื่องใดที่ปรึกษากันดีๆ ไม่ได้!”
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “คิดอะไรอยู่น่ะ ก็แค่จะชี้แนะด้านการฝึกตนสักหน่อย”
เฉินหลิงจวินเผ่นหนีทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
บนภูเขาลั่วพั่วเคยมีแม่นางน้อยสามคน ส่วนสูงพอๆ กัน ใครสูงใครเตี้ย ความต่างนั้นล้วนรู้กันดีอยู่ในใจ
พวกนางมักจะนอนบนพื้นชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ด้วยกันเป็นประจำ เมื่อลมพัดโชยผ่านก็จะได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรของฤดูร้อนดังมาเป็นระลอก
พวกนางนอนหนุนพัดใบลาน รอคอยให้แตงโมที่แช่ไว้ในสระน้ำหลังเรือนไม้ไผ่ค่อยๆ เย็นฉ่ำทีละนิด
ความกลัดกลุ้มเล็กๆ ก็คือเมฆขาวที่เดินผ่านนอกภูเขา มาแล้วก็จากไป บางก้อนก็อ้วนหน่อย จึงเดินได้ช้าหน่อย บางก้อนผอมหน่อยก็เดินจากไปเร็วหน่อย
แล้วในภูเขาล่ะมีอะไร?
มีคนชุดเขียวคนหนึ่งกับความงดงามทุกสิ่งอย่าง