กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 868.2 กระบี่สังหารบินทะยานขั้นสูงสุด
ก่อนหน้านี้สอบถามไปแต่ไม่ได้คำตอบ ลู่เฉินจึงมีท่าทีเพิกเฉยอย่างเห็นได้ชัด และเวลานี้ก็คร้านจะไปตรวจสอบดูสภาพจิตใจของเฉินผิงอันแล้ว คิดดูแล้วผู้ฝึกกระบี่แห่งเปลี่ยวร้างที่ขอบเขตถดถอยสองครั้งผู้นี้ อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนคงต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อติดกระดานอย่างแน่นอน
อีกทั้งผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งสามารถเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบได้สองครั้งก็นับว่าไม่ง่ายเลย
อย่าว่าแต่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ต่อให้เป็นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้
การค้าครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ
หากยังสามารถสังหารเซียนเหรินคนนั้นได้อีกก็จะยิ่งคุ้มมากกว่าเดิม
ดูจากท่าทางของปีศาจใหญ่หยวนซงแล้ว ในเมื่อไม่ได้โยนเซียนเหรินผู้นั้นออกไปจากอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่ก็เห็นได้ชัดว่าจะรอให้เฉินผิงอันผิดคำพูด อีกทั้งจะไม่ห้ามปรามอีกด้วย
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วแตะหนึ่งที ทำลายตัวอักษรชื่อจริงของเผ่าปีศาจสองตัวนั้นให้แหลกสลาย ต่อให้ฮุ่ยถิงจะมีตะเกียงต่อชะตาชีวิตวางอยู่ในศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่หงเย่ก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตนนั้นเบิกตากว้าง เอ่ยเสียงสั่น “ฮุ่ยถิง!”
เฉินผิงอันกล่าว “ยังไม่ไสหัวไปอีก?”
ในภูเขาทัวเยว่ เซียนเหรินที่ทั้งเรือนกายและจิตใจล้วนแห้งเหี่ยวโรยรารีบเก็บความคิดจิตใจกลับคืนมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ถามหยั่งเชิงว่า “จะให้ข้ารอดชีวิตจริงๆ หรือ?”
ไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่จากไปก็ยิ่งดี
เฉินผิงอันเงียบไปครู่ใหญ่ เห็นว่าเซียนเหรินคนนั้นยังลังเลไม่แน่ใจก็ทำท่าจะโคจรตราประทับห้าอสนีที่ลอยอยู่กลางอากาศชิ้นนั้น คาดไม่ถึงว่ากายธรรมหมื่นจั้งจะพลันร่วงดิ่งลง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างยุบถล่มกลายเป็นหลุมยักษ์สองหลุม
ลู่เฉินรีบมองประเมินฟ้าดินเรือนกายมนุษย์ของเฉินผิงอันทันใด ไม่คิดว่าจะเห็นชื่อจริงเผ่าปีศาจมีแสงสว่างวาบขึ้นมายาวเป็นพรวน อีกทั้งแต่ละชื่อยังเป็นของขอบเขตบินทะยานที่มีอายุขัยอยู่มายาวนานอีกด้วย
เฉินผิงอันเงื้อกระบี่ฟันไปยังภูเขาทัวเยว่อีกครั้ง
พริบตานั้นขุนเขาสายน้ำพลันพร่ามัว กลายเป็นทัศนียภาพอย่างใหม่ อยู่ดีๆ ก็เข้ามาอยู่ในพื้นที่ลับที่ทิวทัศน์รอบด้านขาดแคลนสีสันอย่างถึงที่สุด
คือระเบียงยาวแห่งหนึ่งที่ทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ทอดสายตามองไป ต่อให้เฉินผิงอันในเวลานี้จะเป็นขอบเขตสิบสี่ แต่มองไปสุดสายตาแล้วก็ยังมองไม่เห็นทางออก
เฉินผิงอันเก็บกายธรรมหมื่นจั้งมา เมื่อมาเดินอยู่ในระเบียงร่างของเขาก็หดเล็กลงตามไปด้วย ทางฝั่งขวามือมีบานประตูอยู่มากมายเกินจะนับได้หมด ส่วนอีกด้านหนึ่งคือปลายด้านสองฝั่งที่คล้ายคลึงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต เป็นความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด คือแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาที่ไม่รู้ว่าเชื่อมโยงไปถึงตำแหน่งใด ในประวัติศาสตร์ อริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นตั้งวางในศาลบุ๋นล้วนตายดับอยู่บนเส้นทางสายนี้ สี่ใต้หล้าในอดีต บวกกับใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้ คำว่า ‘เชื่อมโยง’ ที่มีระหว่างกันก็หนีไม่พ้นสถานที่ที่ถูกเหล่าปราชญ์ผู้ล่วงลับสร้างขึ้นมาให้คล้ายคลึงกับจุดพักม้าหรือไม่ก็ท่าเรือแห่งกาลเวลา การ ‘บินทะยาน’ ของผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาสูงสุดถึงสามารถอาศัยสิ่งนี้เดินทางไกลข้ามผ่านใต้หล้า ไม่ถึงขั้นหลงทางอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลายเป็นศพที่ลอยอยู่นอกฟ้า เพราะในความเป็นจริงแล้วใต้หล้าทั้งหลายอยู่ห่างกันไกลอักโขนัก
ลู่เฉินขมวดคิ้วเอ่ย “เป็นป๋ายเจ๋อที่ลงมือแล้ว ทั้งยังจงใจลงมือในเวลานี้อีกด้วย คิดจะท้าทายเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ? ไม่เสียแรงที่เป็นป๋ายเจ๋อ คิดจะหาเรื่องก็ควรหาเรื่องคนที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย”
เห็นได้ชัดว่าพอป๋ายเจ๋อกลับมาถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หลังจากที่เฉินชิงตูใช้หนึ่งกระบี่สังหารเทพชั้นสูงยุคบรรพกาลไปตนหนึ่งก็มอบของขวัญกลับคืนทันใด เขาปลุกผู้หลับใหลที่มีพละกำลังกร้าวแกร่งขึ้นมาในแถบของลำคลองเย่ลั่ว ปีศาจใหญ่บรรพกาลที่จำศีลมายาวนานอยู่ในพื้นที่ลับแห่งต่างๆ จึงถูกปลุกให้ตื่นในทันที
เพียงแต่ว่าหลังจากป๋ายเจ๋อทำลายการจำศีลเหล่านั้นลงแล้ว ดูเหมือนว่าพละกำลังของตัวเขาเองกลับลดระดับลง?
มิน่าเล่าป๋ายเจ๋อถึงได้ไร้ความยำเกรงถึงเพียงนี้ เส้นทางสายนี้ช่างเดินไปอย่างเหนือการคาดการณ์ของผู้คนจริงๆ
ลู่เฉินนั่งอยู่ในลานประกอบพิธีกรรมดอกบัว หลังจากอนุมานอยู่ครู่หนึ่งก็จุ๊ปาก ปรบมือยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว วิธีผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของป๋ายเจ๋อช่างน่าอัศจรรย์ใจถึงเพียงนี้ มากพอจะทัดเทียมกับห้าฝันเจ็ดจิตธรรมของผินเต้าได้เลย”
คนบนยอดเขาสูงสุดล้วนรู้กันว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงมีห้าฝันเจ็ดจิตธรรมที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง ลี้ลับจนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวลู่เฉินเองก็ยังหาวิธีคลี่คลายไม่ได้
แบ่งออกเป็นฝันเป็นอาจารย์ลัทธิขงจื๊อเจิ้งห่วน ฝันหมอนกระดูกซ้อนฝัน ฝันเป็นต้นลี่ (ต้นโอ้ค) มีชีวิต ฝันเป็นหลิงกุยตาย ฝันว่ากลายร่างเป็นผีเสื้อไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
นอกจากห้าฝันแล้วยังมีเจ็ดจิตธรรมที่เดินไปบนมหามรรคาเส้นทางเดียวกันกับลู่เฉินได้แก่ ไก่ไม้ ต้นชุน ตัวตุ่น คุนเผิง นกขมิ้นเหลือง เยวียนฉู ผีเสื้อ ซึ่งได้ทยอยกันจำแลงขึ้นมาบนมหามรรคาตามลำดับ
หากจะบอกว่าการดำรงอยู่ของบรรพจารย์ของสามลัทธิ ต่างก็เป็นตัวตัดสินระดับความสูงของมรรคกถาในหนึ่งใต้หล้า
ถ้าอย่างนั้นวิธีการผสานมรรคาของป๋ายเจ๋อก็คือการสยบขวัญใหญ่หลวงชนิดหนึ่งที่มีต่อใต้หล้าแห่งอื่นๆ แม้จะบอกว่าป๋ายเจ๋อต่อสู้ไม่เก่ง ไม่เคยสนใจเรื่องของการรบราฆ่าฟัน แต่หากจะมองว่าป๋ายเจ๋อคือผู้ฝึกใหญ่ที่ใจอ่อนมีเมตตาเพราะสาเหตุนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน บนผืนแผ่นดิน เผ่าปีศาจที่แกร่งกร้าวทั้งหลายแห่งใต้หล้าไม่ทันระวังตายไปด้วยน้ำมือของป๋ายเจ๋อ มีเยอะมาก ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว ป๋ายเจ๋อเองก็ฆ่าไปไม่น้อย
การประชุมริมลำคลองเมื่อหมื่นปีก่อน เพื่อให้สองใต้หล้าได้พักฟื้น ป๋ายเจ๋อจึงเป็นฝ่ายสละผลประโยชน์ของเผ่าปีศาจ มอบชื่อจริงของปีศาจใหญ่จำนวนที่มากพอดูมาให้ นี่ถึงได้มีภาพค้นภูเขาที่แพร่หลายไปทั่วใต้หล้าไพศาลในยุคหลัง
แต่การกระทำนี้ของป๋ายเจ๋อมีความหมายที่ลึกล้ำยาวไกล ก็เหมือนว่าเขาได้ขีดเส้นบรรทัดฐานเส้นหนึ่งไว้ให้กับฟ้าดิน นั่นก็คือจำเป็นต้องรับประกันว่าการแพร่ขยายเผ่าพันธ์ของเผ่าปีศาจจะไม่แข็งแกร่งเกินไป จะไม่บุกโจมตีผู้อื่นอย่างกำเริบเสิบสานจนเป็นเหตุให้ไฟสงครามลุกลามไปทั่วใต้หล้า แต่ป๋ายเจ๋อก็ไม่มีทางยอมอนุญาตให้กองกำลังภายนอกฝ่ายใดมาไล่ล่าสังหารเผ่าปีศาจจนซากอย่างแน่นอน
ผู้ที่ข้ามเส้น ผู้ที่ล้ำแดน ก็คือต้องการเป็นศัตรูกับป๋ายเจ๋อ เท่ากับเป็นการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ต้องมีแบ่งเป็นตาย
หากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียหายอย่างหนัก ตบะของป๋ายเจ๋อก็จะเพิ่มพูนขึ้นตามไปด้วย
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ไม่รีบร้อนใช้กระบี่ฟันพื้นที่ลับ แล้วก็ไม่รีบร้อนทะยานลมไปด้านหน้า แต่เปลี่ยนมาถือกระบี่ด้วยมือขวาแทน
กระบี่ที่ปล่อยออกไปอย่างเต็มกำลังก่อนหน้านี้ ต่อให้จะใช้เรือนกายที่แข็งแกร่งของขอบเขตคืนความจริงของผู้ฝึกยุทธขั้นสิบ แต่ก็เกรงว่าจะต้องบาดเจ็บสะเทือนไปถึงเส้นเอ็นและกระดูกแล้ว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ให้ภาพบรรยากาศขุนเขาสายน้ำในร่างกายเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งเสียก่อน
ก่อนหน้านี้ชายแขนเสื้อสองข้างมีลมวสันต์ ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์เหมือนคนฟ้าสัมผัส แผ่นดินขานรับ สายฟ้าฤดูใบไม้ผลิสะเทือนครืนครั่น
กระบี่ยาวเย่โหยวลอยอยู่ข้างกายฝั่งซ้าย จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหวเล็กน้อย คมกระบี่ของเย่โหยวก็เสียบแทงเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา เหลือเพียงตัวกระบี่ครึ่งล่าง คมกระบี่เหมือนปาดฟันลงบนผนังม่านฟ้าที่เป็นมายาล่องลอย จากนั้นก็อาศัยการเชื่อมโยงทางจิตเสี้ยวหนึ่งที่มีกับเย่โหยว พยายามจะยืนยันให้แน่ใจว่าความห่างเพียงหนึ่งกำแพงกั้นขวาง สรุปแล้วห่างไกลแค่ไหนกันแน่ ผลคือคาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกเวียนหัวตาลายอย่างที่มิอาจควบคุม เฉินผิงอันรีบทำจิตแห่งมรรคาให้มั่นคง เก็บดวงจิตเมล็ดงาส่วนนั้นกลับมาทันที
เส้นทางอยู่นอกฟ้า
การที่เขาไม่รีบร้อนก็เพราะกายธรรมร่างทองและนักพรตชุดเขียวที่ทิ้งไว้ในอาณาเขตของภูเขาทัวเยว่ยังคงลงมือเข่นฆ่าอยู่ดังเดิม การรับสัมผัสทางจิตของสามฝ่ายยังคงแจ่มชัด มีเส้นใยเชื่อมโยง เฉินผิงอันอาศัยสิ่งนี้จึงยังสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของปีศาจใหญ่หยวนซงได้
ไม่ใช่พระธรรมแปดหมื่นสี่พันของลัทธิพุทธ
นี่เหมือนจะเป็นระเบียงทางเดินในดินแดนอันไร้ที่สิ้นสุด บนประตูแต่ละบานล้วนแกะสลักตัวเลขไว้ตัวหนึ่ง หนึ่งถึงเก้า เริ่มต้นที่สาม จากนั้นก็เป็นตัวเลขอีกเก้าตัว มองดูเหมือนไร้ระเบียบ
“เป็นวิธีการของสำนักคำนวณ จัดเรียงตัวเลขตามอัตราความหนาแน่น”
ลู่เฉินอธิบาย “หากไม่ผิดไปจากที่คาด พวกเราเดินไปถึงจุดสิ้นสุดก็จะเจอกับห้องที่ไม่มีตัวเลขห้องหนึ่ง แต่หากไม่สามารถตอบตัวเลขที่ถูกต้องได้ ฟ้าดินเล็กแห่งนี้ต้องถล่มลงมาอย่างแน่นอน พลานุภาพนั้นเทียบเท่ากับ…กระบี่ที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง? แน่นอนว่าหากพวกเราสองคนโชคดีมากพอ เดาตัวเลขได้ถูก ก็สามารถเดินอาดๆ ออกไปจากพื้นที่ลับแห่งนี้ได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อัตราความหนาแน่น? เคยได้ยินมาก่อน ศาลบรรพจารย์ของสำนักคำนวณมีสมบัติพิทักษ์ภูเขาอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือค่ายกลฟ้าดินที่อาศัยความหนาแน่นสร้างขึ้นมาเป็นวงจรของมหามรรคาที่ดำเนินได้ด้วยตัวเอง สามารถถือเป็นวิชาก้นกรุของสายคำนวณได้แล้ว เข็มทิศที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษชิ้นนั้น เล่าลือกันว่าบรรพจารย์แต่ละยุคสมัยและผู้มีความสามารถด้านการคำนวณได้ร่วมแรงกันหล่อหลอมนานถึงหกพันปีเต็ม ใช่แล้ว เข็มทิศสามารถกักผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่เว้นจากผู้ฝึกกระบี่ไว้ได้หรือไม่?”
ลู่เฉินเบ้ปาก “นั่นมันเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่แล้ว ตอนที่คำนวณได้ถึงเลขเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าก็เจอกับคอขวดมหามรรคาที่ล่องลอยลี้ลับอย่างที่สอง บรรพจารย์สองท่านของสำนักคำนวณจึงไม่ค่อยกล้าอนุมานไปข้างหน้าต่อแล้ว เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ต้องเจออุปสรรคยากลำบากใหญ่หลวงมาถึงสองครั้ง กลัวว่าทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่า ชักนำให้วิถีแห่งฟ้ามาสยบกำราบ เป็นเหตุให้สมบัติหนักพังทลาย ผลคือเจอกับศิษย์พี่คนนั้นของเจ้า ซิ่วหู่ได้ช่วยให้พวกเขาข้ามผ่านปราการด่านนั้นไปได้ แน่นอนว่าซิ่วหู่ที่เป็นคนนอกย่อมไม่เห็นสมบัติล้ำค่าพิทักษ์ภูเขาชิ้นนั้นอยู่ในสายตามากนัก จึงกลายเป็นว่าสภาพจิตใจของเขาบริสุทธิ์ไร้มลทินที่สุด นี่มีความเกี่ยวข้องสูงมาก ไม่ได้บอกว่าวิชาคำนวณของเขาจะต้องสูงกว่าบรรพจารย์สายคำนวณเสมอไป”
ลู่เฉินทอดถอนใจหนึ่งที “การที่บอกว่าเป็นปฏิทินเก่าก็เพราะคำว่า ‘เว้นจากผู้ฝึกกระบี่’ นั้นของเจ้า จำต้องตัดทิ้งไป”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “อย่าคิดมาก คำว่าปฏิทินเหลืองของผินเต้ายังมีความหมายแฝงอีกชั้นหนึ่ง บรรพจารย์สำนักคำนวณที่หลงใหลในการศึกษาหาความรู้สองคนนั้นอาจจะไม่สามารถสร้างคุณความชอบในการสู้รบด้วยการสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง หรือไม่ก็ร่วมมือกับเฉินฉุนอันช่วยกันรับมือกับหลิวชาได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาจงใจนิ่งดูดาย แต่เป็นเพราะภายในมีกบฏที่คุณสมบัติดีเยี่ยมคนหนึ่ง เจตนาชั่วร้าย วางแผนมาทุกย่างก้าว จงใจบอกตัวเลขที่ผิดพลาดไปแปดตัว ตัวเลขหลายร้อยเลขที่ตามมาก็ย่อมผิดตามไปด้วย เป็นเหตุให้เข็มทิศอันนั้นเกิดปัญหาใหญ่จนเกือบจะพังลงไปอย่างสิ้นเชิง”
เฉินผิงอันเงียบงัน
เดินบนมหามรรคา ขุนเขาสายน้ำรายล้อมไปด้วยอันตราย
ลู่เฉินโอดครวญอย่างเป็นทุกข์ “ข่าวสารของผินเต้าว่องไวแล้วทำไม ไปขัดหูขัดตาใครเข้าอีกเล่า”
เฉินผิงอันหัวเราะหยัน “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนก็ฉวยโอกาสที่มีเวลาว่างครู่หนึ่งมาคิดบัญชีเก่ากันดีๆ สักรอบไหมล่ะ?”
ยกตัวอย่างเช่นสือโหรวที่ตรอกฉีหลง เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำได้อาศัยดวงตาคู่นั้นของนางมามองเมืองเล็กอยู่นานหลายปี
ลู่เฉินเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “หยวนซงกำลังถ่วงเวลาหรือ? มีความหมายตรงใด? ภูเขาทัวเยว่ไม่ได้มีขาเสียหน่อย ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ากำลังรอกองหนุนสินะ? ยกตัวอย่างเช่นป๋ายเจ๋อที่หวนกลับมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?”
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ กระดาษยันต์จำนวนมากนับพันแผ่นก็พากันพุ่งออกมา คือกระดาษยันต์สีเหลืองที่วัสดุธรรมดาที่สุด เป็นกระดาษยันต์ที่ท่าเรือหรือโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนก็ยังไม่อยากจะขายด้วยซ้ำ แต่หากผู้ฝึกตนอิสระคิดจะกำจัดปีศาจปราบมารในหมู่ชาวบ้าน กลับมิอาจขาดของสิ่งนี้ได้
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา เอาฝ่ามือวางทับบนกระดาษยันต์แผ่นหนึ่ง ใช้มือปาดหนึ่งครั้ง กระดาษสีเหลืองหลายพันแผ่นพลันกลายมาเป็นยันต์แผ่นเดียว ล้วนกลายมาเป็นยันต์ฝ่าสิ่งกีดขวางแห่งขุนเขาสายน้ำที่กลายเป็นสีเขียวสีเดียว
จากนั้นโบกชายแขนเสื้ออีกครั้ง แม่น้ำยาวยันต์เส้นหนึ่งเหมือนทหารลาดตระเวนไปสำรวจเส้นทาง ออกเดินทางไกลนำไปก่อน
ลู่เฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า “อย่าละโมบอาลัยอาวรณ์และจมจ่อมอยู่กับขอบเขตมากเกินไป”
หากกลายมาเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่อย่างสมชื่อจริงๆ ใต้หล้าแห่งนี้ ต่อให้ตราผนึกของสำนักเจ้าจะหนาแน่นแค่ไหนก็ยังเหมือนเข้าไปในดินแดนไร้ผู้คน ต่อให้ขุนเขาสายน้ำของเจ้ากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดเพียงใด ก็สามารถหดย่อรากภูเขา ก้าวข้ามแม่น้ำ ไปได้ทุกที่ตามใจปรารถนา
การไร้พันธนาการเช่นนี้จะเกิดความสอดคล้องกับจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวตามธรรมชาติ
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอนว่าย่อมต้องคอยเตือนตัวเองว่าเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดนั้นยาก”
มือถือคมดาบ จิตสังหารบังเกิด
มรรคกถาอวบอ้วน ใต้หล้าย่อมผอมแห้ง
ผู้บรรลุมรรคา หากไม่พันธนาการจิตใจที่เป็นดั่งวานรเป็นดั่งม้าพยศซึ่งต่อให้มีเล็กน้อยแค่ไหนไว้เสียบ้าง ก็จะเหมือนคนที่มีเวลาว่างมาตบยุง พลันเกิดจิตคิดสังหารยุงจนหมดสิ้น
เบาหน่อยก็จิตแห่งมรรคาสลายหายไป หนักหน่อยก็ธาตุไฟเข้าแทรก
เฉินผิงอันเดินไปเนิบช้า แล้วจู่ๆ ก็พลันหยุดเดิน ใช้มือข้างหนึ่งผลักประตูบานหนึ่งออก พบว่าด้านในมีม้วนภาพแห่งกาลเวลาสองภาพ ภาพหนึ่งแจ่มชัด ภาพหนึ่งพร่ามัว นี่เกี่ยวข้องกับการที่ลู่เฉินให้ตนยืมใช้มรรคกถาชั่วคราว ดังนั้นจึงเกิดการทับซ้อนของทัศนียภาพสองประเภทเกิดขึ้น
ม้วนภาพหนึ่งในนั้นเป็นภาพเด็กชายคนหนึ่งสะพายกระบุงใบใหญ่ไว้บนแผ่นหลังกำลังเดินขึ้นเขา ส่วนภาพของลู่เฉินเป็นภาพล่องเรือออกมหาสมุทร คนถ่อเรือก็คือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ กู้ชิงซงที่มีฉายาว่าเซียนฉา แต่เซียนฉาในเวลานั้นรูปโฉมยังอ่อนเยาว์อยู่มาก ใบหน้ารูปเหลี่ยมตาโต ท่าทางแข็งแรงมีกำลังวังชา เรือแจวลำน้อยกับคนสองคนที่ออกมหาสมุทรไปเยี่ยมเยือนเซียนด้วยกัน มองหัวเรือที่เอียงจมเข้าไปในน้ำราวกับจะแหวกน้ำแล่นทะยานไป และตรงจุดลึกของมหาสมุทรก็คล้ายจะมีแสงสว่างจุดหนึ่งที่อ่อนโยนนิ่งสงบรอคอยเรือน้อยลำนี้อยู่
ลู่เฉินยิ้มพูดอย่างกระอักกระอ่วน “เลิกดูได้แล้วๆ ระวังหลงกลหยวนซงเข้าล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ต่างคนต่างดู จะกลัวอะไรเล่า”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างจนใจ “คำพูดประเภทนี้ พูดแล้วไม่ละอายใจเลยหรือ?”
เฉินผิงอันค้นพบว่ากระแสน้ำจากยันต์เส้นนั้นพุ่งทะยานไปตลอดทางไม่รู้ว่าห่างไกลกี่หมื่นลี้ ระเบียงทางเดินเส้นนี้เป็นเหมือนบ่อโบราณไร้ก้นแห่งหนึ่ง
ไม่ว่าการใช้ยันต์พวกนั้นจะเปลืองแรงเปล่าเช่นไร เฉินผิงอันก็ยังคงควบคุมกระบี่ยาวเย่โหยวให้สะบั้นผนังที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นสิ่งกีดขวางของกาลเวลาอยู่ตลอด แล้วคอยจดจำความเคลื่อนไหวแปลกๆ ที่เกิดขึ้นอย่างกระจัดกระจายอยู่สองสามครั้ง คลี่กางสมุดบัญชีใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งไว้ในหอตำราของทะเลสาบหัวใจ บันทึกรายละเอียดลงไปในสมุดบัญชีโดยเฉพาะ
ลู่เฉินอธิบาย “สถานที่แห่งนี้คือน้ำวนแห่งกาลเวลาลูกหนึ่ง คล้ายคลึงกับเส้นทางเชื่อมโยงกุยซวี กาลเวลาสั้นยาว ระยะทางไกลใกล้ ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาประเมินได้”