กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 868.3 กระบี่สังหารบินทะยานขั้นสูงสุด
การแสดงออกบนมหามรรคาที่ลี้ลับเกินจะหยั่งเช่นนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก สมดั่งคำว่าพันปีก็ยากจะพานพบอย่างแท้จริง ต่อให้จะเกิดความเข้าใจตระหนักรู้ได้แค่เสี้ยวเดียวก็เท่ากับว่าได้ก้าวเดินก้าวหนึ่งออกไปบนเส้นทางที่ผู้อื่นบุกเบิกมาได้สำเร็จ เมื่อมีก้าวแรกก็เท่ากับว่ามีทิศทางของมหามรรคาแล้ว
ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้ใช้กระบี่ยาวเย่โหยวมาหยั่งเชิงความจริงเท็จ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ฟ้าดินด้านนอกมีกายธรรมร่างทองที่เท้าเหยียบอยู่บนป๋ายอวี้จิงจำลอง ขณะเดียวกันก็ควบคุมธงเซียนกระบี่และตราประทับเวทห้าอสนี นอกจากนี้ก็ยังมีนักพรตชุดเขียวที่คล้ายคลึงกับจิตหยินออกเดินทางไกลซึ่งคอยรับมือกับเวทน้ำที่ดรุณีน้อยบนลำคลองร่ายใช้อย่างไม่จบไม่สิ้น
ต่างก็ไม่ได้อยู่ว่าง
ลู่เฉินถาม “ด้านนอกยังประลองเวทคาถากันอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หยวนซงกำลังฟันป๋ายอวี้จิงแล้ว”
ทุกครั้งที่หยวนซงปล่อยกระบี่ออกมาก็คือการนำหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกของตัวเอง
ป๋ายอวี้จิงยิ่งใหญ่เกินไปมากจริงๆ การไหลรินของมหามรรคาบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในซอกลึก ต่อให้เฉินผิงอันจะเป็นเจ้าของผู้ที่หล่อหลอมมันก็ยังไม่อาจสำรวจตรวจสอบได้อย่างครบถ้วน บวกกับที่สายของเวทคาถาลัทธิเต๋านั้น เขาเองก็ไม่ได้เข้าใจมากนัก หลายๆ เรื่องแค่รู้ว่ามันคืออะไร แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ก็เหมือนนักแกะสลักที่เป็นมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาที่สามารถแกะสลักตราประทับงดงามชิ้นหนึ่งได้ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่กล้าบอกว่าตัวเองเข้าใจเนื้อแท้ที่อยู่ในหินหยกได้อย่างถ่องแท้
ดังนั้นแค่มั่นใจว่าสมบัติหนักตระกูลเซียนชิ้นนั้นจะไม่ถูกหยวนซงฟันจนย่อยยับก็พอแล้ว
ยิ่งหยวนซงสามารถใช้เวทกระบี่มารื้อถอนป๋ายอวี้จิงจำลองได้มากเท่าไร เฉินผิงอันก็ยิ่งสามารถนิ่งเฉยมองดูดายอยู่ข้างๆ ได้มากเท่านั้น
ความน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือ วัตถุที่บรรพจารย์บุกเบิกภูเขาตำหนักอวี้ฝูใช้สร้างเลียนแบบคือป๋ายอวี้จิงเก่าของเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว
ลู่เฉินนวดคลึงปลายคาง “แบบนี้ก็น่าประหลาดแล้ว”
หากหยวนซงยืนนิ่งไม่ขยับก็จะสามารถช่วยให้ภูเขาทัวเยว่ประคับประคองตัวอยู่ได้นานยิ่งกว่าเดิม
ไม่อย่างนั้นหากร่ายวิชาอภินิหาร ปล่อยเวทคาถาไปไม่หยุดยั้งก็มีแต่จะทำให้เฉินผิงอันได้ออกกระบี่ใส่ภูเขาทัวเยว่น้อยลงหลายสิบทีหรือถึงขั้นหลายร้อยที
เฉินผิงอันกล่าว “ปีศาจใหญ่หยวนซงย่อมหวังว่าจะได้เข่นฆ่าอย่างสาแก่ใจสักครั้ง อย่างเช่นใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวมาถามกระบี่กับผู้อื่น ส่วนคนผู้นั้นจะใช่ข้าหรือไม่ ไม่ได้สำคัญเลย ขอแค่ขอบเขตของอีกฝ่ายมากพอ เช่นว่าหากเปลี่ยนไปเป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉี ไม่แน่ว่าเวลานี้ก็อาจจะเริ่มผลัดกันฟันกระบี่แล้ว”
อีกเดี๋ยวเมื่อตนออกไปจากที่นี่จะต้องทำให้ผู้ฝึกกระบี่หยวนซงสมความปรารถนาแน่
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็เอ่ยขึ้นว่า “สรุปแล้วเจ้าหมอนั่นกินปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีพละกำลังเทียบเท่าราชาบนบัลลังก์ไปมากน้อยแค่ไหนกันแน่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “เยอะมาก”
แล้วพูดย้ำอีกรอบ “เยอะมากๆ!”
หนึ่งในทางหนีทีไล่ของโจวมี่ก็คือคาดการณ์ได้แม่นยำว่าป๋ายเจ๋อจะต้องหวนกลับบ้านเกิด และยินยอมพร้อมใจจะสนับสนุนช่วยเหลือผู้ครองใต้หล้าในนามอย่างผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหราน ร่วมแรงกันคุมเชิงกับไพศาล
ต้องรู้ว่าจิตหยินของมหาสมุทรความรู้โจวมี่นั้นอยู่ที่ลู่ฝ่าเหยียนผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่ถูกเขากลืนกินมหามรรคา ส่วนจิตหยางกายนอกกายก็คือปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งราชาบนบัลลังก์กระดูก นอกจากนี้ยังกินราชาบนบัลลังก์เก่าอย่างพวกเชี่ยอวิ้น หวงหลวน เหย้าเจี่ย ฯลฯ ไปรวดเดียวพร้อมกันด้วย
นี่ยังเป็นแค่ผลลัพธ์ที่โจวมี่เอามาวางไว้บนหน้าโต๊ะให้เห็นกันจะๆ เท่านั้น
หากไม่เป็นเพราะคาดการณ์ได้แม่นยำว่าป๋ายเจ๋อจะหวนกลับมายังเปลี่ยวร้าง คาดว่าด้วยกระเพาะของโจวมี่แล้วคงยังต้องแอบกินขอบเขตบินทะยานไปอย่างลับๆ มากกว่านี้
เรื่องแบบนี้ เกรงว่านอกจากโจวมี่แล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนใหญ่คนใดก็ตาม ต่อให้จะเป็นขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน แต่ก็คงไม่มีใครทำได้อยู่ดี
ลู่เฉินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “หากว่ากันในบางระดับแล้ว ไอ้หมอนี่ก็สามารถถือว่าเป็น…คนที่ตื่นเพียงคนเดียวได้จริงๆ”
ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี ทั้งสามอย่างนี้จะขาดอย่างใดไปไม่ได้ อันดับแรกคือต้องได้รับการยอมรับโดยปริยายจากบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ก่อน ต่อมาคือต้องให้ขอบเขตของโจวมี่เองสูงมากพอ มีศักยภาพพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ได้
ข้อสุดท้าย แล้วก็เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ยังคงเป็นการที่โจวมี่สามารถอาศัยความรู้สูงส่งเทียมฟ้าของตัวเองมาคลี่คลายภัยแฝงที่เกิดจากการปะทะกันบนมหามรรคาเหล่านั้นได้ โจวมี่ยังต้องแน่ใจว่าการกระทำของตนจะไม่เป็นการเนรคุณต่อสวรรค์ ไม่ถูกมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างรังเกียจทอดทิ้ง กลับกลายเป็นว่าทำลายศักยภาพของตัวเองลง…
มิฉะนั้นเหตุใดบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ถึงไม่ทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองเล่า? เขาสามารถอาศัยสิ่งนี้มาก้าวออกไปครึ่งก้าวสุดท้าย มหามรรคาก็จะสมบูรณ์ไร้ช่องโหว่ กลายเป็นขอบเขตสิบห้าได้อย่างแท้จริง
ใช่ว่าไม่อยาก แต่เป็นเพราะทำไม่ได้
มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าโจวมี่ที่เดินขึ้นฟ้าไปแล้วจะยังมีวิธีการบางอย่างที่สามารถดึงเอาศักยภาพของบุคคล ‘ซี่โครงไก่’ ที่เขาพาไปยังสรวงสวรรค์ใหม่เหล่านั้นออกมา แล้วค่อยทำลายอีกฝ่ายทิ้งอย่างสิ้นซาก เพื่อให้ป๋ายเจ๋อได้ชดเชยความเสียหายบนมหามรรคาจากการปลุกพวกปีศาจใหญ่ที่จำศีลให้ฟื้นตื่น
ยกตัวอย่างเช่น…ชื่อจริงล้วนตกเป็นของป๋ายเจ๋อ?
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันที่ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง วิธีการที่เหนี่ยนซินคนเย็บผ้าช่วยให้เฉินผิงอันแบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจ
ก็จะกลายมาเป็นการวางหมากที่สำคัญซึ่งไร้เหตุผลตาหนึ่ง
ขัดขวางป๋ายเจ๋อ ช่วงชิงชื่อจริง
พูดให้ถูกก็คือเป็นอิ่นกวานหนุ่มที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ขัดขวางโจวมี่องค์เทพที่ตัวอยู่นอกฟ้า
เส้นทางสะพานไม้เส้นหนึ่งคล้ายมีคนมาขวางทาง ตัดขาดการไหลรินของสายน้ำ ไม่ใช่ข้าแล้วจะยังมีใครทำได้อีก?
ลู่เฉินรู้สึกนับถือยิ่งนัก “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ลำคลองเย่ลั่ว ป๋ายเจ๋อไม่ได้ลงมือกับเจ้า ช่างเป็นมาดของยอดฝีมือที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ย “หากเปลี่ยนจุดยืนกัน ข้าก็ไม่มีทางลงมือเหมือนกัน ขนาดข้ายังทำได้ อาจารย์ป๋ายก็ยิ่งต้องทำได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”
ลู่เฉินอึ้งงันไร้คำพูดไปพักใหญ่ เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าวาสนากับผู้อาวุโสของใต้เท้าอิ่นกวานได้มาจากไหน
ฝึกปรือจนเข้าขั้นชำนาญ ยอดเยี่ยมที่สุด อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือจริงใจอย่างมาก
ลู่เฉินลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนถามว่า “เฉินผิงอัน แท้จริงแล้วเจ้าไม่ได้ถนัดซ้าย ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง “ตอนเป็นเด็กมีครั้งหนึ่งขึ้นเขาแล้วสะดุดล้ม มือขวาถูกกรีดเป็นแผล บาดแผลลึกถึงเส้นเอ็นและกระดูกต้องรักษานานร้อยวัน ไม่อาจใช้มือข้างนั้นทำงานได้เลยต้องใช้มือซ้ายทำงานยาวนานมากช่วงหนึ่ง ภายหลังเกิดเป็นความเคยชิน อีกทั้งการขึ้นรูปเครื่องปั้นก็พิถีพิถันในเรื่องมือสองข้างที่ต้องสมดุลกัน จึงพูดไม่ได้ว่าข้าถนัดซ้ายหรือถนัดขวา”
ทัศนียภาพที่งดงาม สมุนไพรที่มีราคา ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายเสมอ
ลู่เฉินอับจนคำพูดไปอย่างสิ้นเชิง “เจ้าเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ นะ…”
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการปล่อยหมัดและออกกระบี่ด้วยมือขวาของเฉินผิงอัน เขาไม่เคยออกแรงเต็มที่อย่างแท้จริงมาก่อน ต่อให้เคยทำมาก่อน แต่อยู่ในสายตาของคนนอกแล้วก็ต้องอำพรางได้ดีเยี่ยมมาโดยตลอด
ดังนั้นการ ‘ถนัดซ้าย’ ที่เฉินผิงอันอำพรางมาได้อย่างยอดเยี่ยม แท้จริงแล้วก็คือเวทอำพรางตาอีกชั้นหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้ส่งผลกระทบกับใครสักหน่อย”
หวนนึกถึงปีนั้น เด็กหนุ่มรองเท้าแตะของตรอกหนีผิง ตอนนั้นที่เดินผ่านแผงดูดวงของตน มองแล้วช่างเป็นเด็กใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก ยามพูดคุยกับคนอื่นก็ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำแปลกแปร่งระคายหูแม้แต่ครึ่งคำ
แต่เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ เรื่องหลงใหลในทรัพย์สินก็ยังคงเดิม
อันที่จริงหากสืบเสาะให้ลึกลงไป ลู่เฉินกลับไม่รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของเฉินผิงอัน
ตัวอักษรในตำราเล่มหนึ่งยิ่งมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งมีนัยให้ขบคิดยาวไกลมากเท่านั้น หวนกลับมามองตัวอักษรที่มีมาก ส่วนใหญ่มักจะทนการกระทบกระเทียบในจุดเล็กๆ ไม่ได้นัก ทว่าอักษรดำกระดาษขาว ผิดหรือถูก ถึงอย่างไรก็ล้วนอยู่ตรงนั้น แค่มองก็เห็นครบถ้วนกระบวนความ ความทุกข์ยาก การขัดเกลา การยืนหยัด การเลือกและสละ การเดินทางไกล หวนกลับคืนสู่บ้านเกิด ความผิดหวัง ความหวัง
ลู่เฉินเหลือบมองกระบี่ยาวที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเครียดขรึม “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดขอบเขตถึงชัดเจนขนาดนี้?”
อยู่นอกฟ้า นางเคยสังหารผู้สวมเสื้อเกราะกับมือของตัวเองมาก่อน
ตอนที่ลู่เฉินเข้าร่วมการประชุมริมลำคลองก็ได้รู้เรื่องนี้แล้ว
เพราะถึงอย่างไรนางก็หิ้วหัวหนึ่งมาเข้าร่วมการประชุมด้วย
จากนั้นนางก็โยนหัวนั้นทิ้งลงไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างไม่ใส่ใจ
ภาพเหตุการณ์นั้น ลู่เฉินเชื่อว่าต่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งหมื่นปี ตนก็จะยังจดจำได้ติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
แต่ตามการอนุมานของลู่เฉิน ต่อให้ในการเข่นฆ่านอกฟ้าจะทำให้มหามรรคาของนางได้รับความเสียหายสาหัส กระนั้นก็ไม่น่าจะมีสภาพการณ์อย่างตอนนี้ได้ ก็เหมือนกับว่านางก็คือนาง เฉินผิงอันก็คือเฉินผิงอัน กระบี่ก็คือกระบี่ ผู้ถือกระบี่ก็เป็นแค่ผู้ถือกระบี่ตามความหมายของตัวอักษรจริงๆ
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองกระบี่ยาวในมือแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ปีนั้นอยู่ดีๆ ข้าก็ได้ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปปรากฏตัวอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าถ้ำแห่งโชควาสนา ภายหลังค้นพบว่าเป็นศิษย์พี่ชุยที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการแบบใดมาสะบั้นการเชื่อมโยงทางจิตระหว่างข้ากับนาง”
นอกจากจงใจให้เฉินผิงอันพลัดเดินหลงเข้าไปในทางแยก รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกที่มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน จำต้องทบทวนถามใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าสรุปแล้วชีวิตที่ผ่านมาเป็นความจริงหรือเป็นฝันลวงครั้งหนึ่ง ต้องให้เฉินผิงอันเลือกด้วยตัวเอง หลังจากที่เผชิญกับสามฝันในถ้ำแห่งโชควาสนาก็ได้สะบั้นการเชื่อมโยงระหว่างเฉินผิงอันกับนางไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในกุญแจสำคัญของฝันที่สี่แล้ว
ดูเหมือนชุยฉานจะจงใจทำให้เฉินผิงอันสูญเสีย ‘ความสงบทางใจ’ ส่วนนี้ไปด้วย เพื่อที่จะสอนหลักการเหตุผลข้อหนึ่งให้กับศิษย์น้องเล็กคนนี้ว่า สิ่งของนอกกายทุกอย่างบนโลกล้วนไม่มากพอที่จะกลายมาเป็นที่พึ่งของจิตแห่งมรรคาดวงหนึ่ง
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ซิ่วหู่ช่างมีความตั้งใจด้วยเจตนาดี ศิษย์พี่ที่เป็นแบบนี้จะไปหาจากไหนได้อีก”
“เจ้าก็อยากได้สักคนหรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด อย่าดีกว่า อย่าดีกว่า ผินเต้าแขนขาเล็กบาง เกินครึ่งคงไม่มีดวงพอจะได้เสวยสุข”
ศิษย์พี่ของตนก็ดีมากแล้วนี่นา เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงเป็นที่รู้กันทั่วว่ามรรคกถาสูง นิสัยดี
จะว่าไปแล้ว อวี๋โต้ว ลู่เฉิน เฉินผิงอัน คนทั้งสามต่างก็เป็นลูกศิษย์ที่ศิษย์พี่รับแทนอาจารย์ทั้งสิ้น
ลู่เฉินเอ่ย “แค่พอสมควรก็พอแล้ว สถานที่แห่งนี้อยู่นานไปก็ไร้ประโยชน์”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กลับมาถือกระบี่ด้วยมือซ้ายอีกครั้ง
ด้านนอกฟ้าดินของระเบียงยาว หยวนซงปล่อยกระบี่ติดๆ กันไปยี่สิบกว่าครั้ง ถึงกับสามารถสะบั้นการเชื่อมโยงระหว่างห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงจำลองได้สำเร็จ
ในที่สุดหยวนซงก็หยุดออกกระบี่ ก้มหน้าลงมองมือที่ถือกระบี่ซึ่งกระดูกขาวโผล่ สีหน้าของเขาพลันเลื่อนลอยไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานสายตาก็เปลี่ยนมาเป็นหนักแน่น เงยหน้ามองไปยังลำคลองเย่ลั่ว
ในที่สุดอาจารย์ป๋ายก็หวนคืนบ้านเกิดแล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็สามารถวางใจได้แล้ว
ไม่เคยผิดต่ออาจารย์ผู้มีพระคุณ ไม่เคยผิดต่อบ้านเกิด
หวังเพียงว่าตนจะไม่ผิดต่อชื่อที่อาจารย์ป๋ายตั้งให้ด้วย
หมื่นปีให้หลัง จะพบหน้ากันหรือไม่ อันที่จริงไม่ได้สำคัญแล้ว
กระบี่ฟันลงบนความว่างเปล่า มือกระบี่ชุดเขียวคนหนึ่งที่ไม่ได้ร่ายกายธรรมเดินออกมาจากริ้วกระเพื่อมของเมฆหมอก
หยวนซงยืนอยู่บนยอดเขาสูงของภูเขาทัวเยว่ ยกกระบี่ยาวในมือขึ้น “ถามกระบี่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
สองฝ่ายที่คุมเชิงกันต่างก็เก็บกายธรรมและจิตหยินลงไป
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ ผู้ฝึกกระบี่หยวนซง
กำแพงเมืองปราณกระบี่ อิ่นกวานคนสุดท้าย ผู้ฝึกกระบี่เฉินผิงอัน
หยวนซงดีดปลายเท้าทะยานร่างออกไปจากภูเขาทัวเยว่ กระโจนเข้าหาคนชุดเขียว
บนร่างของเฉินผิงอันพลันมีเส้นยาวสีขาวดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา พริบตาเดียวร่างทั้งร่างของเขาก็มิอาจขยับเขยื้อนได้
คือเส้นด้ายแห่งผลกรรมที่ถูกชักดึงมาจากกายธรรมหมื่นจั้งซึ่งถูกหอกยาวสีทองแทงทะลุไปก่อนหน้านี้
นี่หมายความว่าบนเส้นทางการเดินทางไกลแต่ละครั้งของเฉินผิงอัน ยิ่งเขาชอบยุ่งกับเรื่องคนอื่นมากเท่าไร ยิ่งไม่เห็นการอยู่ไกลห่างจากโลกีย์ของผู้ฝึกตนเป็นเรื่องสำคัญมากเท่าไร ก็จะยิ่งเกิดเส้นด้ายแห่งผลกรรมถี่แน่นมากขึ้นเท่านั้น
หาเหาใส่หัว ย่อมต้องบาดเจ็บสาหัส
เฉินผิงอันใช้จิตบังคับกระบี่ยาวเย่โหยว พยายามสะบั้นเส้นด้ายแห่งผลกรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันก็เรียกกระบี่บินจันทร์ในบ่อออกมา ใช้กระบี่ที่มากนับหมื่นเล่มมารวมกลุ่มกันสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ ปกป้องรอบกายตัวเองเอาไว้ สกัดขวางการปล่อยกระบี่ประชิดตัวจากหยวนซง
ค่ายกลกระบี่เหมือนแก้วที่ปริแตก ส่งเสียงดังเพล้งแล้วแตกกระจายรอบทิศทาง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่บุกมาฆ่าถึงตรงหน้า ปลายกระบี่ชี้ตรงมาที่หว่างคิ้วของเฉินผิงอัน แสงทองจุดหนึ่งพลันพุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที
เฉินผิงอันพลิกหลังมือปาดกระบี่ในแนวเฉียงตัดหัวหยวนซง
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็กระเด็นออกไปหลายสิบลี้ บนพื้นดินถูกสองเท้าของเฉินผิงอันครูดเป็นร่องแตกเส้นหนึ่ง
ต่อให้เฉินผิงอันจะแอบร่ายเรือนกายวารีเมฆา กระนั้นบนร่างก็ยังมีเส้นด้ายแห่งผลกรรมสีทองหนาเท่านิ้วมือปรากฏเพิ่มมาอีกเส้นหนึ่ง
ศีรษะของหยวนซงที่ถูกตัดซึ่งเดิมทีควรหล่นลงพื้นก็มีรอยร้าวปราณกระบี่ที่ยากจะสังเกตเห็นเพิ่มมาเส้นหนึ่ง
เรือนกายทั้งสองฝ่ายแหลกสลายแทบจะเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างลากเส้นโค้งพร่างพราวเส้นหนึ่ง จากนั้นบนสนามรบที่ห่างออกไปหลายสิบลี้ กระบี่ของสองฝ่ายก็ปะทะกัน พายุหมุนกระโชกพัดโหมแรง เฉินผิงอันกระเด็นออกไปอีกครั้ง แผ่นหลังกระแทกทะลุทะลวงภูเขาลูกหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ปลายยอดถูกทำลายจนแหลกไปก่อนแล้ว
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า ปณิธานกระบี่ห่อหุ้มสายฟ้าสีทองที่หนาราวยอดเขาเอาไว้เส้นหนึ่ง พริบตานั้นก็ซัดโจมตีภูเขาทั้งลูกจนแหลกยับ บนพื้นดินปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่
หยวนซงลอยตัวอยู่กลางอากาศ แทงไม่โดนอิ่นกวานหนุ่ม หยวนซงจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เรือนกายจางหายไปอีกครั้ง มองดูเหมือนเป็นการควงกระบี่อย่างง่ายๆ ทว่าฟ้าดินกลับมีเส้นยาวเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาพร้อมกับวิถีโคจรทางน้ำเส้นหนึ่ง แสงกระบี่สองเส้นพุ่งมารวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ในที่สุดต่างฝ่ายก็ต่างเชื่อมหัวเชื่อมหางติดกัน กลายเป็นวงกลมวงหนึ่ง หยวนซงยกมือขึ้นอีกครั้ง แสงกระบี่ที่เหมือนวงกลมสองวงเริ่มมีม่านน้ำม่านเปลวเพลิงแผ่ลามออกมา สุดท้ายหลอมรวมกันอยู่ในหนึ่งเตา ถึงกับผสานมหามรรคาสองเส้นไว้ด้วยกัน น้ำและไฟเคียงคู่อยู่ด้วยกัน ในไฟมีน้ำฝน เปลวเพลิงโชติช่วงร้อนแรงเผาไหม้อยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา
สนามรบพันลี้ แผ่นดินแตกแยก ลาวาเดือดปุดๆ จากทั่วทุกมุม สายฟ้าแลบปลาบสลับถักทอ
คนชุดเขียวถูกกระบี่ของหยวนซงฟันแสกหน้า ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันหล่นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรงจนแผ่นดินยุบเว้าลงไปเป็นหลุม
ถึงอย่างไรขอบเขตสิบสี่ของเฉินผิงอันก็เป็นมรรคกถาที่ยืมมาจากลู่เฉินชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นการหล่อหลอมขัดเกลาของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มหรือระดับความสูงบนวิถีกระบี่ของตัวเองก็ล้วนไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่บริสุทธิ์ตามความหมายที่แท้จริง
อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นฝ่ายสละขอบเขตไร้ผู้คนส่วนนั้นทิ้งไปด้วยตัวเองคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่คมกระบี่ปะทะกันบนสนามรบล้วนเป็นปีศาจใหญ่หยวนซงที่บีบคั้นทุกก้าวย่าง เฉินผิงอันต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่า ถอยแล้วถอยอีก ฝุ่นตลบคละคลุ้งอยู่ตลอด
เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ แสงกระบี่ก็เปล่งวาบไปแล้วถึงร้อยกว่าครั้ง เป็นเหตุให้ฟ้าดินทั่วอาณาเขตพันลี้มีเม็ดทรายเหลืองซัดโหมมืดฟ้ามัวดิน