กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 869.1 ต่อยตี
ดวงจันทร์สามดวงของเปลี่ยวร้าง อวี้โกวได้หล่นร่วงลงบนโลกมนุษย์ไปแล้ว
เซอเยว่เจ้าของฉานกงคนเก่าเดินทางไกลไปเยือนไพศาล ดวงจันทร์ดวงนี้จึงกลายเป็นดินแดนที่ไร้เจ้าของ
ส่วนดวงจันทร์ ‘เฮ่าไฉ่’ ที่เคยลอยอยู่ตรงกลาง มีซากปรักตำหนักเซียนบรรพกาลที่กลิ่นอายความตายเข้มข้นอยู่แห่งหนึ่ง คล้ายเคยผ่านสงครามใหญ่ที่เวทคาถาค้ำฟ้ามาครั้งหนึ่ง จวนที่กินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลและสิ่งปลูกสร้างหลายร้อยแห่งที่ในอดีตทอดยาวติดกันไม่ขาดสายคล้ายถูกปาดราบเป็นหน้ากลองไปในคราวเดียว เหลือเพียงฐานให้เห็นเท่านั้น
ต่อให้พวกผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่มีฉีถิงจี้เป็นหนึ่งในนั้นจะลงมือลากดวงจันทร์ แต่ซากปรักกลับยังไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น กระทั่งป๋ายเจ๋อปรากฎตัวที่ลำคลองเย่ลั่วถึงได้มีความเคลื่อนไหวรุนแรงที่พลิกฟ้ากลบดินนั้นขึ้น
แมงมุมร่างใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งที่ยึดครองพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของดวงจันทร์แหวกผิวดินออกมา มันพลันกลายร่างเป็นมนุษย์ มีรูปโฉมเป็นผู้เฒ่าหลังงองุ้มคนหนึ่ง จากนั้นก็อ้าปากสูดหนึ่งครั้ง คล้ายกับจะดูดกลืนแสงจันทร์ทั้งหมดเข้าไปในท้อง พอพ่นออกมาก็กลายเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง
ก็คือผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจยุคบรรพกาลตนนี้ที่ก่อนหน้านี้ใช้กระบี่ซัดให้หนิงเหยาซึ่งรับผิดชอบเปิดทางหล่นร่วงลงไปในโลกมนุษย์
หลังจากนั้นก็เป็นหนิงเหยาที่พกกระบี่กลับคืนสู่สนามรบ ใช้กระบี่ฟันให้มันจมเข้าไปในรังเก่าที่อยู่ลึกในดวงจันทร์อีกครั้ง
มันเงยหน้ามองนังหนูน้อยที่ดุร้ายเกินจะเปรียบผู้นั้น โคจรวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบทหนึ่ง หมายจะตรวจสอบความจริงเท็จ รู้สึกไม่กล้าเชื่อเล็กน้อย ผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์ที่อายุไม่ถึงร้อยปี?
ปีศาจใหญ่บรรพกาลตนนี้อดไม่ไหวใช้ภาษาโบราณสบถด่า ก่นด่าป๋ายเจ๋อที่ทำอะไรไร้คุณธรรม
ในใจเป็นกังวล หรือว่าผู้ฝึกกระบี่ในอีกหมื่นปีให้หลัง คุณสมบัติด้านการฝึกตนและขอบเขตบนวิถีกระบี่ต่างก็น่ากลัวเช่นนี้?
ถ้าอย่างนั้นตนตื่นขึ้นมาแล้วจะอย่างไร? ไม่สามารถทำอะไรได้เลยกระมัง?
มันกระจายดวงจิตออกไปอย่างว่องไว มองไปยังผู้ฝึกกระบี่คนอื่นที่เหลือ ยังดี ยังดี แม้ว่าขอบเขตจะสูงมาก แต่เมื่อเทียบกับแม่นางน้อยที่จิตสังหารพลุ่งพล่านคนนั้นแล้ว อายุก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว
นี่ไม่ใช่ว่าข้าจะถูกรุมซ้อมหรอกหรือ มันไม่พูดไม่จาก็ร่ายวิชาหลบหนีแห่งชะตาชีวิตบทหนึ่งทะลวงดวงจันทร์ออกไปจากรังที่อยู่ของตัวเอง ครั้นทอดสายตามองออกไปไกลก็ต้องตกใจอย่างหนัก เอ๊ะ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างขาดดวงจันทร์ดวงหนึ่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ถ้าอย่างนั้นก็เลือกฉานกงก็แล้วกัน
แสงสีขาวเส้นหนึ่งพลันเชื่อมโยงเฮ่าไฉ่กับฉานกงเข้าด้วยกันในเสี้ยววินาที
ผลกลับกลายเป็นว่าสตรีผู้นั้นกลับยังไม่แล้วไม่เลิก แสงกระบี่สลายออกแล้วกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกับบังคับกระบี่ให้อ้อมผ่านดวงจันทร์ครึ่งดวง แสงกระบี่นั้นพุ่งฉิวรวดเร็วอย่างไร้เหตุผล
นางโผล่มาสกัดขวางทางไป ถามว่า “จะไปไหน?”
ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้ฝึกกระบี่ แค่ถามกระบี่ครั้งเดียวย่อมไม่พอ
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยยิ้มตาหยี “แม่นางน้อยเจ้าอารมณ์ขนาดนี้ ระวังจะหาสามีไม่ได้นะ”
ภาษาที่ผู้เฒ่าใช้มีความต่างจากภาษากลางของเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้อยู่ไม่น้อย หนิงเหยาพอจะฟังความหมายคร่าวๆ ออกอย่างถูไถ
แต่หนิงเหยาเองก็คร้านจะพูดไร้สาระให้มากความ เตรียมจะส่งกระบี่ออกไป แต่แล้วนางกลับขยับสายตามองไปยังจุดที่อยู่ห่างไปไกลมากทางด้านหลังของผู้เฒ่า
เป็นคนผู้หนึ่งที่ทะยานลมเดินทางไกลมาถึง
หนิงเหยาผ่อนลมหายใจโล่งอก
ที่แท้เฉินผิงอันก็ไม่ได้ย้อนกลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่โดยตรง แต่ถือยันต์เปินเยว่ไว้ในมือหนึ่งแผ่น เขามาถึงดวงจันทร์ฉานกงที่บรรยากาศค่อนข้างสงบก่อน จากนั้นก็เลียบเส้นใยที่คล้ายกับเป็นสะพานเชื่อมโยงดวงจันทร์ทั้งสองดวงเส้นนั้นมา ขณะเดียวกันก็เรียกยันต์เปินเยว่ออกมาอีกแผ่น สุดท้ายจึงมาถึงที่นี่
ตอนนี้เฉินผิงอันหน้าซีดขาว สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อคล้ายคนขี้โรคที่ป่วยหนักยังไม่หายดี เวลานี้ยืนอยู่บนเส้นใยแมงมุมเส้นนั้น เรือนกายของเขาส่ายโงนเงนเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่นี่แล้ว ไม่ต้องหา”
เขามองไปยังปีศาจใหญ่บรรพกาลขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดที่เอาจุดลึกของดวงจันทร์ดวงหนึ่งมาเป็นที่ซ่อนตัว เป็นสถานที่พักผ่อนรักษาบาดแผล
เฉินผิงอันหันไปยิ้มให้หนิงเหยา ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วงข้า พวกเจ้าลากดวงจันทร์กันต่อได้เลย”
หนิงเหยาพยักหน้า หวนกลับไปยังเส้นทางเดิมอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ออกกระบี่ต่อไม่หยุด สราง้ความมั่นคงให้กับเส้นทางที่บุกเบิกไว้
ก่อนหน้านี้นางอดไม่ไหวหันกลับไปมองแวบหนึ่ง
หนิงเหยาจึงได้เห็นว่าเฉินผิงอันกำลังมองนาง
บางทีอาจเป็นเพราะจิตของเขาสัมผัสได้ หรือบางทีเขาอาจจะมองนางอยู่ตลอดอยู่ก่อนแล้ว
หนิงเหยารับผิดชอบออกกระบี่เปิดทาง นางใช้ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ประคับประคองประตูใหญ่บานหนึ่งที่เชื่อมโยงใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับใต้หล้ามืดสลัวเอาไว้
การกระทำนี้คล้ายคลึงกับการยกนครบินทะยานของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสในปีนั้น
ฉีถิงจี้เผยร่างกายธรรม ใช้ปราณกระบี่ของทั้งร่างปกคลุมอาณาเขตพันลี้ของดวงจันทร์เอาไว้ คล้ายกับเป็นเชือกเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าคอยลากดึงดวงจันทร์ให้ขยับเคลื่อนไป
สิงกวานหาวซู่อยู่ในดวงจันทร์ เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘ฉานเจวียน’ ออกมา น้ำค้างแข็งสีเงินยวงแผ่ปกคลุมหมื่นลี้ ผสานกลมกลืนกับแสงจันทร์ ขณะเดียวกันก็ปล่อยกระบี่ หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน ร่วมกันขัดขวางการชักนำแห่งมหามรรคาระหว่างดวงจันทร์เฮ่าไฉ่กับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ลู่จืออยู่ด้านหลังสุด เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เป้าผู่’ มาใช้ นอกจากนี้ก็ยังมีกระบี่แปดเล่มในกล่องใบที่เจ้าลัทธิลู่มอบให้เปล่าๆ แค่ต้องคอยออกกระบี่ฟันดวงจันทร์ ผลักให้มันเคลื่อนไปข้างหน้าเท่านั้น
ในเรื่องของการลากดวงจันทร์นี้ ผู้ฝึกกระบี่สี่คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีการแบ่งงานกันอย่างเป็นระเบียบ ต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ
หาวซู่อยู่ใกล้กับฉีถิงจี้มากที่สุด ทั้งสองฝ่ายจึงพอจะใช้เสียงในใจสื่อสารกันได้อย่างกล้อมแกล้ม เขาถามว่า “จะถือโอกาสสังหารปีศาจใหญ่บรรพกาลตนนี้ไปพร้อมกันเลยหรือไม่?”
ฉีถิงจี้ส่ายหน้ายิ้ม “ในเมื่ออิ่นกวานไม่ได้พูดอะไร ก็อย่าให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนดีกว่า”
ปีศาจใหญ่ตนนั้นบิดข้อมือหนึ่งที แล้วเอื้อมมือไปด้านหลังเหมือนว่ากำลังสะพายกระบี่อยู่ หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “หากจะตีกันขึ้นมาจริงๆ โอกาสชนะหรือ ในเมื่อพวกเจ้าคนมากอำนาจมาก ย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า ก็แค่ต้องระวังว่าแผนการที่วางมาดิบดีจะเสียเปล่า”
เรื่องที่ผู้ฝึกกระบี่หลายคนร่วมแรงกันย้ายดวงจันทร์ไป มันไม่มีความเห็นอะไร ขนาดป๋ายเจ๋อยังไม่สนใจ แล้วมันจะต้องสนใจกะผายลมอะไรเล่า
มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสนอนหลับฝันหวานมาหมื่นปี พอตื่นขึ้นมากลับถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งทำให้ตกใจขวัญหนีก่อน จากนั้นยังต้องมามองคนรักเกี้ยวพากันแบบไม่มีเสียงแต่เหนือกว่ามีเสียงอีก?
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนภูเขาทัวเยว่ เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงยังอกสั่นขวัญแขวน เวลานี้กลับเริ่มใช้เสียงในใจเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ขู่เขากลับบ้างสิ! ดูสิว่าความสามารถในการขู่ให้กลัวของใครจะเหนือกว่ากัน!”
และเวลานี้เอง
ลู่เฉินพลันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องระวังป๋ายเจ๋อ!”
หากรู้แต่แรกก็คงไม่มาร่วมวงเรื่องสนุกที่นี่แล้ว
เพียงแต่ไม่นานลู่เฉินก็ยิ้มเอ่ยขึ้นมาอีก “ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องระวังแล้ว”
โชคดีที่พอมาร่วมวงเรื่องสนุกแล้ว ผินเต้าก็พอจะมีญาณที่ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าบ้างแล้ว
……
บนหัวกำแพง เว่ยจิ้นกำลังหล่อหลอมปณิธานกระบี่เก่าแก่หลายขุมนั้น
เฉาจวิ้นพูดเสียไพเราะว่าจะช่วยปกป้องมรรคาให้ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะเขาไม่มีอารมณ์จะฝึกตนต่างหาก
เพราะเซียนกระบี่ใหญ่แห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะผู้นี้ถึงกับเลื่อนเข้าสู่ขอบเขตประเภทหนึ่ง
เป็นเหตุให้มีเพียงบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่ผู้ฝึกกระบี่สองคนอยู่เท่านั้นที่อยู่ดีๆ ก็มีหิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมา
เฉาจวิ้นอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงนั่งยองอยู่บนหัวกำแพง ปั้นตุ๊กตาหิมะตัวสูงๆ รูปโฉมหล่อเหลาอย่างถึงที่สุด จากนั้นก็ปั้นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาอีกสองสามก้อน หยิบตะเกียบไผ่เขียวสองคู่ออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น ช่วยให้มือกระบี่ผู้หล่อเหลาที่ภายในร้อยปีเวทกระบี่ต้องเลิศล้ำสุดยอดได้พกกระบี่ตรงไว้ตรงเอวข้างละเล่ม ต่อมาก็ให้ตุ๊กตาหิมะได้ถือกระบี่ด้วยสองมือ มือแต่ละข้างแยกกันกดไว้บนหัวของปีศาจบนบัลลังก์ตนหนึ่ง น่าจะกำลังถามพวกมันว่ากล้าหรือไม่กล้า
เฉาจวิ้นหันหน้าไปมองเว่ยจิ้นที่ราวกับภิกษุเฒ่าเข้าฌานแวบหนึ่ง
เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง
หลังจากนั้นก็ใช้การฆ่าปีศาจในกำแพงเมืองปราณกระบี่มาขัดเกลาวิถีกระบี่ หลังกลับไปยังบ้านเกิด อายุหกสิบปีก็เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน
ได้ยินมาว่าอาเหลียงเคยช่วยชี้แนะให้เขาฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตก่อกำเนิด จั่วโย่วเองก็เคยชี้แนะเวทกระบี่ให้ที่นี่ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโยนคัมภีร์กระบี่เล่มหนึ่งมาให้ สุดท้ายพอหวนกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้งก็ได้ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์อีกหลายขุมมาจากจงหยวน
อิจฉาหรือไม่?
ตนไม่รู้จักอาเหลียง จั่วโย่วยังเคยใช้กระบี่ทำลายจิตแห่งมรรคาของตน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยชื่นชมตนประโยคหนึ่งว่าเด็กรุ่นหลังช่างน่ากลัว ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ของจงหยวนไม่ยินดีจะสนใจตน
จนใจหรือไม่?
เว่ยจิ้นพลันเบิกตากว้าง เงยหน้ามองม่านฟ้า
เฉาจวิ้นมองตามสายตาของเว่ยจิ้นไป เงยหน้ามองทิศไกล ถึงกับต้องขยี้ตา
ท่ามกลางการมองเห็น ดวงจันทร์ดวงใหญ่ค่อยๆ เผยเค้าโครงขนาดมหึมาซึ่งกำลังเคลื่อนที่อย่าง ‘เชื่องช้า’
ทั่วทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ทางทิศใต้ คาดว่าคงต้องได้ร่วมกันมองดวงจันทร์ดวงหนึ่งด้วยกันอีกครั้งแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของสำนักใบถง อวี๋ซิน หวังซือจื่อ หลี่หว่านย่ง ตู้เยี่ยน ฉินสุ้ยหู่ ก่อนหน้านี้หลังจากที่พวกเขาออกมาจากซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้จับมือกันเดินทางไกลตรงดิ่งไปที่รื่อจุ้ย ไปเยี่ยมเยือนซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี รวมไปถึงเหวยอิ๋งแห่งสำนักกุยหยก
ดังนั้นจึงพลาดโอกาสที่จะได้เห็นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกกระบี่ในระยะประชิดกับตาตัวเองไป
คนทั้งกลุ่มได้แค่หยุดชะงักกลางทาง หันกลับไปมองปราณกระบี่ที่พลังอำนาจดุจสายรุ้งทางหัวกำแพงเมืองที่อยู่ทิศเหนือ
ฉินสุ้ยหู่ด่าขำๆ “ก่อนหน้านี้ใครบอกต้องว่ารีบเดินทาง เดินออกมาเลย”
ต่อให้อยู่ห่างมาไกลมาก ผู้ฝึกกระบี่ทั้งกลุ่มก็ยังคงสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่อันไพศาลที่พุ่งทะยานฟ้าขุมนั้นได้
หลี่หวานย่งตาพร่าจิตใจหวั่นไหว พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด ขยี้ซีกหน้าตัวเองแรงๆ “คาดว่าคงมีเพียงกระบี่นี้เท่านั้นที่ถึงจะคู่ควรกับสามคำว่า ‘บริสุทธิ์ที่สุด’ ได้”
ตู้เยี่ยนสีหน้าเลื่อนลอย พึมพำเอ่ยว่า “ชั่วชีวิตนี้พวกเราฝึกกระบี่ร้อยปีพันปี หรือต่อให้นานยิ่งกว่านั้น สุดท้ายแล้วจะสามารถปล่อยกระบี่เช่นนี้ออกไปได้หรือไม่?”
ต่อให้ชั่วชีวิตนี้ออกได้แค่กระบี่เดียวก็ยังดี
หวังซือจื่อกล่าว “อันที่จริงเวทกระบี่ของอาจารย์จั่วใกล้เคียงกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสที่สุดแล้ว”
พูดถึงจั่วโย่ว พวกบุรุษตัวโตๆ ทั้งหลายก็พากันหันไปมองสตรีเพียงหนึ่งเดียวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
อวี๋ซินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
อันที่จริงตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้เจอกับอาจารย์จั่วก็ไม่เลวเหมือนกัน
อวี๋ซินไม่อยากเห็นจั่วโย่วลำบากใจ
แต่แล้วนางก็เอ่ยเยาะหยันตัวเอง อาจารย์จั่วหรือจะรู้สึกลำบากใจกับความรักชายหญิงที่นางคิดไปเองฝ่ายเดียว?
อาจารย์จั่วมีแต่จะทำให้ใต้หลาไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร้างร่วมกันลำบากใจมากกว่ากระมัง
เฉินซานชิวและเตี๋ยจ้างติดตามเส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยิน พร้อมกับสิบแปดกระบี่ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ขี่กระบี่ไปยังท่าเรือทางใต้ด้วยกัน
ตอนที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสออกเดินทางไกลจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปยังเปลี่ยวร้าง เคยจงใจชะลอความเร็ว ก้มหน้าลงมอง ผงกศีรษะให้กับเฉินซานชิวและเตี๋ยจ้าง
ผู้เยาว์สองคน…ถูกบีบให้ต้องเงยหน้า ทว่าเพียงแค่วูบเดียวก็มองไม่เห็นร่องรอยของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอีก
หม่าขู่เสวียนซ้อมคนเสร็จแล้วก็ปัดมือ สีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง
เรื่องที่น่าสนใจที่สุดก็คือก่อกำเนิดเฒ่าที่เจ็บแค้นเดือดดาลอย่างถึงที่สุดผู้นั้นเงยหน้าขึ้นฟ้า ตะโกนเสียงดังว่า “อาจารย์เฮ้อ ท่านจะปล่อยให้ไอ้บ้านี่ทำร้ายคนอย่างกำเริบเสิบสานแบบนี้หรือ?”