กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 870.2 ดอกไม้บานตามลำดับ
นาทีถัดมา จื้อกุยก็ถูกบีบให้ออกไปจากห้อง หวนกลับไปยังระเบียงของดาดฟ้าอีกครั้ง นางใช้นิ้วโป้งลูบซีกแก้ม บนแก้มมีรอยเลือดจางๆ จากการถูกปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งกรีด
เป็นขอบเขตสิบสี่ในตำนานจริงเสียด้วย!
ซ่งจี๋ซินรินน้ำชาสองถ้วย ใช้นิ้วมือผลักถ้วยชากระเบื้องขาวใบหนึ่งไปให้เฉินผิงอันเบาๆ
อุปกรณ์ชงชาบนโต๊ะนี้ได้มาจากที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาของหลงโจว
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ
เฉินผิงอันก็กลับมาที่หัวเรือ
ทิ้งไว้เพียงอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีสีหน้าเปลี่ยวเหงาให้เหม่อมองถ้วยชาที่อยู่เบื้องหน้าเพียงลำพัง
จ้าวเหยารอคอยให้เฉินผิงอันกลับมาอยู่ตลอด พอเห็นว่าเขากลับมาแล้วก็ใช้เสียงในใจถามว่า “ผู้ฝึกกระบี่อีกสองคนล่ะ?”
อันที่จริงครั้งแรกที่จ้าวเหยาไปพบเฉินผิงอัน ใช่ว่าเขาจะไม่กังวล เพราะอดกังวลไม่ได้ว่าเฉินผิงอันอยากจะเก็บรวบรวมกระบี่เซียนไท่ป๋ายให้ครบ
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉ เฝ่ยหรานแห่งเปลี่ยวร้าง”
จ้าวเหยาขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเป็นเฝ่ยหราน”?
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน วันหน้าเจ้าก็ลองไปถามเองได้ ทุกวันนี้เขาฝึกตนอยู่ในอารามเสวียนตูใหญ่ เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว”
จ้าวเหยายิ้มเจื่อน “ทุกวันนี้เพิ่งจะเป็นขอบเขตหยกดิบ เจ้าจะให้ข้าบินทะยานไปใต้หล้ามืดสลัว เรื่องของปีมะโว้แล้ว ไม่สู้รอให้อาจารย์ป๋ายย้อนกลับมายังไพศาลยังจะเป็นไปได้มากกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อสามารถแหกกฎของใต้หล้าห้าสีกลับมายังบ้านเกิดได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้แหกกฎไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวด้วยก็ได้”
จ้าวเหยาสะอึกอึ้งไปทันที
คุยกับเจ้าคนที่ชอบจดจำความแค้นผู้นี้ ไม่เคยสบายใจได้เลยจริงๆ
จ้าวเหยาเอ่ยประโยคหนึ่งตามมารยาท “กลับเมืองหลวงด้วยกันไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะหวนกลับไปยังสถานที่ที่เคยไปเยือนทางใต้เสียหน่อย”
จื้อกุ้ยสีหน้าเฉยเมย หรี่ดวงตาที่เป็นสีทองทั้งคู่ลง หลุบตาลงมองเฉินผิงอันจากที่สูง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าในเวลานี้จะต้องทำให้คนผิดหวัง”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ามองสตรีผู้นั้น ไม่ได้อธิบายอะไร เดิมทีกับนางก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันมากมายอยู่แล้ว
แต่พอได้ยินประโยคนี้ของจื้อกุย เฉินผิงอันกลับหัวเราะ
อย่างน้อยที่สุดหลายปีที่จากบ้านเกิดมานี้ ติดตามซ่งจี๋ซินร่อนเร่ไปทั่ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้ทำให้อาจารย์ฉีผิดหวัง
ในสงครามใหญ่ นางทั้งไม่เคยหันไปสวามิภักดิ์เข้าร่วมกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลับกันยังเป็นฝ่ายออกไปจากบนบก ต่อสู้กับปีศาจใหญ่เฟยเฟยราชาบนบัลลังก์เก่า ขัดขวางวิชาอภินิหารแห่งเวทน้ำของอีกฝ่ายที่พยายามจะทำให้น้ำท่วมกลบทับนครมังกรเฒ่า เป็นเหตุให้โดนกระบองของจูเยี่ยนบรรพบุรุษย้ายภูเขาตีแสกหน้าไปหลายที
หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลงก็ไม่เคยบุกเข้าไปที่กุยซวีอย่างบุ่มบ่ามเพื่อพยายามที่จะก่อสำนักตั้งตนเป็นอิสระอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างซึ่งไร้คนพันธนาการ
ไม่ได้ช่วงชิงอะไรกับตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่เพียงเพื่อสถานะของเจ้าผู้ครองโชคชะตาน้ำ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้อาละวาดฉีกหน้าแตกหักกับศาลบุ๋น
ที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่ได้หลอกทำร้ายซ่งจี๋ซิน ในเมื่อนางที่อยู่ตรอกหนีผิงสามารถขโมยกินปราณมังกรบนร่างของซ่งจี๋ซินได้ ถ้าอย่างนั้นนางในเวลานี้ก็สามารถเอาปราณมังกรกลับมาหล่อเลี้ยงซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองได้เช่นกัน
หากนางทำเช่นนี้ก็จะเกี่ยวพันไปถึงสถานการณ์ของโชคชะตาในหนึ่งแคว้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์ที่หนึ่งแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีแบ่งออกเป็นสอง สุดท้ายเป็นการคุมเชิงกันของเหนือและใต้
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ กุมหมัดบอกลากับแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้น
จื้อกุยรอให้เจ้าหมอนั่นจากไปแล้วถึงกลับไปที่ห้อง พบว่าซ่งจี๋ซินใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางจึงนั่งลงตามสบาย ถามว่า “เจรจากันไม่สำเร็จหรือ?”
ซ่งจี๋ซินไม่พูดอะไรสักคำ เขาเงียบอยู่นานมาก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ไปเมืองหลวงแล้ว ไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง”
สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย
ศิษย์พี่เหมาได้ออกจากตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแล้ว อีกทั้งหลังผ่านการประชุมศาลบุ๋นไปก็ไม่ได้ควบตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการและเจ้าขุนเขาสำนักศึกษา แต่มารับตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาคนใหม่ของทวีปอื่น
เฉินผิงอันปรากฏตัวที่ยอดเขาของภูเขาตงซานในสำนักศึกษา ยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ทอดสายตามองไกลไปยังวังหลวง เกาเซวียนองค์ชายในอดีตได้กลายเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าสุยแล้ว
ปีนั้นในเมืองเล็กมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน เฉินผิงอันได้เหรียญทองแดงแก่นทองมาถุงแรก หากว่ากันในความหมายที่เข้มงวดแล้วก็คือเป็นเงินที่ได้มาจากมือของเกาเซวียน บวกกับอีกสองถุงที่กู้ช่านทิ้งไว้ให้ เขาจึงสามารถเก็บรวบรวมเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามประเภทอย่างเงินก้งหย่าง เงินอิ๋งชุน และเงินยาเซิ่งได้อย่างละหนึ่งถุงพอดี และเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงนี้ อันที่จริงต่างก็ถือเป็นโชควาสนาที่เฉินผิงอันพลาดไป แรกสุดคือหนีชิวตัวที่มอบให้กู้ช่าน ภายหลังได้เจอกับท่านอาหลี่ ขณะกำลังต่อรองราคากลับถูกเกาเซวียนชิงตัดหน้าซื้อปลาหลีสีทองตัวนั้นไป บวกกับข้องราชามังกรที่มอบให้เปล่าๆ อีกใบหนึ่ง
ภายหลังลูกหลานสกุลเกาเมืองเกอหยางต้าสุยผู้นี้ได้ใช้สถานะตัวประกันจากการที่สองแคว้นเป็นพันธมิตรกันมาอยู่ที่ราชวงศ์ต้าหลี และเคยมาศึกษอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นนานหลายปี
ตอนอยู่ในสำนักศึกษาซานหยา เกาเซวียนก็มักจะมาตกปลากับอวี๋ลู่บ่อยๆ และแท้จริงแล้วก็สนิทกับพวกเป่าผิง หลี่ไหวมาก
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปหาเกาเซวียนที่วังหลวงต้าสุย ตอนนี้ฮ่องเต้ที่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานพระองค์นี้กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจฎีกาในห้องทรงพระอักษร
ขันทีอายุมากที่ถูกวงการต้าสุยเรียกขานอย่างลับๆ ว่าเป็น ‘เสนาบดี’ สองรัชสมัยเฝ้าอยู่หน้าประตู จากนั้นก็มีผู้ถวายงานคนหนึ่งมาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ดูเหมือนว่าจะชื่อไช่จิงเสิน
เฉินผิงอันไม่สนิทกับเขา แต่ดูเหมือนว่าชุยตงซานและท่านอาหลี่ต่างก็สนิทกับเขามาก
ต่อมาเขาก็แค่ไปเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบของสำนักศึกษาครู่หนึ่ง ครั้นเรือนกายก็จางหายไป ออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นเฉินผิงอันฟังคำบอกเล่าจากจางซานเฟิง บอกว่ายุคบรรพกาลมีเทพหญิงที่ทำหน้าที่ป่าวประกาศการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ คอยดูแลบุปผาพืชพรรณในใต้หล้า ผลปรากฏว่าในแคว้นกู่อวี๋มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ไม่งอกงามร่วงโรยตามเวลาที่กำหนด เทพหญิงจึงออกโองการทำให้ต้นไม้ต้นนี้ไม่อาจมีสติปัญญา จึงยากยิ่งที่จะฝึกตนกลายเป็นภูตหล่อหลอมเรือนกายได้สำเร็จ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่าทึ่มเหมือนตอไม้อวี๋ในโลกยุคหลังเกิดขึ้น
หากเฉินผิงอันจำไม่ผิด นักเล่านิทานแซ่ฉู่ที่อยู่ทางทิศใต้ ปีนั้นมีตบะแค่ขอบเขตห้าจริงๆ นี่จึงไม่สอดคล้องกับปีที่มันดำรงอยู่บนโลก
ผู้ฝึกตนที่อยู่บนภูเขามีคำกล่าวถึงอายุลวงและอายุจริง วิธีการคำนวณไม่ค่อยเหมือนกับอายุของคนล่างภูเขา ถ้าอย่างนั้นภูติต้นอวี๋โบราณตนนี้จึงเป็นดั่งคำว่าอายุลวงหลายพันปี แต่อายุแท้จริงกลับไม่มากพอตามแบบฉบับแล้ว
เวลานั้นเฉินผิงอันอ่านตำรามาน้อย วิสัยทัศน์ตื้นเขิน ก่อนหน้านี้ยังเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายคือเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่คนแซ่ฉู่คนเดียว บวกกับเรื่องเล่าที่จางซานเฟิงเล่าให้ฟัง รวมไปถึงเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองมาจากแคว้นกู่อวี๋ก็น่าจะพอคาดเดาได้แล้ว
ภูตในใต้หล้านี้ ขอแค่หลอมเรือนกายได้สำเร็จ เรื่องของชื่อจริงก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
หากใช้วิธีการอธิบายตัวอักษรตามแบบของอาจารย์สวี่แห่งเส้าหลิง ตัวอักษรฉู่ (楚) ด้านบนคืออักษรหลิน (林) ด้านล่างคืออักษรผี่ (疋) อักษรผี่สามารถอธิบายได้ว่า ‘เท้า’ อักษรมู่ (木) สองตัวประกอบกันเป็นอักษรหลิน (林 คำว่าหลินหมายถึงป่า คำว่ามู่แปลว่าต้นไม้) ใต้ต้นไม้มีเท้า ราชครูแคว้นกู่อวี๋ผู้นั้นจึงใช้อักษรนี้มาเป็นแซ่ของตัวเอง
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปกลางอากาศเหนือท่าเรือ
แคว้นกู่อวี๋ จวนต้าเม่า
แซ่สกุลประจำแคว้นของแคว้นกู่อวี๋ก็เป็นแซ่ฉู่เช่นเดียวกัน ส่วนภูตต้นอวี๋ที่ใช้นามแฝงว่าฉู่เม่าก็รับหน้าที่เป็นราชครูแคว้นกู่อวี๋มานานหลายปีแล้ว
เวลานี้ฉู่เม่ากำลังทานอาหาร อาหารรสเลิศเต็มโต๊ะจัดทำอย่างประณีติ บวกกับสุราเลิศรสของบรรณาการที่เอามาจากเมืองหลวง และยังมีสาวใช้เยาว์วัยสองคนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ช่างเป็นเทพเซียนที่ใช้ชีวิตของเทพเซียนจริงๆ
แค่ดูจากที่เขาทุ่มเทความคิดในเรื่องการกินก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนพิถีพิถันคนหนึ่ง
แน่นอนว่าปีนั้นใต้เท้าราชครูท่านนี้ยังค่อนข้างจะเกรงใจอยู่มาก บนร่างสวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะที่จำแลงมาจากเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร ตบลงไปบนกระจกคุ้มกันหัวใจเบื้องหน้าตัวเองอย่างแรง ขอให้เฉินผิงอันออกหมัดใส่ตรงจุดนี้
นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหาร ดูเหมือนว่าจะเป็นของในคลังสมบัติอักษรตี้ (อักษรดิน เป็นรองจากอักษรเทียนหรืออักษรฟ้า)
เป็นวีรบุรุษชายชาตรีแนวเดียวกันกับตู้อวี้แห่งตำหนักขวานผีที่เฉินผิงอันเจอที่อุตรกุรุทวีปในภายหลัง คนหนึ่งขอให้เจ้าต่อย คนหนึ่งขอให้เจ้ายอมให้สามกระบวนท่า
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าประตู คลายภาพบรรยากาศของผู้ฝึกตนออกมาเล็กน้อย
ฉู่เม่าตีหน้าเคร่ง หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ผู้ที่มาเยือนคือแขก ไยต้องทำลับๆ ล่อๆ”
ไม่ได้หันหน้ามา ยังคงใช้ตะเกียบคีบอาหารต่อไป
ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่ง ขอบเขตไม่สูง แต่กลับใจกล้าไม่น้อย
ตรงหน้าประตูมีคนชุดเขียวที่ยืนสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเผยกาย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ราชครูฉู่ สบายดีหรือไม่”
ฉู่เม่าขมวดคิ้วน้อยๆ เบี่ยงหน้ามาช้าๆ เพียงแต่ว่าพอเขาเห็นรูปโฉมของคนผู้นั้น ใต้เท้าราชครูก็เหงื่อแตกพลั่กราวกับตากฝน
กลับเป็นสาวใช้สองคนที่คอยปรนนิบัติใต้เท้าราชครูกินอาหารที่ยังไม่รู้ถึงความหนักเบาและผลดีผลเสีย
รู้สึกเพียงว่าบุรุษชุดเขียวที่ปีนกำแพงเข้ามาช่างใจกล้าเสียจริง อืม หน้าตาก็หล่อเหลาไม่น้อย
ฉู่เม่าต้องใช้มือหนึ่งจับประคองโต๊ะถึงจะลุกยืนโงนเงนขึ้นได้ เขาถอยหลังไปสองสามก้าว จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงหยิบป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ แขวนไว้ตรงเอว สุดท้ายประสานมือคารวะก้มตัวลงต่ำสุด “ฉู่เม่าผู้ฝึกลมปราณแห่งแคว้นกู่อวี๋คารวะเจ้าสำนักเฉิน”
ข้าผู้อาวุโสไม่ได้ตาบอด บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่ภูเขาตะวันเที่ยงก่อนหน้านี้ชมดูด้วยความเบิกบานใจ ดื่มสุราไปก็ไม่น้อย
ส่วนป้ายสงบสุขปลอดภัยที่กรมอาญาต้าหลีแจกจ่ายให้ของฉู่เม่าชิ้นนี้ แน่นอนว่าเป็นระดับล่างสุด
เพียงแต่ฉู่เม่าคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าเซียนกระบี่ที่สูงส่งเกินปีนป่ายผู้นี้มาเยือนแคว้นกู่อวี๋เล็กๆ ทำไม?
เฉินผิงอันเองก็หยิบป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อเช่นกัน “บังเอิญขนาดนี้เชียว ข้าเองก็มีอยู่แผ่นหนึ่ง”
คิดไม่ถึงว่าป้ายของผู้ถวายงานแผ่นนี้จะเอาออกมาใช้ได้บ่อยขนาดนี้
ฉู่เม่าขับเรือตามกระแสลมทันใด “เป็นเรื่องที่มิกล้าคาดฝันจริงๆ ถึงกับโชคดีได้เป็นผู้ถวายงานต้าหลีเหมือนกับเซียนกระบี่เฉิน ก่อนหน้านี้ยังเพ้อฝันไปว่าจะสามารถแลกเอาป้ายผู้ถวายงานลำดับรองมา หากทำได้ก็คงดี ทว่าตอนนี้ต่อให้ต้าหลีมอบป้ายผู้ถวายงานอันดับหนึ่งให้กับข้า ข้าก็คงต้องปฏิเสธแล้ว”
เฉินผิงอันยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา บิดหมุนข้อมือหนึ่งครั้งก็มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดลักษณะคล้ายน้ำเต้าบรรจุเหล้าโผล่มาเพิ่ม ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นเจ้าพูดเองนะ บอกว่าในอนาคตขอแค่ผ่านแคว้นกู่อวี๋มา จะต้องมาเป็นแขกที่บ้านของเจ้าให้ได้ ต่อให้อยากไปดื่มเหล้าที่วังหลวงก็ยังไม่มีปัญหา แล้วยังแนะนำข้าว่าทางที่ดีที่สุดควรจะเลือกคืนที่มีพายุหิมะ พวกเราสองคนนั่งอยู่บนหลังคาตำหนักหลังใหญ่ ร่ำสุราชมหิมะ ต่อให้ฮ่องเต้รู้ก็ไม่มีทางมาไล่”
ตอนนั้นฉู่เม่าบอกว่าตัวเองมีความสัมพันธ์แบบที่ทั้งช่วยเหลือกันและป้องกันกันเองกับฮ่องเต้สกุลฉู่ ดังนั้นเมื่อย้อนกลับไปมองก็ถือเป็นถ้อยคำจริงใจที่เอ่ยได้อย่างมีมโนสำนึกจริงๆ
ฉู่เม่ายืนอยู่ที่เดิม อึ้งงันไร้คำพูด ประดุจโดนฟ้าผ่าลงกลางหัว
เซียนกระบี่ชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะเป็นเด็กหนุ่มของเมื่อปีนั้นได้อย่างไร?!
เวลาเพิ่งผ่านไปกี่ปีเอง? เวลานั้นตนกับผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มเพียงแค่พบเจอกันบนทางแคบ ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ดูเหมือนจะ…ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่กระมัง?
อีกอย่างเจ้าเป็นถึงนายท่านเซียนกระบี่ขอบเขตห้าคนหนึ่ง ช่วยมองภูตขอบเขตถ้ำสถิตตัวเล็กๆ อย่างข้าเป็นผายลมที่ปล่อยออกมาไม่ได้หรือ?
ไยต้องซักไซ้ไล่เรียงรื้อค้นบัญชีเก่า ทำลายมาดแห่งตระกูลเซียนไปเสียเปล่าๆ
เฉินผิงอันยกเก้าอี้มาแล้วนั่งลงไป ยิ้มเอ่ยกับสาวใช้คนหนึ่งว่า “รบกวนแม่นางช่วยเอาถ้วยและตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด”
ฉู่เม่าเพิ่งคิดว่าจะสั่งสอนห่านบื้อที่ไม่มีแววตาแม้แต่น้อยผู้นั้นสักสองสามประโยค กลับสังเกตเห็นก่อนว่าเซียนกระบี่มองตนกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ฉู่เม่าจึงพูดกับสาวใช้คนนั้นด้วยสีหน้าเมตตาทันที “จำไว้ว่าเอาสุราดีมาหลายๆ กาด้วย”
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็ถามชวนคุยว่า “เจ้ากับนักพรตป๋ายลู่ยังคบค้าสมาคมกันอยู่หรือไม่?”
สำหรับนักพรตป๋ายลู่ที่เป็นหนึ่งในพันธมิตรของฉู่เม่า ยากนักที่ความทรงจำจะไม่แจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น
มาอย่างรวดเร็ว แต่เผ่นหนีไปรวดเร็วยิ่งกว่า
ตอนนั้นฉู่เม่าเห็นท่าไม่ดีก็รีบเรียกเทพภูเขาฉินและนักพรตป๋ายลู่ให้มาช่วยเหลือทันที คิดไม่ถึงว่านักพรตป๋ายลู่ที่เพิ่งจะพลิ้วกายลงในระเบียง เท้าเพิ่งสัมผัสพื้นก็ดีดปลายเท้า เสกแส้ปัดฝุ่นในมือให้จำแลงเป็นกวางขาวตัวหนึ่ง มาอย่างรีบร้อน ทว่าจากไปกลับรีบร้อนยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า ‘มารดามันเถอะ ผู้ฝึกกระบี่!’
อันที่จริงเฉินผิงอันในเวลานั้นไหนเลยจะถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้
กระบี่บินเล่มหนึ่ง มีหรือไม่มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตถึงจะเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญอีกที
และชูอีกับสืออู่ ในฐานะกระบี่บินสองเล่มที่อยู่เคียงข้างเฉินผิงอันมายาวนานที่สุด จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของพวกมันไม่เจอ
ฉู่เม่ายิ่งอกสั่นขวัญผวา เขาถอนหายใจตอบว่า “ก่อนหน้านี้นักพรตป๋ายลู่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยในสงคราม ทุกวันนี้ไปยังต่างทวีปเพื่อผ่อนคลายอารมณ์แล้ว บอกว่าหากท่องเที่ยวเก้าทวีปของไพศาลเสร็จเมื่อไหร่จะต้องไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่สักครั้ง เปิดโลกทัศน์เสียหน่อย ถือเสียว่าทำหน้าหนาไปดื่มสุราคารวะเหล่าเซียนกระบี่ที่รบตายไป ท่านนักพรตยังบอกด้วยว่าเมื่อก่อนไม่รู้ถึงความดีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รอกระทั่งสงครามยากลำบากที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขานึกจะตายก็ตาย อีกทั้งยังตายกันทีเป็นเบือลุกลามมา ถึงได้รู้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เดิมทีนึกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรแม้แต่น้อยได้ช่วยใต้หล้าไพศาลปกป้องความสงบผาสุกไว้นานนับหมื่นปีนั้นมีความกล้าหาญถึงเพียงใด ไม่ง่ายถึงเพียงใด”
อันที่จริงปีนั้นเมื่อกลับไปยังเมืองหลวงของแคว้นกู่อวี๋ ฉู่เม่าเคยส่งนักฆ่ากลุ่มหนึ่งไป เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคน ผู้ฝึกตนอิสระสองคน ให้ไปลอบฆ่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มคนนั้น ผลคือเป็นดั่งวัวปั้นดินหล่นลงมหาสมุทร ดั่งซาลาเปาที่เอาขว้างหัวหมา แต่ละคนจากไปแล้วไม่หวนกลับมา
ดังนั้นตลอดหลายปีผ่านมานี้ ฉู่เม่าจึงไม่เคยคิดจะไปแก้แค้นที่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ยอมรับว่าตัวเองดวงซวย ไปมีเรื่องกับใครไม่มี ดันไปมีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่เสียได้
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ด้วยรากฐานมหามรรคาของราชครูฉู่ ปีนั้นทำไมถึงไม่หันไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร้างล่ะ?”
ฉู่เม่าคลี่ยิ้ม “เป็นภูต ไม่ได้เป็นสัตว์เดรัจฉาน”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น “ชนกันหน่อย”
ฉู่เม่ารีบใช้สองมือยกจอกเหล้า รอกระทั่งเซียนกระบี่ชุดเขียวดื่มแล้วเขาถึงได้พลันแหงนหน้า กระดกดื่มเหล้าในจอกจนหมด
ฉู่เม่ารินเหล้าจนเต็มอีกครั้ง รีบเอ่ยถ้อยคำไพเราะที่ได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง “หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่เฉินมีภูเขาเป็นของตัวเอง มิอาจปลีกตัวออกมาได้จริงๆ ไม่มีอิสระสง่างามเหมือนเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะ ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ด้วยคุณสมบัติของเซียนกระบี่เฉินจะต้องไม่ด้อยไปกว่าเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแม้แต่นิดแน่นอน”