กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 871.2 ช่างน่าเสียดาย
เฉินผิงอันเพิ่งเคยดื่มเหล้าฉางชุนเป็นครั้งแรก เขายิ้มเอ่ยว่า “หากภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้ากังวลว่าข้าจะหาข้ออ้างฉวยโอกาสก่อเรื่อง เลยจงใจลงโทษใครสักคนหนักๆ ลงมืออำมหิตมากเป็นพิเศษ อย่างเช่นว่าสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะของลูกศิษย์ ตัดชื่อออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำ ขับไล่ออกจากภูเขาอะไรทำนองนั้น ก็อย่าดีกว่า”
ความคิดของหนีเยว่หรงแล่นอย่างว่องไว ไม่กล้ารับปากทันที แน่นอนว่านางต้องกังวลว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นี้จะพูดตรงข้ามกับความต้องการจริง
เฉินผิงอันเองก็ไม่สนใจว่าหนีเยว่หรงจะคิดเหลวไหลอย่างไร “เดี๋ยวต้องรบกวนหนีเซียนซือช่วยข้านำความไปบอกแก่จู๋หวง บอกไปว่าพวกคนรุ่นเยาว์ที่ทำอะไรโดยใช้อารมณ์พวกนี้ต่างหากถึงจะเป็นอนาคตของภูเขาตะวันเที่ยงพวกเจ้า”
หนีเยว่หรงเหลือบตามองใบหน้าด้านข้างของเซียนกระบี่หนุ่มไวๆ สีหน้าไม่เหมือนจะเสแสร้ง แต่นางก็ก้มหน้าดื่มเหล้าต่ออย่างรวดเร็ว รู้สึกสับสนไม่แน่ใจ คิดว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วผู้นี้คล้ายจะเป็นเจ้าสำนักของภูเขาตะวันเที่ยงบ้านตนแล้ว?
เฉินผิงอันเอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่าบนเส้นทางการฝึกตนมีเรื่องไม่คาดฝันมากมาย ไม่อาจเอาแต่ใช้อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของคนหนุ่มสาวอย่างเดียว จนกลายเป็นว่าเห็นความสามารถในการทำความผิดเป็นความสามารถที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่นในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาตะวันเที่ยง ใครที่พอเลือดร้อนขึ้นหัวก็แอบไปลงมืออำมหิตที่ภูเขาลั่วพั่ว ใช้วิธีการชั่วร้ายแล้วเผ่นหนี พอหนีไม่พ้นก็ค่อยต่อสู้เอาเป็นเอาตาย เรื่องแบบนี้พวกเจ้าที่เป็นผู้อาวุโสในสำนัก ทางที่ดีที่สุดหากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง ห้ามได้ก็ควรห้าม”
“ไม่อย่างนั้นหากเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นจริงๆ ก็ต้องรบกวนให้ผู้คุมกฎคนใหม่อย่างเซี่ยหย่วนชุ่ยไปเก็บศพที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราแล้ว จากนั้นค่อยกลับมาที่นี่พร้อมกับเซียนกระบี่บางท่านของภูเขาลั่วพั่ว รับของขวัญตอบแทนกลับคืนไป”
“ส่วนผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงที่เดินทางไปยังหลงโจวต้าหลีอย่างเปิดเผย ขึ้นเขาไปถามกระบี่ต่อภูเขาลั่วพั่วอย่างตรงไปตรงมาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
หนีเยว่หรงจดจำเรื่องสำคัญพวกนี้เอาไว้เงียบๆ จากนั้นนางก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง เอาแกนภาพออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น ข่มกลั้นความเสียดายตัดใจจากของรัก คิดว่าจะหาเหตุผลสักข้อมาประจบเอาใจภูเขาลั่วพั่ว หรือควรจะพูดว่าเอาใจเซียนกระบี่หนุ่มตรงหน้าผู้นี้ สร้างมิตรภาพเป็นการส่วนตัว ผูกสัมพันธ์ควันธูปไว้สักเล็กน้อย ต่อให้อีกฝ่ายรับสมบัติไปแล้วไม่คิดจะรับน้ำใจก็ไม่เป็นไร นางก็จะคิดเสียว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ นับแต่โบราณมาก็ไม่ควรยื่นมือมาตบหน้าคนที่ยิ้มให้อยู่แล้ว
เฉินผิงอันตามองตรงไปข้างหน้า แต่กลับคล้ายจะมองใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ดีถึงความคิดของหนีเยว่หรง จึงยิ้มเอ่ยว่า “การฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย เงินในกระเป๋าของใครก็ล้วนไม่ใช่ว่าคว้ามาได้จากสายลม วักมาได้จากสายน้ำ”
หนีเยว่หรงเก็บแกนม้วนภาพชิ้นนั้นกลับไปอย่างขลาดๆ ปลุกความกล้าถามคำถามที่ช่วงเวลาที่ผ่านมานางคิดเป็นร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ “เจ้าสำนักเฉิน ทำไมถึงได้ชื่นชอบยอดเขาชิงอู้เป็นพิเศษ และยังมีหอกว้ออวิ๋นของพวกเราที่ดูเหมือนท่านจะยัง…เกรงใจอยู่บ้าง?”
เป็นผู้ฝึกตนหญิงเหมือนกัน เหลิ่งฉี่แห่งยอดเขาฉงจือเรียกได้ว่ามีสภาพอเนจอนาถ เทียบกับภูเขาชิวลิ่งของเถาแยนโปแล้วไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ทุกวันนี้ยอดเขาฉงจือไม่ได้ปิดภูเขาแต่ก็ยิ่งกว่าปิดภูเขา และบรรพจารย์เหลิ่งฉี่เจ้าแห่งยอดเขาที่ไม่ได้ปิดด่านก็ยิ่งกว่าปิดด่าน
เฉินผิงอันนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ “เมื่อครู่นี้ก็บอกแล้วว่าฝึกตนไม่ง่าย สตรีฝึกตนอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยง ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง เฉินผิงอันทอดสายตามองไปยังทัศนียภาพอันเงียบสงบที่ท่าเรือ “เรื่องบางอย่างสามารถเข้าใจได้ ก็แค่ไม่คิดว่าเจ้าทำถูกเท่านั้น ไม่มีทางดูแคลนเจ้า แต่ก็ไม่คิดจะสงสาร”
หนีเยว่หรงทั้งไม่ได้เผยสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
นางแค่ไม่ดื่มเหล้าอีกอึก คิ้วตาเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยน สิบนิ้วของสองมือสอดผสาน มองเมฆขาวภูเขาเขียวที่อยู่ห่างไปไกลอย่างนิ่งสงบ
เฉินผิงอันคิดว่าดื่มเหล้าหมักฉางชุนในมือกานี้หมดก็จะออกไปจากภูเขาตะวันเที่ยง ออกเดินทางต่ออีกครั้ง เดินทางไกลไปยังสถานที่ถัดไป เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “เดิมทีไม่คิดว่าจะพูดอะไรมากขนาดนี้ หากหนีเซียนซือไม่ได้อยู่ที่นี่ อย่างมากสุดก็แค่ไปที่ยอดเขาสุ่ยหลง เอ่ยขอบคุณคนคนหนึ่งก็พอแล้ว”
พูดถึงพี่ชายผู้มีความสามารถบางคนของยอดเขาสุ่ยหลงที่ดูแลรายงานของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างกระตือรือร้น ระมัดระวังรอบคอบผู้นั้น
เฉินผิงอันถามชวนคุย “ชื่อของสำนักเบื้องล่าง คิดดีแล้วหรือยัง?”
หนีเยว่หรงไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้มีอะไรให้น่าปิดบัง จึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ตามความต้องการของศาลบรรพจารย์คือจะตั้งชื่อให้ว่า ‘สำนักกระบี่หวงซาน’ แต่ว่ายังไม่ได้ตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แค่ตั้งชื่อไว้เช่นนี้ชั่วคราว”
ก่อนหน้านี้มีการประชุมที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยน เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้มีการปรึกษาหารือกันเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรจะได้มีสำนักเบื้องล่างหรือไม่ก็ยังต้องว่ากันอีกที
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้สร้างสำนักเบื้องล่างขึ้นมาแล้ว ได้รับคำอนุญาตแล้ว ทว่าเรื่องของชื่อสำนักก็ยังต้องดูที่ความต้องการของราชสำนักต้าหลีก่อน หากสุดท้ายแล้วศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่ตอบตกลงก็ต้องตั้งชื่อกันใหม่อีกครั้ง
เล่าลือกันว่าในประวัติศาสตร์เคยมีสำนักหลายแห่งที่ชื่อของสำนักไม่ได้รับการอนุมัติจากศาลบุ๋น ยกตัวอย่างเช่นอุตรกุรุทวีปที่เคยมีสำนักวิถีกระบี่แห่งหนึ่งที่แรกเริ่มเตรียมจะตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ‘สำนักกระบี่อันดับหนึ่ง’ แต่ถูกศาลบุ๋นปฏิเสธโดยตรง ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ผู้อาวุโสเปลี่ยนมาใช้ชื่อที่ไม่โอ้อวดตัวขนาดนั้นก็คงจะได้แล้วกระมัง ดังนั้นจึงตั้งชื่อ ‘สำนักกระบี่อันดับสอง’ ให้กับทางศาลบุ๋น…
ผลคืออริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นซึ่งพิทักษ์ม่านฟ้าของอุตรกุรุทวีปถามผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่เตรียมจะก่อสำนักตั้งพรรคคนนั้นว่า น้ำเข้าสมองเจ้าหรือไร
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าสำนักของพวกเจ้าฝากความหวังไว้ที่สำนักเบื้องล่างแห่งนี้มาก”
ตั้งชื่อสำนักเบื้องล่างว่า ‘หวงซาน’ ต้นไผ่ (จู๋) เต็มภูเขา แน่นอนว่าเป็นความหมายที่ไม่เลว
เจ้าสำนักจู๋หวงก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือหวังว่าจะอาศัยสิ่งนี้มาบอกกล่าวแก่ลูกศิษย์ของสองสำนักที่อยู่ล่างภูเขาทั้งหมดของโลกยุคหลังว่าสำนักแห่งนี้เขาเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ อีกอย่างหนึ่งคือ ‘จู๋หวง’ ก็คือ ‘หวง’ (ต้นไผ่ หวงสองตัวนี้เขียนกันคนละอย่าง แต่ออกเสียงเหมือนกัน) ขณะเดียวกันเมื่อเป็น ‘ภูเขา’ ที่เต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวมรกตก็จะสามารถรวบรวมโชคชะตาวิถีกระบี่ที่เป็นเหมือนกระแสน้ำไหลในอาณาเขตของจูอิ๋งเก่ามาได้ เห็นได้ชัดว่าจู๋หวงอยากจะอาศัยโชคชะตาวิถีกระบี่ของสำนักเบื้องล่างมาช่วยตัวเองตอนที่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหยกดิบเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน ก้าวกระโดดกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนที่สองตามหลังเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะ
เหมือนอย่างสำนักกระบี่หลงเซี่ยงของฉีถิงจี้ที่สร้างขึ้นในทักษินาตยทวีป และยังมีสำนักกระบี่หลงเฉวียนของช่างหร่วน รวมไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่อยู่อุตรกุรุทวีป…สำนักแห่งวิถีกระบี่เหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะมีคำว่ากระบี่ติดมาด้วย ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ต้องการโอ้อวดสถานะของตัวเองเท่านั้น ว่ากันในระดับใหญ่แล้วมันเกี่ยวพันไปถึงเรื่องของโชคชะตาด้วย คล้ายคลึงกับการตั้งชื่อจริงของเผ่าปีศาจ การได้รับแต่งตั้งจากทางราชสำนักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่ต่างก็แสวงหาคำว่า ‘ชื่อเหมาะสม’ (มาจากประโยค 名正言顺 ชื่อก็เหมาะสม เหตุการณ์ก็น่าเชื่อถือ หรือแปลได้อีกอย่างว่าถูกต้องชอบธรรม)
เกี่ยวกับเรื่องการตั้งชื่อสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่ว การที่ถูกปล่อยค้างไว้ไม่ได้ตัดสินใจเสียทีก็เป็นเพราะชุยตงซานหวังว่าในชื่อของสำนักเบื้องล่างจะมีคำว่ากระบี่อยู่ด้วย
ถ้าอย่างนั้นสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วก็จะกลายเป็นสำนักแห่งวิถีกระบี่แห่งแรกในดินแดนของใบถงทวีปทางทิศใต้อย่างถูกต้องชอบธรรม ก็เหมือนสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่หร่วนฉงก่อตั้งขึ้นมาที่กลายเป็นสำนัก ‘แห่งแรก’ บนวิถีกระบี่ของหนึ่งทวีป
เมื่อจังหวะและโอกาสมาถึงฟ้าดินก็ร่วมแรงกัน ยิ่งใหญ่โอฬารแกร่งกร้าวดุจพยัคฆ์ ไม่ใช่เรื่องเล็กที่ไม่สลักสำคัญอะไร เวลาที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนถูกสร้างขึ้นยังไม่นาน แต่ก็มีหลิวเสี้ยนหยาง เซี่ยหลิง สวีเสี่ยวเฉียวแล้ว หากยังรวมอวี่หลิ่น หลิ่วอวี้ที่หันไปเข้าพวกกับภูเขาตะวันเที่ยงกลางคันเข้าไปด้วย และอาศัยการประคับประคองจากราชสำนักต้าหลี ช่วยคัดเลือกตัวอ่อนเซียนกระบี่อย่างตั้งใจ เดิมทีอย่างมากสุดแค่สองถึงสามร้อยปี สำนักกระบี่หลงเฉวียนก็จะอาศัยจำนวนผู้ฝึกกระบี่น้อยนิดกลายมาเป็นสำนักใหญ่บนวิถีกระบี่ได้สมชื่ออย่างแท้จริงแล้ว
ก็เหมือนเรื่องการตั้งชื่อของล่างภูเขาที่ไม่เหมาะจะตั้งชื่อให้เด็กๆ ยิ่งใหญ่เกินไป เพราะกังวลว่าจะแบกรับไว้ไม่ไหว แต่หากตั้ง ‘ชื่อใหญ่’ จริงๆ ถ้าอย่างนั้นเกินครึ่งก็จะต้องตั้งชื่อเล่นที่ฟังแล้ว ‘บ้านนอก’ อย่างยิ่งให้กับเด็กๆ พวกผู้อาวุโสในบ้านจะต้องเรียกบ่อยๆ เพื่อให้เป็นการข้ามผ่านอย่างหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นสำนักใบถงของใบถงทวีปก็คือ ‘ชื่อใหญ่’ บนภูเขาตามแบบฉบับ ใช้ชื่อของทวีปมาตั้งเป็นชื่อสำนัก
เก้าทวีปของไพศาล ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ในประวัติศาสตร์มีสำนักใหญ่ที่ตั้งชื่อแบบนี้อยู่มากมาย ทว่ากลับพากันหายหน้าไป สุดท้ายก็หลงเหลือแค่สำนักใบถง
จากนั้นก็เป็นเปลี่ยวร้างที่ยกทัพมาโจมตีไพศาล หลังจากจบเรื่องแล้วมามองย้อนดู การที่สำนักใบถงแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อน ก็เหมือนกับเป็นลางบางอย่างที่บอกว่าผืนแผ่นดินของใบถงทวีปจะทรุดจมดิ่ง
ย้อนกลับมามองสวินยวนอดีตเจ้าสำนักของสำนักกุยหยก ปีนั้นออกเดินทางไกลไปเยือนแจกันสมบัติทวีป ยอมผูกปมแค้นกับสายเหวินเซิ่งอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแจกันสมบัติทวีปให้จงได้ จำต้องบอกว่าเขามีญาณล่วงรู้อย่างมาก
ส่วนการผูกมิตรที่เจียงซ่างเจินมีต่อเฉินผิงอันลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่ง เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายไม่ถึงขั้นกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกัน คาดว่านี่ก็คงเป็นการลงมืออย่างคนมีประสบการณ์โชกโชนของเจ้าสำนักผู้เฒ่าท่านหนึ่งแล้ว
หนีเยว่หรงไม่รู้เลยว่าคำพูดที่ตัวเองเอ่ยอย่างไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วคิดไปมากมายขนาดนี้
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปเงียบๆ
หนีเยว่หรงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันถาม “มีเรื่องอะไรหรือ?”
หนีเยว่หรงกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ อาศัยฤทธิ์สุรามาปลุกความกล้าก่อน ถึงได้เปลี่ยนคำเรียกขานว่า ‘เจ้าขุนเขาเฉิน’ มาใช้เป็นตัวเปิดประโยค แล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ทางฝั่งของยอดเขาชิงอู้ ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะรับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์มาสองคน คนหนึ่งในนั้นคือตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่คุณสมบัติดีเยี่ยม นางเลื่อมใสในตัวเจ้าขุนเขาเฉินมาก จริงๆ นะ หาใช่เยว่หรงจงใจพูดจาตีสนิทท่านไม่ แม่หนูผู้นั้นเลื่อมใสในมาดเซียนกระบี่ของเจ้าขุนเขาเฉินจริงๆ นางคือผู้ฝึกกระบี่กลุ่มที่สำนักพวกเราเพิ่งรับมา ดังนั้นจึงพลาดการร่วมงานพิธีครั้งนั้น อีกทั้งนางยังมีความคิดไร้เดียงสา ไม่ได้คิดอะไรมากนัก อันที่จริงศิษย์พี่เคยเตือนนางเรื่องนี้มาก่อน แต่เด็กนั่นกลับไม่ฟัง ทำเป็นหูทวนลม เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่นอกจากจะฝึกกระบี่แล้วยังต้องเรียนวิชาหมัดเท้าจากพวกนักต่อสู้ในยุทธภพมาด้วย จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟัง ศิษย์พี่ยังมองนางเป็นเหมือนบุตรสาวแท้ๆ ครึ่งตัว เขาแทบจะอดใจไม่ไหวไปขโมยตำรากระบี่ชั้นสูงทั้งหลายของยอดเขาอื่นมา หวังเพียงว่านางจะตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี พยายามที่จะสร้างโอสถทองให้ได้ในเวลาหกสิบปี ถึงจะรักษายอดเขาชิงอู้เอาไว้ได้”
ยอดเขาชิงอู้ในอดีตอาศัยความสัมพันธ์ควันธูปน้อยนิดที่จี้เยี่ยนอาจารย์ของหนีเยว่หรงมีต่อเจ้าสำนักจู๋หวง อีกฝ่ายถึงได้คอยโยนผู้ฝึกกระบี่คนสองคนมาให้กับยอดเขาชิงอู้เป็นระยะ เพียงแต่ว่าเป็นยอดเขาชิงอู้เองที่ไม่อาจรั้งตัวคนเอาไว้ได้ เป็นเหตุให้ภายในเวลาสองร้อยสี่สิบปีที่ผ่านมา ยอดเขาชิงอู้ไม่มีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสักคนที่พิทักษ์ภูเขา บวกกับที่หนีเยว่หรงและศิษย์พี่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้ความหวังที่จะได้เป็นโอสถทอง อีกทั้งพวกเขาสองคนยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการร่วมงานพิธีครั้งนั้น ตามกฎบรรพบุรุษของยอดเขาอีเซี่ยนแล้ว ยอดเขาที่สามร้อยปีไม่มีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแม้แต่คนเดียวก็จะต้องถูกตัดชื่อออก ถ้าอย่างนั้นนางกับศิษย์พี่ก็จะกลายเป็นคนที่มีความผิดมหันต์ที่สุดที่พายอดเขาชิงอู้ไปตายกับมือตัวเอง
หนีเยว่หรงพลันรู้สึกได้ว่าคำพูดของตัวเองเสียมารยาทเกินไป
คุณสมบัติดีเยี่ยม? ตัวอ่อนเซียนกระบี่?
นั่นเป็นแค่สำหรับนางเท่านั้น เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ข้างกายได้ยินแล้วจะรู้สึกว่าน่าขันหรือไม่?
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “พูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม”
เพื่อรักษาควันธูปของยอดเขาชิงอู้เอาไว้ หนีเยว่หรงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่คิดจะสนใจอะไรอีกแล้ว นางบากหน้าถามหยั่งเชิงว่า “เยว่หรงมิกล้ามีความคิดมิควรใดๆ เพียงแค่หวังว่าในอนาคตหากผ่านทางมาที่ยอดเขาชิงอู้อีก เจ้าขุนเขาเฉินจะสามารถชี้แนะเวทกระบี่ให้นางได้บ้าง ต่อให้จะเป็นแค่คำพูดไม่กี่คำก็ยังดี”
เฉินผิงอันโบกมือ ลุกขึ้นยืน “เรื่องแบบนี้อย่าได้คิดอีกเลย”
คราวก่อนถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงก็ยังไม่รู้สึกว่าขุนเขาสายน้ำอันตรายถึงเพียงนี้
หนีเยว่หรงถอนหายใจ ได้แต่ยอมถอดใจ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนาขั้นบันได อยู่ดีๆ ก็ถามว่า “เคยตีข้าวมาก่อนไหม?”
หนีเยว่หรงส่ายหน้า “แค่เคยเห็นไกลๆ เท่านั้น”
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อว่า “เวลาที่อยู่ว่างๆ เจ้าสามารถให้ลูกศิษย์ยอดเชาชิงอู้ลงจากภูเขาไปลองทำเรื่องนี้ดูได้”
หนีเยว่หรงกลับทำเหมือนได้รับโองการจากอริยะ “กลับไปข้าจะปรึกษาเรื่องนี้กับศิษย์พี่ ให้จัดเข้าไปอยู่ในคำสั่งสอนบรรพบุรุษของยอดเขาชิงอู้”
คำพูดประโยคนี้ของเซียนกระบี่เฉินมองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ พูดออกจากปากง่ายๆ แต่แท้จริงแล้วต้องมีความหมายลึกล้ำแฝงอยู่อย่างแน่นอน!
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยอย่างจนใจว่า “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น พวกเจ้าไม่กลัวว่าจะถูกยอดเขาแห่งอื่นหัวเราะเยาะเอาหรือไร”
หนีเยว่หรงกลับคลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ยอดเขาชิงอู้ของพวกเราถูกคนหัวเราะเยาะน้อยนักหรือ? มีเรื่องนี้เพิ่มมาอีกเรื่องก็ไม่ไม่เห็นจะเป็นไร”
เหอะ ไม่แน่ว่าวันหน้าเมื่อยอดเขาชิงอู้บุกเบิกการกระทำนี้ขึ้นมาก่อน ยอดเขาอื่นอาจจะยังเลียนแบบพวกเขาก็เป็นได้
ก่อนที่เฉินผิงอันจะจากจากไปได้เก็บกาเหล้าว่างเปล่าไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวังว่าจะไม่ได้ดื่มเหล้าของเถ้าแก่หอกว้ออวิ๋นไปเปล่าๆ”
หนีเยว่หรงคิดแค่ว่าเป็นคำหยอกล้อ จึงไม่ได้สนใจ
ทันใดนั้นบนระเบียงชมทัศนียภาพก็ไม่มีเงาร่างของคนชุดเขียวอยู่อีก
หนีเยว่หรงโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ครู่หนึ่งต่อมาก็มีแสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งจากยอดเขาอีเซี่ยนตรงมาที่หอกว้ออวิ๋น
จู๋หวงพลิ้วกายลงพื้น สอดกระบี่กลับใส่ฝัก
หนีเยว่หรงรีบค้อมเอวคารวะทันที “คารวะเจ้าสำนัก”
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”
ใบหน้าของจู๋หวงประดับรอยยิ้ม พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “กล้าส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์ใต้เปลือกตาของเจ้าขุนเขาเฉินแบบนี้?”
ที่แท้ระหว่างที่หนีเยว่หรงไปหยิบเหล้าฉางชุนสองกามาให้เจ้าขุนเขาเฉิน หลังจากที่ความคิดในหัวตีกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายนางก็ยอมเสี่ยงอันตรายแอบส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังยอดเขาอีเซี่ยน รายงานเรื่องนี้ให้เจ้าสำนักจู๋หวงทราบ
หนีเยว่หรงกระวนกระวายใจ คงจะไม่ถูกจู๋หวงพาลโมโหใส่แล้วตนจะต้องเสียเก้าอี้อันดับสามของสำนักเบื้องล่างในอนาคตไปหรอกนะ?
จู๋หวงกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าขุนเขาเฉินถือกระบี่บินไว้ในมือ ช่วยเจ้าเอาไปส่งให้ที่ยอดเขาอีเซี่ยนด้วยตัวเอง?”
หนีเยว่หรงอึ้งค้าง อกสั่นขวัญผวา เอาเถอะ อย่าว่าแต่ตนที่ไม่มีทางได้ดีเลย เกรงว่าแม้แต่ยอดเขาชิงอู้ก็คงต้องเดือดร้อนติดร่างแหไปด้วย
เพียงแต่ว่าเหตุใดทั้งๆ ที่เซียนกระบี่เฉินรู้เรื่องนี้ดีแล้วยังจะรับเหล้ากานั้นไปอีก? รอดูเรื่องตลกของนางหรือ?
หรือว่าเซียนกระบี่เฉินเป็นฝ่ายเปิดปากขอสุราก็เพราะจงใจรอให้ตนส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าว?
แล้วเหตุใดดูเหมือนเจ้าสำนักจู๋หวงจะไม่โกรธ กลับคล้ายคนที่ไม่มีเรื่องก็ตัวเบา?
จู๋หวงมองสตรีที่ยังไม่เข้าใจประเด็นสำคัญที่ซ่อนอยู่ภายในก็ส่ายหน้า นี่ถือว่าคนโง่ก็มีโชคของคนโง่หรือไม่?
หนีเยว่หรงถามเสียงเบา “เมื่อครู่เจ้าขุนเขาเฉินพูดอะไรกับข้า ใหข้าพูดซ้ำแบบเดิมให้เจ้าสำนักฟังอีกรอบหรือไม่?”
จู๋หวงส่ายหน้า เดินมาที่ราวรั้ว สองมือไพล่หลัง มองไปยังยอดเขาชิงอู้ “ไม่ต้อง นี่คือโชควาสนาส่วนที่เป็นของเจ้า”
สีหน้าหนีเยว่หรงกระอักกระอ่วน เอ่ยว่า “แต่เจ้าขุนเขาเฉินมีคำพูดบางอย่างที่ฝากข้ามาบอกเจ้าสำนักด้วย”
จู๋หวงหันหน้ากลับมา
หนีเยว่หรงรอให้ใต้เท้าเจ้าสำนักเปิดปากพูด
จู๋หวงเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “ทำไม ต้องรอให้ข้าคุกเข่าขอร้องให้เจ้าเปิดปากทองคำก่อนงั้นรึ?”