กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 871.3 ช่างน่าเสียดาย
กิจการของหอชิงฝูที่ตั้งอยู่ในท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาตี้หลงถือว่าดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง
อาณาเขตสิบกว่าแคว้นในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ในฐานะที่ตั้งสุดท้ายที่สงครามครั้งนั้นปิดฉากลง ระดับความเสียหายกลับน้อยกว่าที่เฉินผิงอันคาดคิดไว้มากนัก ในความเป็นจริงแล้วแผ่นดินครึ่งหนึ่งทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปล้วนดีกว่าใบถงทวีปที่ขุนเขาสายน้ำพังภินท์ มองไปทางไหนเห็นแต่หลุมบ่อยับเยินมากนัก ในอดีตแนวเส้นที่กองทัพใหญ่ของเปลี่ยวร้างขึ้นบกมาอยู่ที่ฝูเหยา ใบถงสองทวีป กองทัพใหญ่ผ่านดินแดนเหมือนถูกโกนหัว สภาพอเนจอนาถน่าสังเวชที่สุด เรียกได้ว่าไม่เหลือแม้แต่หญ้าสักต้น ภายหลังกองกำลังของใบถงทวีปแตกฉานซ่านเซ็น การกวาดค้นปล้นชิงลามไปทั่วทุกสถานที่ถี่แน่นเหมือนซี่หวีเสนียด ทุกหนทุกแห่งกลายเป็นซากปรักหักพัง ศพนองเกลื่อนพื้น สภาพน่าเวทนาจนแทบทนมองไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักบนภูเขาที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นและราชวงศ์ล่างภูเขาที่คลังสมบัติของแคว้นเต็มแน่นที่แทบไม่มีทางโชคดีหนีพ้นไปได้ รอกระทั่งข้ามมหาสมุทรเดินทางขึ้นเหนือ นครมังกรเฒ่าถูกข้าศึกยึดครอง การปล้นชิงในดินแดนเหนือขึ้นไปของแจกันสมบัติทวีปกลับเหมือนซี่ของหวีปกติ (การปล้นที่เปรียบเปรยถึงหวีเสนียดกับหวีปกติ เนื่องจากหวีปกติซี่ยังห่างกันอยู่บ้าง จึงเปรียบเปรยถึงการปล้นชิงที่อาจยังมีตกหล่น ไม่ละเอียดรอบคอบ หวีเสนียดที่มีซี่ถี่แน่นจะหมายถึงการกวาดค้นปล้นชิงอย่างละเอียด ไม่เหลือแม้แต่หญ้าสักต้น ส่วนคำเปรียบเปรยถึงการโกนหัวก็คือหนักกว่า รุนแรงกว่า)
นี่แสดงให้เห็นว่าทางฝั่งของกระโจมทัพเปลี่ยวร้างตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะอาศัยอยู่ในอาณาเขตทางใต้ทั้งหมด ล้มเลิกความคิดที่จะรีบรบรีบจบ จะกรำศึกยากลำบากที่ต่างฝ่ายต่าง ‘ขูดเนื้อเถือหนัง’ กันกับต้าหลี ต่างฝ่ายต่างเติมน้ำมันบนสนามรบ (เป็นศาสตร์การสู้รบอย่างหนึ่ง คือวิธีการโจมตีที่ใช้การหยั่งเชิง โดยแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ค่อยๆ ทยอยโจมตีฝ่ายตรงข้ามเหมือนการค่อยๆ เติมน้ำมันให้กับตะเกียง) ก็ต้องดูว่าใครจะไม่ไหวก่อนกัน ดูว่าสรุปแล้วเป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่เคยรวบรวมกองกำลังของหนึ่งแคว้นเข้าด้วยกันได้ที่สามารถสังหารศัตรูได้มากกว่า หรือรบตายไปมากกว่ากัน
หอชิงฝูยังคงเดิม หอสูงห้าชั้น แต่วัสดุไม้กลับใหม่เอี่ยม น่าจะมีการสร้างขึ้นใหม่ เพียงแต่ว่ากรอบป้ายและกลอนคู่ยังเป็นแบบเก่า
คิดดูแล้วตอนนั้นที่หนีภัยขึ้นเหนือคงเอาของไปด้วยได้ไม่มากนัก และแน่นอนว่าเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร้างย่อมไม่ทางปล่อยท่าเรือตระกูลเซียนที่ล้ำค่าหายากเช่นนี้ไป
เฉินผิงอันมองเนื้อหาที่อยู่ในกลอนคู่แล้วคลี่ยิ้ม ‘ไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา ราคาร้านข้ายุติธรรม ใจเขาใจเรา ลูกค้าโปรดกลับมาใหม่’
ใช้คัมภีร์การค้าที่ไม่ต่างจากร้านเหล้าเล็กของบ้านตนในกำแพงเมืองปราณกระบี่สักเท่าไร
สตรีห้าคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่รอคอยการค้ามาเยือน ดรุณีน้อยสวมชุดกระโปรงเรียบง่ายคนหนึ่งรีบปรี่ขึ้นหน้ามาถาม “คุณชายต้องการตรวจสอบสมบัติหรือว่าซื้อของล้ำค่าที่อยู่ในร้านเจ้าคะ?”
เฉินผิงอันมองไปยังสตรีโตเต็มวัยคนหนึ่งที่มองมาทางเขาพอดี หันหน้าไปเอ่ยขออภัยกับเด็กสาวก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ครั้งนี้มาเยี่ยมเยือน ตั้งใจจะมาหาอาจารย์ผู้เฒ่าหง เดี๋ยวให้แม่นางชุ่ยอิ๋งนำทางไปก็แล้วกัน”
เพราะในหอมีกฎว่าสตรีห้าคนที่รับรองแขกอยู่ในห้องโถง หากไม่ใช่แขกที่พวกนางต่างคุ้นหน้าคุ้นตาดี ใครที่เปิดปากเอ่ยถามก่อนก็จะต้องเรียงลำดับก่อนหลังตามนั้น
บนไหล่ของสตรีโตเต็มวัยผู้นั้นมีแมลงสีเขียวที่แกะสลักมาจากหยก นางสาวเท้าก้าวเร็วๆ มาหาบุรุษชุดเขียวที่เรียกให้ตนเป็นคนนำทาง คลี่ยิ้มหวาน ในแววตาเผยการขออภัยไว้หลายส่วน ถามเสียงอ่อนโยนว่า “โปรดอภัยที่บ่าวตาไม่ดี คุณชายคือ?”
“แซ่เฉิน”
เฉินผิงอันอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเคยมาที่หอชิงฝูพร้อมกับสหายสองคน เป็นเจ้าที่นำทางพาข้าไปพบอาจารย์ผู้เฒ่าหง”
ทว่าให้ตายอย่างไรสตรีก็นึกไม่ออก แต่กระนั้นก็ยังทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ คลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “คุณชายยังคงมีมาดสง่างามดังเดิม”
ในความเป็นจริงแล้วคราวก่อนที่พบหน้ากัน บุรุษตรงหน้ายังเป็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ อีกทั้งกิจการของหอชิงฝูก็ดีมาก มีคนเข้าออกตลอดเวลา ต่อให้นางจะความจำดีแค่ไหน แต่จะยังจำเขาได้อย่างไร
เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะเปิดโปงคำพูดตามมารยาทของนาง เดินตามนางไปถึงชั้นสอง บนระเบียงปูพรมผ้าแพรปักลายผืนใหญ่ที่เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษเฉพาะของแคว้นไฉ่อี ฝีมือปักเย็บประณีติมาก แต่เป็นของใหม่
เฉินผิงอันถาม “พรมผืนนี้ ทุกวันนี้มีราคากี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ?”
ชุ่ยอิ๋งยิ้มกล่าว “ราคาเพิ่มขึ้นจากเมื่อหลายปีก่อนอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว เป็นราคาที่ใจดำมากเลยล่ะ ทุกวันนี้แคว้นไฉ่อีอาศัยของสิ่งนี้กับแก้วชนไก่มาช่วยเติมท้องพระคลังให้เต็ม ทำให้หาเงินได้ไม่น้อยเลยจริงๆ”
แต่เฉินผิงอันกลับรู้ว่านี่คือหนึ่งในเส้นทางการหาเงินมากมายของต่งสุ่ยจิง คนบ้านเดียวกันผู้นี้ทำการค้าด้วยจุดประสงค์เดียวเท่านั้น หาเงินจากคนมีเงิน
ชุ่ยอิ๋งผลักประตูเปิดออกเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วว่า “อาจารย์หง มีแขกมาหาเจ้าค่ะ”
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงธรณีประตู กุมหมัดยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าหง ได้พบกันอีกแล้ว”
หงหยางโปอึ้งตะลึง รีบลุกขึ้นยืนทันใด “คุณชาย…เฉิน?”
เดิมทีอยากจะเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพว่าเซียนกระบี่เฉินหรือไม่ก็เจ้าขุนเขาเฉิน เพียงแต่ว่ามีชุ่ยอิ๋งอยู่ด้วย จึงไม่อยากจะละเมิดกฎของขุนเขาสายน้ำ
ครั้งแรกที่พบหน้ากันเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ท่าทางระมัดระวังสำรวมอย่างเห็นได้ชัด เขาจะคอยมองประเมินไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าไม่ใช่การมองประเมินด้วยสายตาของคนที่มีใจคิดชั่วร้าย
เด็กหนุ่มที่ออกเดินทางไกลในเวลานั้น ในสายตาของหงหยางโปแล้ว อย่างมากสุดก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามเท่านั้น ถือว่าเพิ่งจะเดินเข้าห้องบนเส้นทางการเรียนวรยุทธ
พบเจอกันครั้งที่สองก็กลายมาเป็นคนหนุ่มที่สวมชุดเขียว สวมงอบสะพายกระบี่ คล้ายกับจอมยุทธพเนจรในยุทธภพคนหนึ่ง
ครานี้กลับเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักภูเขาลั่วพั่วแล้ว
ยังคงเป็นเจ้านายที่สายตาดี
เพียงแค่พบเจอกันครั้งเดียวก็มั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้ก็คือเซียนกระบี่หนุ่มที่สามารถโจมตีให้ซูหลางถอยร่นในอาณาเขตของแคว้นซูสุ่ย
ปีนั้นหงหยางโปยังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา ตอนนี้มานึกดูแล้วยังคงเป็นนายหญิงที่สายตาเฉียบแหลมไม่เหมือนใคร เป็นตนที่แก่แล้วหูตาฝ้าฟาง
บนโต๊ะตัวใหญ่ นอกจากกระถางธูปใบเล็กแล้ว ยังมีกระถางต้นป่ายโบราณที่ด้านบนมีพวกคนจิ๋วชุดเขียวนั่งเรียงกันอยู่บนกิ่งไม้ พวกมันแกว่งเท้าเล็กๆ ไม่คิดจะลุกขึ้นยืนแล้ว
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เจ้าตัวน้อยพวกนี้กำลังงอนข้าอยู่น่ะ”
เฉินผิงอันสีหน้าอ่อนโยน ยิ้มโบกมือเป็นฝ่ายทักทายกับพวกคนจิ๋วชุดเขียวเหล่านั้นก่อน “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ถึงอย่างไรก็ตัดสินใจแล้วว่าหากวันนี้พวกเจ้าตัวจิ๋วไม่เอ่ยถ้อยคำมงคลกับข้า ข้าก็จะไม่เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้ว
โชคดีที่พวกเจ้าตัวน้อยไว้หน้ากันอย่างมาก พากันส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ก่อนจะลุกขึ้นยืน โค้งตัวคารวะ เอ่ยถ้อยคำมงคลด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าฟังร้อยรอบก็ไม่เบื่อ “ยินดีต้อนรับลูกค้าที่มาเยือนร้านเรามาเยือนห้องนี้ของเรา ขอให้ท่านร่ำรวยมีเงินทอง!”
เฉินผิงอันถึงได้เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปด้วยรอยยิ้ม หันหน้าไปเอ่ยกับหญิงสาวว่า “ไม่ต้องมาคอยช่วยอยู่ที่นี่แล้ว ข้ากับอาจารย์ผู้เฒ่าหงสนิทกันดี จะทำการค้ากับเขาเล็กน้อย ส่วนแบ่งหลังจากนี้ให้อิงตามกฎ ต่อให้ไม่เชื่อใจข้าก็น่าจะเชื่อใจอาจารย์ผู้เฒ่าหง ส่วนน้ำชาก็ไม่ต้องแล้ว ข้าเอาเหล้ามาเอง จะเลี้ยงเหล้าอาจารย์ผู้เฒ่าหงด้วย”
หงหยางโปพยักหน้าให้นาง นางจึงคลี่ยิ้มหวาน ยอบกายคารวะ เอ่ยประโยคหนึ่งว่าขออวยพรให้อาจารย์เฉินสมดังใจปรารถนา เงินทองไหลมาเทมา แล้วจึงเดินนวยนาดจากไป
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดประตู เดินตรงดิ่งไปที่โต๊ะ ขัดขวางผู้เฒ่าที่เตรียมจะขยับเท้าเอาไว้ “อาจารย์ผู้เฒ่าหง อย่าได้เกรงใจข้าอยู่เลย ข้าคุ้นเคยกับที่นี่อย่างมาก ไม่มีทางเห็นตัวเองเป็นคนนอก อาจารย์ผู้เฒ่าเกรงใจกันอย่างนี้ หรือว่าเห็นข้าเป็นคนนอกไปเสียแล้ว?”
เฉินผิงอันขยับเก้าอี้ตัวนั้นมา ยังคงเป็นเก้าอี้พุทราแดงที่โบราณเก่าแก่ตัวนั้น
คนแก่ คนหนุ่ม ต่างก็เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน
หงหยางโปผงกศีรษะตอบรับด้วยรอยยิ้ม นั่งกลับลงไปอีกครั้ง ไม่ได้เดินอ้อมโต๊ะออกมาอีก
มองประตูที่เปิดอ้าไว้ ผู้เฒ่าก็ให้ปลงอนิจจัง ปีนั้นตนก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ความจำช่างดีจริงๆ ไม่ใช่แค่ดีธรรมดาเสียด้วย
เฉินผิงอันกลั้นขำ พูดเข้าประเด็นว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าหง ไม่ยินดีจะไปช่วยข้าจริงๆ หรือ?”
กิจการร้านผ้าห่อบุญบนท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ยิ่งนานร้านก็ยิ่งขยายใหญ่ แต่ก็ยังขาดผู้ดูแลที่แท้จริงมาโดยตลอด ตัวแทนเถ้าแก่สองคนในตรอกฉีหลงอย่างสือโหรวและเจี่ยเฉิงต่างก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ค่อยเหมาะสม
สือโหรวชอบชีวิตที่สงบสุขมากกว่า ส่วนเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย อันที่จริงเหมาะจะเป็นผู้ช่วยอันดับสองมากกว่า
หงหยางโปโบกมือ เอ่ยอย่างละอายใจว่า “ไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าตาแก่อย่างข้าจงใจเล่นตัว หมายจะโก่งราคาค่าตัวให้สูงขึ้น เพียงแต่ว่าเรื่องของการค้า สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือการวางตัวเป็นคน ในอดีตนายท่านผู้เฒ่าเคยมีพระคุณยิ่งใหญ่กับข้า นายหญิงน้อยรับหอชิงฝูมาดูแลต่อก็ยิ่งปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี”
แล้วผู้เฒ่าก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “พูดหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่เหล่านี้กับเจ้าขุนเขาเฉิน ฟังดูแล้วเหมือนพวกที่มองข้ามความหวังดีของผู้อื่น”
ผู้เฒ่าอยู่ในหอชิงฝู เพียงแค่ชั่วพริบตา รู้สึกว่าเป็นเรื่องของเหล้าแค่ไม่กี่จอกเท่านั้น เขากลับอยู่ที่นี่มาเกือบแปดสิบปีแล้ว
เฉินผิงอันหยิบเหล้าภูเขาชิงเสินที่ร้านเหล้าบ้านตัวเองเป็นผู้หมักออกมาสองกา ยื่นส่งให้ผู้เฒ่าหนึ่งกา บิดหมุนข้อมืออีกครั้งก็มีจอกเหล้าเพิ่มมาสองจอก คือจอกเทพีบุปผาสองใบของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เขาพูดหยอกผู้เฒ่าว่า “เจ้าของหออยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่? ข้าจะปรึกษาเรื่องนี้กับนางโดยตรง หากไม่ได้จริงๆ ก็จะแย่งคนไปเสียเลย”
หากหาเงินจากทรัพย์สินที่มาจากการฉกฉวยกำไรโดยมิชอบ เงินนอกรีตและทรัพย์สินที่ไม่ชอบธรรม ก็คือการดื่มยาพิษดับกระหาย ยิ่งเงินทองมีมากเท่าไร หายนะก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น เรื่องแบบนี้ยินดีเชื่อว่ามี แต่ไม่เชื่อว่าไม่มี
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงสนใจการค้าในร้านทั้งสองที่ตรอกฉีหลงมากถึงเพียงนั้น ขอแค่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันจะต้องไปเยือนตรอกฉีหลงด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ตรวจสอบบัญชีอย่างจริงจังตรงเวลา ถึงขั้นที่ว่าไม่ให้ร้านทั้งสองยกสมุดบัญชีให้กับภูเขาลั่วพั่วด้วย เพราะมีเพียงเขาที่เป็นเจ้าขุนเขาสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง สือโหรวและเจี่ยเฉิงที่เป็นเถ้าแก่สองคนถึงจะจริงจังตามไปด้วย ไม่มีทางไม่เห็นรายรับที่ได้จากเงินไม่กี่ตำลึงหรือเงินเกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญอยู่ในสายตา
หงหยางโปดวงตาเป็นประกาย หยิบจอกเหล้าใบนั้นขึ้นมา “จอกเทพีบุปผาใบนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ของปลอม?”
นี่ก็เหมือนกับตะเกียบไม้ไผ่ของภูเขาชิงเสินคู่นั้นในอดีตที่ต่างก็ถือว่าเป็นของดีที่มีราคาทว่าไร้ตลาด
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เป็นของจริงหรือของปลอม ข้าไม่กล้ารับรอง ถึงอย่างไรข้าก็เก็บตกมาได้ หากอาจารย์ผู้เฒ่าหงยินดีเปลี่ยนคำพูด ข้าก็จะมอบจอกเทพีบุปผาชุดหนึ่งให้ท่านเป็นของขวัญพบหน้าทันที”
หงหยางโปถลึงตาใส่ “เจ้าไม่รำคาญบ้างเลยหรือไร บอกแล้วว่าไม่ไป ไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้าด้วย หากเซียนกระบี่เฉินยังตอแยไม่เลิกแบบนี้ ข้าจะต้องไล่คนแล้วนะ อืม แต่จอกเหล้าใบนี้ต้องทิ้งไว้”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ถามว่า “ในร้านแห่งนี้มีสมบัติประจำร้านหรือไม่? แล้วหมึกต้นสนรมควันที่มีไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์และ ‘เทียบน่าเสียดาย’ ของสองชิ้นนี้ยังอยู่หรือไม่?”
หมื่นเรื่องราวในโลกมนุษย์ถูกเชื่อมโยงด้วยเส้นด้ายหนึ่งเส้น หลายๆ ครั้งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อีกทั้งยังยอมเชื่อว่ามี ไม่เชื่อว่าไม่มี
หมึกไม้สนรมควันชิ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเสินสุ่ย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับซานจวินใหญ่เว่ยแห่งภูเขาพีอวิ๋น ปีนั้นการที่เฉินผิงอันไม่ได้ซื้อเอาไว้ ไม่ใช่เพราะเสียดายเงินเทพเซียน แต่กังวลว่าเว่ยป้อเห็นของแล้วจะเสียใจ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ดีขึ้น ทุกวันนี้จึงไม่มีความกังวลเช่นนี้แล้ว
หงหยางโปส่ายหน้าก่อน แล้วค่อยพยักหน้า “ของดีมีอยู่ไม่น้อย แต่หากถามถึงของดีชั้นยอดกลับไม่มี คงไม่เอาออกมาให้อับอายขายหน้าเซียนกระบี่เฉินแล้ว โชคดีที่ของสองชิ้นที่เจ้าพูดถึงบังเอิญยังอยู่”
ยิ่งนับถือเจ้านายมากขึ้นไปอีก
ของสองชิ้นนี้ใช่ว่าขายไม่ออก แต่เป็นเพราะปีนั้นเจ้านายตั้งใจให้เขาเก็บเอาไว้ บอกว่าวันใดในอนาคตเมื่อเซียนกระบี่ชุดเขียวมาเยือนอีกครั้งก็สามารถนำออกมามอบให้เขาเป็นน้ำใจได้
แน่นอนว่าการมอบน้ำใจไม่ใช่ว่ามอบของสองชิ้นให้เปล่าๆ โดยไม่รับเงิน ใต้หล้าไม่มีหลักการทำการค้าเช่นนี้
เทียบอักษรล้ำค่าหายากที่มาจากฝีมือของเซียนกระบี่แคว้นสู่โบราณชิ้นนั้น แม้ว่าจะเป็นเพียงฉบับสำเนา ทว่าตัวอักษรกลับงดงามเหมือนคราบจักจั่นฤดูใบไม้ร่วง เพราะแทบจะไม่ด้อยไปกว่าของดั้งเดิมเลย ดังนั้นจึงมีคำเรียกขานอันไพเราะว่า ‘เป็นรองผลงานจริงแค่หนึ่งระดับ’ ปีนั้นหงหยางโปเปิดราคาไว้ที่ห้าเหรียญเงินร้อนน้อย ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าคนหนุ่มหวั่นไหว แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยมาสามคำโดยตรงว่า ‘ซื้อไม่ไหว’
ผลคือสุดท้ายแล้วกลับใช้เงินฝนธัญพืชห้าเหรียญซื้อสมบัติพิทักษ์ร้านที่เป็นเงินเทียนซือพิฆาตผีสี่ชิ้นไปทั้งชุด
หงหยางโปหยิบเอาหมึกและเทียบอักษรออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “คิดตามราคาเดิม”
เฉินผิงอันควักเงินเทพเซียนออกมาอย่างไม่ลังเล เงินมาของไป ว่องไวชัดเจน
ทั้งสองฝ่ายเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “มีของรางวัลสักชิ้นไหม?”
ผู้เฒ่าแผดเสียงหัวเราะดังก้อง เฉินผิงอันเองก็ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน
หงหยางโปส่ายหน้าเอ่ยว่า “ยังคงเป็นกฎเดิม ไม่มีของรางวัลอะไร”
จากนั้นคนทั้งสองก็คุยเล่นพลางดื่มสุรากันไป
เดินทางไกลแล้วได้กลับคืนบ้านเกิดอีกครั้ง วิสัยทัศน์ของคนคนหนึ่งเพิ่มมากขึ้น บ้านเกิดย่อมเล็กลง คนเราพอแก่ตัวลง บ้านเกิดก็เหมือนจะผอมลงตามไปด้วย
ชีวิตคนเราแสนสั้นทั้งยังยากลำบาก เส้นทางในยุทธภพทอดยาว ใจคนคือด่านอันตราย จอกสุรานั้นกว้างใหญ่ที่สุด
รับรู้ถึงการพบเจอการพรากจากในโลกมนุษย์มากน้อยเท่าไร โปรดเดินให้ช้าลงหยุดดื่มก่อนสักจอก
สุดท้ายเฉินผิงอันดื่มจนหน้าแดงน้อยๆ
หลังออกมาจากหอชิงฝู คราวก่อนเขาขี่ม้าเดินอยู่ที่ท่าเรือแห่งนี้ยังได้เจอกับเด็กๆ สองคนที่ใบหน้าเหลืองแห้งตอบ ตัวเล็กเตี้ย สุดท้ายเฉินผิงอันจ่ายเงินสิบสองเหรียญเกล็ดหิมะซื้อของสามอย่างมาจากมือพวกเขา หนึ่งคือแท่นฝนหมึกสลักคำว่า ‘โชคดีตลอดไป’ หนึ่งคือตราประทับหินหวงต้งเก่าแก่คู่หนึ่ง และชามตื้นทำจากวัสดุสีแดงเนื้อลื่นวาวใบหนึ่ง หากอิงตามราคาตลาด แน่นอนว่าไม่ต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะมากมายขนาดนี้
คาดว่าน่าจะถูกเด็กสองคนเห็นเป็นคนที่หลอกได้ง่าย พอได้เงินไป ทั้งสองก็วิ่งเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
เด็กสองคนที่ฝีเท้าแผ่วเบาวิ่งห่างไปไกลแล้วก็เริ่มซุบซิบกัน บนใบหน้าอ่อนเยาว์สองดวงประดับไปด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจ่ายเงินเกินความจำเป็น
ก็เหมือนตอนอยู่ในเมืองเล็กบ้านเกิดของปีนั้น ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเอาจดหมายออกไปส่งก็จะต้องวิ่งตะบึงไปยังสถานที่ถัดไป
เฉินผิงอันเคยทิ้งอารมณ์โศกเศร้ามองโลกในแง่ร้ายพวกนั้นไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งที่เขาผสานมรรคาด้วย ยังรวมไปถึง…ความหวังทั้งหมดด้วย
กลัวอะไรกัน
ของเก่าเหลือทิ้งไว้ไม่จากไป ของใหม่กลับเอามาเพิ่มได้อีกครั้ง
หวังว่าจะเป็นเหมือนต้นหญ้าวสันต์บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ยิ่งเดินยิ่งไกลแล้วยังงอกงามได้ใหม่
ต่อให้ความผิดหวังจะกองกันเป็นภูเขา แต่ความหวังก็เป็นดั่งบุปผาที่ทยอยกันผลิบานไปตามลำดับ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองหอเรือนสามชั้นของหอชิงฝู มีสตรีคนหนึ่งยืนพิงราวรั้ว คือเจ้าของหอชิงฝูที่ปีนั้นแต่งกายปลอมเป็นสาวใช้อยู่ในหอ ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่จงใจอำพรางภาพบรรยากาศบนร่างของตัวเอง
เมื่อนางเห็นว่าเฉินผิงอันหันหน้ามามองก็รีบหมุนตัวกลับเดินเข้าห้องไปทันที
คราวก่อนที่ได้พบกับเซียนกระบี่หนุ่ม เมื่อย้อนกลับเข้ามาในหอชิงฝู นางก็ได้เอ่ยประโยคหนึ่งกับหงหยางโป
‘เขาในเวลานั้นสงบนิ่งเหมือนพระโพธิสัตว์ดินเผาที่วางอยู่บนแท่นบูชาอย่างไรอย่างนั้น’
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา พริบตาเดียวก็เดินทางไกลห่างไปพันลี้
บนทะเลเมฆสีทองผืนหนึ่ง เขาเดินเนิบช้า หยิบเทียบตัวอักษรที่เพิ่งซื้อมาออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มเยาะตัวเอง
เพราะอิ่นกวานหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวซึ่งอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างคนนั้นเพิ่งจะตัดสินใจว่าจะถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่
และประโยคเริ่มต้นของ ‘เทียบน่าเสียดาย’ นี้ก็คือความรู้สึกที่เฉินผิงอันสองคนซึ่งอยู่ในไพศาลและเปลี่ยวร้างเวลานี้รู้สึกร่วมกัน
น่าเสียดายที่เวทกระบี่ห่างชั้น