กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 872.2 ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 872.2 ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น
เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้เฉินเหวินเชี่ยนยังเป็นแค่พ่อปู่ลำคลอง ไม่อย่างนั้นด้วยชื่อเสียงและระดับความเข้มข้นของโชคชะตาน้ำของลำคลองเที่ยวโป ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องได้รับแต่งตั้งเป็นนายท่านเทพวารีอย่างชอบธรรมจากทางราชสำนักแล้ว ถึงขั้นที่ว่าบนทำเนียบหยกทองของผู้ถวายงานกรมพิธีการในหนึ่งแคว้น คิดจะยกระดับลำคลองเป็นแม่น้ำก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
โต้วแยนกลั้นยิ้ม กลั้นจนรู้สึกอึดอัด ดีๆๆ สะใจๆ เจ้าเด็กนี่ด่าคนอ้อมๆ ได้ดียิ่งนัก เดิมทีเฉินเหวินเชี่ยนก็สมควรโดนด่าอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นตอนมีชีวิตอยู่ในวงการขุนนาง หรือเป็นในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำทุกวันนี้ เขาก็วางตัวห่างเหินเฉยชา เพียงแค่ประพฤติตนในทางดี ไม่ร่วมทำเรื่องสกปรกกับผู้อื่น ไม่เข้าพวกกับใคร จะถือว่าเป็นเรื่องดีได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ พอคิดถึงสภาพการณ์ของสหายรักเฉินเหวินเชี่ยน โต้วแยนก็ให้เวทนายิ่งนัก
แต่พอฟังคำหยอกล้อที่บอกว่า ‘เหมือนฮูหยิน’ โต้วแยนก็อยากขำแต่ขำไม่ออก คำกล่าวนี้ในวงการขุนนาง ค่อนข้างจะเจ็บแสบอยู่บ้าง
มีชาติกำเนิดเป็นถงจิ้นซื่อ เมื่อเทียบกับสามอันดับในขั้นแรกและจิ้นซื่อในอันดับที่สองแล้ว ก็คล้ายคลึงกับ ‘อนุภรรยา’ นั่นเอง เหมือนสตรีที่ไม่ได้แต่งมาเป็นภรรยาเอก แน่นอนว่าต้อง ‘เหมือนฮูหยินแต่ไม่ใช่ฮูหยิน’
ฟังคำค่อนแคะแฝงความนัยจากคนแปลกหน้า เฉินเหวินเชี่ยนกลับไม่ถือสา เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พวกที่มายืนด่าถึงหน้าบ้าน ด่ากันซึ่งๆ หน้า จึงทำเป็นว่าฟังไม่เข้าใจ
เห็นว่าคนต่างถิ่นเลือกจุดตกปลาได้จุดหนึ่ง แล้วถึงกับหยิบเอากากข้าวโพดหมักเหล้ากระปุกหนึ่งที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมา สาดออกไปเป็นเหยื่อล่อ จากนั้นหยิบไผ่เขียวที่เป็นคันเบ็ดตกปลาออกมา คลำหาหอยทากจากริมลำคลอง ห้อยติดตะขอแล้วก็เริ่มขว้างเบ็ดตกปลาเสียอย่างนั้น
เทพภูเขาโต้วเป็นคนกระตือรือร้นมีน้ำใจ แล้วก็เป็นคนพูดเก่ง ไม่ว่ากับใครก็คุยด้วยได้
“เฉาเซียนซือเป็นคนที่ไหนหรือ?”
“เป็นคนในพื้นที่ของต้าหลี ออกจากบ้านเดินทางลงใต้ครั้งนี้ถือโอกาสเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ เหยียบเปลือกแตงโมลื่นไปถึงตรงไหนก็ถึงตรงนั้น”
“เยี่ยมไปเลย หากมาช้ากว่านี้อีกสักสองสามวัน ไม่แน่ว่าอาจต้องพลาดปลาซิ่งฮวาหลูและปลาต้าชิงไปแล้ว”
“เทพภูเขาโต้วหมายความว่าอย่างไร?”
เฉินเหวินเชี่ยนกระแอมเบาๆ หนึ่งที
โต้วแยนกลับคร้านจะสนใจคำเตือนของพ่อปู่ลำคลองเฉิน กลับกันยังลุกขึ้นเดินไปนั่งยองอยู่ข้างกายเฉาเซียนซือ แล้วพูดร่ายให้ฟังว่า “เฉาเซียนซือไม่รู้อะไร ทุกวันนี้ต้าหลีมีการเปลี่ยนช่องทางลำน้ำใหญ่ ไม่แน่ว่าลำคลองเที่ยวโปอาจกลายเป็นเรื่องในอดีตก็ได้ เผ่าน้ำจำนวนไม่น้อยต่างก็เริ่มย้ายถิ่นฐานกันแล้ว ถึงเวลานั้นท้องน้ำเปิดเปลือย ดอกซิ่งฮวาที่อยู่บนชายฝั่งสองข้างแห้งเหี่ยวตาย แล้วยังจะมีปลาหลูซิ่งฮวาให้พูดถึงอีกได้อย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หากเป็นเช่นนี้ ลำคลองเที่ยวโปก็ต้องเจอกับหายนะใหญ่แล้วจริงๆ โชคดีที่ข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี”
ประโยคหลังนั้นทำเอาโต้วแยนที่ได้ยินใจหายไปครึ่งหนึ่ง
“น้องเฉา ข้าเห็นว่าเจ้าดูเป็นมิตร จึงไม่คิดจะพูดจาอ้อมค้อมกับเจ้าแล้ว ไม่สู้เจ้าบอกพี่โต้วอย่างตรงไปตรงมาสักประโยค เจ้าคงไม่ใช่ขุนนางกรมโยธาของเมืองหลวงต้าหลีหรอกกระมัง? ภายนอกทำเป็นว่ามาตกปลาหาเรื่องบันเทิง แต่แท้จริงแล้วมาตรวจสอบกระแสน้ำไหลและเทือกเขาแถบนี้? ตำแหน่งขุนนางใหญ่หรือไม่ สายตาที่พี่ใหญ่มองคน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เลวมาโดยตลอด เห็นกลิ่นอายขุนนางบนร่างของน้องชายแล้ว จุ๊ๆ ไม่น้อยเลย ไม่น้อยเลยจริงๆ อย่างน้อยคงต้องเป็นผู้ดูแลหลักของหนึ่งกองกระมัง? วันหน้าคิดจะดูแลทั่วทั้งกอง ข้าว่าก็ไม่เป็นปัญหามากนัก”
“หากข้าเดาไม่ผิด น้องเฉาน่าจะมาจากตรอกฉือเอ๋อร์ของเมืองหลวง คือคนหนุ่มมากความสามารถจากตระกูลเมล็ดพันธ์แม่ทัพต้าหลี ดังนั้นจึงรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของกองทัพชายแดนต้าหลี รอให้สงครามสิ้นสุดลงก็ได้ถือโอกาสเลื่อนขั้นจากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีมารับหน้าที่ในกรมโยธา? ใช่หรือไม่?!”
“อีกอย่างดูจากรูปโฉมของน้องเฉาแล้วต้องไม่ผิด ไม่มีทางผิดได้แน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ได้รับตำแหน่งสูงเป็นอวี๋ปู้ หรือสุ่ยปู้ในที่ว่าการกรมโยธากันแน่?”
ขุนนางสองตำแหน่งนี้ในกรมโยธามีหน้าที่ดูแลกิจธุระทุกอย่างเกี่ยวกับภูเขาลำนำไพร ที่พักม้าสะพานทางการ การสร้างเขื่อนการสร้างคูคลอง เรียกได้ว่าตำแหน่งสูงมากอำนาจอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไรสักคำ
หากเทพภูเขาโต้วท่านนี้ไปตั้งแผงดูดวงต้องอดตายแน่นอน
โต้วแยนยังคงไม่ถอดใจ “น้องเฉา หากว่าสามารถช่วยนำความไปบอกกับขุนนางของกรมโยธา แน่นอนว่าถ้าเป็นนายท่านรองเจ้ากรมย่อมดียิ่งกว่า ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ วันหน้าเมื่อเจ้ามาเยือนสันเขาเตี๋ยอวิ๋นอีกครั้งก็จะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติของข้าโต้วแยนแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เทพภูเขาโต้วคิดไปไกลแล้ว ข้าไม่ใช่ขุนนางของต้าหลีอะไรทั้งนั้น”
โต้วแยนถามเสียงเบา “หรือว่าน้องเฉาคืออาจารย์ชิงอูของกองโหราศาสตร์ต้าหลี?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า ไม่นานเขาก็ตกได้ปลาหลูหนึ่งตัว เขายื่นมือไปกำไว้แน่น แล้วโยนใส่ข้องจับปลาเบาๆ
โต้วแยนปรบมือร้องชอบใจ “น้องเฉามือขึ้นยิ่งนัก ดูท่าน่าจะมีวาสนากับลำคลองเที่ยวโปจริงๆ แล้ว”
เพื่อสหายแล้ว เทพภูเขาโต้วท่านนี้ก็ไม่ต้องการหนังหน้าแก่ๆ แล้วจริงๆ
อันที่จริงในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานในวงการขุนเขาสายน้ำ หรือแม้กระทั่งเจ้านายที่อยู่เหนือหัวขึ้นไปซึ่งดูแลขุนเขาสายน้ำในอำเภอและจังหวัดหลายสิบแห่งอย่างท่านเทพอภิบาลเมืองผู้ตรวจการ โต้วแยนก็ยังไม่เคยก้มหัวยิ้มประจบเช่นนี้
แต่เพราะเขามั่นใจว่าเฉาเซียนซือที่มีบุคลิกไม่ธรรมดาคือขุนนางกรมโยธาที่มาจากถนนฉือเอ๋อร์หรือไม่ก็ตรอกอี้ฉือของเมืองหลวงต้าหลี
ขุนนางต้าหลี ไม่ว่าตำแหน่งขุนนางจะใหญ่หรือเล็ก แม้ว่ายากจะคบค้าสมาคมด้วย ยกตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงเส้นทางแม่น้ำลำคลองครั้งนี้ ศาลเทพภูเขา จวนน้ำหลายแห่งที่รวมถึงสันเขาเตี๋ยอวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้น พวกเหล้าหมักรสเลิศ สาวงามที่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนซึ่งเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วล้วนไม่ได้เอาออกมาใช้ ขุนนางต้าหลีพวกนั้นไม่คิดจะไปเป็นแขกที่จวนเลย แต่หากเป็นเรื่องงานส่วนรวมที่ต้องทำให้สำเร็จ พวกเขากลับใส่ใจอย่างมาก ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เป็นระเบียบไม่ยุ่งเหยิง ลงมือทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
คนแบบไหนก็คบหาสหายแบบนั้น
เฉินผิงอันพอจะแน่ใจได้คร่าวๆ แล้วจึงใช้เสียงในใจถามว่า “ได้ยินมาว่าสหายของพ่อปู่เฉินมีไม่มาก นอกจากเทพภูเขาโต้วแล้วก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ ไม่รู้ว่าในบรรดาสหายของท่าน มีผู้เฒ่าแซ่ชุยอยู่หรือไม่?”
“ไม่มี”
“ผู้เฒ่าแซ่ชุย เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว”
“ไม่รู้จัก ไม่เคยไปมาหาสู่กับคนในยุทธภพ”
เฉินผิงอันเอ่ยต่อว่า “ท่านผู้เฒ่าชุยคนนั้นเคยตั้งใจสอนวิชาหมัดให้ข้ามาก่อน แต่เพราะรู้สึกว่าคุณสมบัติของข้าไม่ได้เรื่องจึงไม่ได้รับเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ดังนั้นข้าจึงได้แค่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อด้านวิชาหมัดของผู้อาวุโสชุยเท่านั้น”
ตอนอยู่ที่บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ผู้เฒ่าไม่เคยพูดคุยถึงเรื่องในอดีตกับเฉินผิงอัน อย่างเรื่องที่ว่าชุยเฉิงเป็นสหายรักกับเฉินเหวินเชี่ยนแห่งลำคลองเที่ยวโปก็เป็นผู้เฒ่าที่คุยเล่นกับพวกหน่วนซู่ เฉินผิงอันจึงอาศัยการรายงานข่าวจากเทพคาบข่าวอย่างผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขาลั่วพั่ว ถึงได้รู้เรื่องนี้
จะว่าไปแล้วก็แปลก ชุยเฉิงที่อยู่กับเฉินผิงอันไม่เคยมีสีหน้าดีๆ อะไรให้เห็น แต่พออยู่กับหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยกลับอารีมีเมตตาอย่างน่าเหลือเชื่อ
เฉินเหวินเชี่ยนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “เฉาเซียนซือเข้าใจพูดเรื่องตลกจริงๆ เป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ กลับวิ่งไปฝึกวิชาหมัด เรียนวิชาการต่อสู้ จะไม่สิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองวัตถุดิบเซียนไปอย่างเปล่าประโยชน์หรอกหรือ? เฉาเซียนซือไม่กลัวหรือว่าทางตระกูลและผู้อาวุโสบนภูเขาจะตำหนิว่าไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงาน?”
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับการพูดสั้นกระชับจากการถามตอบก่อนหน้านี้ คำพูดของพ่อปู่ลำคลองท่านนี้เยอะกว่าเดิมแล้ว
เฉินผิงอันตกปลาหลูสีเหลืองทองได้อีกหนึ่งตัว จากนั้นจึงโยนคันเบ็ดลงน้ำ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในบ้านไม่มีผู้อาวุโสอะไร ถึงขั้นที่ว่าการฝึกตนบนภูเขามีคนนำทาง แต่ก็ยังไม่มีสถานะเป็นอาจารย์และศิษย์อะไรกัน ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ก็ไม่ใช่ว่าผู้เยาว์จงใจหลอกลวง”
เฉินเหวินเชี่ยนยิ้มถาม “เป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง รสชาติการเรียนหมัดเป็นอย่างไรเล่า?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “เรียนหมัดไม่ค่อยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ผู้เฒ่าชุยเป็นคนสอน ทรมานจนทำให้คนรู้สึกเสียใจภายหลังที่เรียนหมัดเลยทีเดียว”
เฉินเหวินเชี่ยนถอนหายใจ
ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ได้โกหกแล้ว
ขุนนางหนุ่มของต้าหลีที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำคนนี้ เกินครึ่งน่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของชุยเฉิงจริงๆ
ชุยเฉิงปฏิบัติต่อเรื่องการเรียนวรยุทธอย่างเข้มงวดจริงจังๆ พอๆ กับการปกครองบ้านเรือนและการศึกษาหาความรู้
เฉินเหวินเชี่ยนถาม “ในเมื่อเฉาเซียนซือบอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ ถ้าอย่างนั้นวิชาหมัดของชุยเฉิงมีผู้ที่ได้รับการสืบทอดหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ข้ามีลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาคนหนึ่ง คุณสมบัติการเรียนวรยุทธดีกว่าข้ามาก โชคดีเข้าตาท่านผู้เฒ่าชุย จึงถูกรับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด เพียงแต่ว่าท่านผู้เฒ่าชุยไม่สนใจเรื่องพิธีการเล็กๆ น้อยๆ เรื่องลำดับอาวุโสจึงคิดแยกกันไป”
เฉินเหวินเชี่ยนพยักหน้า เป็นเรื่องที่ชุยเฉิงจะทำได้จริงๆ
เฉินผิงอันถาม “อาจารย์ผู้เฒ่าชุยก็ร่ายบทกวีขับลำนำกับพ่อปู่ลำคลองเฉินด้วยหรือ?”
เฉินเหวินเชี่ยนยิ้มเอ่ย “แน่นอน ชุยเฉิงมีความรู้ความสามารถดีเยี่ยม คู่ควรกับคำว่านักประพันธ์ผู้รอบรู้ ตอนที่เพิ่งรู้จักเขา ชุยเฉิงยังเป็นบัณฑิตหนุ่มที่สะพายหีบออกทัศนาจร จนถึงทุกวันนี้โต้วแยนก็ยังไม่รู้สถานะที่แท้จริงของชุยเฉิง เข้าใจผิดคิดมาตลอดว่าเขาเป็นแค่เมล็ดพันธ์บัณฑิตจากตระกูลปัญญาชนของแคว้นเล็กๆ ทั่วไปเท่านั้น”
เฉินเหวินเชี่ยนเอ่ยปากแนะนำว่า “ตาเฒ่าโต้ว เฉาเซียนซือคือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของชุยเฉิง”
โต้วแยนเอ่ยอย่างกังขา “ชุยเฉิงไหน?”
เฉินเหวินเชี่ยนยิ้มเอ่ย “ก็บัณฑิตยากจนที่ทุกครั้งที่ผ่านทางมาจะต้องมาขอดื่มเหล้าเปล่าๆ จากสันเขาเตี๋ยอวิ๋นของเจ้าอย่างไรล่ะ”
โต้วแยนหัวเราะฮ่าๆ “อ้อ พูดถึงเสี่ยวชุยน่ะหรือ จำได้สิ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ เคยเจอกันมาหลายครั้ง แต่เจ้าเสี่ยวชุยผู้นั้นตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร แค่สนิทสนมกับพ่อปู่ลำคลองเฉินเท่านั้น ทุกครั้งก็ดีแต่จะหลอกเอาเหล้าไปจากข้า”
จากนั้นเทพภูเขาโต้วก็สังเกตเห็นว่าทั้งสีหน้าและสายตาของขุนนางหนุ่มจากต้าหลีออกจะประหลาดอยู่บ้าง
โต้วแยนถามอย่างกังขา “ทำไมหรือ ไม่เรียกเขาว่าเสี่ยวชุยแล้วจะให้เรียกว่าอะไร อายุของพวกเราต่างกันตั้งสองสามร้อยปีเชียวนะ หรือว่าข้ายังต้องเรียกเขาว่าพี่ชุยด้วย? ถ้าอย่างนั้นเขาก็เอาแต่ใจเกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันเหม่อมองผิวน้ำลำคลองอย่างเหม่อลอย
น้ำของลำคลองใสราวกับผืนฟ้า ปลาหลูคล้ายลอยอยู่ในกระจก ไม่ได้อยู่ข้างก้อนเมฆแต่อยู่ข้างสุรา
ที่แท้ก็เคยเยาว์วัยมาก่อน
เหมือนกับท่านยายผู้นั้น
นี่คือเรื่องที่มิอาจจินตนาการได้เลย
ก็เหมือนอย่างอาจารย์ฉี ชุยเฉิน หมัวมัวเฒ่าสำหรับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันสำหรับพวกเผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง จ้าวซู่เซี่ย
หลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวสำหรับพวกเด็กๆ อย่างป๋ายเสวียนและเจ้าใบ้น้อยที่ตรอกฉีหลง
ส่วนเด็กๆ ที่ทุกวันนี้ยังเล็ก ไม่แน่ว่าวันหน้าก็อาจกลายเป็นผู้อาวุโสสูงวัยที่พวกลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วและสำนักเบื้องล่างมิอาจจินตนาการได้ถึง
คาดว่านี่ก็คือการสืบทอดกระมัง
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมลำคลอง ปล่อยปลาหลูสองตัวที่อยู่ในข้องตกปลากลับลงไปในน้ำ หลังเก็บคันเบ็ดและข้องตกปลามาแล้วก็ลุกขึ้นหยิบเอาถ้วยขาวใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน เรื่องที่ลำน้ำใหญ่จะเปลี่ยนเส้นทาง ผู้เยาว์คือคนนอกของวงการขุนนางต้าหลี มิอาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่อาจารย์เฉินจะยินดีถอยก้าวหนึ่งหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนศาลร่างทองและจวนพ่อปู่ลำคลอง แต่ไปรับหน้าที่เป็นพ่อปู่ของทะเลสาบแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง?”
คนผู้นั้นพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เทพภูเขาโต้วฟังด้วยความมึนง ให้เฉินเหวินเชี่ยนเปลี่ยนไปดูแลทะเลสาบ? ทว่าในรัศมีหลายร้อยลี้รอบด้านนี้เอาทะเลสาบมาจากไหน?
ทำไม หรือว่าจะย้ายภูเขาสร้างทะเลสาบ? คนหนุ่มเห็นตัวเองเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนจริงๆ หรือไร มีวิชาอภินิหารล้ำเลิศที่สามารถย้ายภูเขาพลิกคว่ำมหาสมุทรได้หรือ?
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้สามารถย้ายเทือกเขาทั้งหลายที่ไร้เจ้าของได้จริงๆ จากนั้นเจาะพื้นดินสร้างหลุมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับน้ำของทะเลสาบได้ขึ้นมา แต่จะเอาน้ำมาจากไหน คงไม่อาจสร้างสะพานข้ามลำคลอง ให้น้ำไหลมาจากฟ้า ชักดึงน้ำจากลำคลองเที่ยวโปเข้ามาในทะเลสาบกระมัง? อีกอย่างตอนนี้ก็อยู่ในช่วงน้ำแห้ง ระดับน้ำของลำคลองเที่ยวโปไม่มากพอ แล้วนับประสาอะไรกับที่หากทำเรื่องกำเริบเสิบสานแบบนี้ ไปกระตุ้นชักนำโชคชะตาขุนเขาสายน้ำมามากเกินไปจะต้องส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงของพวกชาวบ้านบนสองฝากฝั่งในปีนี้ ถึงเวลานั้นราชสำนักต้าหลีต้องมากล่าวโทษเอาผิดแน่นอน ต่อให้ทั้งเมืองหลวงสำรองต้าหลีและกรมโยธาเมืองหลวงต่างก็สามารถผ่อนปรนให้ได้ ถึงอย่างไรเรื่องการเปลี่ยนเส้นทางแม่น้ำลำคลองก็เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้ว ต่อให้ทะเลสาบแห่งใหม่สร้างขึ้นได้สำเร็จก็ยังต้องอยู่ในสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนที่ไร้ต้นกำเนิดของน้ำอยู่ดี โชคชะตาน้ำของทะเลสาบมีแต่กลิ่นอายความตาย พวกเผ่าน้ำมากมายที่เคยอยู่ในน่านน้ำของลำคลองเที่ยวโปต้องไม่มีทางติดตามพ่อปู่ลำคลองเฉินย้ายมาอยู่ในบ่อน้ำตายแห่งนี้แน่นอน ถึงเวลานั้นเฉินเหวินเชี่ยนก็จะกลายเป็นตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง ควันธูปกระจัดกระจาย แล้วการกระทำนี้จะมีความหมายที่ตรงใด?
คนหนุ่มอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่าน ไม่รู้อะไรควรไม่ควร
แต่จะว่าไปแล้ว น้ำใจส่วนนี้ก็ควรต้องรับเอาไว้
เฉินเหวินเชี่ยนส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เฉาเซียนซือไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงโดยไม่ได้ผลประโยชน์เช่นนี้ จะสิ้นเปลืองตบะ ปราณวิญญาณและเส้นสายผู้คนในวงการขุนนางไปเสียเปล่าๆ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอให้ผู้เยาว์ได้เอ่ยประโยควางโตอย่างไม่ละอายใจสักคำ เรื่องนี้ไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย เป็นเรื่องที่ง่ายดายเหมือนยกมือ ก็คล้ายกับการยกจอกเหล้าบนโต๊ะสุรานั่นแหละ”
เทพภูเขาโต้วใช้เสียงในใจพูดอย่างขำๆ ปนฉุน “เหวินเชี่ยน เจ้าดูสิ สีหน้าเช่นนี้ คำพูดคำจาเช่นนี้ เหมือนเจ้าชุยเฉิงผู้ยากจนในปีนั้นหรือไม่?”
“ผู้เยาว์ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว”
คนชุดเขียวมือหนึ่งถือถ้วย เพียงแค่ก้าวออกไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวเรือนกายก็หายวับไปไม่เห็นอีก ขยับห่างออกไปไกลพันหมื่นลี้
โต้วแยนร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเทพภูเขา พอเก็บดวงจิตกลับมาแล้วก็เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าตัวดี ไม่อยู่ในอาณาเขตของสันเขาเตี๋ยอวิ๋นแล้ว!”