กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 872.5 ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 872.5 ตอนนั้นผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น
เพราะถึงอย่างไรเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ปีนั้นจึงไม่รู้ถึงความลี้ลับมหัศจรรย์มากมายจากการกระโดดหน้าผา ‘กระแทกพื้น’ ของเด็กสาว ยิ่งมิอาจเข้าใจระดับความสูงของวิชาหมัดที่ ‘ใช้เรือนกายอันบริสุทธิ์ถามหมัดกับพื้นดิน’ ได้
หลายปีมานี้คอยติดตามความเคลื่อนไหวของอาจารย์เฉินและกู้ช่านมาโดยตลอด รายงานขุนเขาสายน้ำของทางสำนักเจินจิ้งก็ไม่ปล่อยให้ตกหล่นแม้แต่ฉบับเดียว เพียงแต่น่าเสียดายที่ทางฝั่งของอาจารย์เฉินไม่เคยมีข่าวคราวใดๆ กลับเป็นกู้ช่านที่ปีนั้นหลังแยกกันที่หลงโจวก็ราวกับสะบัดร่างเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เปลี่ยนจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินมาเป็นลูกศิษย์ของนครจักรพรรดิขาวแห่งแผ่นดินกลาง ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักอีกด้วย!
สำหรับทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีผู้ฝึกตนอิสระมากมายแล้ว นครจักรพรรดิขาวแห่งนั้นอยู่ห่างไกล ทั้งยังสูงส่งจนมิอาจปีนป่ายได้ถึง
ส่วนเจ้านครเจิ้งที่ถูกขนานนามให้เป็นยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งบนวิถีมารก็ยิ่งเป็นบุคคลที่สูงส่งราวกับอยู่บนฟากฟ้า
ในอดีตเจิงเย่ที่อยู่บนเกาะชิงเสีย ขอแค่ได้พบเจอกับกู้ช่านก็จะต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น ภายหลังติดตามกู้ช่านออกเดินทางไปทั่วสี่ทิศ สถานการณ์ถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย ถึงท้ายที่สุดขอแค่อยู่ข้างนอกก็ถึงกับรู้สึกว่ามีเพียงอยู่ข้างกายกู้ช่านถึงจะรู้สึกสงบสบายใจได้หลายส่วน
หม่าตู่อี๋เคยเตือนเจิงเย่บอกว่า อันที่จริงกู้ช่านยังคงเป็นกู้ช่าน แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมาก กลายเป็นคนที่ทำอะไรตามระเบียบขั้นตอน ทำเรื่องดีที่ตัวเองมีความสามารถพอจะทำได้อยู่หลายเรื่อง ถึงขั้นที่ว่าหลายๆ เรื่องที่กู้ช่านเป็นคนลงมือทำยังทำให้คนอื่นรู้สึกสาแก่ใจ สะใจยิ่งกว่าเรื่องที่สมเหตุสมผลเสียอีก แต่ไม่อาจคิดว่าเขาเป็นคนดีเพราะเหตุนี้ได้
ส่วนข้อที่ว่าเจิงเย่จะฟังเข้าหูหรือไม่ หม่าตู่อี๋ไม่สนใจ นางแค่แน่ใจในเรื่องหนึ่ง ขอแค่อาจารย์เฉินยังอยู่บนโลกมนุษย์ กู้ช่านที่อยู่บนภูเขาก็จะเปลี่ยนเป็น ‘ดียิ่งกว่าเดิม’
ต่อให้ในอนาคตกู้ช่านจะเดินถึงยอดเขาของไพศาลได้อย่างราบรื่น ในใจของกู้ช่านก็ยังคงมีบรรทัดฐานบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ดำรงอยู่อย่างยาวนาน
อันที่จริงเจิงเย่เคยเอ่ยถ้อยคำที่ไม่น่าฟังสักเท่าไร แล้วก็ทำให้ในใจของหม่าตู่อี๋รู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อย
เพราะถึงอย่างไรปีนั้นก็ติดตามกู้ช่านออกเดินทางไปทั่วสารทิศ จะมากหรือน้อย หม่าตู่อี๋เองก็เกิดความสนิทใจกับกู้ช่านเช่นเดียวกัน พอจะถือว่าเป็นสหายได้ครึ่งตัวกระมัง
จำต้องยอมรับว่า อยู่ร่วมกับกู้ช่านแล้วทำให้คนวางใจจริงๆ
ก็เหมือนอย่างติดตามอาจารย์เฉินออกท่องยุทธภพที่แค่กินเปล่าอยู่เปล่าติดตามเขาไป ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันออกมาจากจวนจูเสียนของเกาะชิงเสีย มาถึงที่แห่งนี้ก็พบว่าเจ้าของเกาะอย่างเจิงเย่ฝึกตนอยู่ในห้อง จึงไม่ได้ไปรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของเทพเซียนห้าขอบเขตกลางท่านนี้ หม่าตู่อี๋นั่งโล้ชิงช้าอยู่ในลานบ้านของตัวเอง
เขาจึงไปบนยอดเขาของเกาะเพียงลำพัง เฉินผิงอันนั่งอยู่บนราวรั้ว ดื่มเหล้าไปช้าๆ มองทะเลสาบซูเจี่ยนที่คล้ายจะเปลี่ยนมาเป็นไม่คุ้นเคยแห่งนี้
เจิงเย่เคยวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่นานหลายปี แต่ก็เพราะสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้เฉินผิงอันเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง กลิ่นอายแห่งวีรบุรุษของฟ้าดิน ต่อให้ผ่านมานานพันปีหมื่นปีก็ยังทำให้คนสัมผัสได้ถึงพลานุภาพอันน่าเกรงขาม
เฉินผิงอันโยนกาเหล้าว่างเปล่าของเหล้าอีกาครวญใบหนึ่งลงไปในทะเลสาบ
ตอนนั้นผู้ที่นั่งล้วนเป็นผู้กล้าที่โดดเด่น?
หากพูดถึงโต๊ะสุราน้อยใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถูกต้องแล้ว
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งกา ก่อนจะไปเยือนภูเขาเมฆาเรืองก็ได้เดินทางผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง
มองทัศนียภาพอันมืดมนหดหู่ตรงหน้า ยากจะจินตนาการได้ว่าที่นี่คือทะเลสาบหนันถังที่เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือในทวีปของอดีต
น้ำในทะเลสาบแห้งขอด ว่ากันว่าถูกปีศาจใหญ่หย่างจื่อราชาบนบัลลังก์เก่าดูดน้ำในทะเลสาบไปจนเกลี้ยง ความสูงของระดับน้ำในทุกวันนี้ไม่ได้หนึ่งส่วนของในอดีตด้วยซ้ำ
เมื่อหลายปีก่อนที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ทัศนียภาพงดงามของแจกันสมบัติทวีป ‘กระท่อมไม้สวนดอกเหมยกลิ่นอายวสันต์เข้มข้น’ ของอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง เป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด ถูกผู้คนกล่าวขานกันว่าต้องกี่ชาติถึงจะฝึกฝนจนได้ระดับของดอกเหมยนั้น
อารามเต๋าพันปี ทุกครั้งที่ดอกเหมยผลิบาน เซียนซือต่างถิ่นและจักรพรรดิอัครเสนาบดี ขุนนางชนชั้นสูงและปัญญาชนผู้มีความรู้ รถม้าเคลื่อนขบวนมาไม่ขาดสาย ทิ้งบทกวีที่พร่ำรำพรรณถึงดอกเหมยไว้นับไม่ถ้วน
หลายปีมานี้พวกผู้ฝึกตนหญิงของอารามชิงเหมย นอกจากยอมสละปราณวิญญาณอย่างไม่เสียดายเพื่อร่ายวิชาน้ำอย่างเต็มกำลัง รวบรวมก้อนเมฆให้สายฝนโปรยปรายลงมา อีกทั้งหลายปีมานี้ยังต้องคอยยืมน้ำย้ายน้ำจากแม่น้ำลำคลองของที่อื่นมาตลอด พยายามที่จะเติมทะเลสาบให้เต็มอีกครั้ง แต่สองเรื่องนี้พัฒนาไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งเพราะเทพภูเขา เทพแห่งผืนดินที่เลื่อนขั้นใหม่ของภูเขาหลายลูกที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็คอยเอาเรื่องไปฟ้องอยู่เนืองๆ นี่ก็โทษไม่ได้ที่พวกเขาจะยึดหลักส่วนรวมไว้ก่อน เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันไปถึงการเคลื่อนย้ายโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่ง นอกจากนี้ต้นเหมยในอารามก็เสียหายอย่างหนัก อีกทั้งเรื่องของการเติมเต็มน้ำบนภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่เพียงแค่เติมเต็มกระแสน้ำไหลของแม่น้ำลำคลองเท่านั้น
เฉินผิงอันเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยกำลังทำเรื่องที่นางถนัดที่สุด นั่นคือเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ หาเงินเทพเซียน
เทพธิดาโจวแห่งอารามชิงเหมยคือผู้เชี่ยวชาญด้านบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เรื่องของการ ‘ยืมทัศนียภาพ’ ก็ยิ่งทำได้อย่างสบายๆ ราวกับแค่ยกมือกวัก ในอดีตทุกครั้งที่ไปถึงสำนักบนภูเขาหรือจวนเซียน ก็จะต้องใช้วิชาลับในการคัดลอกของอารามชิงเหมยสกัดดึงมาไว้ จากนั้นค่อยเอาร่างของตัวเองฝังเลื่อมเข้าไปในภาพ จากนั้นก็ส่งไปให้กับเซียนซือบนภูเขา หรือไม่ก็ชนชั้นสูงล่างภูเขา คราวก่อนที่นางเดินทางไปท่องเที่ยวที่หลงโจว โจวฉงหลินก็ติดตามอยู่ข้างกายซ่งหยวนและหลิวรุ่นอวิ๋นแห่งยอดเขาอีไต้ด้วย ตอนนั้นเฉินผิงอันก็พาถ่านด่านน้อยที่ใบหน้าแดงบวมฉึ่งไปด้วยกันพอดี
โจวฉงหลินในเวลานั้นไม่ยินดีจะพลาดโอกาสใดๆ ก็ตามที่จะได้ ‘เป็นสหายของสหายของสหาย’ จึงอยากจะให้ยอดเขาอีไต้เป็นสะพานเชื่อมสานสัมพันธ์กับภูเขาลั่วพั่ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ค่อยชอบที่นางทำอะไรไม่รู้กาลเทศะ เสแสร้งจงใจมากเกินไป อีกทั้งยังง่ายที่จะลากให้ยอดเขาอีไต้เดือดร้อนไปด้วย รู้สึกว่านางสนใจผลประโยชน์เกินไป พยายามเจาะหาช่องทางเพื่อสานสัมพันธ์กับผู้คนนั้นไม่ผิด แต่ไม่ควรเหมือนกับนางที่ทำอะไรไม่พิถีพิถันเช่นนั้น เขาจึงปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันแล้ว เผยเฉียนก็แอบบอกเฉินผิงอัน เป็นถ้อยคำที่ทำให้จิตวิญญาณเขาสะท้านสะเทือน
ตอนนั้นเผยเฉียนบอกว่านางมองเห็นว่าในหัวใจของพี่สาวที่เย้ายวนเจ้าเสน่ห์มีคนจิ๋วที่น่าสงสารเสื้อผ้าขาดวิ่น ผ่ายผอมเหมือนคนที่ใกล้หิวตายเต็มทีอยู่มากมาย เหมือนกับตนตอนเด็ก ส่วนพี่สาวคนนั้นก็เสียใจอย่างมาก ได้แต่มองจานข้าวใบใหญ่ที่ว่างเปล่า ไม่กล้ามองไปยังเด็กๆ พวกนั้น
เผยเฉียนที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กจึงไม่เข้าใจว่าถ้อยคำไร้เจตนาแค่ไม่กี่ประโยคของตัวเองจะทำให้ในอนาคตอาจารย์พ่อคอยทบทวนตัวเองบนเส้นทางของชีวิตอยู่ตลอดเวลา
เวลานี้เฉินผิงอันเอนหลังพิงต้นเหมยที่แห้งเหี่ยว มองบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนั้นที่อ้อมไปอ้อมมา แต่ไม่รู้ว่าอ้อมอีท่าไหนถึงไปเกี่ยวพันกับภูเขาลั่วพั่วบ้านตนได้
ที่แท้เรื่องของการร่วมงานพิธี ทั้งบนและล่างภูเขาในหนึ่งทวีปก็ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด หัวข้อสนทนาเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน
ยิ่งเป็นผู้ฝึกลมปราณที่อายุน้อยก็ยิ่งไม่เห็นด้วย มีความรู้สึกที่ย่ำแย่ต่อเซียนกระบี่หนุ่มซึ่งมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุดผู้นั้น อาศัยขอบเขตของตัวเองทำตัวกำเริบเสิบสาน ทำอะไรไม่เว้นที่ว่างเหลือไว้ให้คนอื่นแม้แต่น้อย
อันที่จริงแรกเริ่มโจวฉงหลินก็ไม่คิดจะพูดอะไรดีๆ ให้กับภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่เพราะความเคยชินเป็นเหตุ จึงพูดคุยสองสามประโยคว่าตนโชคดีได้รู้จักกับเซียนกระบี่เฉินคนนั้น คิดจะใช้สิ่งนี้มายกสถานะของตัวเองให้สูงขึ้น เป็นวิธีการในยุทธภพที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด คิดไม่ถึงว่าจะก่อให้เกิดประเด็นร้อนดุเดือดขึ้นมาทันที ผิดแผนอย่างหนัก แต่ก็ทำให้คนทุ่มเงินเกล็ดหิมะกันลงมาไม่น้อย เพื่อจะได้พูดถ้อยคำระคายหูกับเทพธิดาโจว ทำนองว่ารับภูเขาลั่วพั่วเป็นบิดา ชอบเป็นบุตรที่กตัญญู?
ทันใดนั้นก็มีคนทุ่มเงินตามมา บอกว่าผิดแล้วๆ ลืมพูดไปคำหนึ่ง เทพธิดาโจวของพวกเรา ไม่แน่ว่าอาจรับบิดาบุญธรรมที่ร่ำรวยมีอำนาจมาคนหนึ่ง
โจวฉงหลินก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอยู่ ขอแค่คนพวกนั้นจ่ายเงินมาด่าคน นางก็อารมณ์ดีมากแล้ว
เพียงแค่เอ่ยกลับไปหนึ่งประโยคว่าพวกเจ้าล้วนพูดถูก
เฉินผิงอันมองออกว่านางไม่สนใจสักนิดเลยจริงๆ
รอกระทั่งนางถอนบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำออกแล้วก็กำหมัดเขย่าเบาๆ เป็นการสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เข้าใจแล้วๆ หาเส้นทางร่ำรวยเจอแล้ว คราวหน้ายังต้องยกเอาเซียนกระบี่หนุ่มที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยคนนั้นมาพูดต่อ ทางที่ดีที่สุดคือพูดให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายฟังแล้วคลุมเครืออีกหน่อย จะต้องหาเงินได้มากกว่าเดิมแน่นอน เชื่อว่าด้วยสถานะที่โดดเด่นของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ คงไม่มาเล็กคิดน้อยกับผู้ฝึกตนน้อยแห่งอารามชิงเหมยอย่างนางหรอกกระมัง
เพียงแต่ว่าเมื่อโจวฉงหลินมองไปยังทะเลสาบหนันถังที่ผิวน้ำใสสะอาดตื้นเขินแล้ว นางกลับเลื่อนลอยไปเล็กน้อย ต่อให้สามารถเติมน้ำในทะเลสาบหนันถังให้เต็มได้ใหม่อีกครั้งจริงๆ ทว่าต้นเหมยมากมายที่แห้งเหี่ยวตายไปล่ะ? ยังมีโชคชะตาน้ำที่เดิมทีเปี่ยมล้นสมบูรณ์ของทะเลสาบหนันถังในอดีตอีก ในใจนางพลันเกิดความสิ้นหวัง ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลพรากอาบเต็มใบหน้า
ดูเหมือนว่าชีวิตคนมักจะมีอุปสรรคอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอดทนแค่ไหนก็ยังผ่านมันไปไม่ได้อยู่ดี
ต่อให้ข้ามผ่านมันไปได้แล้ว สิ่งที่ผ่านไปก็มีเพียงแค่คน ไม่ใช่เรื่องราว
โจวฉงหลินพลันเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ที่แท้เวลาเพียงชั่วกะพริบตาก็มีภาพปรากฎการณ์ผิดปกติที่เมฆดำซัดตลบ ทะเลเมฆพลันมารวมตัวกันในเสี้ยววินาที ฟ้าร้องฟ้าแลบเกิดขึ้นอย่างไม่มีลางบอกกล่าวแม้แต่น้อย บรรยากาศอึมครึมน่าสะพรึงกลัว ชวนให้อกสั่นขวัญผวา
ทะเลเมฆปกคลุมไปทั่วอาณาเขตร้อยลี้ซึ่งเป็นน่านน้ำของทะเลสาบหนันถังเก่า กลางวันราวกับกลางคืน
สายฝนเทกระหน่ำลงมายังโลกมนุษย์ ระดับน้ำในทะเลสาบหนันถังเพิ่มทะยานขึ้นอย่างพรวดพราดด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ชุดคลุมอาคมบนร่างของนางสามารถหลบเลี่ยงน้ำได้ จึงไม่ถือสากับฝนห่าใหญ่ที่เทลงมานี้
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จากไปอย่างเงียบเชียบ เขาพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “ผ่านทางมายังสถานที่อันล้ำค่าแห่งนี้พอดี บังเอิญนัก ได้ชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ต้องขอบคุณเทพธิดาโจวที่ช่วยเอ่ยถ้อยคำดีๆ ให้กับภูเขาลั่วพั่ว”
โจวฉงหลินที่รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะหันขวับกลับมาทันที เช็ดน้ำตาบนใบหน้า ยอบกายคารวะเซียนกระบี่จากภูเขาลั่วพั่ว ยิ้มเอ่ยว่า “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันกล่าว “แค่บังเอิญผ่านทางมาเท่านั้น กลับมาเจอกับภาพปรากฎการณ์ผิดปกติเช่นนี้พอดี แม้จะไม่ได้เห็นทัศนียภาพของอารามชิงเหมยอย่างที่เล่าลือในตำนาน แต่การมาครั้งนี้ก็ไม่ถือว่าเสียเที่ยวแล้ว”
โจวฉงหลินกะพริบตาปริบๆ ในเมื่อเซียนกระบี่หนุ่มไม่อยากพูดความจริง ถ้าอย่างนั้นนางก็คงได้แต่แกล้งโง่ตามไปด้วย
ไม่อย่างนั้นในใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนั้น
อันที่จริงในความทรงจำของนาง ความรู้สึกที่มีต่อเจ้าขุนเขาอายุน้อยๆ ผู้นี้ธรรมดาอย่างมาก อีกฝ่ายเป็นคนถือตัว เข้ากับคนอื่นได้ยาก
ภายหลังเมื่อมีการร่วมงานพิธีและการถามกระบี่ที่ตะลึงพรึงเพริดนั้นก็ยิ่งทำให้โจวฉงหลินตัดสินใจเด็ดขาดว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่ไปข้องเกี่ยวกับภูเขาลั่วพั่วเด็ดขาด
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดวันนี้เซียนกระบี่เฉินถึงได้ทำเช่นนี้ นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ จึงคร้านจะคิดให้มากความ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางหลงใหลในความงามของนางอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นปีนั้นก็คงไม่ปฏิเสธนาง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้เขาชอบนางแล้วอย่างไร นางจะต้องกลัวอะไร
ขอแค่สามารถช่วยให้อารามชิงเหมยกอบกู้ความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับคืนมา นางก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าต้องให้ทำอะไรนางก็ล้วนยินดี
เด็กกำพร้าที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในโคลนตมคนหนึ่ง ตอนที่มีอายุเป็นเด็กสาวได้ถูกอาจารย์พามาที่อารามชิงเหมย สุดท้ายสะบัดตัวกลายร่างมาเป็นเทพเซียนบนภูเขา ต้องรู้จักถนอมวาสนา ต้องรู้จักบุญคุณและตอบแทนใช้หนี้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเทพธิดาโจวไม่รังเกียจ วันหน้าก็สามารถไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราได้ ถึงเวลานั้นไปเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่บนภูเขา เงินเทพเซียนที่ได้มา สองฝ่ายแบ่งกันห้าต่อห้า เป็นอย่างไร? แต่บอกไว้ก่อนว่าบนภูเขามีอยู่หลายสถานที่ที่ไม่อาจดึงเอาทัศนียภาพไปคัดลอกเก็บไว้ได้ รายละเอียดเป็นอย่างไร ยังต้องรอให้เทพธิดาโจวไปถึงหลงโจวก่อนค่อยว่ากัน ถึงเวลานั้นให้ผู้ดูแลน้อยหน่วนซู่หรือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วพวกเราพาเจ้าไปเดินเที่ยวดูรอบๆ หาทัศนียภาพที่เหมาะสมก็แล้วกัน”
โจวฉงหลินพยักหน้าอย่างเหม่อลอย รู้สึกไม่ค่อยกล้าเชื่อสักเท่าไร
เฉินผิงอันควักป้ายสงบสุขของต้าหลีออกมา ได้เอามาใช้งานอีกรอบหนึ่งแล้ว “นายท่านเทพภูเขาทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียงกับทะเลสาบหนันถัง ข้าสามารถช่วยอธิบายให้พวกเขาฟังได้ แต่จะฟังหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว”
โจวฉงหลินเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจอีกครั้ง
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “นอกจากเรื่องของโชคชะตาน้ำและต้นเหมย บางทีข้าอาจจะพอช่วยเหลือได้สักเล็กน้อย วันหน้าเทพธิดาโจวสามารถอยู่เฉยๆ รอดูการเปลี่ยนแปลงได้เลย”
ตนที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างคนนั้น หลังจากที่ทำการชักคะเย่อดึงแม่น้ำกับเฟยเฟยไปครั้งหนึ่งก็ได้โชคชะตาน้ำของลำคลองเย่ลั่วมา
ส่วนต้นเหมยที่แห้งเหี่ยวของอารามชิงเหมย แน่นอนว่ามีวิธีชดเชยแก้ไข เพราะถึงอย่างไรตนก็โชคดีได้รู้จักกับเจ้าของคนเก่าของสวนดอกเหมยแห่งภูเขาห้อยหัวอย่างถัวเหยียนฮูหยิน
โจวฉงหลินทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
อยากถามเซียนกระบี่หนุ่มนักว่า ทำอย่างนี้เพราะต้องการอะไร?
สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้ายังต้องออกเดินทางต่อ วันนี้คงไม่อยู่นานแล้ว หากคราวหน้ายังผ่านทางมายังที่แห่งนี้อีกจะต้องไปเป็นแขกที่อารามชิงเหมยด้วยสองมือที่ว่างเปล่า ไปขอน้ำบ๊วย (เหมย) เย็นๆ ดื่มสักถ้วย”
โจวฉงหลินยิ้มหวาน พยักหน้ารับเบาๆ หลังจากที่เรือนกายชุดเขียวหายวับไปนางถึงได้ยกหลังมือขึ้นขยี้ดวงตาที่แดงเรื่อ
ความอบอุ่นบางอย่างสะท้านสะเทือนใจคนได้ดียิ่งกว่าเสียงฟ้าคำรณซะอีก