กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 873.2 ใต้ฟ้าบนดิน
อันที่จริงทุกวันนี้เรื่องที่ภูเขาเมฆาเรืองสนใจมากที่สุดมีแค่เรื่องใหญ่อันดับหนึ่งสองเรื่องเท่านั้น เรื่องแรก แน่นอนว่าเป็นการตัดสองคำหน้าของคำว่าตัวสำรองสำนักอักษรจงทิ้งไป สานสัมพันธ์กับเมืองหลวงต้าหลีและเมืองหลวงสำรองให้มากๆ อ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่เป็นคนที่พูดคุยด้วยได้ง่ายมาก แม้จะมีงานยุ่งแต่ทุกครั้งก็ยังปลีกตัวมาพบ เรียกได้ว่าให้ความสนิทสนมกับภูเขาเมฆาเรืองอย่างมาก
เรื่องที่สองก็คือเรื่องคู่บำเพ็ญเพียรของไช่จินเจี่ยน
ไม่เพียงแต่อาจารย์ของไช่จินเจี่ยนเท่านั้น แม้แต่เจ้าขุนเขาก็ยังออกหน้าพูดเป็นนัยๆ กับไช่จินเจี่ยนหลายครั้ง ไม่สะดวกที่จะถามตรงๆ ว่านางมีใครในใจแล้วหรือยัง จึงพูดจาอ้อมค้อม คุยถึงคนหนุ่มรูปงามมากความสามารถของแจกันสมบัติทวีปบางคนที่อายุใกล้เคียงกัน คุณสมบัติไม่ธรรมดา น่าเสียดายที่ทุกครั้งไช่จินเจี่ยนจะต้องหลบเลี่ยงหัวข้อพูดคุยนี้ หรือไม่ก็พูดออกมาตรงๆ ว่าเรื่องของการแต่งงานต้องแล้วแต่บุพเพวาสนา มิอาจบังคับกันได้
เฉินผิงอันเก็บเหล้ากาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ หลุดหัวเราะพรืด โบกมือเอ่ย “พี่หวงคิดมากเกินไปแล้ว”
ดื่มเหล้าชุนคุ่นที่ภูเขาเมฆาเรืองหมักด้วยกรรมวิธีลับกาหนึ่งหมด เฉินผิงอันก็กล่าวว่า “ในเมื่อกล้าชอบ แล้วเหตุใดถึงไม่กล้าพูด ด้วยคุณสมบัติการฝึกตนของพี่หวง ด่านทางใจก็คือด่านความรัก ขอแค่ข้ามผ่านด่านนี้ไปได้ เลื่อนเป็นก่อกำเนิดก็ไม่ยากแล้ว ด่านความรักก็แค่ต้อง ‘พูดออกมาตรงๆ’ เท่านั้น”
หวงจงโหวเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้าจะไปรู้กะผายลมอะไร สหายคิดว่าตัวเองคือเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนจริงๆ งั้นหรือ?”
เห็นว่าคนชุดเขียวลุกขึ้นเตรียมจะจากไป หวงจงโหวก็เอ่ยว่า “จะไปไหน? ขอเตือนเจ้าสักคำ ภูเขาลูกอื่นของภูเขาเมฆาเรืองไม่ได้ไร้กฎเกณฑ์ ไม่สนใจเรื่องตราผนึกของสำนักเหมือนยอดเขาเกิงอวิ๋นของพวกเรา หากสหายบุกไปที่อื่นส่งเดช ก็ง่ายที่จะโดนจัดการ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าต้องไปยอดเขาลวี่กุ้ย ไปคุยธุระกับเทพธิดาไช่สักเล็กน้อย”
หวงจงโหวหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นที่ไม่กล้าพูดแต่ดันกล้าทำ เขาจึงโบกมือ “ไปที่ยอดเขาลวี่กุ้ยกลับไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก ครานั้นที่ไช่จินเจี่ยนลงจากภูเขาไป พอกลับมาก็เปลี่ยนไปมาก ทำให้คนจำต้องมองนางเสียใหม่ วันหน้าคิดจะเป็นเจ้าขุนเขาก็คงไม่ใช่ปัญหาแล้ว ใช่หรือไม่ เจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่ว?”
เฉินผิงอันยืนอยู่บนราวรั้ว ดีดปลายเท้าหนึ่งที เรือนกายพุ่งโฉบไปเบื้องหน้า เขาหันหน้ามายิ้มเอ่ย “ข้ากลับรู้สึกว่าให้พี่หวงที่ต้องข้ามผ่านด่านความรักเป็นเจ้าขุนเขา บางทีอาจเหมาะสมยิ่งกว่า”
หวงจงโหวเพียงแค่ยิ้มรับ
สหายที่หนังหน้าไม่บางผู้นี้ เป็นสหายดื่มสุราคล้ายจะไม่เลว หากบนโต๊ะไม่มีคำพูดเหลวไหลเสียบ้าง ต่อให้สุราจะดีแค่ไหนก็ไม่มีรสชาติอะไร
หากดื่มจนเมามายจริงๆ ไม่แน่ว่าหวงจงโหวอาจจะแย่งเป็นเจ้าขุนเขาเฉินกับสหายผู้นี้ก็เป็นได้
เพราะถึงอย่างไรหวงจงโหวก็เลื่อมใสเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่วที่มีชาติกำเนิดยากจนผู้นั้นมานานมากแล้ว เจ็บใจก็แต่ไม่มีโอกาสได้ดื่มเหล้าด้วยกันก็เท่านั้น
ไม่เหมือนกับไช่จินเจี่ยน หวงจงโหวเองก็มีชาติกำเนิดจากหมู่ชาวบ้านร้านตลาดเช่นเดียวกับเจ้าขุนเขาเฉิน เพิ่งจะขึ้นเขาฝึกตนตอนที่เป็นเด็กหนุ่มแล้วเช่นกัน สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คงจะเป็นฝ่ายหลังเจ้าชู้เสเพล แต่ตนลุ่มหลงในรักก็เท่านั้น
ดังนั้นหวงจงโหวจึงเปิดเหล้าชุนคุ่นอีกหนึ่งกา จากนั้นหยิบบันทึกขุนเขาสายน้ำที่คนในตำราได้เจอกับสาวงามอยู่เป็นเนืองนิตย์ออกมาอ่านต่างกับแกล้ม รสชาติดีเยี่ยมยิ่งนัก
วันหน้าหากโชคดีได้พบกับเฉินผิงอัน จะต้องขอความรู้จากเขาอย่างนอบน้อมสักหน่อยว่า สรุปแล้วควรจะอยู่ร่วมกับสตรีอย่างไรถึงจะถูกต้องเหมาะสม ถึงจะพรรณนาทุกความรู้สึกได้โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด
ทางฝั่งของยอดเขาลวี่กุ้ย ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ของภูเขาเมฆาเรืองต่างก็แยกย้ายกันไปแล้ว เหลือแค่ลูกศิษย์ของยอดเขาอื่นอีกไม่กี่คนเท่านั้น พวกเขามีข้อสงสัยที่อยากจะถามบรรพจารย์ไช่ต่อหน้า
รอกระทั่งลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนสุดท้ายจากไปอย่างนอบน้อม ไช่จินเจี่ยนเงยหน้าขึ้นมาถึงได้สังเกตเห็นว่ายังมีคนเหลืออีกคนหนึ่ง จึงยิ้มถามว่า “มีข้อสงสัยอะไรอยากจะถามหรือ?”
พอจะมีความทรงจำอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมาฟังบรรยายที่นี่ช่วงกลางๆ แล้ว ไม่มีที่นั่ง จึงต้องนั่งอยู่ตรงระเบียงแทน
แต่มองดูแล้วไม่คุ้นหน้า เมื่อก่อนไม่เคยพบเจอมาก่อน เกินครึ่งน่าจะเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งรับมาใหม่ของยอดเขาอื่นในภูเขาเมฆาเรือง
ในฐานะตัวสำรองสำนักอักษรจงที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในหนึ่งทวีป บวกกับที่ภูเขาเมฆาเรืองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ต้าหลี คนที่ขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนเซียน มากราบไหว้อาจารย์ขอเรียนวิชาความรู้จึงมีมากมายดุจปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ เป็นเหตุให้คนในศาลบรรพจารย์ร้องโอดครวญกันไม่หยุด รำคาญใจอย่างถึงที่สุด กลัวยิ่งนักว่าพวกเซียนซือผู้เฒ่าที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง ทว่าความสัมพันธ์กลับธรรมดาสามัญจะยัดเด็กบางคนมาให้กับภูเขาเมฆาเรือง จะปฏิเสธไม่รับไว้ก็เป็นการทำร้ายความรู้สึกกัน แต่หากรับไว้จริงๆ ภูเขาเมฆาเรืองจะทำอย่างขอไปทีก็มิได้
ถึงท้ายที่สุดยังคงเป็นไช่จินเจี่ยนที่เอ่ยข้อเสนออย่างหนึ่ง ถึงสามารถแก้ไขปัญหายากที่จะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็กนี้ไปได้
ให้ตาเฒ่าคร่ำครึที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประมังกรคนหนึ่งของยอดเขาเตี๋ยพู่ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาฝึกตน ไม่รู้จักวางตัวเข้าร่วมกับสังคมรับผิดชอบออกหน้ามาต้อนรับแขก ขณะเดียวกันก็ให้เขาดูแลเรื่องการคัดเลือกและรับตัวลูกศิษย์ฝ่ายนอกไปพร้อมกันด้วย
คนผู้นั้นยิ้มเอ่ย “เทพธิดาไช่ จากลากันที่ตรอกเล็ก ไม่ได้เจอกันนานหลายปีเลยนะ”
มือข้างหนึ่งของไช่จินเจี่ยนกำหลิงจือไม้ไว้แน่น หัวใจบีบรัดตัว หรี่ตาเอ่ย “ใคร?!”
รอกระทั่งนางได้เห็นเงาร่างที่คล้ายเมฆหมอกสลายหายไปจึงเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นั้นแล้ว ไช่จินเจี่ยนก็มีสีหน้าซับซ้อน ถอนหายใจเบาๆ ในใจ กอดหลิงจือไม้ไว้ในอ้อมอก โค้งกายคำนับ “ไช่จินเจี่ยนแห่งยอดเขาลวี่กุ้ยคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันยิ้มกุมหมัดคารวะกลับคืน “คารวะเจ้ายอดเขาไช่”
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นโดยตรง “ช่วงนี้หากภูเขาเมฆาเรืองคิดจะตัดคำว่าตัวสำรองออกไป เป็นเรื่องที่ยากมาก”
ราชสำนักต้าหลีเน้นในเรื่องการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมอย่างยิ่ง
ไช่จินเจี่ยนพยักหน้ารับ “ข้าเคยพูดคุยกับพวกบรรพจารย์ทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต่างก็รู้สึกว่าไม่อาจมองโลกในแง่ดีเกินไปนัก เว้นเสียจากว่า…”
นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เว้นเสียจากว่าก่อนที่สถานการณ์ใหญ่จะมั่นคงดี ภูเขาเมฆาเรืองมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งโผล่มากะทันหัน”
ไม่อย่างนั้นศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ไม่มีทางยอมแหกกฎเพื่อภูเขาเมฆาเรืองของแจกันสมบัติทวีปเพียงแห่งเดียวแน่ แม้ใช่ว่าจะไม่เคยมีการละให้เป็นข้อยกเว้นเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากการประชุมที่ศาลบุ๋นผ่านไป รายงานขุนเขาสายน้ำถูกยกเลิกคำสั่งห้าม ก็มีสำนักที่ทยอยได้เลื่อนขั้นใหม่สิบหกแห่ง แน่นอนว่ามีภูเขาลั่วพั่วของเจ้าขุนเขาเฉินที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ด้วย นอกจากนั้นเจ็ดแห่งต่างก็เป็นสำนักที่ไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนนั่งพิทักษ์ มองดูเหมือนจำนวนไม่น้อย แต่เมื่อเอามาวางไว้ในเก้าทวีปของไพศาล ยังมีได้ไม่ครบทุกทวีปเลยด้วยซ้ำ ภูเขาเมฆาเรืองไปเอาความมั่นใจและความกล้าหาญมาจากไหนถึงคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นได้? ก่อนหน้านี้ศึกที่แจกันสมบัติทวีป แม้จะบอกว่าคุณความชอบของภูเขาเมฆาเรืองมีค่อนข้างมาก แต่เมื่อเทียบกับภูเขาของทวีปอื่นที่ได้แหกกฎเลื่อนเป็นสำนักอักษรจงแล้วก็ยังแตกต่างราวฟ้ากับเหวอยู่ดี
สำนักอักษรจงที่ตอนนี้ยังไม่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนชั่วคราว ไม่ใช่บุคคลที่ถูกวงการขุนนางล่างภูเขาหัวเราะเยาะว่าได้รับตำแหน่งขุนนางโดยคำสั่งหมึกดำแต่งตั้งตำแหน่งเอียง (ในยุคราชวงศ์ถังหมายถึงการได้รับแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ผ่านการเห็นชอบจากราชสำนัก ส่วนใหญ่จะเป็นฮ่องเต้ที่แต่งตั้งให้โดยตรงโดยใช้อำนาจและความโปรดปรานของตัวเอง) ย่อมไม่มีทางถูกคนดูแคลนเพียงแค่เพราะขาดขอบเขตหยกดิบไปแน่นอน แต่ละแห่งล้วนมีเจ้าสำนักอายุน้อยที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดชั่วคราว ต่างก็เป็นบุคคลที่สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงไว้บนสนามรบเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่หากจะบอกว่า ‘ทางสายตรง’ ที่ภูเขาเมฆาเรืองเดิน ทำให้ได้รับคำแต่งตั้งอย่างเป็นทางการที่ใช้หมึกแดงเขียนบนกระดาษเหลืองจากทางศาลบุ๋น นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ไช่จินเจี่ยนรู้ตัวเองดี อย่างน้อยที่สุดนางก็ต้องใช้เวลาอีกร้อยกว่าปีถึงจะพอมีความหวังที่จะได้เห็นคอขวดขอบเขตก่อกำเนิดนั้น ไช่จินเจี่ยนในทุกวันนี้โลกทัศน์เปิดกว้างขึ้นแล้ว จึงไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอะไรอีกแล้วจริงๆ
“ข้าขึ้นเขามาครั้งนี้ก็มาเพื่อพูดคุยเรื่องการค้านี้ อยากจะขอซื้อหินรากเมฆและธูปเมฆาเรืองบางส่วนจากภูเขาเมฆาเรืองสักหน่อย ยิ่งมากก็ยิ่งมีประโยชน์”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู้ว่าผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะแทบจะถูกต้าหลีผูกขาดไปแล้ว ดังนั้นบางทีเทพธิดาไช่อาจต้องใช้มิตรภาพส่วนตัวในสำนักสักหน่อย ราคาคุยกันได้ หินรากเมฆและธูปเมฆาเรือง ของสองอย่างนี้มีเท่าไร ข้าก็ต้องการเท่านั้น ภูเขาเมฆาเรืองของพวกเจ้าเชิญเปิดราคามาได้เลย”
คิดว่าจะนำหินรากเมฆเหล่านั้นไปไว้ในช่องโพรงมังกรเส้นสายภูเขาทั้งหลายอย่างพวกยอดเขาไฉ่อวิ๋น จากนั้นค่อยมอบให้กับหน่วนซู่น้อย ให้เป็นสถานที่ฝึกตนของนาง เลือกที่ตั้งเปิดจวนเป็นของตัวเอง
ภูเขาเมฆาเรืองมีหินรากเมฆจำนวนมาก ของสิ่งนี้เป็นวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งที่พรรคกระถางโอสถของลัทธิเต๋าใช้หลอมโอสถนอก สมบัติแห่งพิภพประเภทนี้ถูกขนานนามว่า ‘ไร้จุดด่างพร้อยไร้มลทิน’ เหมาะแก่การนำมาหลอมโอสถนอกมากที่สุด ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเงินเทพเซียนสามชนิดที่มีปราณวิญญาณฟ้าดินบริสุทธิ์ซุกซ่อนอยู่ด้านใน ดินน้ำของพื้นที่หนึ่งเลี้ยงดูผู้คนของพื้นที่หนึ่ง ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกตนอยู่ในภูเขาเมฆาเรือง ส่วนใหญ่จึงเป็นพวกรักความสะอาด เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนสะอาดสะอ้านผิดปกติ
ในฐานะภูเขาตัวสำรองสำนักอักษรจง หินรากเมฆของภูเขาเมฆาเรืองก็คือรากฐานในการหยัดยืน เพียงแต่ว่าช่วงสามสิบปีที่ผ่านมานี้ การขุดเจาะหาหินรากเมฆมีมากเกินควร จึงอาจจะกลายเป็นการวิดน้ำในบ่อให้แห้งเพื่อจับปลา
โชคดีที่นอกจากนี้ยังมีกำไรเพิ่มเติมมาอีกก้อนหนึ่ง ก็คือธูปเมฆาเรืองที่ภูเขาเมฆาเรืองผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีลับ การนำพาวิญญาณวีรบุรุษจากสนามรบจุดต่างๆ กลับคืนสู่บ้านเกิดของราชสำนักต้าหลี นอกจากธูปภูเขาและธูปน้ำแล้ว ส่วนใหญ่ยังต้องใช้ธูปเมฆาเรืองด้วย ไม่ว่าจะเป็นจุดธูปคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำหรือเซ่นไหว้บรรพบุรุษของพวกขุนนางชนชั้นสูงล่างภูเขา ธูปเมฆาเรืองก็ล้วนอยู่ในระดับดีเยี่ยมทั้งสิ้น
เพราะหากสืบสาวกันไปถึงต้นกำเนิดแล้ว ภูเขาเมฆาเรืองนั้นสามารถถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ดั้งเดิมจำนวนหลายแห่งของลัทธิพุทธที่มีต้นกำเนิดมาจากแผ่นดินกลาง เล่าลือกันว่าเซียนผู้เฒ่าเมฆาเรืองที่เป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขา แท้จริงแล้วมีชาติกำเนิดที่อัศจรรย์บางอย่างจากในวัดญาณใหญ่ซึ่งเป็นศาลบรรพชนแห่งหนึ่งในแผ่นดินกลาง เพราะได้สดับฟังพระธรรม บรรลุหลักแห่งญาณ ถึงได้หล่อหลอมเรือนกายได้สำเร็จ เป็นเหตุให้ภูเขาเมฆาเรืองศรัทธากับคำกล่าวที่ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดเพราะเหตุปัจจัยเกิด ดับเพราะเหตุปัจจัยดับ ก็คือการข้ามผ่านความทุกข์ยากครั้งหนึ่ง
ตอนนั้นในการประชุมของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง สองใต้หล้าคุมเชิงกัน มีภิกษุสมณศักดิ์สูงหลายรูปเผยกาย รัศมีธรรมทรงกลดแผ่กำจาย ต่างคนต่างมีภาพปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างกัน หนึ่งในนั้นก็มีภิกษุเหลี่ยวหรานของวัดเสวียนคง
ดังนั้นการสืบทอดมรรคกถาวิชาลับของศาลบรรพจารย์หลายชนิดแต่ละยุคแต่ละสมัยในภายหลังของภูเขาเมฆาเรืองจึงมีความใกล้เคียงกับหลักการแห่งพุทธศาสนาอย่างมาก แต่ถึงแม้ว่าภูเขาเมฆาเรืองจะใกล้ชิดกับลัทธิพุทธ ห่างไกลจากลัทธิเต๋า แต่หากจะพูดกันถึงเรื่องความสัมพันธ์บนภูเขา เนื่องจากความเกี่ยวข้องกับหินรากเมฆจึงมีความสัมพันธ์ควันธูปกับอารามของลัทธิเต๋ามากกว่า
ไช่จินเจี่ยนพลันรู้สึกลำบากใจ หากจะให้นางเก็บเล็กผสมน้อยมาย่อมไม่ยาก แต่ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันพูด จำเป็นต้องให้นางเอาตรงโน้นมาผสมกับตรงนี้จริงๆ ยิ่งไม่ใช่ว่านางไม่อยากแสดงความเป็นมิตรกับภูเขาลั่วพั่ว ปัญหาคือด้วยรากฐานที่หนาแน่นของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ เพียงแค่เพื่อหินรากเมฆแห่งไม่กี่สิบจินหรือธูปแค่ร้อยกว่ากระบอก จะทำให้เจ้าขุนเขาคนหนึ่งที่เป็นเซียนกระบี่อายุน้อยมาเยือนภูเขาเมฆาเรืองด้วยตัวเองเพื่อเจรจาเรื่องนี้ได้อย่างไร?
อีกอย่างปีนั้นหลังจากที่กระดานรายชื่อปรากฏขึ้นบนโลก ไช่จินเจี่ยนที่ได้เห็นตัวอักษร ‘เฉินสืออี’ แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีเมฆหมอกล้อมวนนั้นแล้ว นางก็แทบจะไม่มีข้อสงสัยใดๆ รู้ว่าต้องเป็นเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงผู้นั้นแน่นอน!
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีตัวตนอีกอย่างหนึ่งที่เก็บซ่อนเอาไว้ นั่นก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ไช่จินเจี่ยนจึงได้แต่แข็งใจบอกตัวเลขไปสองตัว
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ได้สิ มากกว่าที่คาดการณ์ไว้แล้ว”
ในใจของไช่จินเจี่ยนประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่ก็อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้
เฉินผิงอันพลันประสานมือคารวะนางอย่างเงียบงัน
ไช่จินเจี่ยนตะลึงพรึงเพริดไปก่อน แต่จากนั้นก็กระจ่างแจ้งในพริบตา นางรีบเบี่ยงกายหลีกเลี่ยงการคารวะนี้ มิกล้ารับพิธีการใหญ่เช่นนี้ไว้เด็ดขาด
เรื่องเล็กในปีนั้น นางก็แค่ยื่นมือช่วยเหลือเท่านั้น เป็นการกระทำที่ง่ายดายไม่เปลืองแรงเหมือนยกมืออย่างแท้จริง ก็แค่ช่วยนำความไปบอกต่อ
ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ในภูเขาจึงยังมีบรรพจารย์หลายท่านที่เกิดการคาดเดาว่าเจ้าไช่จินเจี่ยนมีความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่เหมาะจะเอ่ยออกมาอะไรกับกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?
หลังจากเฉินผิงอันจากไป ไช่จินเจี่ยนที่ลังเลอยู่ชั่วขณะก็ยังทะยานลมไปยังยอดเขาเกิงอวิ๋นที่ไม่ได้ไปเยือนบ่อยนัก ในอดีตหลักๆ แล้วก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกบรรพจารย์ในสำนักเข้าใจผิดคิดว่านางกับหวงจงโหวมีอะไรกัน
หวงจงโหวมองเห็นไช่จินเจี่ยนอยู่ไกลๆ ก็ประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เขารีบเก็บบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นลงไป แกว่งกาเหล้า ยิ้มเอ่ย “เจ้ายอดเขาไช่ถือเป็นแขกที่หาได้ยากเชียวนะ”
ไช่จินเจี่ยนใช้เสียงในใจสอบถาม “ได้ยินคนบอกว่าเจ้าคิดจะบอกความในใจกับนางอย่างเป็นทางการแล้ว?”
สตรีที่หวงจงโหวชอบมีชื่อว่าอู่หยวนอี้ คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าขุนเขาคนก่อน ดังนั้นลำดับอาวุโสจึงสูง ต่อให้เป็นหวงจงโหวที่เป็นเจ้าของยอดเขาแห่งหนึ่ง ยามพบเจอนางก็ยังต้องเรียกนางคำหนึ่งว่าอาจารย์ป้า
หวงจงโหจวอึ้งตะลึง “อะไรนะ?”
ไช่จินเจี่ยนยิ้มอย่างเข้าใจ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “มีอะไรให้ต้องลำบากใจกัน อิดออดเสียเวลามาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ พี่หวงควรจะพูดเปิดอกไปตั้งนานแล้ว นี่เป็นเรื่องดี จินเจี่ยนขออวยพรล่วงหน้าให้พี่หวงข้ามผ่านด่านแห่งรักไปได้…”
หวงจงโหวหน้าแดงก่ำในทันใด ยกมือตบราวรั้วอย่างแรง เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เป็นเจ้าตะพาบที่บอกว่าตัวเองชื่อเฉินผิงอันคนนั้นใช่ไหมที่ไปพูดจาเหลวไหลให้เจ้าฟัง? เจ้าเป็นคนโง่หรือไร คำพูดไร้สาระแบบนี้ก็ยังกล้าเชื่อ?”
ไช่จินเจี่ยนเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไปได้บอกว่าพี่หวงหน้าบาง เพิ่งพบเจอกับเขาที่ยอดเขาเกิงอวิ๋นแห่งนี้เป็นครั้งแรกก็เหมือนสหายที่รู้จักกันมานาน พอดื่มเหล้าไปก็ได้เผยความในใจให้เขาฟัง เพียงแต่ว่ายังคงไม่กล้าเปิดปากพูดเอง เลยหวังว่าข้าจะช่วยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังภูเขาบรรพบุรุษ นัดหมายอู่หยวนอี้มาพบ เวลานี้คาดว่ากระบี่บินก็คง…”
หวงจงโหวอึ้งค้างไร้คำพูด เขาเงียบไปนาน ก่อนจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “บอกมาเถอะ สรุปแล้วคนต่างถิ่นผู้นั้นคือใคร ข้าจะไปฟันเขาให้ตาย”
ไช่จินเจี่ยนยิ้มเอ่ย “บอกว่าเป็นใคร ก็ไม่สามารถเป็นคนคนนั้นได้หรือ?”
สวนลมฟ้า
หลังจากที่หวงเหอเจ้าสวนไปถามกระบี่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงแล้วก็พกกระบี่ออกเดินทางไกลไปเพียงลำพัง ออกไปจากแจกันสมบัติทวีป
เขาไปเยือนซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อน จากนั้นค่อยไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เขาบอกว่า ‘ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ เหมาะแก่การออกกระบี่มากที่สุด’
หากปีนั้นไม่เป็นเพราะหลี่ถวนจิ่งผู้เป็นอาจารย์สละร่างจากโลกนี้ไป ศิษย์พี่ใหญ่หวงเหอจำต้องแบกรับทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขา ก็คงไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่นานแล้ว
บนราวรั้วของหอสูง หลิวป้าเฉียวกางมือสองข้างออก เดินเล่นอยู่บนนี้
บุรุษที่เดิมทีรูปโฉมหล่อเหลากลับไม่ดูแลตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา
วันนี้เป็นอีกวันที่ไร้เรื่องราวใดๆ หลิวป้าเฉียวอยู่ว่างจนเบื่อหน่ายแล้วจริงๆ
ศิษย์พี่หวงเหอทำให้หลิวป้าเฉียวรู้สึกเคารพนับถือ หวาดกลัว ละอายใจที่สู้ไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจจากใจจริง
ชั่วชีวิตนี้ครั้งที่หลิวป้าเฉียวได้ใกล้ชิดกับเจ้าสวนลมหิมะมากที่สุดก็คือก่อนที่เขาจะเดินทางไปหลงโจวต้าหลี ศิษย์พี่หวงเหอคิดจะปลดระวางจากตำแหน่งเจ้าสวน ตอนนั้นอันที่จริงศิษย์พี่ก็ได้เตรียมใจที่จะรบตายอยู่บนสนามรบแห่งใดแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปไว้แล้ว