กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 874.2 แกะสลักตัวอักษร
ครั้งที่ดุเดือดรุนแรงที่สุดคือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่คล้ายจะธาตุไฟเข้าแทรก เกือบจะอาศัยอาวุธเทพในมือมาทำลายตราผนึกของฟ้านอกฟ้า แทงแผ่นฟ้าให้ทะลุ ยังคงเป็นเจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงที่ลงมือด้วยตัวเองถึงสามารถซ่อมแซมช่องโหว่ใหญ่เทียมฟ้านั้นให้เต็มได้ อีกทั้งขัดขวางศิษย์น้องอวี๋โต้วที่พกกระบี่ออกเดินทางไกล คิดจะไปตัดหัวของผู้ฝึกตนคนนั้นเอาไว้ได้ด้วย พาตัวผู้ฝึกตนที่เกือบจะทำผิดมหันต์คนนั้นกลับไปที่ป๋ายอวี้จิงด้วยตัวเอง ติดตามเขาฝึกตนอยู่นานหลายปี สุดท้ายจิตแห่งมรรคากลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม ถึงขั้นที่ว่ายังรับหน้าที่เป็นเจ้านครแห่งหนึ่งของป๋ายอวี้จิงด้วย
และเต้ากวานของป๋ายอวี้จิงท่านนี้ก็คือเจ้านครเสินเซียวคนก่อน หรือก็คืออริยะลัทธิเต๋าที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนั้น
ดังนั้นการเคลื่อนไหวของอาวุธเทพทุกชิ้นและการปรากฏตัวบนโลกของพวกมันทุกครั้ง ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิงจะต้องคอยจับตามองอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันพลันใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “เสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ปีนั้นหอหลิงจือของภูเขาห้อยหัวขายไม่ออก ก็เพราะจงใจให้ข้าเก็บตกของดีได้อย่างนั้นหรือ? เป็นฝีมือของใครกัน? เต๋าเหล่าเอ้อ? ไม่ค่อยเหมือนนะ หรือจะเป็นโจวจื่อ?”
ลู่เฉินนั่งอยู่ในสถานที่ประกอบพิธีกรรม ทำมุทราด้วยมือข้างเดียว วางท่าว่าจะนิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันใด ก็คือเจ้าคนที่วันๆ กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำผู้นี้นั่นเอง
หยิบเอาดาบแคบพิฆาตออกมา บวกกับดาบ ‘ลงทัณฑ์’ เล่มนั้น เฉินผิงอันวางดาบแคบทั้งสองเล่มทับซ้อนกันแล้วเหน็บไว้ตรงเอว
ทรุดตัวลงนั่งยอง เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา อัฐิสองกานี้ เขาถือไว้มือและกา ยื่นกาเหล้าไปด้านนอกหัวกำแพง แนบติดกับผนังกำแพง ชนกันเบาๆ หนึ่งที กาทั้งสองก็แหลกสลายแล้วปลิวหายไปตามสายลม
ได้กลับคืนบ้านเกิดแล้ว
เงียบไปนาน ก่อนที่เฉินผิงอันจะลุกขึ้นยืน เป็นฝ่ายยิ้มเอ่ยกับเฮ้อโซ่วว่า “อาจารย์เฮ้อพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมืองได้เลย การเดินทางไกลไปเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างครั้งนี้ ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเรายังต้องชี้แจงรายละเอียดเรื่องเส้นทางให้ทางศาลบุ๋นบันทึกลงเอกสารสักหน่อย”
เฮ้อโซ่วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม โชคดีที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่งผู้นี้เข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นตนก็คงไม่อาจเปิดปากเอ่ยเรื่องนี้ได้จริงๆ ใช้สถานะของอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้มาสอบถามเรื่องราวต่างๆ จากผู้ฝึกกระบี่ห้าท่าน แน่นอนว่าสมเหตุผล แต่กลับอาจไม่เหมาะกับสถานการณ์เสมอไป แต่ในเมื่อเฉินผิงอันยินดีใช้สถานะของอิ่นกวานหนุ่มมาพูดถึงเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว
เฮ้อโซ่วรีบเรียกวิญญูชนลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งมา คนทั้งสองพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมืองด้วยกัน ฝ่ายหลังคารวะขอบคุณอิ่นกวานหนุ่ม
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันที “การเดินทางของพวกเราได้ทยอยไปเมืองป่ายฮวาของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไปเยือนซากปรักสนามรบแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘หลงหง’ มหาบรรพตชิงซาน นครอวี้ป่านของราชวงศ์อวิ๋นเหวิน ภูเขาชุนเจี้ยน นครเซียนจาน สำนักจิ่วเฉวียน ลำคลองเย่ลั่ว ภูเขาทัวเยว่ รวมทั้งสิ้นเก้าแห่ง”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น “หากบวกกับดวงจันทร์ ‘เฮ่าไฉ่’ ไปด้วย ก็จะเป็นสถานที่สิบแห่ง”
วิญญูชนลัทธิขงจื๊อหยิบกระดาษหมึกและพู่กันออกมาเตรียมรอไว้นานแล้ว เขาจดบันทึกสถานที่แต่ละอย่างลงไป ยิ่งฟังจิตใจก็ยิ่งสะท้านสะเทือน นอกจากภูเขาชุนเจี้ยนที่ค่อนข้างจะไม่คุ้นเคยแล้ว สถานที่อื่นๆ วิญญูชนท่านนี้ล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะนครเซียนจาน ลำคลองเย่ลั่ว ภูเขาทัวเยว่…นอกจากจะทำให้วิญญูชนท่านนี้รู้สึกตื่นตะลึงแล้ว เขายิ่งรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี หากไม่เป็นเพราะคนตรงหน้าผู้นี้ก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาคงอดไม่ไหวต้องเปิดปากถามว่าเป็นจริงหรือเท็จแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเชื่อ แต่เพราะมันน่าเหลือเชื่อเกินไป ทำให้คนไม่กล้าเชื่อ
นครป่ายฮวา สำนักอักษรจงแห่งหนึ่งของเปลี่ยวร้าง ทั้งสำนักพินาศวอดวาย นอกจากเจ้าสำนักขอบเขตเซียนเหรินที่จ่ายราคาเป็นขอบเขตถดถอย จิตหยินจึงหนีรอดไปได้อย่างถูไถแล้ว ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เหลือซึ่งคนหนึ่งเป็นผู้คุมกฎห้าขอบเขตบนและผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนดิน ต่างก็ตายกันหมดสิ้น
สนามรบหลงหงแห่งนั้นก็ถูกแสงกระบี่กวาดทำลายจนเกลี้ยง
แต่เฉินผิงอันก็ไม่ลืมเอ่ยว่า คุณความชอบทางการสู้รบในสองสถานที่นี้ หลังจบเรื่องศาลบุ๋นยังจะต้องสอบถามพวกฉีถิงจี้ก่อน
อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อนั่งขัดสมาธิ หรี่ตาลูบหนวดยิ้ม สะใจ สะใจ
อิ่นกวานเฉินผิงอัน หนิงเหยา ฉีถิงจี้ ลู่จือ สิงกวานหาวซู่
เมื่อผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งห้าคนนี้จับมือกันออกเดินทางไกล ก็ถึงกับพุ่งตรงบุกดิ่งเข้าไปด้วยพลังอำนาจที่มิอาจสกัดขวางถึงเพียงนี้
หลังจากนั้นอิ่นกวานหนุ่มก็เล่าให้ฟังว่านครเซียนจานที่เล่าลือกันว่าเป็นนครที่สูงที่สุดในใต้หล้าได้ถูกผ่าออกเป็นสองท่อน ศาลบรรพจารย์แหลกยับเยิน
ฟังมาถึงตรงนี้ เฮ้อโซ่วก็หัวเราะฮ่าๆ อย่างสาแก่ใจ
วิญญูชนที่รับหน้าที่จดบันทึกอึ้งค้างไปทันที ถึงขั้นไม่กล้าจรดพู่กันเขียนไปชั่วขณะ จำต้องเปิดปากถามว่า “อิ่นกวาน นครเซียนจานถูกฟันออกเป็นสองท่อนหรือ? ข้าขอถามนอกเรื่องหน่อยได้ไหม ถูกฟันอย่างไร?”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ เดิมทีกำสองหมัดหลวมๆ วางไว้บนหัวเข่าเบาๆ เวลานี้กลับยิ้มแล้วยกสองมือขึ้น
วิญญูชนลัทธิขงจื๊อคนนั้นยิ่งอึ้งตะลึงเข้าไปใหญ่
“เสวียนผู่ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตบินทะยานที่เป็นเจ้านครคนปัจจุบันได้ตายไปแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ถูกสิงกวานหาวซู่สังหาร”
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนี้ ร่างจริงคืองูดำบรรพกาลตัวหนึ่ง แม้แต่โอสถปีศาจหนึ่งเม็ดก็ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
โดยทั่วไปแล้วการจับคู่เข่นฆ่าที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ขอแค่เป็นการบดขยี้สังหารที่ศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกัน ฝ่ายหนึ่งฆ่าอีกฝ่ายได้ในชั่วพริบตา เหมือนกระบี่บินที่ตัดหัวคนในเสี้ยววินาที
คุณความชอบทางการสู้รบครั้งนี้ เฉินผิงอันยกให้สิงกวานหาวซู่ตามข้อตกลง ให้บันทึกลงในนามของอีกฝ่าย ช่วยให้หาวซู่ได้ทำความดีชดใช้ความผิดตามข้อตกลงที่มีกับศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง เพื่อที่จะได้เดินทางไกลไปยังใต้หล้ามืดสลัว และได้รับอิสระนับแต่นี้
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว หาวซู่ไปยังใต้หล้ามืดสลัว ถึงอย่างไรก็ยังสวมยศสิงกวานคนสุดท้าย เป็นเรื่องดี ผู้ฝึกกระบี่ที่ออกเดินทางไกลอย่างกลุ่มของเยี่ยนจั๋ว ต่งฮว่าฝู ตอนนี้ขอบเขตยังไม่สูงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน จำเป็นต้องมีผู้อาวุโสในตระกูลของตัวเองช่วยปกป้องมรรคา
นอกจากนี้หาวซู่ยังเป็นคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตมากที่สุด ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเกิดความยึดมั่นถือมั่นต่อ ‘พื้นที่มงคลหลิงส่วง’ ซึ่งเป็นบ้านเกิดแห่งนั้น ราวกับว่าการฝึกกระบี่ในชีวิตนี้ก็เพื่อแก้แค้นเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมมาหนึ่งประโยค “เดี๋ยวจะให้สิงกวานนำทั้งร่างจริงและโอสถปีศาจของเสวียนผู่ไปมอบให้กับศาลบุ๋นพร้อมกัน ให้ศาลบุ๋นเป็นผู้ตรวจสอบเรื่องนี้”
เฮ้อโซ่วจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “สิงกวานตัวดี ยามปกติไม่แสดงฝีมือก็ไม่มีอะไรน่าตกใจ แต่พอได้แสดงฝีมือกลับทำให้คนตกตะลึงอย่างหนัก ถึงกับสร้างคุณความชอบในการสู้รบที่ใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ให้กับใต้หล้าไพศาลของพวกเรา หากมีโอกาส ข้าผู้อาวุโสคงต้องเอ่ยขอภัยหาวซู่อย่างจริงใจสักครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้รู้ว่าคนผู้นี้ตัดหัวหนันกวงจ้าว อันที่จริงนี่ก็ไม่นับเป็นอะไร ก็แค่ตอบแทนความแค้นด้วยความแค้นเท่านั้น ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสแค่รู้สึกว่าสิงกวานคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนอยู่บนสนามรบกลับไม่เคยออกกระบี่ ยังสู้เฒ่าหูหนวกที่มีชาติกำเนิดเป็นเผ่าปีศาจไม่ได้ด้วยซ้ำ พอกลับมาถึงไพศาลกลับเริ่มแสดงความดุร้าย ไม่เหมาะกับตำแหน่ง ‘สิงกวาน’ จริงๆ ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงเคยเสนอกับหลี่เซิ่งว่าให้โยนเจ้าหาวซู่ผู้นี้ไปขังอยู่ในสวนกงเต๋อ จะได้เป็นเพื่อนกับหลิวชาได้พอดี คนหนึ่งตกปลา คนหนึ่งก่อไฟหุงข้าว ไม่ใช่คู่รักเทพเซียนแต่เหนือกว่าคู่รักเทพเซียนเสียอีก ตอนนี้มาลองนึกย้อนดูแล้ว เป็นข้าผู้อาวุโสที่เข้าใจหาวซู่ผิดไป”
เฉินผิงอันเหลือบมองดวงจันทร์ที่ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ประตูใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เอ่ยว่า “หาวซู่อาจจะไม่ได้มอบร่างจริงของเสวียนผู่ให้กับมือตัวเองเสมอไป บางทีอาจจะให้เจ้าสำนักฉีนำไปมอบต่อให้ หวังว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นจะผ่อนปรนให้บ้าง”
เฮ้อโซ่วพยักหน้ารับ “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ข้าสามารถรับปากให้ได้เลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ตอนที่ข้าอยู่นครเซียนจานยังร่วมมือกับเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิงทำเรื่องอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเก็บพื้นที่มงคลเหยากวงมาไว้ในกระเป๋า หลังจบเรื่องก่อนที่เจ้าลัทธิลู่จะกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัว จะมอบ ‘พื้นที่มงคลเหยากวง’ ให้กับศาลบุ๋น แลกเปลี่ยนมาด้วยโอกาสที่จะได้หวนกลับมายังไพศาลสามครั้ง”
นอกจากนี้เฉินผิงอันก็แค่เล่ารายละเอียดให้ฟังคร่าวๆ เพื่อสะดวกให้ทางศาลบุ๋นหาโอกาสพิสูจน์ความจริง
‘พื้นที่มงคลเหยากวง’ ที่บรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของนครเซียนจานอย่างหลิงเซียงเป็นผู้ตั้งชื่อให้ อันที่จริงมันต่างหากที่ถึงจะเป็นรากฐานของนครเซียนจานซึ่งถูกเปลี่ยวร้างขนานนามว่าเป็น ‘คลังยุทโธปกรณ์แห่งใต้หล้า’
ไม่มีพื้นที่มงคลระดับสูงแห่งนี้ นครเซียนจานในวันหน้าก็เท่ากับสูญเสียต้นกำเนิดในการสร้างอาวุธไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เจ้าลัทธิลู่ไม่รู้สึกเสียดายยันต์สามภูเขา ยันต์เปินเยว่และยันต์ชำระล้างกระบี่ที่มีมูลค่าควรเมืองพวกนั้นอีกต่อไป
ล้วนเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ทุกวันเอาแต่เรียกตัวเองว่าผินเต้า ผินเต้า จะมาถือสาสมบัติวิเศษแห่งสวรรค์และเงินเทพเซียนพวกนี้ไปไย
เฮ้อโซ่วกระแอมหนึ่งที ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาวางไว้บนแขนของวิญญูชนที่ถือพู่กันแล้วตบเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่า “อิ่นกวานและเจ้าลัทธิลู่ร่วมมือกันอย่างจริงใจครั้งนี้ ทำให้ได้รับ ‘พื้นที่มงคลเหยากวง’ มา คุณความชอบมีการแบ่งหลักรอง ยังต้องเขียนลงไปโดยยึดหลักความเป็นจริง”
วิญญูชนผู้นั้นเข้าใจได้ทันที จรดพู่กันราวกับมีบุปผาผลิบาน เขียนแต่ละเรื่องราวร้อยเรียงต่อเนื่อง รัดกุมแม้แต่น้ำสักหยดก็ไหลออกมาไม่ได้
ลู่เฉินเองก็ไม่ถือสาในเรื่องนี้ เพียงแต่มีบางเรื่องที่เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ตามรายงานที่ได้มาจากป๋ายอวี้จิง อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อท่านนี้คือตาแก่หัวโบราณที่ขึ้นชื่อว่าไม่รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ ขาดก็แค่ว่าไม่ได้เรียกเขาเป็น ‘ปัญญาชนคร่ำครึ’ ก็เท่านั้น
เกี่ยวกับศึกที่ลำคลองเย่ลั่ว เฉินผิงอันพูดอย่างกระชับสั้นเรียบง่าย เอ่ยแค่ว่าเกิดการชักดึงแม่น้ำกันครั้งหนึ่ง ตนจึงบังคับเอาโชคชะตาน้ำสามส่วนจากมือของเฟยเฟยปีศาจบนบัลลังก์เก่ามาได้อย่างถูไถ
เฉินผิงอันถาม “อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อดื่มเหล้าหรือไม่?”
เฮ้อโซ่วยิ้มถาม “อิ่นกวานไม่รู้เรื่องนี้หรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง รู้สึกสับสนเล็กน้อย ข้าจะต้องรู้เรื่องนี้ไปทำไม
เฮ้อโซ่วหัวเราะฮ่าๆ ยื่นมือออกมา “ข้าผู้อาวุโสไม่ดื่มเหล้ามานานหลายปีแล้ว แต่วันนี้สามารถแหกกฎสักครั้งได้”
อาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ดื่มเหล้าได้ แต่เขาไม่ชอบดื่มจริงๆ แม้แต่เหล้าที่ซิ่วไฉเฒ่ายุให้ดื่มก็ยังยุไม่ขึ้น
เรื่องที่ทำให้เฮ้อโซ่วสบายใจอย่างแท้จริงก็คือเรื่องที่อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ไม่เข้าใจเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยเกี่ยวกับอริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นที่ได้กินหัวหมูเย็นๆ อย่างตนแม้แต่น้อย
นี่หมายความว่าอิ่นกวานหนุ่มที่มีความสัมพันธ์อันลุ่มลึกกับศาลบุ๋นจนทำให้คนอื่นไม่รู้สึกว่าเขาเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสายบุ๋นเลยแม้แต่น้อยผู้นี้ ท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อศาลบุ๋น โดยเฉพาะสายของหย่าเซิ่ง ต่อให้ไม่ถือว่าใกล้ชิด แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกิดความอาฆาตแค้นอยู่ในใจ ไม่อย่างนั้นด้วยลักษณะการลงมือทำเรื่องต่างๆ ของเฉินผิงอันในช่วงเวลาที่เขารับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน ป่านนี้ก็คงสืบเสาะรากฐานของสถานศึกษาสำนักศึกษาและของพวกเจ้าขุนเขาอริยะปราชญ์ทั้งหลายจนกระจ่างแจ้งนานแล้ว
เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย ยื่นเหล้ากาหนึ่งส่งไปให้กับอาจารย์ผู้เฒ่าที่ถือว่าเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพคนหนึ่ง เป็นเหล้าหมักภูเขาชิงเสินของร้านเหล้าบ้านตัวเอง
ลู่เฉินใช้เสียงในใจถาม “ผู้อาวุโสท่านนั้นล่ะ?”
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายถือยันต์เปินเยว่เอาไว้ ดูเหมือนว่ากระบี่ยาวที่มาจากนอกฟ้าเล่มนั้นจะหายไปแล้ว แม้แต่ลู่เฉินก็ยังไม่รู้ว่ามันหายไปไหน
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจให้คำตอบที่ไม่ใช่คำตอบ “ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า การขานรับทางจิตส่วนนั้นได้ถูกศิษย์พี่ชุยสะบั้นขาดไปแล้ว”
ลู่เฉินถามอีก “เจ้าอีกคนหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปอยู่ที่ไหนแล้ว?”
เฉินผิงอันตอบ “อยู่ที่บ้านเกิดแล้ว เพิ่งจะไปถึงตรอกฉีหลง ฉวยโอกาสที่ขอบเขตยังอยู่จึงไปยืนยันให้แน่ใจสักหน่อยว่าเจ้าลัทธิลู่ได้ทิ้งวิธีรับมือภายหลังที่อำพรางได้อย่างลึกล้ำไว้บนร่างของสือโหรวหรือไม่”
ลู่เฉินโอดครวญ “ผินเต้าคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใจที่คิดอยากทำร้ายคนอื่น อีกอย่างลูกศิษย์คนนั้นของเจ้า ในเรื่องจิตเทพแล้ว ฝีมือของเขาสูงส่งจะตายไป เจ้าจะไม่รู้ได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จิตใจที่ป้องกันคนอื่นไม่ควรขาด”
สองร้านในตรอกฉีหลง ร้านหนึ่งชื่อฉ่าวโถว ร้านหนึ่งชื่อยาสุ้ย
ฉ่าวโถว คือผักป่าชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วในบ้านเกิดของเฉินผิงอัน มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าผักจินฮวา ตามบันทึกในตำราโบราณ เดือนสองต้นกล้าจะแตกหน่อ พอเข้าฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงก็จะเริ่มออกดอกเล็กๆ สีเหลือง ใบเหมือนรูปหัวใจ ลักษณะของผลหมุนเป็นเกลียวเหมือนก้นหอย
ส่วนคำว่ายาสุ้ย (เงินยาสุ้ย) ก็ยิ่งมีความหมายที่งดงามยิ่งกว่า พ้องเสียงกับคำว่ายาสุ้ย (สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ) ใต้หล้าผาสุก ขจัดความชั่วร้ายเสนียดจัญไร ปกปักษ์คุ้มครองปลอดภัย
และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ซื้อร้านค้าทั้งสองมาไว้ทันที แน่นอนว่าสาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็เพราะว่าจ่ายเงินไม่มากก็ได้ครอบครองกิจการถึงสองแห่ง
ลู่เฉินถามหยั่งเชิง “ศึกของภูเขาทัวเยว่ต่อจากนี้ ไม่สู้ให้ผินเต้าเป็นคนบอกเล่ารายละเอียดเองดีไหม? เจ้าสามารถปรับสภาพจิตใจได้พอดี เรื่องของขอบเขตที่ถดถอย เจ้าต้องเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ”
ตั้งแผงดูดวงอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูมานานหลายปี ลู่เฉินคิดว่าฝีปากของตัวเองไม่เลว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของลู่เฉินพุ่งออกมาจากพื้นที่ประกอบพิธีกรรมดอกบัว มานั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ยิ้มพลางโบกมือทักทายกับคนสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เฮ้อโซ่วยิ้มพลางลุกขึ้นยืน มารยาทพิธีการที่สมควรมีมิอาจขาดได้ เขาโค้งกายคารวะเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้
วิญญูชนลัทธิขงจื๊อคนนั้นก็ยิ่งเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ รีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะไปพร้อมกับเฮ้อโซ่ว
ลู่เฉินลุกขึ้นยืน คารวะอีกฝ่ายกลับคืนด้วยพิธีการของลัทธิเต๋า
เฉินผิงอันบอกลาคนทั้งสอง บอกว่าตัวเองจะไปหาคนรำลึกความหลังที่หัวกำแพงเมืองข้างกันสักหน่อย อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว
ทิ้งลู่เฉินไว้คนเดียว ให้เขาทำหน้าที่เป็นนักเล่านิทานไป
เมื่อเฮ้อโซ่วได้ยินว่าเฉินผิงอันใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาถึงสามพันกว่าครั้ง สุดท้ายใช้กระบี่สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดด้วยมือตัวเอง หรือก็คือหยวนซงลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่…
วิญญูชนผู้นั้นคล้ายจะชาชินไปแล้ว แต่กลับถึงคราวที่อาจารย์ผู้เฒ่าเฮ้อต้องปากอ้าตาค้างบ้างแล้ว เขาอึ้งเงียบไปนาน แหงนหน้าดื่มเหล้าในกาหนึ่งอึก อาจารย์ผู้เฒ่าเช็ดมุมปาก หันหน้าไปมองนอกเมือง
จิตวิญญาณส่วนสุดท้ายของเฉินชิงตูใช้กระบี่พิฆาต ‘ผู้ลงทัณฑ์’ หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง
จำต้องยอมรับว่า แท้จริงแล้วบนโลกมนุษย์ใบนี้ไม่มีกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่แล้ว
แต่กระนั้นกลับยังคงมีผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
หลังจากที่เฉินชิงตูออกกระบี่ ก็ยังมีเฉินผิงอันที่ถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่ กระบี่สังหารบินทะยาน อีกทั้งฟังจากความหมายของเจ้าลัทธิลู่แล้ว ปีศาจใหญ่หยวนซงผู้นั้นยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งด้วย
ลู่เฉินนั่งยองอยู่ตรงนั้น เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบเฉินผิงอัน หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “หากบวกกับหลีเจินเข้าไปอีกคน ถ้าอย่างนั้นลูกศิษย์เปิดภูเขากับลูกศิษย์ปิดสำนักของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ดูเหมือนว่าต่างก็เคยตายใต้คมกระบี่ของเฉินผิงอัน”