กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 875.2 ทางหนีทีไล่ปะทะทางหนีทีไล่
ลู่เฉินหัวเราะแห้งๆ เอ่ยว่า “สีแดงสดปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้ สีสันชวนให้คนชอบใจ ขนาดเล็กน่ารัก ไม่ว่าใครเห็นก็ล้วนชื่นชอบ ผินเต้าเองก็แค่เพราะเงินเทพเซียนในกระเป๋ามีไม่พอ ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะตัดใจยอมตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น ช่วยซื้อของสิ่งนี้ให้กับสหายรักของหอหลินหลางได้”
เฉินผิงอันถามชวนคุย “หรือว่าที่วางพู่กันปะการังชิ้นนี้เป็นของเก่าเก็บในตำหนักน้ำวังมังกรทะเลบูรพา?”
ก็เหมือนการซื้อขายของโบราณในโลกมนุษย์ล่างภูเขา นอกจากจะพิถีพิถันในเรื่องการสืบทอดผลงานของคนมีชื่อเสียงที่ส่งมอบให้กันเก็บรักษาไว้แล้ว หากเป็นของเก่าแก่ที่หลุดออกมาจากในวัง แน่นอนว่าราคาต้องสูงมากยิ่งกว่า
ลู่เฉินไม่ได้ปิดบัง ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “สายตาดียิ่งนัก เป็นของเก่าในวังมังกรจริงๆ สามารถถือเป็นของตกแต่งห้องหนังสืออันดับหนึ่งในใต้หล้าได้ อีกทั้งยังเป็นแบบของโซ่วซานในบรรดา ‘ชิ้นงานไม้’ ชิ้นหนึ่งของวังมังกร การแกะสลักลายน้ำถือเป็นสมบัติแบบจั้วซาน แน่นอนว่าต้องยิ่งหายากเข้าไปอีก ก็เหมือนอย่างราชวงศ์ต้าหลีที่ก่อตั้งแคว้นด้วยสุ่ยเต๋อ (ดาวพระพุทธ หมายถึงธาตุน้ำ) จึงเก็บศาลเทพอัคคีไว้ในเมืองหลวงแค่แห่งเดียว ไม่แน่เสมอไปว่าต้องเป็นเพราะศาลเทพอัคคีแห่งนี้หาได้ยากถึงเพียงใด แต่เป็นเพราะศาลเทพอัคคีอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีนั้นมีค่าอย่างมาก”
“หินปะการังห้อยแขวนอยู่บนดวงจันทร์เหนือมหาสมุทร กิ่งก้านประคับประคองดวงจันทร์”
เฉินผิงอันพยักหน้า “สามารถอนุมานได้ว่า วัตถุชิ้นนี้อย่างน้อยที่สุดต้องมีอายุสามถึงห้าพันปีแล้ว มีราคาอย่างมาก แต่ที่วางพู่กันปะการังกับหอหลินหลางของป๋ายอวี้จิงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรเล่า?”
เผ่าพันธุ์เจียวหลงในใต้หล้าแทบจะถูกยกแบ่งให้กับใต้หล้าไพศาลทั้งหมด อยู่ในการดูแลของศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ
เจียวหลงที่อยู่ในดินแดนพุทธะสุขาวดีมีจำนวนไม่มาก ทุกตัวล้วนกลายเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิพุทธเหมือนกันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่ถือว่าอยู่ในประเภทของเจียวหลงแล้ว
“หอหลินหลางมี ‘เทียบปะการัง’ อยู่หนึ่งฉบับ บรรยายปณิธานและความฮึกเหิมออกมาอย่างเต็มคราบ เรียกได้ว่าเป็นผลงานของเทพ เล่าลือกันว่าระดับความเข้มอ่อนของสีหมึกแจ่มชัดสะดุดตา วาดปะการังหนึ่งกิ่ง ด้านข้างเขียนอักษรไว้สองคำว่า ‘จินจั้ว’ งามล้ำอย่างถึงที่สุด เล่าลือกันว่าเป็นกิ่งปะการังของทะเลบูรพา จุดที่ล้ำค่ามากที่สุดยังมีคำทำนายอีกหนึ่งประโยค ‘เหนือกิ่งปะการังหมื่นปีบุปผาหยกผลิบาน’ บุปผาที่ผลิบานถูกเรียกขานว่าเป็นบุปผาหัวพู่กันห้าสี คือหนึ่งในที่มาของคำกล่าวในยุคหลังที่บอกว่าจรดพู่กันดุจบุปผาผลิบาน”
ลู่เฉินพูดเจื้อยแจ้ว “สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญเลยก็คือ ด้านในอักษรภาพ แท้จริงแล้วได้ซุกซ่อนซากปรักวังมังกรเก่าแก่ที่ระดับขั้นไม่ต่ำไว้แห่งหนึ่ง แม้จะเทียบกับจวนของหลงจวินสี่มหาสมุทรไม่ได้ แต่ก็ด้อยกว่าไม่มากนัก ส่วนใครกันที่ถึงกับทำให้วังมังกรเข้าไปอยู่ในเทียบอักษรชิ้นหนึ่งได้ ก็ไม่เคยมีใครรู้แล้ว บ้างก็บอกว่าเป็นฝีมือของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ถึงอย่างไรผินเต้าก็ไม่เคยเห็นเทียบอักษรกับตาตัวเองมาก่อน หวังต้งผู้นั้นขี้เหนียวจะตายไป ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมให้ดู ผินเต้าจึงมิอาจอนุมานได้ รู้แค่ว่าทางฝั่งของหอหลินหลางไม่สามารถทำลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำได้สักที จึงพอจะยืนยันเรื่องหนึ่งได้ นั่นคือที่วางพู่กันปะการังของนครอวี้ป่านชิ้นนั้น มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นกุญแจที่หายสาบสูญไปนานแล้วดอกนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคิดบัญชีเป็นวังมังกรครึ่งหนึ่ง”
ลู่เฉินพูดอย่างมีเหตุผลชอบธรรม “แน่นอนอยู่แล้ว”
ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องจ่ายด้วยเงินของข้า ไม่เสียดายหรอก
ลู่เฉินนึกถึงเรื่องเก่าในวันวานบางเรื่องขึ้นมาได้ก็ให้สะทกสะท้อนใจยิ่งนัก ในเมื่ออยู่ว่างไม่มีอะไรทำอยู่แล้วจึงทำตัวเป็นนักเล่านิทาน เล่าถึงเรื่องในอดีตอันห่างไกล ใจกลางฟ้าดิน ดินแดนปาจี๋ เก้าชั้นอยู่ร่วม
พูดถึงแค่หลงจวินสี่มหาสมุทรแห่งใต้หล้าไพศาลล้วนยังมีชีวิตอยู่ สถานะสูงส่ง คอยดูแลโชคชะตาน้ำของบนบกและในทะเล เผ่าพันธุ์มังกรมีมากมายเกินจะนับ เผ่าน้ำที่อยู่ในแม่น้ำลำคลองใหญ่ก็มีมากนับไม่ถ้วน ครึกครื้นอย่างมาก ทุกครั้งที่ผู้ฝึกตนบนภูเขามาเจอกับเผ่าน้ำจะต้องเกิดเรื่องตลอด พวกเขามักจะทะเลาะกัน พูดจาไม่เข้าหูกันคำเดียวก็ตีกันทันที ตีกันเสร็จก็เปลี่ยนที่แล้วทะเลาะกันต่อ ทิ้งเรื่องราวประหลาดมากมายไว้ให้กับโลกยุคหลัง
มหรรณพกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด สมบัตินับหมื่นในฟ้าดินถูกซุกซ่อนไว้ภายใน ในนามล้วนถือเป็นของวังมังกรและจวนเซียนน้ำน้อยใหญ่ มังกรที่แท้จริงบนโลกมีความเคยชินในการกวาดเอาสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินมาจริงๆ จวนน้ำและวังมังกรทุกแห่งก็คือคลังสมบัติแห่งหนึ่ง น่านน้ำของสี่มหาสมุทรในยุคบรรพกาลมีทะเลบูรพาเป็นผู้นำ น่านน้ำกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดมากที่สุด ด้านใต้มหาสมุทรมีต้นไม้หยก มีหินปะการัง ระดับขั้นดีเยี่ยม
พวกเซียนซือที่อยู่บนผืนแผ่นดินพากันลงมหาสมุทรไปตามหาสมบัติ ตัดต้นไม้หยก หักกิ่งไม้ไปนับไม่ถ้วน ก็ปะการังมีให้เก็บไม่หมดไม่สิ้นนี่นะ ดังนั้นเหล่าหลงจวินจึงพากันขึ้นฝั่งไปร้องทุกข์ โอดครวญกันไม่หยุด คล้ายกับกลัวว่าคลังสมบัติของวังมังกรจะว่างเปล่า แล้วยังมีจินหลีแห่งทะเลบูรพาที่ฮุบกลืนมหาสมุทรในคำเดียวที่นำพาเผ่าน้ำใต้อาณัตินับล้านตนลุกฮือขึ้นชูธง หมายจะก่อกบฏต่อหลงจวินสี่มหาสมุทร นอกจากนี้ยังมีชุดที่ธิดามังกรตากแดด บัณฑิตละเมอมาเยือนจวนน้ำ กลายเป็นบุตรเขยคนดีอย่างแท้จริงอะไรนั่นอีก
ก็เหมือนอย่างแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าที่ในอดีตก็มีอาณาเขตของสู่โบราณ ลมคาวฝนประหลาด ผ่านการสืบพันธ์แพร่พันธ์มาหลายพันปี เจียวหลงพากันเดินกร่าง เคยมีชายหาดสองแห่งที่อาณาเขตเชื่อมต่อกัน พวกเซียนกระบี่จากต่างถิ่นชอบมาสังหารมังกรที่นี่ เพื่อใช้สิ่งนี้มาหล่อหลอมคมกระบี่ หากจะพูดถึงการหลอมกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ การขัดเกลาคมกระบี่ แท่นสังหารมังกรในโลกยุคหลังที่มีราคาแต่ไร้ตลาด จะเปรียบเทียบกับเจียวหลงที่แท้จริงได้อย่างไร ถึงอย่างไรเผ่าน้ำก็มีมากนับไม่ถ้วน หาข้ออ้างง่ายๆ สักข้อ เซียนกระบี่ก็สามารถปล่อยกระบี่ออกไปอย่างกำเริบเสิบสานได้แล้ว
คนผู้หนึ่งพูดจ้อเป็นน้ำไหลไฟดับ คนผู้หนึ่งตั้งใจฟัง ทั้งสองฝ่ายเดินไปถึงอาณาเขตของนครในอดีตโดยไม่ทันรู้ตัว
นกขมิ้นตัวหนึ่งบินมาเกาะบนไหล่ของลู่เฉิน
ปีนั้นตั้งแผงดูดวงอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจู กิจการซบเซา ช่างน่าเบื่อจริงๆ ลู่เฉินจึงอาศัยนกขมิ้นตัวนี้มาทดสอบชะตาบุ๋นว่ามีมากหรือน้อย จ้าวเหยา ซ่งจี๋ซิน หลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอัน…คนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็กแทบทุกคนต่างก็เคยถูกเจ้าลัทธิลู่ที่อยู่ว่างจนอุดอู้ทดสอบโชคชะตาบุ๋นหมดแล้วทั้งสิ้น
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดลู่เฉินถึงได้มองเฉินผิงอันพลาดไปเพียงคนเดียว เขายอมรับชะตากรรมนานแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ขาดแค่เรื่องสองเรื่องนี้หรอก
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าลัทธิลู่จิตใจกว้างขวาง เป็นหนึ่งไม่เหมือนใคร คงไม่อาฆาตแค้นหลิวเสี้ยนหยางหรอกกระมัง?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เจ้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว ผินเต้าหรือจะกล้าคว้าจับเรื่องเก่าแก่เล็กเท่าเมล็ดงาในอดีตเอาไว้ไม่ยอมวาง ไม่ใจกว้างเอาเสียเลย”
ปีนั้นตอนอยู่บ้านเกิด หลิวเสี้ยนหยางเคยคว่ำแผงดูดวงของลู่เฉินด้วยท่าทางดุดัน แล้วยังทำท่าจะตีคนด้วย
เฉินผิงอันไม่ได้กังวลว่าการกระทำนี้จะทำให้ลู่เฉินจดจำไม่ลืมเลือน แต่กังวลว่าเหตุใดหลิวเสี้ยนหยางถึงมีการกระทำเช่นนั้น ลู่เฉินจะไล่ตามเส้นสายบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ไปแล้ววางแผนสร้างสถานการณ์ ฝังเส้นเบาะแสยาวพันลี้ จากนั้นก็เหมือนเฝ้าตอรอกระต่าย รอคอยหลิวเสี้ยนหยางในอนาคตหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่นบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางคือคนเลี้ยงมังกรที่ศาลบุ๋นแต่งตั้งให้
ส่วนลู่เฉินกับมังกรแท้จริงบนโลกก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธิดามังกรที่สถานะสูงศักดิ์คนนั้น
น้อยครั้งนักที่เฉินผิงอันจะไม่มีท่าทีแข็งกระด้าง แทบจะแสดงการอ่อนข้อต่อลู่เฉินเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการค้า ส่วนใหญ่เขามักจะตาต่อตาฟันต่อฟัน คิดบัญชีอย่างชัดเจนเสมอ
เฉินผิงอันเก็บรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้าลัทธิลู่นะ”
ลู่เฉินยิ้มอย่างเข้าใจ “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าวางใจเถอะ วันหน้ารอให้ผินเต้ากลับคืนสู่บ้านเกิดก็จะให้เจ้าได้เป็นเจ้าภาพ ก็แค่เรื่องของการดื่มเหล้าไม่กี่ชามเท่านั้น”
เฉินผิงอันหันไปมองหัวกำแพงเมือง
ลู่เฉินทอดถอนใจ “อันที่จริงแล้วไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้”
แต่จากนั้นลู่เฉินก็พูดทันทีว่า “ถ้าหาก ‘ถ้าหาก’ ว่าเป็นคน ต้องเป็นคนที่กวนโอ๊ยชวนเตะที่สุดแน่นอน”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง แม้ผืนดินจะแห้งกันดาร แต่กลับอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ โดยเฉพาะทองและเงินที่มีปริมาณมากเป็นอันดับหนึ่งในหลายๆ ใต้หล้า
เงินและทองสองอย่างนี้ ในฐานะทรัพย์สินล่างภูเขา ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายใต้หล้าของโลกยุคหลัง เห็นได้ชัดว่า นี่ก็ถือว่าเป็นความตั้งใจอย่างหนึ่งของบรรพจารย์สามลัทธิเช่นกัน คงจะคาดหวังให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ได้ครอบครองภูเขาเงินภูเขาทอง สามารถอาศัยสิ่งนี้มาติดต่อแลกเปลี่ยนกับใต้หล้าแห่งอื่นๆ ได้ หากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างไม่มีสันดานที่ยากจะแก้ไขขนาดนั้น หลังจากหลอมเรือนกายมนุษย์ได้สำเร็จแล้วก็ยังคงชื่นชอบการเข่นฆ่า เลื่อมใสในความแข็งแกร่งส่วนบุคคลแบบสุดโต่ง ไม่มีการบังคับควบคุมการช่วงชิงฟ้าดินนอกเรือนกายของตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัดเลยแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นหากคิดจะเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณี คิดจะเปลี่ยนชัยภูมิ เปลี่ยนดินแดนแห้งแล้งมาเป็นผืนนาที่อุดมสมบูรณ์ จะมีอะไรยาก?
พูดถึงแค่ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมก็สามารถร่ายวิชาอภินิหาร เรียกลมเรียกฝน ลมวสันต์สลายน้ำแข็ง พื้นดินอุดมสมบูรณ์ พืชหญ้าเติบโต ห้าธัญพืชพรั่งพร้อม ไม่ต้องกังวลเรื่องภัยแล้งหรืออุทกภัย แค่ต้องใช้เวลาดำเนินการหลายสิบปี บางทีก็อาจมีช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวที่พื้นดินหมื่นลี้อุดมสมบูรณ์แล้วก็เป็นได้
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าผู้ฝึกตนของสำนักกสิกรรมในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีจำนวนน้อยที่สุดในบรรดาผู้ฝึกลมปราณมากมาย อีกทั้งมีเพียงผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่คุณสมบัติในการฝึกตนแย่ที่สุดเท่านั้นที่ถึงจะวิ่งไปศึกษาหาความรู้ในทักษะด้านนี้ ขอแค่มีเงิน ขอบเขตสูง ก็จะรีบเปลี่ยนสถานะทันที เพราะผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมถูกมองเป็นอาชีพต้อยต่ำ เทียบกับลูกหลานพ่อค้าของใต้หล้าไพศาลแล้ว สถานะยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากยิ่งกว่า
จนกระทั่งโจวมี่มหาสมุทรความรู้ปรากฏตัว สถานการณ์นี้ถึงได้ดีขึ้น มีการอบรมบ่มเพาะผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมกลุ่มใหญ่ แบ่งไปมอบให้กับราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ ขอแค่รับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมที่ถูกบันทึกลงเอกสารของภูเขาทัวเยว่ ทุกปีจะได้รับเงินเดือนก้อนหนึ่ง อีกทั้งยังมอบป้ายยกเว้นความตายจากภูเขาทัวเยว่ให้กับพวกเขา สิบปีมีการทดสอบครั้งหนึ่ง ธรณีประตูก็ต่ำมาก ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ การกระทำนี้ของโจวมี่ก็ยังได้ผลลัพธ์น้อยนิด เทียบกับใต้หล้าหนึ่งแห่งแล้วแทบไม่ต่างจากการใช้น้ำหนึ่งแก้วดับไฟของรถหนึ่งคัน
หลักการเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก สำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง ราชวงศ์ล่างภูเขาแห่งหนึ่ง คิดจะล่มสลายก็ล่มสลาย ควันธูปในศาลบรรพจารย์บนภูเขาและชะตาแคว้นของล่างภูเขาคิดจะขาดก็ขาด อีกทั้งปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ขอแค่ลงมือ แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะชอบตัดรากถอนโคน ฆ่าหมดไม่มีเว้น เอะอะก็ครอบคลุมพื้นที่รัศมีพันลี้ สำนักแห่งหนึ่งภูเขาปริแตกย่อยยับ นครแห่งแล้วแห่งเล่าสิ่งมีชีวิตมอดม้วยกลายเป็นตอตะโก
ต่อให้ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมกลุ่มนั้นโชคดีรอดพ้นหายนะนี้ไปได้ สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทว่าผืนนาดีหมื่นไร่ ความทุ่มเทร้อยปีของผู้ฝึกตน กลับกลายเป็นดั่งสายน้ำไหลที่หายวับไปในชั่วข้ามคืน ไม่ว่าใครก็ยากจะรับได้ไหว ถึงท้ายที่สุด ผู้ฝึกลมปราณเผ่าปีศาจที่ยินดีจะเป็นผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมอย่างแท้จริง แน่นอนว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย
ร้อยคนปลูกต้นไม้ร้อยปี บางทีอาจจะยังสู้คนหนึ่งตัดต้นไม้ปีหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือพูดถึงใจคน ยากที่จะหลีกเลี่ยงการทำเรื่องดั่งการวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา หรือการเผาป่าเพื่อล่าสัตว์
ลู่เฉินกล่าว “หากโจวมี่ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเป็นราชครูของใต้หล้าแห่งหนึ่ง ด้วยสติปัญญาและวิธีการของเขา ก็ยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีของเปลี่ยวร้างจากต้นตอ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ความอัจฉริยะและมากแผนการของโจวมี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย คาดว่าเขาคงยังรู้สึกว่ากระดานหมากเล็กเกินไป ไม่มากพอที่จะใช้แผนสามัคคีในกลุ่มเพื่อสร้างผลประโยชน์และแผนแตกความสามัคคีในกลุ่มศัตรู ไม่มากพอจะแบกรับปณิธานของเจี่ยเซิงแห่งไพศาลเอาไว้ได้”
ระหว่างที่เอ่ยประโยคนี้ เฉินผิงอันไม่มีความหมายที่จะดูแคลน เหยียดหยามโจวมี่เลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าใช้คำว่า ‘ปณิธาน’ ไม่ใช่คำว่าทะเยอทะยานด้วยซ้ำ
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ดูแคลนมหาสมุทรความรู้โจวมี่ก็คือดูแคลนการเฝ้าพิทักษ์เมืองจนตัวตายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนั้น
เฉินผิงอันเงยหน้ามองประตูใหญ่บานนั้น “ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นจะลงมือหรือไม่?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “ความเป็นไปได้มีไม่มาก ศิษย์พี่อวี๋ไม่ชอบฉวยโอกาสโจมตีตอนคนอื่นตกอยู่ในอันตราย ยิ่งดูแคลนที่จะร่วมมือกับคนอื่น”
เฉินผิงอันถามชวนคุย “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้ามืดสลัว ความสามารถด้านการต่อสู้เป็นเช่นไร?”
ลู่เฉินนวดคลึงปลายทาง “หากทั้งสองใต้หล้าต่างก็เอาคนออกมาสิบคน จากนั้นเรียงตามลำดับรายชื่อ แล้วทยอยกันจับคู่เข่นฆ่าสิบสนาม ใต้หล้ามืดสลัวพอจะมีโอกาสชนะมากกว่าเล็กน้อย แต่หากเอาคนออกมาร้อยคน ใต้หล้ามืดสลัวต้องแพ้อย่างแน่นอน”
มีเพียงปฏิบัติต่อผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้นที่ศิษย์พี่อวี๋โต้วถึงจะมีน้ำใจโอบอ้อมอารีมากเป็นพิเศษ
ในช่วงเวลาร้อยปีที่เต๋าเหล่าเอ้อดูแลป๋ายอวี้จิง สำหรับผู้ฝึกตนที่ละเมิดกฎ เขาล้วนฆ่าทิ้งไม่มีเหลือ ระหว่างที่จะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ได้ ก็ย่อมต้องเลือกอย่างแรกแน่นอน
แต่กับผู้ฝึกยุทธแล้ว เขากลับพูดด้วยง่ายมากเป็นพิเศษ
ลู่เฉินเอ่ยต่ออีกว่า “แน่นอนว่าหากถ่วงเวลาไปอีกสิบกว่าปีหรือหลายสิบปี จากนั้นค่อยมีการช่วงชิงของคนสิบคนที่ตัดสินเป็นตายอีกครั้ง ใต้หล้าไพศาลย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า”
นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับอาจารย์และศิษย์คู่นี้
เผยเปยและเฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนแผ่นดินกลาง
เฉินผิงอันและเผยเฉียนแห่งภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีป
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาล หากไม่พูดถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ที่เหลืออีกแปดทวีป หากเฉลี่ยกันแล้วก็จะมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางสองถึงสามคน
ยกตัวอย่างเช่นใบถงทวีปที่โชคชะตาบู๊ธรรมดา ทุกวันนี้มีอู๋ซู เย่อวิ๋นอวิ๋น ส่วนธวัลทวีปที่โชคชะตาบู๊บางเบา ตอนนี้มีแค่เพ่ยอาเซียงคนเดียว
ส่วนแจกันสมบัติทวีปกลับไม่ค่อยมีเหตุผลแล้ว ร้อยปีในอนาคต โชคชะตาบู๊จะต้องโชติช่วงจนทำให้หลายๆ ใต้หล้าตกใจสะดุ้งโหยงเลยทีเดียว
“สามอันดับแรกของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้ามืดสลัวทุกวันนี้ ผู้ที่มีผลสำเร็จบนวิถีวรยุทธสูงที่สุดมีฃหลินเจียงเซียน เจ้าหมอนี่ต่อสู้เก่งมาก ไม่ใช่แค่เก่งธรรมดา ได้ยึดครองอันดับหนึ่งมาเกือบสามร้อยปีแล้ว”
“ยังมีผู้ฝึกยุทธหญิงอีกคนหนึ่งชื่อว่าป๋ายโอ่ว (รากบัวสีขาว) อย่าเห็นว่าชื่อน่ารักน่าเอ็นดู อันที่จริงเวลาตีกับคนอื่นนางดุร้ายที่สุด”
“แต่ก็ยังต้องนับเจ้าซินขู่ที่นั่งอยู่บนยอดเขารุ่นเยว่เพียงลำพัง อายุน้อยที่สุด คุณสมบัติดีที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตามคำกล่าวของเจ้าอารามผู้เฒ่าซุน เจ้าหมอนี่มักจะชอบอยู่เดียวดายเพียงลำพัง เอาแต่เบิกตากว้างมองท้องฟ้า”