กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 875.3 ทางหนีทีไล่ปะทะทางหนีทีไล่
ลู่เฉินจุ๊ปากพูด “ซินขู่ (ลำบาก) ชื่อประหลาด นิสัยก็ประหลาด ไอ้หมอนี่ก็คือ…ตัวประหลาดจริงๆ”
“จะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน หากเขาไม่ได้ฝึกวรยุทธตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ขึ้นเขาฝึกตนแทน เขาจะต้องเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้แน่นอน ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ตอนนี้เขายินดีจะสละวิถีวรยุทธทิ้งไป หันไปฝึกตนเป็นเทพเซียนก็ยังจะต้องได้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่อย่างแน่นอน”
“ขนาดป๋ายโอ่วที่ถือว่าเป็นคนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เคยถามหมัดกับหลินเจียงเซียนสองครั้งแล้ว แต่กลับคอยจงใจหลบเลี่ยงซินขู่ ไม่มีความคิดจะถามหมัดด้วยแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ
โดยเฉพาะซินขู่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่สามารถทำให้ลู่เฉินมองเขาสูงได้ถึงเพียงนี้
นี่คือสามอันดับแรกของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้า ไม่ใช่รายชื่อผู้ฝึกยุทธที่ผ่านการประเมินจากหนึ่งทวีป
ก็เหมือนในซากปรักจวนเซียนของอุตรกุรุทวีปปีนั้น นักพรตซุนที่เดินทางไกลไปเยือนไพศาล ร่างจริงอยู่ที่อารามเสวียนตูใหญ่ แต่เมื่อนักพรตเฒ่าพูดถึงไหวอินหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับไม่ปกปิดความเย้ยหยันของตัวเองไว้แม้แต่น้อย แขนขาเล็กบาง กลัวด้วยซ้ำว่าหากไม่ระวัง ไม่กะน้ำหนักให้ดีจะตีจนอีกฝ่ายแขนขาหักเอาได้
เฉินผิงอันอดไม่ไหวถามว่า “เหตุใดใต้หล้าถึงมีผู้ฝึกตนที่เพียงแค่เริ่มขึ้นเขาก็กล้าพูดว่าจะต้องเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้แน่นอน”
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว บางทีอาจเป็นข้อยกเว้น
ต่อให้เป็นอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู หากว่ากันในความหมายที่เข้มงวดแล้วก็อาจจะถือว่าเป็นได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น
ลู่เฉินถอนหายใจ “ก็นั่นน่ะสิ แต่เรื่องราวก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ”
ยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วแล้วลู่เฉินก็เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “ผินเต้าเคยแอบไปที่ยอดเขารุ่นเยว่สามครั้ง จะมองตะแคงมองตรงๆ หรือมองบนมองล่าง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังมองไม่ออกว่าซินขู่ผู้นั้นมีคุณสมบัติของขอบเขตสิบสี่ ไม่ว่าจะอนุมานอย่างไร อย่างมากสุดซินขู่ก็ต้องเป็นได้แค่ขอบเขตบินทะยานถึงจะถูก แต่ช่วยไม่ได้ เรื่องนี้เป็นอาจารย์ข้าที่พูดเองกับปาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ว่าที่ใดล้วนมีเรื่องประหลาดและคนประหลาดอยู่เสมอ”
ลู่เฉินประกบฝ่ามือสองข้างเข้าด้วยกัน ชายแขนเสื้อของชุดคลุมเต๋าที่กว้างใหญ่คลุมทับฝ่ามือเอาไว้ เขาก้าวเดินไปอย่างเนิบช้า “หากจะบอกว่าความประทับใจใหญ่ที่สุดที่ป๋ายอวี้จิงมอบให้กับคนอื่นก็คือค่อนข้างเงียบสงบ ต่างคนต่างฝึกตน ยุ่งอยู่แต่กับการฝึกตน จิตใจแน่วแน่ไม่วอกแวก”
“ราวกับว่าใต้ฝ่าเท้าของทุกคนล้วนมีเส้นทางเดินขึ้นฟ้าอยู่เส้นหนึ่ง ขั้นบันไดมีให้เห็นอย่างชัดเจน เดินได้มั่นคง ทุกก้าวที่เหยียบลงบนบันไดหนึ่งขั้นก็จะต้องมองเห็นบันไดอีกหลายขั้นที่อยู่สูงกว่าเสมอ คำว่าเดินขึ้นสู่ที่สูง แค่ยกเท้าก็ได้แล้ว”
ลู่เฉินพลันหันหน้ากลับมา ยิ้มเอ่ยแนะนำว่า “วันหน้าเมื่อเจ้าไปถึงใต้หล้ามืดสลัว ถึงอย่างไรก็คงไม่รีบร้อนไปเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปหยุดอยู่ที่เขตบางแห่งสักหลายๆ ปีก่อน ยกตัวอย่างเช่นตามหาสือฟางฉงหลิน (ระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง ส่วนมากจะหมายถึงวัดของนิกายเซ็น (ฌาน) เป็นหลัก สือฟางหมายถึงสิบทิศ ฉงหลินหมายถึงผืนป่าที่มีต้นไม้หนาแน่น เปรียบเปรยถึงสถานที่ที่รวบรวมคนมีความสามารถไว้ด้วยกัน) สักแห่งหนึ่ง แล้วลองทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล คอยควบคุมสามตูห้าจู่สิบแปดโถว ไม่ต้องหาสถานที่ที่ใหญ่มากนักก็น่าสนใจได้มากเหมือนกัน”
“ข้าเคยใช้เวลาถึงสามร้อยปีเต็มเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ สุดท้ายกว่าจะทำหน้าที่ในสี่สิบอารามเต๋าน้อยใหญ่ได้ครบก็ไม่ง่ายเลย ต้องคอยดูแลกิจธุระยิบย่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องจัดการหมดจริงๆ ส่วนตำแหน่งถีเคอ (นักพรตที่ทำหน้าที่เล่นดนตรีและสวดมนต์ในปะรำพิธี ต้องเป็นคนที่มีน้ำเสียงดังกังวาน คุ้นเคยกับขั้นตอนของพิธีกรรม สามารถท่องบทสวดได้) จู่ฮั่น (ทำหน้าที่เขียนบทความ วาดภาพ ฯลฯ) และเย่สวิน (ทำหน้าที่ลาดตระเวน ควบคุมดูแลและตรวจสอบในยามค่ำคืน) ล้วนน่าสนใจอย่างมาก แต่ถ้าเป็นชิงโถว (คนทำความสะอาดห้องน้ำ) จะค่อนข้างน่าอนาถแล้ว ทว่าถึงแม้งานจะต่ำต้อยแต่กลับได้ค่าน้ำร้อนน้ำชาเยอะ แล้วยังไม่มีใครมาแย่งทำด้วย มีอิสระอย่างมาก แต่พูดไปพูดมาก็ยังคงเป็นฮ่าวฝาง (ชื่อเรียกอีกอย่างของคนเฝ้าประตู) ที่น่าสนใจที่สุด คอยต้อนรับขับสู้ผู้คน ดูว่าคนแบบไหนเหมาะกับอะไรก็ปฏิบัติตัวไปอย่างนั้น”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
ลู่เฉินพลันถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าควรทำอย่างไรถึงจะไร้ความต้องการไร้ปรารถนาได้อย่างแท้จริง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน”
ลู่เฉินกล่าว “ก่อนจะเจอความปรารถนาถัดไปหลังจากความปรารถนาทุกอย่างล้วนได้รับการเติมเต็มหมดแล้ว?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เคยว่า “ฟังแล้วเหมือนจะมีเหตุผลอยู่มาก”
ลู่เฉินขบคิดอยู่พักหนึ่ง “ไม่สู้รอให้เจ้ากับไปถึงแจกันสมบัติทวีปก่อนแล้วค่อยคืนขอบเขตให้ข้าดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก”
ลู่เฉินทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้จริงๆ”
ลู่เฉินจึงไม่ยืนกรานอีก
พริบตานั้นข้างกายคนทั้งสองก็เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมระลอกหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งขอบเขตสิบสี่ทั้ง ‘สองคน’ ก็ยังสัมผัสถึงล่วงหน้าไม่ได้ สตรีชุดขาวคนหนึ่งพลันเดินออกมา
ด้านหลังสตรีชุดขาวมีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่หดหัวห่อไหล่เดินตามมาด้วย
ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่
ก็คือปีศาจใหญ่บรรพกาลที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนนั้น
นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบเขตต้องถดถอยแน่นอน ดังนั้นช่วงนี้ภูเขาลั่วพั่วอาจจะต้องการนักรบพลีชีพที่พอจะต่อสู้ได้สักคนหนึ่ง”
ลู่เฉินยื่นมือมาปิดบังใบหน้า
พอจะต่อสู้ได้…นักรบพลีชีพ…
นางยิ้มเอ่ย “จำไว้ว่ารีบไปหลอมกระบี่ที่นอกฟ้าให้เร็วหน่อย ข้ากลับก่อนล่ะ”
ระหว่างที่พูดนางก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่พุ่งออกไปนอกฟ้า
เฉินผิงอันได้แต่เงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้ารับเบาๆ
ปีศาจบรรพกาลตนนั้นรักษารอยยิ้มน้อยๆ ไว้บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่ดูแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันเองก็อดกลั้นอยู่นาน ถึงได้โพล่งประโยคหนึ่งออกไป “อันที่จริงข้าเองก็กระอักกระอ่วนเหมือนกัน ถือว่าหายกันแล้ว”
ปีศาจใหญ่บรรพกาลที่กว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลอันยาวนานได้ไม่ใช่เรื่องง่ายถึงได้ผ่อนลมหายใจโล่งอก มันหันหน้าไปมองนักพรตหนุ่มแล้วถามด้วยภาษาทางการของไพศาลที่สำเนียงถูกต้องอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง “เจ้าเป็นใคร?”
ลู่เฉินยิ้มหน้าทะเล้น “ก็แค่บุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เป็นลูกสมุนที่ติดตามอยู่ข้างกายใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
ดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่อยู่บนฟ้ากำลังจะขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่บานนั้นแล้ว
ลู่เฉินเงยหน้าขึ้น พึมพำว่า “ท้องฟ้ากว้างใหญ่หมื่นปี สายลมดวงจันทร์หนึ่งวัน”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไกลไปยังม่านฟ้า
ค่ำคืนอันยาวนานเงียบสงบ มีประโยชน์มากมาย กายและวาจาล้วนสะอาดบริสุทธิ์ ไม่สัมผัสสิ่งสกปรกชั่วร้าย
ในอนาคตรอให้วันใดมีเวลาว่างจริงๆ ก็จะนำกระบี่ยาวเย่โหยวที่สะพายไว้ด้านหลังเล่มนี้ไปแขวนไว้ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ ให้เป็นของแทนตัวเจ้าสำนักของภูเขาลั่วพั่วคนถัดไป
เฉินผิงอันปลดกวานดอกบัวบนศีรษะลงมา ยื่นส่งให้ลู่เฉิน เอ่ยว่า “เจ้าลัทธิลู่ ท่านสามารถนำขอบเขตกลับคืนไปได้แล้ว”
คิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะมีสีหน้าเคร่งเครียด เตรียมจะปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม แต่เฉินผิงอันกลับยิ้มแล้วโยนมันกลับมาให้ลู่เฉินแล้ว
บรรพจารย์สามลัทธิที่ก่อนหน้านี้เจอกันที่เมืองเล็ก
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไปที่ดินแดนพุทธะสุขาวดี พูดคุยกับเจ้าอาวาสในวัดเล็กคนหนึ่งอย่างถูกคอ
พระพุทธองค์ไปที่ใต้หล้ามืดสลัว เงยหน้าขึ้นมองไปก็เห็นกรอบป้ายกรอบหนึ่ง ศาลบรรพจารย์แห่งแรกของใต้หล้า
มรรคาจารย์เต๋าเองก็ออกมาจากใต้หล้าไพศาล ไม่ได้กลับไปที่ป๋ายอวี้จิง แต่ไปที่ฟ้านอกฟ้า
หลิวเจียผู้ฝึกตนเฒ่าของเมืองหลวงต้าหลีเป็นฝ่ายลากลูกศิษย์จ้าวตวนหมิงให้ไปดื่มเหล้าด้วยกัน
ผู้เฒ่าพูดคุยเรื่องในวันวานเรื่องหนึ่งกับเด็กหนุ่ม บอกว่าปีนั้นราชครูชุยเคยถามตน ให้ช่วยดูแลตรอกแห่งนี้ ต้องการสิ่งใดตอบแทน
ตอนนั้นหลิวเจียบอกแค่ว่าชีวิตนี้ของตนไม่เคยเจอกับบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจอะไรมาก่อน
ชุยฉานที่เวลานั้นเพิ่งจะรับตำแหน่งเป็นราชครูต้าหลีเพียงแค่ยิ้มเอ่ยกับหลิวเจียประโยคหนึ่งว่า จะต้องให้เจ้าได้พบเจออย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันปรากฏตัวที่ตรอกฉีหลง แล้วไปที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่วมารอบหนึ่ง แทะเมล็ดแตงกับหมี่ลี่น้อยไปแล้ว สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ตรอกฉีหลง ไม่ได้ไปที่ร้านยาตระกูลหยาง
สือโหรวคลี่ยิ้มช่วยพูดขอความดีความชอบให้กับเจ้าใบ้น้อย บอกว่าก่อนหน้านี้เฉินหลิงจวินเจอกับเซียนซือบนภูเขากลุ่มหนึ่ง โจวจวิ้นเฉินไม่วางใจ กลัวว่าเฉินหลิงจวินจะมีอันตรายจึงไปช่วยเหลือที่นั่นแล้ว
เฉินผิงอันหยิบขนมซิ่งฮวาขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เคี้ยวอย่างละเอียด พอได้ยินประโยคนี้ก็หันไปยิ้มมองเด็กชาย พยักหน้าเบาๆ
เจ้าใบ้น้อยยืนอยู่บนม้านั่งด้านหลังโต๊ะคิดเงิน กำลังเปิดอ่านนิยายในยุทธภพเล่มหนึ่ง
เด็กชายเบ้ปาก เรื่องใหญ่เท่าก้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง
โจวจวิ้นเฉินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถามว่า “เจ้าขุนเขา ท่านกินขนม จะจ่ายเงินหรือจะเชื่อเงินไว้ก่อน?”
ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเผยเฉียน เขากลับไม่เคยชอบเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์ปู่ ตอนที่เฉินผิงอันไม่อยู่ เวลาพูดถึงเขากับใคร อย่างมากก็แค่เรียกว่าอาจารย์ของอาจารย์ หากอยู่ต่อหน้าก็จะเรียกเจ้าขุนเขา สือโหรวเคยโน้มน้าวอยู่หลายครั้ง แต่เด็กชายไม่ยอมฟัง ดื้อรั้นอย่างมาก
สือโหรวยิ้มกล่าว “เจ้าขุนเขากินขนมของร้านตัวเอง ต้องเชื่อเงินอะไรกัน”
เห็นว่าเจ้าขุนเขายังคีบขนมขึ้นมาอีกชิ้น เด็กชายก็จงใจเปิดหน้าหนังสือแรงๆ พึมพำเสียงเบาว่า “มิน่าเล่ากิจการถึงได้ดีขนาดนี้ ลูกค้ายังไม่มากเท่าคนที่ติดหนี้เลย”
เฉินผิงอันจึงหยิบขนมขึ้นมาอีกหลายชิ้น ทำเอาเด็กชายโมโหจนหน้าแดงก่ำ อาจารย์ปู่ที่ไม่เคยสอนวิชาหมัดให้ตนแม้แต่น้อยผู้นี้ รังแกกันมากเกินไปแล้ว!
เด็กชายผมขาววิ่งตะบึงออกมาจากเรือนด้านหลัง เตรียมจะชูแขนขึ้นสูง แต่กลับถูกบรรพบุรุษอิ่นกวานเหล่ตามอง จึงปิดปากอย่างรู้กาลเทศะ
ยังคงชูแขนขึ้นสูง เพียงแต่ว่าขยับฝีปากขมุบขมิบ ไม่ออกเสียงก็เท่านั้น
คงเพราะรู้สึกว่าไม่ออกเสียงก็หมดสนุก จึงปล่อยแขนลงอย่างขุ่นเคือง อัดอั้นยิ่งนัก
เด็กชายผมขาวแอบกระซิบว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ทุกวันนี้ข้าเปลี่ยนชื่อใหม่แล้วนะ ชื่อคงโหว เป็นอย่างไร?”
“อยู่ห่างไกลเกินกว่าจะเทียบ ‘เทียนหราน’ ได้ติด อีกทั้งนับแต่โบราณมาเสียงของคงโหวก็ค่อนข้างเศร้าสร้อย ชื่อนี้มีความหมายที่ไม่ดี เจ้าต้องเคยเปิดอ่าน ‘จารึกเจียวซื่อ’ ของลัทธิขงจื๊อมาก่อนแน่ เพราะฉะนั้นอย่าได้ไม่ใส่ใจ ทางที่ดีที่สุดควรเปลี่ยนเสียใหม่ แต่ก็อย่าลืมบอกหน่วนซู่สักคำ”
เฉินผิงอันปัดมือ ไปที่ร้านฉ่าวโถวซึ่งอยู่ติดกัน
เด็กสาวชุยฮวาเซิงยอบกายคารวะเจ้าขุนเขาหนุ่มที่เล่าลือกันว่าเป็นมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางอย่างขลาดๆ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เงยหน้ามองไปยังจุดหนึ่ง ในร้านแขวนกลอนคู่ไว้หนึ่งบท เป็นลายมือของนักพรตเฒ่าตาบอด ว่ากันว่าเป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจที่หลังจากดื่มเหล้าเมามายก็สะบัดน้ำหมึกร่ายออกมา
บันไดสูงเมฆลึกตำราโบราณซ้ายขวา
ฟ้าสูงมหาสมุทรกว้างดวงจันทร์กระจ่างอยู่ตรงกลาง
นอกจากลงชื่อแล้วยังใช้ตราประทับส่วนตัวประทับลงไปด้วย เป็นคำว่า ‘สถานที่รู้ใจอยู่ไม่ไกล’
คราวก่อนที่เฉินผิงอันกลับบ้านเกิดแล้วมาตรวจบัญชีที่ตรอกฉีหลงตามธรรมเนียม อันที่จริงก็ได้เห็นแล้ว
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย ‘มองเห็น’ เจ้าขุนเขาหนุ่ม กำลังจะพูดชวนคุยสสักสองสามประโยค คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะคลี่ยิ้มแล้วขอตัวลากลับไปแล้ว
เฉินผิงอันที่ตอนนี้ยังมีตบะขอบเขตสิบสี่หดย่อพื้นที่อีกครั้ง ตรงดิ่งกลับไปที่เมืองหลวงต้าหลี หากรอให้ตนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มอบขอบเขตกลับคืนแล้วก่อนค่อยกลับเมืองหลวง ก็คงไม่ใช่เรื่องของการเดินแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว
บรรพจารย์สามลัทธิต่างก็ออกไปจากใต้หล้าไพศาลแล้ว
เฉินผิงอันที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลเดินขยับไปใกล้ตรอกเล็กเส้นนั้น
เฉินผิงอันที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่เก็บนักรบพลีชีพขอบเขตบินทะยานมาได้เปล่าๆ คนหนึ่ง คล้ายจะรู้สึกว่าสถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้วจึงมอบมรรคกถาขอบเขตสิบสี่กลับคืนให้กับลู่เฉิน
แล้วก็จริงดังคาด ขอบเขตถดถอยแล้ว
วิถีวรยุทธถดถอยหนึ่งขั้น ผู้ฝึกตนถอยไปสองขอบเขต
ลู่เฉินกลับไม่ได้กังวลกับเรื่องใหญ่พวกนี้ แต่ใช้เสียงในใจเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “เป็นอะไรของเจ้า?! สองครั้งแล้ว สองครั้ง! ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าอย่าได้คืนขอบเขตกลับมาเร็วเกินไป เพราะข้าเคยคำนวณมาก่อนว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น แต่ไม่สามารถเปิดเผยความลับกับเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นหากแตะต้องโดนมหามรรคาอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ใหญ่ยิ่งกว่า แม้ข้าจะคำนวณไม่ได้ว่าเรื่องไม่คาดฝันนั้นมาจากไหน แต่ว่า…”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพราะข้ารู้ว่าเรื่องไม่คาดฝันต้องมาจากโจวมี่แน่นอน เขากำลังรอให้บรรพจารย์ของสามลัทธิออกไปจากไพศาล รอให้หลี่เซิ่งกับป๋ายเจ๋อต่อสู้กัน รอให้นางหวนกลับไปยังนอกฟ้า รวมถึงรอให้ข้าใช้กระบี่ฟันภูเขาทัวเยว่ เมื่องานใหญ่สำเร็จแล้วก็รอให้ข้าแกะสลักตัวอักษรให้เสร็จเสียก่อน จากนั้นโจวมี่ก็จะลงมือ เขารู้ดียิ่งกว่าใครว่าข้าใส่ใจเรื่องใดที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจะเล่นงานตัวข้าเลย เขาแค่ต้องการให้ภูเขาลั่วพั่วหายไป อีกทั้งยังเหมือนหายไปต่อหน้าต่อตาข้าด้วย”
ลู่เฉินอึ้งค้างไร้คำพูดไปพักใหญ่ “รู้แล้ว แล้วอย่างไรเล่า?!”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ตอนที่ข้าเพิ่งไปถึงหัวกำแพงเมือง ตอนที่ยังไม่ยืมขอบเขตมาจากท่าน อันที่จริงก็ได้เริ่มบอกกล่าวกับใครบางคนแล้ว คนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายไม่ใช่คนทั่วไป”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีทางหนีทีไล่ไว้รับมือภายหลัง
ซากปรักของสรวงสวรรค์บรรพกาล โจวมี่คีบเม็ดหมากเม็ดหนึ่งออกมา โยนออกไปเบาๆ
เม็ดหมากพลันแหวกม่านฟ้าของไพศาล ประหนึ่งดวงดาวดวงหนึ่งที่พุ่งกระแทกเข้าใส่อาณาเขตของหลงโจวทั้งแห่ง
จุดที่เม็ดหมากหล่นลงไปบนกระดานก็คือภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้น
รวดเร็วอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่แม้แต่ป๋ายอวี้จิงจำลองของเมืองหลวงสำรองต้าหลีก็ยังมิอาจออกกระบี่ขัดขวางได้ แม้แต่ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในเมืองหลวงต้าหลีก็ยังช่วยเหลือไม่ได้
ทว่าขณะเดียวกันนั้นก็เห็นว่าที่ร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลง มีเจ้านครแห่งนครจักรพรรดิขาวที่จิตใจเชื่อมโยงกับอิ่นกวานหนุ่มเดินออกมาจากกลอนคู่บทนั้น