กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 876.1 ขอบเขตถดถอย
ลู่เฉินม้วนชายแขนเสื้อ โบกมือสร้างตราผนึกฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมา ช่วยบดบังสภาพการณ์อันน่าอนาถที่ขอบเขตถดถอยให้เฉินผิงอัน ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “ในเมื่อเจ้ามีแผนการอยู่ก่อนแล้ว เรื่องที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า คิดมากไปก็บังคับควบคุมอะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งไปสนใจเลย เก็บกวาดเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่า กลับหัวกำแพงเมืองทันทีเถอะ”
กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งคือสถานที่ที่เขาผสานมรรคา สามารถช่วยให้เฉินผิงอันสร้างความมั่นคงให้กับจิตแห่งมรรคาและขอบเขตได้
ขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ จิตแห่งมรรคาดวงหนึ่งประหนึ่งเรือน้อยหนึ่งลำที่ล่องลอยโยกคลอนไปตามคลื่นซัดสาด ถ้าอย่างนั้นกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งที่ผสานมรรคาด้วยก็คือหินถ่วงท้องเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า
เฉินผิงอันพยักหน้า เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “รอสักเดี๋ยว”
ลู่เฉินถาม “ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ขอบเขตถดถอยที่หัวกำแพงเมือง? อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานเช่นนี้”
เฉินผิงอันให้คำตอบที่ทำให้ลู่เฉินพูดไม่ออก “การถดถอยด้านขอบเขตของผู้ฝึกตน แม้ขุนเขาสายน้ำจะปริแตก แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อวิถีวรยุทธ ตามวิธีที่ท่านอาหลี่ถ่ายทอดให้ สามารถทำให้ข้าเข้าใจเส้นสาย ‘ภูเขาสายน้ำ’ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเลือดเนื้อเส้นเอ็นและกระดูกได้มากกว่าเดิม ก็ถือเป็นวิธีการที่ใช้ขัดเกลาเรือนกายของผู้ฝึกยุทธอย่างหนึ่ง”
ลู่เฉินกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา
ในชั้นปราณโชติช่วงของผู้ฝึกยุทธมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่มาก
ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบหนึ่ง สำหรับเฉินผิงอันที่ขอบเขตถดถอยอย่างน่าสังเวชแล้ว แน่นอนว่าความทุกข์ยากที่ต้องเผชิญจะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้
ตอนนี้ข้างกายคนทั้งสองยังมีตัวถ่วงอยู่อีกคนหนึ่ง มันเงียบงันอยู่ตลอดเวลา มองประเมินผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์สองคนนี้อย่างระมัดระวัง
คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์ที่อายุน้อย อีกคนหนึ่งคือคนที่บอกว่าตัวเองเป็นลูกสมุนของฝ่ายแรก
คนหนึ่งขอบเขตถดถอย คนหนึ่งขอบเขตไต่ขึ้นสูง
นี่ทำให้มันประหลาดใจอย่างมาก ตบะขอบเขตสิบสี่เอาให้คนอื่นยืมได้ด้วยหรือ?
นี่ทำให้มันจิตใจสะท้านสะเทือนยิ่งกว่าได้เจอผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งเสียอีก
โลกมนุษย์ในอีกหมื่นปีให้หลัง มีความมหัศจรรย์หลากหลายจริงเสียด้วย
อาศัยม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่คนผู้นั้นมอบให้มัน รวมไปถึงตำราอีกสองสามเล่มที่คล้ายคลึงกับ ‘จารึกภูเขาและทะเล’ มันจึงรู้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้คือนักพรต (เต้าซื่อ)
ในยุคบรรพกาลห่างไกล ผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจก็ล้วนเรียกรวมกันว่าเต้าเหรินทั้งหมด
คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้จะมีแบ่งเป็นเซิงเต้า (คำเรียกรวมภิกษุและนักพรตลัทธิเต๋า) ด้วย แต่ดูเหมือนจะถูกนักพรตยึดครองคำว่า ‘เต้า’ (หรือเต๋า มรรคา นักพรตภาษาจีนออกเสียงว่าเต้าซื่อ) ไปฝ่ายเดียว
กวานดอกบัวที่นักพรตหนุ่มสวมไว้บนศีรษะคือหนึ่งในสัญลักษณ์แทนตัวของนักพรตสามสายของป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินเองก็กำลังสังเกตปีศาจใหญ่บรรพกาลขอบเขตบินทะยานตนนี้อยู่เช่นกัน
เพราะอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว จึงกังวลอย่างมากว่าอีกฝ่ายจะไม่ถามถูกผิดก็ปล่อยกระบี่ใส่ตนแล้ว
ปีศาจใหญ่ในเวลานี้เปลี่ยนแปลงรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม มองดูเหมือนจะมีอายุประมาณยี่สิบปี สวมหมวกสีเหลืองรองเท้าสีเขียว สวมชุดผ้าป่านทั้งตัว
แต่มองไปแล้วบนร่างไม่มีกลิ่นอายดุร้ายเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังเหมือนบัณฑิตไพศาลที่สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจรมากกว่า แล้วยังเป็นบัณฑิตประเภทที่ว่าฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจนอีกด้วย
ปัญหาอยู่ที่ว่ามันเหมือนอะไรจะมีประโยชน์กะผายลมตรงไหน มันคือปีศาจใหญ่บรรพกาลที่พลังการต่อสู้สามารถทัดเทียมกับราชาบนบนบัลลังก์เก่าของเปลี่ยวร้างได้อย่างแท้จริงเชียวนะ
ลู่เฉินใช้เสียงในใจถาม “มันก็จะตามขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองด้วยหรือ? วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเจ้าหมอนี่คล้ายจะเป็นการควบคุมจิตใจนะ พวกเราต้องระวังไว้หน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ให้มันตามมาก็พอ”
แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องไม่เชื่อใจมัน แต่เขาเชื่อใจนาง
บนเส้นทางการฝึกตน เขาเคยชินแล้วที่จะต้องคิดปัญหาที่เรียบง่ายไปในทางที่ยุ่งยากอยู่ทุกเวลานาที คิดซ้ำไปซ้ำมา คิดเยอะแล้วคิดเยอะอีก มองดูเหมือนเปลืองแรงโดยไม่ได้ผลประโยชน์อะไร แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อว่าสักวันหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ซับซ้อนที่ทุกอย่างขมวดรวมกันเหมือนกองเชือกยุ่งๆ กองหนึ่ง จะสามารถคลี่คลายให้ปัญหาที่ซับซ้อนกลายเป็นปัญหาที่ง่ายดาย นี่ก็เป็นเหมือนต้นไม้ที่ผลิดอกออกผลพร้อมกันอย่างหนึ่ง
ลู่เฉินยื่นมือไปจับแขนของเฉินผิงอัน หดย่อขุนเขาสายน้ำไปยังหัวกำแพงเมืองด้วยกัน
ไปถึงหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันเซไปเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงได้ เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงเมือง สองมือวางทับซ้อนกันไว้บนหัวเข่า พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ หนึ่งที แม้ว่ากายและใจจะอ่อนระโหย ทว่าเลือดลมของผู้ฝึกยุทธกลับแกร่งกร้าว นี่ทำให้ปีศาจใหญ่ตนนั้นต้องมองเขาใหม่อีกครั้ง ระดับความแข็งแกร่งทนทานของร่างกายไม่แพ้ให้กับเผ่าปีศาจแล้ว เห็นว่าคนหนุ่มหงายฝ่ามือขึ้น หายใจเข้าออกเบาๆ โคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ ทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้ามีไอหมอกลอยออกมาเหมือนงูขาวหลายตัว ระหว่างชายแขนเสื้อสองข้างก็ยิ่งเหมือนมีมังกรเขียวล้อมพันขดตัวอยู่
มันพยักหน้าเอ่ยชมเชย “เป็นภาพบรรยากาศที่ดี”
ไม่รู้ว่าทำไม ระหว่างที่เดินทางมาก็ได้เรียนรู้ภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและภาษาราชการต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปจนเป็นแล้ว
ลู่เฉินเอ่ยเตือน “ทางที่ดีที่สุดควรเอาของนอกกายที่ไม่เคยผ่านการหลอมใหญ่ออกมาให้หมด”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ปลดกระบี่ยาวเย่โหยวที่สะพายอยู่ด้านหลังลงมา รวมถึงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เอามาทำเป็นกาเหล้าหลายปีด้วย
จากนั้นปลดดาบแคบสองเล่มที่จักรพรรดิและขุนนางมีความต่าง (เปรียบเปรยถึงสถานะที่แตกต่าง มิอาจทัดเทียมกันได้) อย่าง ‘ลงทัณฑ์’ และ ‘พิฆาต’ ลงมา
แส้ปัดฝุ่นชิ้นหนึ่ง ค่ายกลกระบี่หนึ่งชุด ที่วางพู่กันปะการัง สมบัติหนักสามชิ้นที่ระดับขั้นเป็นอาวุธเซียน
ทำเอาผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตบินทะยานที่มองดูอยู่หนังตากระตุก
ไม่ใช่อาวุธเทพบรรพกาลก็เป็นอาวุธเซียนที่สร้างขึ้นในยุคหลัง
ลู่เฉินเหมือนแม่บ้านที่จ้ำจี้จ้ำไชคนหนึ่ง ถามต่อว่า “จะจัดการกับเจ้าคนที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาตรงหน้าผู้นี้อย่างไร?”
เฉินผิงอันสามารถวางใจทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านได้ แต่ลู่เฉินกลับไม่วางใจที่ข้างกายมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่งยืนบื้ออยู่ หากมีแค่ตนที่อยู่ตรงนี้ ต่อให้ทะเลาะต่อยตีกันต่อหน้าก็ไม่ใช่ปัญหา แต่หากต้องปกป้องมรรคาให้กับเฉินผิงอัน ลู่เฉินก็กลุ้มใจจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันไม่มีความคิดที่จะโยนภาระทิ้ง เขาไม่รีบร้อนปล่อยจิตใจจมจ่อมไปภายในร่างกาย หันหน้ามาถามว่า “ได้ตั้งนามแฝงไว้ให้ตัวเองหรือไม่?”
ปีศาจใหญ่ตนนั้นคุกเข่าลงทันที เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เคย”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ให้ข้อเสนอแนะว่า “ไม่สู้ใช้ฉายาว่าสี่จู๋ สี่จากคำว่ามงคล จู๋จากคำว่าเปลวเทียน สหายคิดว่าเป็นอย่างไร?”
ปีศาจใหญ่พยักหน้า “เป็นชื่อที่ดี”
ดูเหมือนมันจะรู้สึกว่าแสดงความจริงใจได้ไม่มากพอ จึงเอ่ยเพิ่มมาอีกคำ “โชคดีอย่างมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แต่ว่าที่บ้านเกิดของข้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือคนธรรมดาทั่วไป หากคิดจะลงหลักปักฐานก็ต้องมีสำมะโนครัวด้วย เจ้าสามารถตั้งนามแฝงให้ตัวเองได้อีกชื่อหนึ่ง”
ร่างจริงของปีศาจใหญ่ตนนี้เป็นแค่แมงมุมตัวหนึ่งเท่านั้น
และชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของแมงมุมก็คือชินเค่อ สี่จื่อ
ดังนั้นที่เมืองเล็กบ้านเกิดของเฉินผิงอันจึงมีคำพูดเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาปากต่อปาก ‘แมงมุมรวมร้อยเรื่องน่ายินดี’ พวกคนเฒ่าคนแก่ต่างก็เห็นการชักใยของแมงมุมเป็นนิมิตหมายของเรื่องมงคล หากในบ้านมีใยแมงมุม ไม่ว่าจะมีแมงมุมอยู่หรือไม่ โดยทั่วไปแล้วเจ้าของบ้านก็มักจะไม่ปัดกวาดเช็ดถู มีเพียงช่วงปีใหม่เท่านั้นที่ผู้เฒ่าจะใช้ไม้กวาดม้วนมันขึ้นไปเบาๆ แล้วค่อยให้พวกเด็กๆ ในบ้านรับไม้กวาดไป พาออกไปนอกบ้าน ระหว่างทางเด็กที่กอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอกยังต้องเอ่ยประโยคทำนองว่า ‘ขอบคุณมงคลเก่า ขอเพิ่มมงคลใหม่’ ซึ่งมีความหมายโดยนัยคือบอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่
รอกระทั่งเฉินผิงอันออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลก็สังเกตเห็นอีกว่าใต้หล้าไพศาลยังมีเทศกาลซีซี สตรีจะสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม เอาพวกผลไม้ขนมกินเล่นมาวางไว้กลางลานบ้าน จัดเรียงให้เหมือนแมงมุมชักใย รวมไปถึงจะตัดกระดาษหลากสีด้วยตัวเอง หลังจากจุดธูปหอมจุดเทียนแล้ว สตรีจะถือด้ายสีไว้ในมือ หันหน้าเข้าหาเงาของแสงเทียน แล้วเอาด้ายร้อยรูเข็มเพื่อขอพรด้านงานฝีมือจากสวรรค์
หากจะบอกว่าร่างจริงของเซียนกระบี่ใหญ่จางลู่คือเทียนลู่ซึ่งเป็นสัตว์แห่งความมงคลประเภทหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นแมงมุมก็เป็นแมงแห่งความมงคลที่เป็นนิมิตหมายอันดี เฉินผิงอันยังเคยสังเกตเห็นว่าบนภาพวาดฝาผนังในวัดบางแห่งและในอักษรภาพของนักประพันธ์บางคนต่างก็วาดภาพใยแมงมุมห้อยลงมาแล้วมีแมงมุมห้อยต่องแต่งลอยตัวอยู่ ซึ่งมีคำเรียกขานที่งดงามว่า ‘ความมงคลหล่นลงมาจากฟ้า’
ต้องรู้ว่าตอนที่เฉินผิงอันอยู่หน้าธรณีประตูห้องของหอชิงฝู หากไม่ได้ยินประโยคว่า ‘ขอให้ท่านร่ำรวย’ เขาก็จะไม่ยอมขยับเท้าเดินไปไหนเด็ดขาด
มันยิ้มเอ่ย “ขอให้ข้าคิดดูก่อน”
มันเริ่มเปิดตำราในทะเลสาบหัวใจของตัวเอง คิดว่าจะหานามแฝงที่สง่างามไพเราะให้ตัวเองสักหน่อย
ลู่เฉินขยี้ตา สหายท่านนี้ถึงกับมีสีหน้าเขินอายอยู่หลายส่วน
ตอนที่พบกันครั้งแรกบนดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ อีกฝ่ายไม่ได้มีนิสัยอ่อนโยนเช่นนี้หรอกนะ
มันเหลือบตามองอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง แล้วก็นึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ขึ้นมา
หากนายท่านขับไล่เจ้า เจ้าก็จงเอาเวทกระบี่ของทั้งร่างมอบกลับคืนให้ข้า
นายท่าน?
บุคคลชั้นสูงสุดท่านนั้นเอ่ยง่ายๆ แค่ประโยคเดียวก็ทำให้มันรู้สึกเหมือนในอดีตตอนที่ถูกป๋ายเจ๋อกดหัวกระแทกลงบนพื้นดินจนเกิดหลุมใหญ่หลายร้อยหลุม จากนั้นลากไปที่ดวงจันทร์แล้วเหวี่ยงทิ้งอย่างแรง กระแทกชนจนเกิดเป็น ‘รังเก่า’ ขึ้นมา
เวทกระบี่ของมัน ในอดีตก็ได้ขอร้องมาจากผู้ครองกระบี่ท่านนั้น
ส่วนหมื่นปีให้หลัง ป๋ายเจ๋อให้มันตื่น มันก็ตื่น แน่นอนว่าหลังจากขึ้นเขาฝึกตนแล้วก็ยังเคยถูกป๋ายเจ๋อสั่งสอนอย่างรุนแรงมาก่อน
ตอนที่มันได้ยินคำเรียกขานนั้นก็พลันกระจ่างแจ้งทันใด จึงไม่กล้าเอ่ยอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
ถึงขั้นที่ว่าเพราะกังวลว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน มันจึงเป็นฝ่ายใช้เวทลับ ‘ผนึกภูเขา’ บรรพกาลบทหนึ่งปิดตายความคิดจินตนาการทุกอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘นายท่าน’ นี้เอาไว้
เก็บความคิดที่มีน้ำหนักอย่างมากไว้ให้ตัวเองแค่ความคิดเดียว เตือนตัวเองว่าอย่าได้ทรยศคนผู้นี้ ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉินผิงอันคนนี้
ดังนั้นที่ลู่เฉินบอกว่ามันเชี่ยวชาญการควบคุมจิตใจจึงไม่ผิดเลย พูดตรงจุดเข้าประเด็นในคำเดียว
เฉินผิงอันกล่าว “พวกเรามาทำข้อตกลงร่วมกันสามข้อ ติดตามข้ากลับไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้ว สหายต้องรักษากฎนี้”
มันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายเชิญพูดได้เลย”
ระหว่างที่หาชื่อให้ตัวเอง มันก็ได้เรียนรู้คำเรียกขานของไพศาลมาอีกไม่น้อย
“ข้อแรก หลังติดตามข้ากลับบ้านเกิดแล้ว เจ้าห้ามลงมือกับผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำกว่าหยกดิบ ไม่ว่าเหตุผลในการลงมือจะเป็นอะไรก็ตาม”
มันพยักหน้ารับ ผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตล่าง เวทคาถาและสมบัติอาคมที่ใช้ในการโจมตีทั้งหมด ต่อให้เป็นกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ก็แค่ทำให้มันเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น จะถือสาไปไย
“ข้อสอง ต่ำกว่าขอบเขตบินทะยานลงไป ผู้ฝึกตนสองขอบเขตอย่างหยกดิบและเซียนเหริน เมื่อเกิดความขัดแย้ง เจ้าสามารถจับตัวอีกฝ่ายเอาไว้ได้ แต่กลับไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายโดยพลการตามใจชอบได้”
มันยังคงไม่มีข้อโต้แย้ง
มหามรรคาอันตราย ระวังไว้เป็นการดี
ตื่นขึ้นมาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เจอกับผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่ก่อน ดวงจันทร์ดวงหนึ่งบนฟ้า ไม่ถูกสิ สองดวงบนฟ้า นึกจะหายก็หายไปทั้งอย่างนั้น พอก้มหน้าลงมองอีกที โลกมนุษย์ก็ไม่เหลือภูเขาทัวเยว่อยู่แล้วเช่นกัน
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
คุณชายเอ่ยเตือนเช่นนี้ มองดูเหมือนเป็นการพันธนาการ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะหวังดี ตนก็ไม่ควรมองข้ามความหวังดีของผู้อื่น
“สุดท้ายเมื่อไปถึงบ้านเกิดของข้าแล้ว เจ้าก็ถือเสียว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม พูดให้น้อยมองให้มาก ฝึกตนอย่างระมัดระวัง ทำตัวเป็นคนดีๆ”
“นอกจากสามเรื่องนี้แล้ว ภูเขาลั่วพั่วของข้ามีกฎระเบียบไม่มาก ไม่มีข้อห้ามแห่งภูเขาสายน้ำอะไร นอกจากเรื่องของขอบเขตที่เจ้ายังต้องปิดบังเอาไว้แล้ว สถานะเผ่าปีศาจของเจ้า อันที่จริงไม่ต้องจงใจปิดบังก็ได้”
มันพยักหน้ารับ “คำเตือนของคุณชาย ข้าจดจำไว้ขึ้นใจทั้งหมดแล้ว”
เฉินผิงอันหันไปมองลู่เฉินแวบหนึ่ง
อันที่จริงเฉินผิงอันเองก็ประหลาดใจมาก ผู้ฝึกตน ‘หนุ่ม’ ที่มองดูเหมือนมีสีหน้าเป็นมิตรผู้นี้ เมื่อเทียบกับปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ที่เจอกันครั้งแรกริมขอบของดวงจันทร์ บนเส้นใยแมงมุมแล้ว ก็ช่างต่างกันมากราวฟ้ากับเหวจริงๆ
พูดง่ายจนเหมือนนักเรียนประถมที่ฟังอาจารย์สอนหนังสืออย่างไรอย่างนั้น
ลู่เฉินใช้เสียงในใจเอ่ย “บางทีอาจเป็นเพราะใช้เวทกระบี่ลับบางอย่างตัดขาดนิสัยบางข้อไปจึงสยบกำราบสันดานดุร้ายทั้งหมดเอาไว้ได้ เรื่องแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจ้า”
เฉินผิงอันเอ่ย “วันหน้าอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล หากเจอกับผู้ฝึกตนใหญ่ที่ไร้เหตุผล ข้าจะช่วยอธิบายเหตุผลให้เจ้าเอง นิสัยเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามเช่นนี้ เจ้าต้องรีบทำความคุ้นเคยเข้าไว้”
มันเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพ จะพูดจะจายังต้องอาศัยขอบเขต
เฉินผิงอันไม่ถือสา ยิ้มเอ่ยว่า “อธิบายเหตุผลจบแล้ว เจ้าค่อยออกกระบี่”
มันถึงได้อืมรับหนึ่งที แบบนี้สิถึงจะใช้ได้
มันเห็นว่าเฉินผิงอันเตรียมจะไปรักษาบาดแผลแล้ว จึงเอ่ยว่า “คุณชาย ข้าตั้งนามแฝงให้ตัวเองว่า ‘โม่เซิง’ (แปลกหน้า/แปลกใหม่) เหมาะสมหรือไม่? หากคุณชายรู้สึกว่าใช้ได้ วันหน้าเรียกข้าว่าเสี่ยวโม่ก็ได้แล้ว”
ลู่เฉินยิ้มประดักประเดิด แอบฟังเสียงในใจ ไม่มีคุณธรรมเลยจริงๆ
ขณะเดียวกันลู่เฉินก็แอบยกระดับความสูงด้านเวทกระบี่ของผู้อาวุโสสี่จู๋คนนี้ขึ้นไปอีกขั้น
เฉินผิงอันเองก็ไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร คุณชายคำแล้วคำเล่า กว่าจะฝึกวิชาอภินิหารหูทวนลมยามอยู่กับพ่อครัวเฒ่าได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับต้องมาเจออีกคนแล้ว?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีอะไรไม่เหมาะกันเล่า แต่วันหน้าเจ้าแค่เรียกชื่อข้าก็พอแล้ว”
มันพยักหน้า “ได้เลย คุณชาย”
“เสี่ยวโม่ นี่ถือเป็นของขวัญพบหน้า”
เฉินผิงอันแบฝ่ามือออก ดวงจันทร์เล็กจิ๋วค่อยๆ ลอยจากบนฝ่ามือเหมือนลอยขึ้นกลางภูเขาแม่น้ำ ลอยสูงอยู่กลางนภา ก็คือแสงจันทร์ของกระบี่ยาวเล่มนั้นที่หลังจากแตกสลายแล้วก็กลับคืนมาเต็มดวงอีกครั้ง
ลู่เฉินกลั้นขำ
“นี่คือของขวัญตอบแทนกลับคืนที่ข้ามอบให้คุณชาย”
มันใช้สองนิ้วคีบดวงจันทร์ดวงนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเบาๆ จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ ซากปรักบรรพกาลแห่งหนึ่งที่มีหอหยกเรียงราย แสงจันทร์สุกสกาวสาดส่องเป็นสีขาวหิมะทั้งแถบ หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าสิ่งปลูกสร้างร้อยกว่าแห่งมีลักษณะเก่าแก่โบราณ สร้างลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ
ลู่เฉินใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เฉินผิงอัน อย่าได้มัวเกรงใจอยู่เลย
นี่คือซากตำหนักดวงจันทร์อย่างสมชื่อแห่งหนึ่ง มีระดับขั้นเท่าเทียมกับวังมังกรของหลงจวินแห่งสี่สมุทรยุคบรรพกาลเชียวนะ!
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำแล้วเก็บมาไว้ในชายแขนเสื้ออย่างไม่ลังเล
วันหน้าในงานแต่งงานของหลิวเสี้ยนหยางกับเซอเยว่ เขาก็มีเงินใส่ซองแล้ว