กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 876.2 ขอบเขตถดถอย
ลู่เฉินถอนหายใจ พอจะเดาความคิดของเฉินผิงอันออกคร่าวๆ กุมารแจกทรัพย์ สมกับเป็นกุมารแจกทรัพย์จริงๆ
เฉินผิงอันเริ่มสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขต ก็เหมือนท่านเทพเทวดาของฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์แห่งหนึ่งที่จำต้องเก็บกวาดขุนเขาสายน้ำเก่า สร้างความผาสุกสงบปลอดภัยให้กับรอบด้าน
ขอบเขตวิถีวรยุทธร่วงจากปลายทางมายังชั้นของปราณโชติช่วง
ขอบเขตของผู้ฝึกตนถอยจากขอบเขตหยกดิบมาเป็นขอบเขตโอสถทอง
ลู่เฉินกับสหายสี่ที่จู๋นั่งอยู่ห่างไปไกล หันมาพูดคุยกัน
หยิบเหล้าหมักเซียนเถาเจียงซึ่งเป็นเหล้าที่มีเฉพาะนครเสินเซียวป๋ายอวี้จิงออกมาสองกา จากนั้นจึงหยิบยันต์กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เท่าโต่วใบหนึ่งมาทำเป็นผ้าปูโต๊ะ วางกับแกล้มไว้สองสามจาน กับแกล้มก็ได้แก่ยำแตงทุบ ยำหูหมู สุดท้ายยังมีเมล็ดซิ่งเหริน (เมล็ดอัลมอนด์) และเมล็ดสนอีกหนึ่งจาน จัดวางไว้เต็มโต๊ะ
มองสหายสี่จู๋ที่มีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด ลู่เฉินก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมอีกฝ่าย ควบคุมจิตใจได้ดี แล้วยังเปลี่ยนนิสัยใจคอได้อีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าใช้วิธีการของเทพยุคบรรพกาล ผู้อาวุโสเหล่านี้ เมื่อร่ายวิชาที่หายสาบสูญไปนานออกมาก็ช่างทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
ลู่เฉินยิ้มถาม “ผู้อาวุโสสี่จู๋ได้หวนคืนมายังโลกมนุษย์ครั้งนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เสี่ยวโม่พูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ “วัตถุแปรเปลี่ยน สหายในวันวานพลัดพราก เจ็บปวดใจเหมือนถูกมีดคว้าน รวดร้าวทรมาน ยากจะทำใจได้”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เสี่ยวโม่ก็ยกจอกเหล้าขึ้น ให้ข้อสรุปต่อสภาพอารมณ์ของตัวเองด้วยถ้อยคำที่กระชับเรียบง่ายมากกว่าเดิม แค่คำเดียว “ขม”
ลู่เฉินชูจอกเหล้าขึ้นชนกับของอีกฝ่ายเบาๆ “ฟังมาถึงตรงนี้ เสี่ยวเต้าก็ต้องขอขัดผู้อาวุโสสักหนึ่งประโยคแล้ว”
เสี่ยวโม่เอ่ย “เชิญพูดมาได้เลย”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ชีวิตคนเมื่อเจอความทุกข์ยากมาหมดสิ้นแล้วความหวานชื่นย่อมมาเยือน อีกอย่าง มีคนร่วมทุกข์ด้วย ต่อให้ขมขื่นก็ไม่รู้สึกขมมากขนาดนั้นอีกแล้ว”
เสี่ยวโม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายลู่กล่าวได้ถูกต้อง”
ลู่เฉินถาม “ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของผู้อาวุโสในโลกยุคหลัง…จะไม่ค่อยโด่งดังเท่าใดนัก?”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ ผู้อาวุโสขอบเขตท่านสูงขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่เคยทิ้งวีรกรรมยาวเป็นพรวนให้โลกมนุษย์แซ่ซ้องกันนานหมื่นปีไว้บ้างเลยเล่า
เสี่ยวโม่พยักหน้า “ข้าชอบตั้งใจฝึกกระบี่อย่างเดียว ไม่ค่อยชอบเข่นฆ่ากับใคร เรื่องของการโอ้อวดบารมีก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัด”
ลู่เฉินทอดถอนใจหนึ่งที “วีรบุรุษไร้นาม เป็นวิถีทางโลกที่ไม่ถูก ต้องชนกับผู้อาวุโสสักจอกแล้ว”
เสี่ยวโม่กับลู่เฉินต่างคนต่างดื่มจนหมดจอกแล้ว เสี่ยวโม่ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าเคยไล่ฆ่าหย่างจื่อมาก่อน น่าเสียดายที่ตอนนั้นเวทกระบี่ยังไม่เข้าขั้น เปลืองเวลาไปหนึ่งเดือนกว่าก็ยังไม่อาจไล่ฆ่าหย่างจื่อได้ ผลคือถูกจูเยี่ยนขัดขวางแล้วช่วยนางเอาไว้ ข้าคนเดียวรับมือกับศัตรูสองคน สู้ไม่ได้ก็ต้องเผ่นหนีแล้ว”
ข้อมือลู่เฉินสะบัด เหล้าเกือบจะกระฉอกนองเต็มพื้น เขารีบร่ายเวทคาถาเรียกสุราให้ไหลกลับเข้าไปในจอกอีกครั้ง จากนั้นก็แหงนหน้ากระดกดื่มจนหมดจอก เช็ดมุมปาก รีบเอ่ยขออภัยว่า “ได้ฟังวีรกรรมเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เช่นนี้ เสียกิริยาแล้ว เสียกิริยาแล้ว”
แม้ว่าในใจเสี่ยวโม่จะรู้สึกกังขา เหตุใดผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งถึงมาตกอกตกใจกับเรื่องแบบนี้ได้
แต่อีกฝ่ายทำเช่นนี้…เหมือนให้การสนับสนุนเขา บนใบหน้าของเสี่ยวโม่จึงมีรอยยิ้มเพิ่มมากขึ้น
ช่วยไม่ได้ ปีศาจบรรพกาลที่หลับมานานตนนี้ ความทรงจำส่วนใหญ่ยังคงเป็นภาพของสนามรบดุเดือดเมื่อหมื่นปีก่อนที่เอะอะองค์เทพจากฝ่ายต่างๆ ก็ล่วงลับเหมือนสายฝน ปีศาจใหญ่ที่รบตายไปโครงกระดูกกองกันเป็นภูเขาของ เทือกเขายิ่งใหญ่โอฬารที่ทุกวันนี้ถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างมองเป็น ‘ภูเขาบรรพบุรุษ’ ‘ยอดเขาหลัก’ ทั้งหลาย แทบจะเป็น ‘ซากปรักหักพัง’ ที่จำแลงมาจากโครงกระดูกของร่างจริงปีศาจใหญ่ทั้งสิ้น
มันจึงไม่รู้สึกว่าการจับคู่เข่นฆ่าใดๆ สามารถคู่ควรกับสองคำว่า ‘ยอดเขา’ ได้อีกแล้ว
ลู่เฉินจึงเล่าเรื่องของอดีตผู้ครองลำคลองเย่ลั่วและบรรพบุรุษย้ายภูเขาให้เสี่ยวโม่ฟัง
ทุกวันนี้จูเยี่ยนยังคงใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี กลับเป็นหย่างจื่อที่ถูกศาลบุ๋นกักตัวไว้ในซากปรักเตาหลอมโอสถแห่งหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าทอดทิ้งไม่ใช้แล้ว
เสี่ยวโม่ฟังด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฟังที่ดีมาก รอกระทั่งลู่เฉินพล่ามพูดจนจบ เขาถึงได้จิบเหล้าหนึ่งคำเล็ก “ที่แท้จูเยี่ยนกับหย่างจื่อก็ไม่ได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันเสียที”
กวาดตามองไปรอบด้าน เสี่ยวโม่ก็รำพึงรำพันขึ้นว่า “จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง สามภพภูมิไม่สงบ ประหนึ่งอยู่ในเรือนแห่งไฟ ความทุกข์ตรมขมขื่นเต็มล้น เปลวเพลิงไหม้ลามไม่เคยมอดดับ ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก”
ลู่เฉินพยักหน้า “เรือนแห่งไฟสามภพภูมิ น้ำเมฆเย็นสบาย ใช้การช่วยเหลือคนอื่นมาช่วยตัวเองก็ยิ่งล้ำค่าหายากเข้าไปอีก”
ลู่เฉินคีบกับแกล้มขึ้นมาหนึ่งคำ เคี้ยวอย่างละเอียด ถามอย่างใคร่รู้ว่า “ผู้อาวุโสเชี่ยวชาญในหลักพระธรรมด้วยหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างเขินอาย “เคยโชคดีได้ฟังพระธรรมเทศนาจากภิกษุรูปหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์กับหูตัวเอง หลุดพ้นจากกรงขังแห่งตัวอักษร คนจากทั่วสารทิศล้วนมารับฟังได้ ยอดเยี่ยมไร้สิ่งใดจะเปรียบโดยแท้”
ลู่เฉินหาคำมาต่อบทสนทนาไม่ได้แล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่กล้าคบค้าสมาคมกับพระพุทธองค์อยู่แล้ว
เสี่ยวโม่ถาม “ดูเหมือนว่าที่บ้านเกิดของคุณชายจะมีภัยร้ายใหญ่ที่ซ่อนแฝงอยู่?”
ลู่เฉินพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “มี แต่ก็หายไปแล้ว”
มหาสมุทรความรู้โจวมี่ อิ่นกวานหนุ่ม คือคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โจวมี่ แสวงหาผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ส่วนเฉินผิงอันนั้นแสวงหาความถูกต้องไร้ข้อผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวที่เป็นทางหนีทีไล่ของเฉินผิงอัน อันที่จริงเมื่อก่อนนี้ลำดับรายชื่อบนยอดเขาของเขาในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่สูงมากนัก
ไม่อย่างนั้นปีนั้นที่เผยเปยพาเฉาสือผู้เป็นลูกศิษย์กลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ออกจากภูเขาห้อยหัวย้อนกลับไปยังแผ่นดินกลาง ก็คงไม่ไปถามหมัดที่นครจักรพรรดิขาว
ทว่าเจิ้งจวีจงที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำผู้นั้น ลู่เฉินกลับรู้สึกมาโดยตลอดว่าไม่ว่าจะมองคนผู้นี้สูงอย่างไรก็ไม่เกินกว่าเหตุแม้แต่น้อย
มีเพียงหลักการที่เป็นโจรพันวันเท่านั้น ไม่มีหลักการที่ต้องคอยป้องกันโจรพันวัน
ในช่วงเวลาที่โจวมี่รู้สึกว่าเฉินผิงอันต้องลำพองใจอย่างถึงที่สุด บวกกับที่ไม่มีหลี่เซิ่งคอยเฝ้าพิทักษ์อยู่ในใต้หล้าไพศาล ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก ผ่านมาแค่วูบเดียวก็หายวับ
ถ้าอย่างนั้นเจิ้งจวีจงที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว จึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเอามาประลองหมากล้อมด้วย ‘วิธีไร้เหตุผล’ กับโจวมี่มากที่สุด
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเฉินผิงอันไปขอร้องเจิ้งจวีจง? หรือว่าแอบทำการค้าอะไรกันอย่างลับๆ?
ไม่ว่าเป็นสถานการณ์แบบใด ลู่เฉินก็รู้ดีว่าเฉินผิงอันมีราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อย
เสี่ยวโม่กล่าว “รอให้ข้าติดตามคุณชายกลับบ้านเกิด คิดดูแล้วก็คงต้องมีโอกาสให้ข้าได้แสดงฝีมืออันน้อยนิดอยู่บ้าง”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “มีได้ แต่อย่าให้มากไป”
เสี่ยวโม่พยักหน้าตอบรับว่าใช่ จากนั้นก็มองไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ย “ข้าเรียนกระบี่ได้เร็ว ออกกระบี่ได้เร็วยิ่งกว่า”
มีเพียงพูดถึงเรื่องเวทกระบี่เท่านั้นที่ถึงจะเผยพลังอำนาจที่ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดควรมีออกมา
จากนั้นลู่เฉินก็พูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างของใต้หล้ามืดสลัวให้เสี่ยวโม่ฟัง
อันที่จริงใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่ขาดบุคคลและเรื่องราวมหัศจรรย์เช่นกัน
ใต้หล้ามืดสลัวมีอาณาเขตที่พอจะแบ่งออกมาได้สิบเก้าเขต ทว่าไพศาลกลับมีเก้าทวีป นี่แสดงให้เห็นว่าโชคชะตาขุนเขาและโชคชะตาสายน้ำของสองใต้หล้าแตกต่างกันมาก
ต่อให้เป็นใต้หล้าแห่งหนึ่งที่มีเต้ากวานอยู่ทั่วทุกสถานที่ก็ยังมีวัดวาอยู่ด้วย มังกรและคชสารของลัทธิพุทธ ความแตกฉานในด้านพระธรรมอย่างลึกล้ำ ความมหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อของพวกเขามากเกินกว่าใครจะจินตนาการได้ ลู่เฉินเคยออกท่องไปในใต้หล้า จึงแวะไปตามวัดใหญ่ๆ มาจนทั่วแล้วรอบหนึ่ง เคยมีภิกษุเฒ่าของวัดเล็กคนหนึ่งที่ไร้ชื่อเสียง เขาแทบจะมีจิตแห่งฟ้าแล้ว กุฎิที่เจ้าอาวาสผู้เฒ่าพักอาศัยเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมกว้างแค่หนึ่งจั้ง แต่กลับบรรจุอาสนะไว้ได้หลายพันชิ้น
นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตู อู๋ซวงเจี้ยง ไม่ต้องพูดถึงแล้ว
คนเฝ้าปีแห่งตำหนักสุ้ยฉู เจ้าคนที่มีฉายาว่าเสี่ยวป๋ายคนนั้น มองดูเหมือนถูกประเมินไว้สูง แต่แท้จริงแล้วกลับถูกประเมินไว้ต่ำมาโดยตลอด
เขตเหยี่ยนโจวมีเซียนกระบี่อิสระคนหนึ่งชื่อว่าเนี่ยปี้เสีย อีกชื่อคือชื่อจื่อสือเหริน ตรงเอวห้อยขลุ่ยเหล็กไว้หนึ่งเลา เรียกตัวเองว่าเป็นบุคคลที่ ‘สวรรค์รู้ว่าข้าจริงใจ’ แต่สวรรค์กลับ ‘ยัดความอันตรายมากมายไว้บนร่างของกวี’
นักพรตของภูเขาซานอินคนหนึ่ง มีฉายาว่าไท่อี๋ ชอบเลี้ยงห่าน
ลู่เฉินร่ายรายชื่อออกมาทีเดียวสิบกว่าชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในชีวิตของเต้ากวานคนใดก็ตามล้วนสามารถเอามาเขียนเป็นนิทานเรื่องเล่าประหลาดได้ทั้งสิ้น
ส่วนบนวิถีวรยุทธก็มีหลินเจียงเซียนผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งของใต้หล้า
และยังมีซินขู่ของยอดเขารุ่นเยว่
ชื่อว่าซินขู่ ทว่าการเรียนวรยุทธกลับไม่ลำบากเลยแม้แต่น้อย ต่อให้หันไปฝึกตนก็ไม่ลำบาก
หากรู้แต่แรกว่าตั้งชื่อแบบนี้แล้วได้ผล ลู่เฉินคงเปลี่ยนชื่อให้ตัวเองเป็น ‘ลู่โหย่วตี๋’ (ลู่มีศัตรู) ฉายา ‘โหล่วอี่’ (ตุ่นและมด หมายถึงบุคคลที่มีกำลังน้อยและมีฐานะต่ำ) ไปแล้ว
ป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัวคล้ายคลึงกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาล ไม่ใช่ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง
คอยควบคุมดูแลใต้หล้าทั้งแห่ง อาณาเขตการปกครองกว้างขวางพอๆ กับอาณาเขตส่วนตัวของสำนักแห่งหนึ่ง ย้อนกลับมาดูพื้นที่ในการดูแลที่เป็นของศาลบุ๋นอย่างแท้จริง อันที่จริงแล้วก็มีแค่สถานศึกษาใหญ่สามแห่งและสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งเท่านั้น
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องราวที่ลู่เฉินใช้พูดคุยบนโต๊ะสุรากับสหายเสี่ยวโม่ที่เพิ่งเจอหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน
เพียงแต่ไม่ทันระวังปล่อยให้อิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ด้านข้างฟังเข้าหู แล้วจะมาบอกว่าเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิงรู้เห็นเป็นใจกับศัตรูก่อกบฏได้อย่างไร ใส่ร้ายกันเกินไปแล้ว
ใครกล้าใส่ร้ายผินเต้า ผินเต้าก็จะยกเอาศิษย์พี่อวี๋ออกมาพูดแล้ว
แม้เฉินผิงอันจะเหมือนภิกษุเฒ่าที่นั่งเข้าฌาน แต่แท้จริงแล้วเขากลับได้ยินบทสนทนาระหว่างลู่เฉินและเสี่ยวโม่ทั้งหมด
ก่อนหน้านี้หนิงเหยาพกกระบี่บินทะยานจากใต้หล้าห้าสีมายังใต้หล้าไพศาล หากไม่เป็นเพราะเป็นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่อย่างนั้นนางก็สามารถนำรายงานฉบับหนึ่งที่เกี่ยวกับใต้หล้ามืดสลัวมาให้เฉินผิงอันได้ ล้วนเป็นผลลัพธ์จากการที่ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานรวบรวมมาจากสี่ทิศ บันทึกถึงเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาพันปีล่าสุดของใต้หล้ามืดสลัวไว้คร่าวๆ
‘รายงาน’ พวกนี้ของเจ้าลัทธิลู่ แน่นอนว่าสามารถตรวจสอบหาช่องโหว่แล้วชดเชยส่วนที่ขาดได้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับข่าวลือทั้งหลายแล้วก็ยังขยับเข้าใกล้ความจริงมากกว่า
“บ้านเกิดแห่งที่สองของสหายลู่มียอดฝีมือมากมาย คิดดูแล้วป๋ายอวี้จิงที่เป็นผู้นำของใต้หล้าแห่งนั้นก็มีแต่จะยิ่งสูงส่งจนมิอาจปีนป่ายได้ถึง”
เสี่ยวโม่รู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก “วันหน้าข้าคงไม่ไปเที่ยวเยือนแล้ว”
ลู่เฉินยิ้มไม่พูดอะไร ประโยคนี้พูดเร็วเกินไปนัก
เสี่ยวโม่ถาม “บ้านเกิดของคุณชายคือสถานที่แบบใด?”
เพราะถึงอย่างไรวันหน้าตนก็ต้องไปลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่นแล้ว
ใบหน้าของลู่เฉินเต็มไปด้วยความลำพองใจ มือหนึ่งถือจอกเหล้า แกว่งส่ายเบาๆ มือหนึ่งถือตะเกียบคีบกับแกล้มรวดเร็วราวกับบิน พูดเสียงอู้อี้ว่า “ถือว่าสหายถามได้ถูกคนแล้ว เสี่ยวเต้าตั้งแผงดูดวงอยู่ที่นั่นมานานหลายปี มีชื่อเสียงที่ดีมาก ผู้คนต่างก็พูดถึงในทางที่ดี ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็ก สตรีหรือคนอ่อนแอ เจอกับเสี่ยวเต้าแล้ว ทั้งสีหน้าและแววตาล้วนฉายความกระตือรือร้นที่มาจากใจจริง จะยกตัวอย่างให้ฟังก็แล้วกัน คุณชายบ้านเจ้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้รับการปฏิบัติอย่างไร เสี่ยวเต้าอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจูเก่าก็ได้รับการต้อนรับอย่างนั้น”
เสี่ยวโม่โน้มตัวไปด้านหน้า มือหนึ่งจับประคองชายแขนเสื้อ อีกมือหนึ่งคีบเมล็ดซิ่งเหรินเมล็ดหนึ่งขึ้นมาจากในจาน ฟังคำพูดของสหายลู่แล้วก็เอาเมล็ดซิ่งเหรินคั่วแห้งเมล็ดนั้นใส่ปากเคี้ยวกลืน แล้วถึงได้พยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “สหายลู่เข้ากับคนอื่นได้ดี ข้าว่าไม่แปลก”
ลู่เฉินยกมือที่ถือตะเกียบขึ้นมาป้องข้างปาก กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “แต่ว่าพี่เสี่ยวโม่ต้องระวังเรื่องหนึ่งนะ ไปถึงที่นั่นแล้วก็ฟังคำแนะนำของคุณชายบ้านเจ้าให้ดี ต้องตั้งใจวางตัวเป็นคนให้ดี ส่วนเหตุผลก็ให้เสี่ยวเต้าค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟังแล้วกัน”
เสี่ยวโม่ฟังคำแนะนำจากสหายลู่แล้วก็เกิดใจระแวงป้องกันถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้นอย่างเต็มเปี่ยม เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กลัดกลุ้มยิ่งนัก ตนคือนักรบพลีชีพอย่างสมชื่อจริงดังคาดเสียด้วย
แต่เรื่องที่อันตรายที่สุด อันที่จริงได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เพราะไม่จำเป็นต้องคืนเวทกระบี่กลับไปชั่วคราว
หากอิ่นกวานหนุ่มอย่างเฉินผิงอันผู้นี้แกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงเป็นคำว่า ‘ผิง’ หรือ ‘อัน’ หรือไม่ก็ ‘ชิง’ ‘ตู’
ถ้าอย่างนั้นมันที่ถูกบุคคลชั้นสูงสุดซึ่งถ่ายทอดเวทกระบี่ให้พามาที่หัวกำแพงเมืองก็คงได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้เฉินผิงอันฟันจนขอบเขตถดถอย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องให้อีกฝ่ายฟันจนได้ผลงานทางการสู้รบที่ควรค่าแก่การแกะสลักตัวอักษรหนึ่งตัวก่อนจึงจะได้
บวกกับที่ก่อนหน้านี้ได้มีอักษรคำว่า ‘เฉิน’ อยู่แล้ว
บางทีก็จะรวมจนกลายเป็นชื่อสองชื่อได้ หากไม่ใช่เฉินผิงอัน
ก็ต้องเป็นเฉินชิงตู
เฉินชิงตู แน่นอนว่าเสี่ยวโม่ย่อมคุ้นเคยดี
คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ในอดีตคุณสมบัติไม่ถือว่าดีที่สุด แต่สามารถเดินขึ้นสู่ที่สูงได้มั่นคงที่สุด อีกทั้งหลังจากเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดแล้ว ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่มากมายของเผ่ามนุษย์ก็ถือว่าเป็นเฉินชิงตูที่ตอแยได้ยากที่สุด ออกกระบี่ได้อำมหิตที่สุด แล้วยังชอบพูดจากระแนะกระแหนคนอื่นเป็นที่สุด
ลู่เฉินชูจอกเหล้าขึ้น “มีสหายเสี่ยวโม่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคา ข้าก็วางใจได้แล้ว”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ผู้ปกป้องมรรคาอะไรหรอก ข้าเป็นแค่นักรบพลีชีพเท่านั้น”
มันไม่ได้มีความคิดที่วกวนอ้อมค้อมอะไรมากมาย
ก็เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่เจอกับบุคคลชั้นสูงสุด ทั้งสองฝ่ายได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน ต่อให้เป็นอีกหมื่นปีให้หลัง มันก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจ ยังคงหวาดเกรงดังเดิม ความรู้สึกนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิด
ไม่มีทางตอบโต้อย่างแน่นอน และนี่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเวทกระบี่และขอบเขตสูงต่ำของทั้งสองฝ่ายด้วย
ไม่อย่างนั้นต่อให้เจอกับป๋ายเจ๋อ สมมตว่าเกิดความขัดแย้งกัน แล้วมีการช่วงชิงบนมหามรรคาที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายจริงๆ ต่อให้มันเอาชนะไม่ได้ แต่มันจะไม่ยอมสู้ตายเพื่อเดิมพันดูสักตั้งเลยหรือ?
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้ฝึกกระบี่จะออกกระบี่ต่อคนที่เวทกระบี่ต่ำกว่าเท่านั้น? ไม่มีหลักการเหตุผลเช่นนี้
นอกจากจะเคยตีกับป๋ายเจ๋อตั้งแต่โลกมนุษย์ไปจนถึงดวงจันทร์ ‘เฮ่าไฉ่’ แล้ว บรรพบุรุษใหญ่ที่ได้ยึดครองภูเขาทัวเยว่ในภายหลัง ปีศาจใหญ่ชูเซิงที่บุกเบิกตำหนักหลิงเตี้ยน
หรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในฟ้าดินท่านนั้น
และยังมีผู้ฝึกกระบี่สองคนที่เป็นคนรุ่นเดียวกับเฉินชิงตู คนหนึ่งชื่อหยวนเซียง คนหนึ่งชื่อหลงจวิน
มีใครบ้างที่มันไม่เคยต่อสู้ด้วยมาก่อน?
แน่นอนว่า ล้วนแพ้ทั้งหมด
“พี่เสี่ยวโม่ เจ้ารู้สึกว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นคนคือเรื่องใด?”
“มีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน”
เทียบกับเมื่อหมื่นปีก่อน มันสร้างตาข่ายจับ ‘สัตว์ปีก’ ทั้งหมดบนท้องฟ้า พวกนกหลวน หงส์ นกกระเรียน ล้วนเป็นอาหารในท้องของมันทั้งหมด
แล้วยังมีเจียวหลงอีกตัวหนึ่งที่สยายปีกบินไปมาระหว่างฟ้าดิน ชอบขับไล่พวกสัตว์ปีกลงไปในมหาสมุทรใหญ่อย่างกำเริบเสิบสาน หลังจากเอาพวกมันมารวมกันแล้วค่อยเขมือบกลืนลงไปในคำเดียว
“ดูเหมือนว่าสหายลู่จะไม่เห็นด้วย?”
“พูดตามมโนธรรมในใจ ผู้อื่นปฏิบัติต่อข้าดุจวีรบุรุษแห่งแคว้น ข้าตอบแทนผู้อื่นด้วยท่าทีของวีรบุรุษแห่งแคว้น”