กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 877.3 ต่างคนต่างมีท่าเรือ
เจ้าอ้วนเยี่ยนยังชอบไปเก็บดอกท้อ กิ่งท้อเอามาทำเป็นที่คั่นหนังสือและด้ามพู่กันไม้ท้อ ช่องทางการขายก็ดีมาก ไม่ต้องกลุ้มว่าจะขายไม่ออกเลยสักนิด
เพราะเขาแอบบอกกับอารามเสวียนตูอย่างเป็นนัยๆ ว่า ดูเหมือนว่าทุกวันนี้การเก็บเกี่ยวประจำปีจะน่ากังวลอย่างมาก เหล่าผู้แสวงบุญรายใหญ่ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วเงินค่าธูปเทียนลดน้อยลงไปเยอะเลย พวกเขาไม่ใจกว้างมือเติบกันเท่าไรแล้ว ดังนั้นเงินเทพเซียนที่เขาหามาได้ก็จะต้องแบ่งให้กับใครบางคนด้วย
ยังบอกอีกว่าที่เขาทำคือการประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอย หากปล่อยให้เขาเปิดร้าน รับรองว่าจะมีเงินทองไหลมาเทมาทุกวัน
ทุกครั้งเจ้าอ้วนเยี่ยนจะต้องตบอกจนเนื้อไขมันสั่นกระเพื่อม ราวกับเอาตะเกียบตีลงไปบนไขมันของเนื้อสามชั้นอย่างไรอย่างนั้น
เห็นแล้วก็มันเลี่ยนจนทำให้คนสะอิดสะเอียนได้เลยทีเดียว
ทุกครั้งแม่นางน้อยจะต้องกลอกตามองบน หรือไม่ก็หันไปมองที่อื่นแทน
‘เจ้าอ้วนเยี่ยน หากข้าแต่งงาน เจ้าจะเสียใจหรือไม่’
‘พูดจาเหลวไหลอะไร ข้าจะไม่เสียใจจนใจแทบขาดเลยหรือ? จะไม่ผอมจนหนักไม่ถึงร้อยจิน (ประมาณห้าสิบกิโลกรัม) เลยหรือไร?’
‘ฮ่า ผอมจนกลายเป็นเจ้าอ้วนเยี่ยนครึ่งตัว’
เฉาเกอเองก็เหมือนกับอู๋ซวงเจี้ยงที่ต่างก็เป็นหนึ่งในสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว แต่เพียงเพราะปิดด่านนานหลายปีจึงหลุดออกจากรายชื่อ
สำหรับในเรื่องนี้ก็มีเพียงนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่เท่านั้นที่ ‘มั่นคง’ ที่สุด ไม่มีหนึ่งในอะไรด้วยซ้ำ
เพราะนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้าอารามผู้เฒ่ามีรายชื่อติดอันดับก็ไม่เคยหลุดออกจากโผสิบคนมาก่อน แม้แต่อันดับบนรายชื่อก็ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
อันดับที่ห้า
เฉาเกอยืนอยู่ข้างสวีเจวี้ยน บนร่างของนางเต็มไปด้วยอารมณ์แห่งกวี คิ้วตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอ่อนหวาน
ข้างกายเฉาเกอยังมีนักพรตหญิงอีกคนหนึ่งที่ร่ายเวทอำพรางตาชั้นสูง ทำให้คนรู้สึกเหมือนมองดอกไม้ในม่านหมอก รูปโฉมของนางที่ปรากฏในสายตาของคนอื่นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปหลายร้อยรูปแบบ
นักพรตหญิงขอบเขตสิบสี่คนนี้หันหน้าไปมองนักพรตซุนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
นักพรตซุนคลี่ยิ้มเขินอายให้นางอย่างที่หาได้ยาก ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยอาการใจฝ่ออีกสองสามส่วน
บุรุษตัวโตๆ ทั้งหลาย ใครเล่าไม่เคยเป็นหนุ่มมาก่อน จะไม่มีความรักฉันท์ชายหญิงที่ทำให้วีรบุรุษต้องทดท้อใจอยู่เลยได้อย่างไร
ห่างไปไม่ไกล บุรุษเครางามที่มีลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนคนหนึ่ง มีชื่อว่าเหยาชิง นามไพเราะ ฉายาว่า ‘โส่วหลิง’
เป็นหัวหน้าสภาขุนนางสามสมัยของราชวงศ์ชิงเสินซึ่งเป็นราชวงศ์ที่มีเด็กหนุ่มอู่หลิงปรากฎตัว ถูกขนานนามว่า ‘เสนาบดีรูปงาม’
ราชวงศ์แห่งนี้คือพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นสวนป่าหยกทอง ลานประกอบพิธีแก้วแวววาวอย่างสมชื่อ
ฮ่องเต้สามรัชสมัยของใต้หล้ามืดสลัวไม่เหมือนใต้หล้าไพศาลที่อย่างมากสุดก็ดำรงตำแหน่งได้ร้อยปีกว่า อยู่ที่นี่ตรงข้ามกันเลย คนที่สามารถสวมชุดคลุมมังกรนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้ แทบทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ที่พรสวรรค์โดดเด่น มรรคกถาลึกล้ำ อายุขัยยาวนาน ตระกูลฮ่องเต้ทุกพระองค์ล้วนเป็นตระกูลที่มีการสืบทอดมรรคกถาอย่างยาวนาน ฮ่องเต้ในแต่ละยุคสมัยยังสามารถหล่อหลอมเส้นทางมังกร ดังนั้นจึงมีเพียงราชวงศ์เก่าแก่ตกอับที่เป็นดั่งตะวันลาลับตรงภูเขาตะวันตก ในบรรดาลูกหลานมังกรไม่มีตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่ต้องเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้แน่นอนเท่านั้นที่ถึงจะหมายความว่าชะตาแคว้นกำลังจะเสื่อมถอย ไม่ต้องให้กองโหราศาสตร์เตือนด้วยซ้ำ
เหยาชิงเคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง สังหารสามอสุภะ ร่วมกันขึ้นทำเนียบแห่งเซียน
เซียนสละศพสามตน เผยจี เหวยจวีเต้า อวี่เหวินซานลู่ หนึ่งเซียนเหรินสองหยกดิบ
ในใต้หล้ามืดสลัว เซียนสละศพก็เหมือนกับโจรข้าวสาร คนหาบของและอาจารย์คำเดียว แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นถูกมองเป็นพวกมารนอกรีตที่ไม่ว่าใครพบเห็นก็อยากสังหารให้หมดสิ้น แต่ก็ไม่มีทางกล้าขยับเข้ามาใกล้อาณาเขตของป๋ายอวี้จิงง่ายๆ อย่างแน่นอน
แต่นักพรตซุนได้ตั้งชื่อให้กับหัวหน้าสภาซุนไว้อย่างหนึ่ง ‘ซื่อปู้เซี่ยง’ (สี่ไม่เหมือน หรือคนที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง)
ตัวเหยาชิงไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย
กลับเป็นเผยจีหนึ่งในสามอสุภะของเหยาชิงที่เคยไปหาเรื่องสายของเซียนกระบี่อารามเสวียนตูใหญ่
หลังจากนั้นอารามเสวียนตูใหญ่ก็พาเซียนกระบี่กลุ่มใหญ่ไปเที่ยวเยือนราชวงศ์ชิงเสิน พูดจาเสียไพเราะว่าไปเพื่อคบหาสหาย แต่แท้จริงแล้วคือไปดักรอหน้าประตู
ตัวนักพรตซุนกลับไม่ได้เผยโฉม ไม่อย่างนั้นจะเป็นการรังแกคนอื่นมากเกินไป ไปก็ไปอยู่ นี่ถึงได้กลายเป็นสหายต่างวัยกับหนึ่งในห้าเด็กหนุ่มอู่หลิงที่อายุน้อยที่สุด
เป็นคนมีชื่อเสียงต้องเป็นแต่เนิ่นๆ ตีคนก็ยิ่งต้องตีแต่เนิ่นๆ
สตรีที่ยืนเคียงบ่ากับเหยาชิง ‘เสนาบดีรูปงาม’ คือป๋ายโอ่วผู้เป็นราชครู
เรือนกายสูงเพรียว รูปโฉมงามล้ำ มีเสน่ห์งามเย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาติ
ตรงเอวห้อยง้าวขนาดเล็กไว้ชิ้นหนึ่ง มีชื่อว่า ‘เถี่ยซื่อ’
นางคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ยืนตระหง่านอยู่บนยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธมาร้อยกว่าปี เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ใหญ่ด้านการฝึกยุทธสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว อยู่ในอันดับสูงถึงอันดับที่สาม
ไม่เหมือนกับการประเมินผู้ฝึกลมปราณในทุกๆ ร้อยปีที่ทุกคนต่างรู้สึกว่าระยะห่างน้อยเกินไป เพราะการประเมินทุกๆ หกสิบปีของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกลับยาวนานเกินไปอย่างเห็นได้ชัด
ครั้งแรกที่ป๋ายโอ่วมีรายชื่อติดกระดาน อันดับของนางอยู่ล่างสุด จากนั้นแทบจะทุกๆ สิบปี คนที่อยู่ก่อนหน้านางก็จะถูกนางจัดการ เป็นเหตุให้เวลาไม่ถึงหกสิบปี นางจึงได้ทยอยถามหมัดไปแล้วสี่ครั้ง ผลการต่อสู้คือชนะทุกครั้ง ตายสามมีชีวิตรอดหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเพียงหนึ่งเดียวที่มีชีวิตรอดยังขอบเขตถดถอย รอกระทั่งป๋ายโอ่วได้มีรายชื่อติดอันดับเป็นครั้งที่สอง นางก็ได้เลื่อนเป็นสามอันดับแรกแล้ว
ดังนั้นจึงมีการนำนางไปเปรียบเทียบกับเผยเปยแห่งใต้หล้าไพศาลอยู่ตลอดเวลา
และป๋ายโอ่วเองก็อยากลองงัดข้อประลองฝีมือกับเทพีแห่งการต่อสู้ผู้นั้นมาโดยตลอด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นราชครู ทั้งยังเป็นสตรีด้วยกันทั้งคู่
นักพรตซุนเหลือบตามองแม่นางน้อยคนนั้น
ยามที่ป๋ายโอ่วรับมือกับศัตรูมักจะชอบตัดหัวของอีกฝ่ายเสมอ
นักพรตผู้เฒ่าสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด พกอาวุธมีคมติดตัวแบบนี้ จะสะพายดีๆ ก็ไม่สะพาย ดันเอามาห้อยแขวนไว้ตรงเอว เวลาเดินมันจะไม่บาดต้นขาเอาหรือ
ต่อให้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธจะแข็งแกร่งมากพอ แต่อาวุธเทพเองก็แหลมคม หากกรีดชุดคลุมอาคมขาดขึ้นมาจะไม่เผยภาพวสันต์ให้ประจักษ์แก่สายตาผู้อื่นหรอกหรือ?
น่าเสียดายที่อาเหลียงไม่ได้อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวนานนัก ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเจ้าหมอนั่นจะต้องช่วยถามแทนตนอย่างแน่นอน
ส่วนตนน่ะหรือ ถึงอย่างไรก็อายุมากแล้ว มิอาจเปิดปากถามเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกคนวิจารณ์ว่าแก่แล้วทำตัวไม่น่าเคารพเอาได้
อาศัยม้วนภาพขุนเขาสายน้ำที่เจ้าอารามผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อสร้างขึ้นมา แม้ว่าภาพจะพร่าเลือน แต่ก็พอมองเห็นทัศนียภาพได้คร่าวๆ
จานฉิงกับตี๋หยวนเฟิงหันมาสบตากัน ต่างสังเกตเห็นความเหลือเชื่อบนใบหน้าของอีกฝ่าย พวกเขามิอาจเอาอิ่นกวานหนุ่มที่แม้แต่คนในใต้หล้ามืดสลัวก็ยังพูดถึงบ่อยๆ ไปคิดเชื่อมโยงกับเจ้าคนที่ตอนอยู่ในใต้หล้าบ้านเกิดรักตัวกลัวตาย มีอุบายลึกล้ำเจ้าแผนการคนนั้นได้เลยจริงๆ
ลู่ไถยืนอยู่ในสถานที่ที่ไม่สะดุดตากับหยวนอิ๋ง
โจรข้าวสารหวังหยวนลู่กับชีกู่คนบ้านเดียวกัน คนผู้หนึ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวซึ่งมาจากสายคนถือดาบก็มาร่วมวงความครึกครื้นเช่นกัน
หวังหยวนลู่ที่ก้มหน้าห่อไหล่เห็นคุณชายลู่ผู้หล่อเหลาสง่างาม นักพรตที่อยู่สายโจรข้าวสารที่มักจะชอบทำท่าลับๆ ล่อๆ คนนี้แอบขยับเข้าไปใกล้ ราวกับว่ามีเพียงยืนอยู่ข้างกายคุณชายลู่เท่านั้นถึงจะค่อนข้างมั่นคง
หวังหยวนลู่ยังคงแต่งกายอย่างแร้นแค้น สวมหมวกสักหลาด รองเท้าผ้าฝ้าย สวมชุดเต๋าผ้าสีเขียว ไม่ใช่ว่ายากจน แต่นี่เรียกว่าประหยัดมัธยัสถ์ เป็นคนไม่ลืมกำพืดตัวเอง
แม้ว่าเขากับชีกู่ต่างก็มาจากราชวงศ์ชิงเสิน แต่ไม่ได้มีความใกล้ชิดสนิทสนมอะไรกับเหยาชิงหัวหน้าสภาขุนนาง ‘ขุนนางผู้เป็นดั่งบิดามารดา’ และป๋ายโอ่วผู้เป็นราชครูของบ้านเกิด ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรด้วยเลย
นักพรตซุนหันไปมองผู้เยาว์โจรข้าวสารที่ผอมราวกับลิง ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “นี่มันเรื่องอะไรกัน เห็นผินเต้าแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรสักคำ คิดอะไรอยู่นะ?”
หวังหยวนลู่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
สองฝ่ายที่ต่างกันมากทั้งอายุ ลำดับอาวุโสและขอบเขตต่างก็ไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดคุยกัน
นักพรตซุนเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าโง่”
หวังหยวนลู่ก็ตอบกลับประโยคหนึ่งว่า “ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
นักพรตซุนยิ้มถาม “เอาสักชามไหม?”
หวังหยวนลู่พยักหน้า “เอาสิ เอากาที่แพงที่สุด”
นักพรตซุนโยนเหล้าหมักเซียนกาหนึ่งไปให้จริงๆ
ราวกับว่าด่าก็ส่วนด่า ดื่มเหล้าก็ส่วนดื่มเหล้า
ระบบสืบทอดของสายโจรข้าวสารไม่ได้รับการยอมรับจากป๋ายอวี้จิง ฐานะบนภูเขาในใต้หล้ามืดสลัวค่อนข้างคล้ายคลึงกับพวกโจรล่างภูเขา
“เจ้าทึ่ม เมื่อไหร่จะหาเมียตัวอุ่นๆ มานอนกอดได้สักที เจ้านี่ช่างทำให้บรรพบุรุษขายหน้าจริงๆ”
“ไม่ใช่พรุ่งนี้ก็เป็นวันมะรืนนี่แหละ”
การกระทำนี้ของเจ้าอารามผู้เฒ่า เห็นได้ชัดว่าต้องการหนุนหลังให้กับโจรข้าวสาร ไม่ไว้หน้าป๋ายอวี้จิงเลยแม้แต่น้อย
ไม่เหมือนกับเซียนสละศพที่มีจำนวนน้อยนิด ระบบการสืบทอดสายของโจรข้าวสารได้ดิบได้ดีอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวมากแล้ว จำนวนคนเยอะมาก แผ่ขยายลามไปทั่วพื้นที่สามเขต
แค่ต้องการทำเนียบของนักพรต แต่กลับไม่ไปเป็นเต้ากวานอยู่ในวงการขุนนางของราชสำนัก หากต้องเป็นขุนนางอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแม้แต่ทำเนียบเต๋าพวกเขาก็ไม่ต้องการแล้ว
และนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่ศิษย์น้องคนนั้นของนักพรตซุนสร้างขึ้นมาเองกับมือ เล่าลือกันว่าในช่วงเวลาร้อยปีที่อวี๋โต้วรับช่วงต่อดูแลป๋ายอวี้จิงก็เกือบจะลงมือฆ่าล้างสายโจรข้าวสารให้หมดสิ้นกับมือตัวเอง แต่ถูกศิษย์พี่เจ้าลัทธิใหญ่ขัดขวางเอาไว้
ชีกู่เพื่อนร่วมบ้านที่อยู่ข้างกายรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจมาโดยตลอด
พูดจากับเจ้าลัทธิผู้เฒ่าเช่นนี้หรือ? ไม่กลัวว่าจะถูกซ้อมจนร่อแร่ปางตายเลยหรือ?
ได้ยินมาว่านักพรตซุนของอารามเสวียนตูใหญ่ขึ้นชื่อเรื่องความใจแคบ ความบันเทิงที่ใหญ่สุดบนเส้นทางการฝึกตนก็คืออาฆาตแค้นพลิกบัญชีเล่มเก่า เชี่ยวชาญการใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูเอากระบองไปฟาดคนกลางทางมากที่สุด
ใต้หล้าทั้งแห่งต่างก็รู้นิสัยและการกระทำของเจ้าอารามผู้เฒ่าดี
‘ผินเต้าคนนี้ ข้อดีอื่นๆ นั้นไม่มี มีอยู่ข้อเดียว เกลียดชังเรื่องเลวร้ายและคนชั่วร้ายดั่งเผชิญหน้ากับศัตรู ไม่อาจยอมให้มีเม็ดทรายอยู่ในตาได้’
เจ้าทำให้ทรายเข้าตาผินเต้า ผินเต้าก็จะยัดทรายใส่ลงไปในรองเท้าของเจ้า ไม่ถ่วงรั้งการเร่งเดินทางบนเส้นทางการฝึกตนของเจ้า ก็แค่ว่าเวลาเดินจะเจ็บส้นเท้าหน่อยก็เท่านั้น
ปีนั้นหวังหยวนลู่ไร้ชื่อเสียงอยู่ในบ้านเกิด ครั้งแรกที่ออกจากบ้านเดินทางไกล ระหว่างทางได้เจอกับนักพรตซุนที่ปิดบังชื่อแซ่คนนี้ จากนั้นก็ได้ร่วมมือกันทำการค้าบางอย่าง ขาดทุนอย่างหนัก ไม่ใช่ว่าถูกหลอกเรื่องเงินทอง อันที่จริงยังได้กำไรด้วยซ้ำ แต่นักพรตผู้เฒ่าหลอกหวังหยวนลู่ว่าตัวเองเป็นบรรพบุรุษของเขา กังวลว่าหวังหยวนลู่จะไม่เชื่อ ผู้เฒ่ายังหยิบทำเนียบตระกูลออกมาหนึ่งฉบับ ให้หวังหยวนลู่ได้นับบรรพบุรุษกลับเข้าสู่ตระกูล
เทพเซียนผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนมีมาดเทพเซียนอย่างมาก พอเห็นหวังหยวนลู่ที่นั่งแทะแผ่นแป้งอยู่ริมถนนก็เผยท่าทีกระตือรือร้นสุดขีด กำแขนหวังหยวนลู่ไว้แน่น บอกว่าเหมือน ช่างเหมือนเหลือเกิน ทำเอาหวังหยวนลู่อึ้งค้างไปทันที จากนั้นนักพรตเฒ่าก็บอกว่าตัวเองพเนจรอยู่ด้านนอกมาร้อยกว่าปี กว่าจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้เล็กน้อยไม่ใช่เรื่องง่าย กลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตกลางที่มีคุณธรรมชื่อเสียงในยุทธภพ แค่เอ่ยเรียกทีเดียวคนร้อยคนก็พากันตอบรับ คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้สวมชุดแพรเดินทางกลับบ้านเกิด ลูกหลานในตระกูลจะกระจัดกระจายกันไปเช่นนี้ ถึงกับหาไม่เจอเลยแม้แต่คนเดียว กิจการยังซบเซา โชคดีที่ในบรรดาลูกหลานรุ่นหลังยังมีหวังหยวนลู่ที่สืบทอดควันธูปให้อีกคน ไม่ช่วยเขาแล้วจะช่วยใคร?
อันที่จริงเวลานั้นหวังหยวนลู่ก็มีอายุได้สามสิบปีแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังน้ำตาคลอ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แค่เจอคนรู้จักในต่างบ้านต่างเมืองเท่านั้น แต่ได้เจอกับบรรพบุรุษตระกูลตนเชียวนะ หลังจากโขกหัวเสร็จ เขาที่นั่งอยู่บนพื้นก็กอดน่องขาของนักพรตซุนเอาไว้ สะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ
ตอนนั้นหวังหยวนลู่จับผลัดจับผลูอาศัยดวงเดินไปบนเส้นทางการฝึกตน เพิ่งจะเริ่มฝึกตนได้แค่ไม่กี่ปี ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน อีกทั้งยังเป็นคนซื่อ จึงกลายเป็นว่าเรียกอีกฝ่ายว่าบรรพบุรุษด้วยความจริงใจอย่างโง่งมอยู่นานหลายเดือน
แน่นอนว่าหวังหยวนลู่ไม่ได้ไร้ไหวพริบจริงๆ เขาเองก็มีแผนการของตัวเองเหมือนกัน
เขาคิดว่าตัวเองเป็นชายโสดที่แต่งเมียไม่ไหว เกือบยี่สิบปีแล้วก็ยังไม่ได้ทำเนียบเต้ากวานที่อยู่ปลายแถวที่สุดมาเสียที ได้แต่เฝ้าถ้ำอยู่ในภูเขาที่ไม่มีชื่อเสียงปีแล้วปีเล่า ไม่คู่ควรให้เทพเซียนผู้เฒ่าที่บรรลุมรรคาคนหนึ่งหลอกลวงอะไรเลย หลอกเอาเงิน หลอกเอาความรัก? หรือว่าจะหลอกเอาหนังสือผุๆ ที่ใส่ไว้ในห่อผ้ากันเล่า?
หวังหยวนลู่จึงลองหยั่งเชิงดู ความนัยในคำพูดก็คือเตือนบรรพบุรุษที่ตัวเองเพิ่งนับญาติว่า ไม่ต้องสนใจแล้วว่าใช่คนในครอบครัวเดียวกันหรือไม่ ค่าหนังสือเหล่านี้จ่ายมาแค่ร้อยตำลึงเงินก็พอ ไม่ต้องเป็นเงินเกล็ดหิมะของพวกนายท่านเทพเซียนบนภูเขาอะไรด้วยซ้ำ เขาหวังหยวนลู่จะถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ อีกอย่าง ในเมื่อเป็นผู้สืบทอดที่เหลืออยู่สายเดียว ท่านผู้อาวุโสแคะเงินเล็กน้อยออกจากซอกเล็บมาให้ผู้เยาว์ในบ้านตัวเองก็คงไม่เกินกว่าเหตุกระมัง?
ขอแค่สามารถขายตำราพวกนั้นออกไปได้ เขาก็จะรีบหันหัวกลับ กลับบ้านเกิดไปหาสตรีที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้สักคนมาแต่งงานด้วย อายุมากหน่อยก็ไม่เป็นไร แค่สะโพกผายก้นใหญ่เป็นใช้ได้ จะได้คลอดลูกเก่งๆ ถึงอย่างไรตนก็อายุมากแล้ว ถึงเวลาค่อยให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยออกมาสักครอกหนึ่ง ต่อให้จะยังไม่ได้สถานะเต้ากวานที่สร้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูล จะดีจะชั่วก็ยังได้สืบทอดควันธูป
หวังหยวนลู่ในเวลานั้นไหนเลยจะรู้ว่าชีวิตของตนในภายหลังจะเป็นชีวิตบนภูเขาที่แสงดาบแสงกระบี่ฉวัดเฉวียน แม้แต่จะคิดก็ยังไม่กล้าคิด
หยวนอิ๋งรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เจ้าหวังหยวนลู่ในความทรงจำผู้นี้ ตอนที่ดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับว่าที่สามีของตน ระมัดระวังตัวจนเหมือนชาวบ้านในชนบทคนหนึ่ง ตัวคนก็ผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่ ต่อให้นั่งดื่มเหล้าก็ยังมีท่าทางขลาดกลัวไม่กล้ายืดเอวตรง ยามเจอกับลู่ไถ ท่าทางละอายใจที่ตนไม่อาจสู้ได้แผ่ออกมาจากกระดูกเลยด้วยซ้ำ ราวกับไม่รู้ว่าควรจะปกปิดความต่ำต้อยของตัวเองอย่างไร
เหตุใดพอมาอยู่กับเจ้าอารามผู้เฒ่าถึงได้เปิดเผยองอาจ พูดจาวางโตไม่ยำเกรงขนาดนี้?
ลู่ไถยิ้มพลางใช้เสียงในใจอธิบาย “หวังหยวนลู่ผู้นี้จะต้องร้ายกาจอย่างมาก ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ ก็ยิ่งร้ายกาจ หากป๋ายอวี้จิงยังไม่เห็นเขาเป็นคนสำคัญ ปล่อยให้เขามีอิสระตามใจชอบ วันหน้าจะต้องลำบากอย่างมากแน่นอน”
หยวนอิ๋งประหลาดใจอย่างมาก เพราะดูเหมือนว่าคำวิจารณ์ที่คุณชายลู่มีต่อหวังหยวนลู่จะสูงกว่าที่มีต่อสวีเจวี้ยนเสียอีก
หยวนอิ๋งถาม “พวกนายท่านเต้ากวานของป๋ายอวี้จิงที่เชี่ยวชาญด้านการทำนายพยากรณ์ก็น่าจะมีไม่น้อยเลยกระมัง?”
ลู่ไถหยิบพัดพับเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เอาเคาะศีรษะของหยวนอิ๋งเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีอะไรให้ไม่เข้าใจอีกเล่า แน่นอนว่าทั้งที่รู้ดีว่าเป็นเช่นนี้ แต่กลับจงใจไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ก็เพราะว่าผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงผู้นั้นคิดว่าตัวเองไร้เทียมทานอย่างแท้จริงแล้วน่ะสิ”
หยวนอิ๋งยิ้มจนตาหยี
ลู่ไถคลี่พัดพับออก ตัวละครหลักมาแล้ว
นักพรตคนหนึ่งที่เรือนกายสูงใหญ่กำยำ บนศีรษะสวมกวานหางปลา บนร่างสวมชุดขนนก ในมือถือกระบี่เซียน