กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 878.1 เรื่องราวมากมายดุจขนวัว
ซิ่วไฉเฒ่ารีบเก็บเมล็ดแตงกำมือนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เดินเร็วๆ มาหาคนทั้งสอง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรกับลูกศิษย์คนสุดท้ายก่อน มองไปที่หนิงเหยา ยิ้มเอ่ยว่า “แม่หนูหนิง มาเจอกับเจ้าคนที่ไม่รู้จักอยู่เฉยผู้นี้ เจ้าก็อภัยให้เขาหน่อยนะ วันใดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากจริงๆ ก็อย่าไปสนว่าเรื่องนั้นจะผิดหรือถูก ห้ามรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเหตุผล สงสัยว่าตัวเองทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หรือไม่เด็ดขาด ห้ามคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย มาฟ้องข้าได้อย่างเปิดเผย ข้าที่เป็นอาจารย์ของเฉินผิงอันจะต้องช่วยเจ้าด่าเขา จะไม่เข้าข้างเจ้าเด็กนี่แน่นอน!”
คาดว่าใต้หล้านี้คงมีแต่หนิงเหยาที่ทะเลาะกับเฉินผิงอันเท่านั้นที่ซิ่วไฉเฒ่าจะไม่มีทางช่วยลูกศิษย์ของตัวเอง
เรื่องราวบนโลกมนุษย์ อันที่จริงมีแบ่งดีเลว ส่วนใหญ่มักจะขาดแค่ประโยคสองประโยคก็สามารถทำให้ดีและร้ายสลับสับเปลี่ยนกันได้แล้ว
เวลาโมโห พูดแรงๆ ตรงข้ามกับความคิดซึ่งไม่สมควรพูดแค่หนึ่งหรือสองประโยค เวลาปกติกลับไม่เอ่ยคำพูดดีๆ ไร้สาระที่สามารถปลอบประโลมใจคนสักประโยคสองประโยค
เพราะยิ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดก็ยิ่งง่ายที่จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายทำเรื่องอะไรล้วนสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ล้วนรู้สึกว่าทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
ผลคือยิ่งเป็นตอนที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเข้าใจทุกเรื่องมากเท่าไร กลับมักจะเป็นช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจอะไรเลยมากเท่านั้น
หนิงเหยาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง เรื่องฟ้อง ข้าจะต้องเรียนรู้จากคนบางคนให้มาก”
ก็เหมือนกับที่ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ของหนิงเหยาดีเท่าไร นางก็ยิ่งควรจะเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอย่างไร้ข้อกังขาที่ใต้หล้าห้าสีมากเท่านั้น ไม่ว่าหนิงเหยาสร้างวีรกรรมอะไรก็ไม่ทำให้คนประหลาดใจ
นางคือหัวใจหลักของนครบินทะยานอย่างไม่ต้องสงสัย
เวลานานวันเข้า หนิงเหยาก็จะถูกมองเป็นเฉินชิงตูคนถัดไปบนเส้นทางแห่งวิถีกระบี่
แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่คิดเช่นนี้
ผู้เฒ่าแค่รู้สึกว่าแม่หนูหนิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นแค่ผู้เยาว์ที่อยากจะฟ้องใครสักคนแต่กลับไม่มีคนให้ฟ้อง
หนิงเหยาขอตัวลากลับไปก่อน บอกว่านางอาจต้องปิดด่านสองวัน
บนเส้นทางการฝึกตน จำนวนครั้งที่นางปิดด่านมีน้อยจนนับนิ้วได้
ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้จับมือของเฉินผิงอันขึ้นมา ตบลงบนหลังมือของลูกศิษย์คนสุดท้ายเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ หลุดออกมาคำหนึ่งว่า “หึ”
เฮ้อโซ่วที่นั่งพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ใช้ความเร็วที่มากที่สุดแจ้งข่าวที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนร่วมมือกันไปถามกระบี่ที่ภูเขาทัวเยว่ให้ศาลบุ๋นรู้แล้ว ดังนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงส่งข่าวมาให้อาจารย์อย่างว่องไว
ทุกวันนี้เหมาเสี่ยวตงรับหน้าที่เป็นรองผู้อำนวยการของสถานศึกษาหลี่จี้ ตำแหน่งเป็นรองแค่ผู้อำนวยการสถานศึกษาเท่านั้น เป็นขุนนางใหญ่!
อยู่กับอาจารย์ของตัวเอง เฉินผิงอันไม่คิดจะปกปิดความเหนื่อยล้าของตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าสายตายังคงใสกระจ่าง ยิ้มตอบมาหนึ่งคำว่า “หึ”
คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ว่าวิถีของการแกะสลักหินทอง คำว่าหึ (ภาษาจีนออกเสียงว่าเฮย เป็นคำอุทานแสดงการทักทายเรียกให้สนใจ หรือแสดงความกระหยิ่มยิ้มย่องแสดงความประหลาดใจ) เหมือนคำว่าโม่ที่แปลว่าเงียบไม่ส่งเสียง
ในอดีตซิ่วไฉเฒ่าเคยสร้างเรื่องตลกที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ เมื่อก่อนเขาอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดมาน้อย นอกจากหลักการอริยะปราชญ์แล้ว ความรู้ก็ไม่กว้างขวางมากพอ เป็นเหตุให้ตอนที่เปิดอ่านตำราตราประทับฉบับหนึ่งที่จัดพิมพ์อย่างประณีติงดงามในร้านหนังสือ เห็นตราประทับคำว่า ‘หึ’ ก็เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่แกะสลักตราประทับนี้คือบัณฑิตที่มีอารมณ์ขันมากผู้หนึ่ง ผลคือรอกระทั่งซิ่วไฉเฒ่ามีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋นแล้ว ได้วิ่งไปเยี่ยมเยียนเจ้าขุนเขาคนนั้นที่สำนักศึกษาโดยเฉพาะ คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นตาเฒ่าคร่ำครึที่ไม่รู้จักหัวเราะพูดคุย
ซิ่วไฉเฒ่าดึงมือเฉินผิงอันไปนั่งบนม้านั่งยาวที่หน้าประตูด้วยกัน กำเมล็ดแตงออกมาอีกครั้ง แบ่งให้เฉินผิงอันครึ่งหนึ่ง แทะเมล็ดแตงพลางเอ่ยว่า “อาจารย์ช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่ไปเยือนภูเขาลั่วพั่วมารอบหนึ่ง ตอนนั้นปลอดภัยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้ว อาจารย์พยายามทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ยังจนปัญหา แต่ก็ได้เจอกับเจิ้งจวีจง เรื่องการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วยังคงเลือกเป็นใบถงทวีปได้เหมือนเดิม”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวี ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “อาจารย์พอจะช่วยเหลืออะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้าเด็กตงซานนั่น ครั้งนี้ได้กลับมาเจอกับเจิ้งจวีจงอีกครั้ง ต้องสะอึกอึ้งไปหลายที โมโหไม่เบา พอจะมีท่าทีของเด็กหนุ่มบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดเองว่าขอให้ข้าช่วยเหลือ ให้มาปรึกษากับอาจารย์อย่างเจ้า หวังว่าสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วจะให้เขาเป็นเจ้าสำนักคนแรก ดังนั้นทางฝั่งของเฉาฉิงหล่าง เจ้าต้องไปอธิบายสักหน่อย”
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่กลับจากภูเขาตะวันเที่ยงมายังภูเขาลั่วพั่ว ทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟากได้ปรึกษากันจนได้แนวทางที่แน่ชัดแล้ว ไม่ว่าสำนักแห่งที่สองนอกเหนือจากภูเขาลั่วพั่วซึ่งได้ครอบครองศาลบรรพจารย์เป็นของตัวเอง จะเป็น ‘สำนักเบื้องล่าง’ ที่มียศของสำนักอักษรจง หรือจะเป็น ‘ล่างภูเขา’ ที่ยังไม่มีอักษรคำว่าจงปรากฎอยู่ในศาลบุ๋น เฉาฉิงหล่างก็จะต้องเป็นเจ้าสำนักหรือไม่ก็เจ้าขุนเขาคนแรก หมี่อวี้ จ้งชิว ชุยเหวย สุยโย่วเปียน คนเหล่านี้จะฝึกตนอยู่ที่นั่น ส่วนชุยตงซานกับเผยเฉียนจะแค่ไปให้ความช่วยเหลืออยู่ไม่กี่ปีเท่านั้น ฝ่ายแรกทำหน้าที่หลักคือรับผิดชอบจับตามองความเคลื่อนไหวของ ‘เพื่อนบ้าน’ อย่างอารามจินติ่งและสำนักว่านเหยาในพื้นที่มงคลสามภูเขา ฝ่ายหลังรับผิดชอบคบค้าสมาคมกับตำหนักพยัคฆ์เขียว เรือนฉ่าวถังแห่งภูเขาผูซาน
เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงข้าก็ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก แต่ตอนนั้นพูดคุยเรื่องนี้กับชุยตงซาน ข้าเห็นว่าเขาไม่สนใจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจึงถอยหนึ่งก้าวมาเลือกอีกทางแทน”
ความคิดแรกเริ่มสุด เฉินผิงอันต้องการให้ชุยตงซานที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง จะได้ไม่ต้องไปงัดข้อเรื่องอักษรจงในชื่อกับศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง เพราะนี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว
และสำหรับเฉาฉิงหล่างก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน สามารถฝึกปรือตัวเองอยู่ข้างกายชุยตงซานหลายๆ ปี การวางตัวอยู่ในสังคม ตบะและขอบเขต ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและควันธูปบนภูเขาล่างภูเขา ทุกๆ ด้านล้วนเหมาะสมแล้ว เฉาฉิงหล่างก็จะได้เป็นเจ้าสำนักคนที่สองประดุจน้ำมาคูคลองก่อเกิด ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็ต้องกังวลว่าตัวเองดึงหญ้าเพื่อช่วยให้เติบโตเร็วเกินไปหรือไม่ ต่อให้เฉาฉิงหล่างจะทำอะไรหนักแน่น มีใจคอที่มั่นคง รู้จักยืดหยุ่นได้มากแค่ไหน ทว่าในสายตาของอาจารย์อย่างเฉินผิงอันก็ยังอดที่จะ…สงสารเขาไม่ได้ มักจะรู้สึกว่าเฉาฉิงหล่างยังเด็กเกินไป แต่กลับต้องมาแบกรับภาระหนักอึ้งเช่นนี้แล้ว ต้องคอยจัดการดูแลกิจธุระของหนึ่งสำนัก แล้วการศึกษาหาความรู้ของเฉาฉิงหล่างจะทำอย่างไร? ในอนาคตจะแบกหีบหนังสือออกทัศนาจรกับเพื่อนของเขา ไปชมขุนเขาสายน้ำงดงามกว้างใหญ่ได้อย่างไร?
เพียงแต่ตอนนั้นชุยตงซานไม่ยินดีจะทำ เฉินผิงอันก็ย่อมไม่มีทางยกมาดของอาจารย์มาบีบบังคับเขา
ทว่าตอนนี้ชุยตงซานยินดีออกหน้าด้วยตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ได้รับการคลี่คลายตามไปด้วยแล้ว
ส่วนทางฝั่งของเฉาฉิงหล่าง ต่อให้เชื่อว่าเฉาฉิงหล่างจะไม่มีทางคิดมาก แต่เฉินผิงอันก็ยังต้องอธิบายอย่างชัดเจน ถึงอย่างไรก็เป็นเวลาแค่หนึ่งกาเหล้า แค่ต้องพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น
เพราะถึงอย่างไรภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีความเคยชินของวงการขุนนางที่จงใจพูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ ที่เหลือต้องให้คนอื่นไปคาดเดากันเอาเอง ดังนั้นทุกเรื่องจึงต้องพูดกันอย่างชัดเจนเปิดเผย
ซิ่วไฉเฒ่ามองแมงมุมที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ของเฉินผิงอันแล้วถามอย่างสงสัยว่า “สหายท่านนี้คือ?”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเล่าให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็เปิดปากเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ ท่านผู้นี้คืออาจารย์ของข้า ตอนนี้เจ้าเผยตัวได้แล้ว ไม่ต้องระมัดระวังเกินไป”
แมงมุมสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่เดิมทีมีขนาดเท่าเหรียญทองแดงกระโจนจากไหล่ของเฉินผิงอันมาข้างหน้า ตอนที่หล่นลงพื้นก็ได้กลายร่างเป็นเสี่ยวโม่ที่สวมชุดผ้าป่าน สวมหมวกสีเหลืองและรองเท้าสีเขียว ประสานมือคารวะซิ่วไฉเฒ่า “เสี่ยวโม่คารวะเหวินเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นยืนแล้ว เขาพยักหน้ารับอย่างแรง “ความมงคลหล่นลงมาจากฟ้า เป็นนิมิตหมายอันดีแก่โลกมนุษย์ เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี”
ขนาดอาจารย์ยังลุกขึ้นต้อนรับ เฉินผิงอันก็ได้แต่ลุกตามไปด้วย
นี่คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดรุ่นตัวอักษร ‘ว่าน’ เชียวนะ
ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยีมองเสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่เองก็มองประเมินบัณฑิตที่เรือนกายผอมบาง ตัวไม่สูงคนนี้อยู่เช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างก็มองกันอย่างเปิดเผย สายตามองตรงไปตรงมาไม่ล่อกแล่ก
ในสายตาของเสี่ยวโม่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนบนภูเขาทั่วไปแล้ว ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ อันที่จริงอายุไม่มาก ก็แค่ดูแก่เท่านั้น
นี่อธิบายได้สองทาง คนผู้นี้ฝึกตนช้า หรือก็คือต้องรอให้ขอบเขตของคนผู้นี้สูงแล้ว ถึงเวลาที่สามารถผลัดรกเปลี่ยนกระดูกได้ แต่กลับไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของตัวเอง
สหายลู่เคยบอกถึงสถานะของอาจารย์คุณชายให้ฟัง เหวินเซิ่งแห่งไพศาล นั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับสี่ของศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ
ดูจากท่าทางแล้วความสามารถในการต่อสู้คงไม่สูงเท่าใด ถ้าอย่างนั้นความรู้ก็ต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน
อาศัยวิชาอภินิหารในการมองลมปราณบทหนึ่ง เสี่ยวโม่จึงพอจะแน่ใจได้แล้ว ดูเหมือนเหวินเซิ่งจะผสานมรรคากับดินอวยพร ขุนเขาสายน้ำสามทวีปแบ่งออกเป็นทักษินาตยทวีป ใบถงทวีป ฝูเหยาทวีป
มิน่าเล่าถึงสามารถเป็นอาจารย์ของคุณชายบ้านตนได้
ไม่ได้พูดถึงขอบเขตสิบสี่ แต่พูดถึงเหวินเซิ่งที่เลือกสถานที่ผสานมรรคาเฉพาะสามทวีปนี้เท่านั้น เพราะพวกมันต่างก็ภูเขาสายน้ำปริแตกจากสงครามใหญ่ครั้งก่อน
ทว่าคำว่าความสามารถในการต่อสู้ไม่สูง นี่เป็นแค่ ‘ไม่สูง’ ในสายตาของเสี่ยวโม่เท่านั้น พูดแค่ถึงพลังพิฆาตสูงต่ำ
เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกันที่เสี่ยวโม่คบหาด้วย พูดถึงแค่ผู้ฝึกกระบี่ก็มีเฉินชิงตู หลงจวิน และยังมีหยวนเซียงที่สนิทสนมกับปฐมบรรพบุรุษของสำนักการทหาร
แต่ก็เคยมีบัณฑิตที่แท้จริงคนหนึ่งที่ทำให้เสี่ยวโม่จดจำได้อย่างลึกซึ้ง อีกฝ่ายคือหนึ่งในศิษย์รักของปรมาจารย์มหาปราชญ์ สวมกวานสูงปักปิ่น เรือนกายสูงใหญ่ เวทกระบี่สูงมาก
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “พี่เสี่ยวโม่ หากวันหน้าเจอกับพวกหน้าด้านที่ตามตอแยอย่างไร้เหตุผลก็บอกชื่อของข้าไปเลย หากไม่ได้ผล พี่เสี่ยวโม่ก็ค่อยยกสถานะผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่วออกมา”
เกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่เปลี่ยวร้างที่มีอายุยาวนานผู้นี้ ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะบันทึกลงเอกสารของศาลบุ๋น ยิ่งไม่สามารถถูกรายงานขุนเขาสายน้ำป่าวประกาศไปทั่วใต้หล้าได้
ซิ่วไฉเฒ่าก็แค่ต้องกลับไปบอกกล่าวกับหย่าเซิ่งและยังมีเจ้าลัทธิหลักรองอีกสามท่านของศาลบุ๋นเท่านั้น อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้ลำบากเลยแม้แต่น้อย เสี่ยวโม่ผู้นี้นอนหลับมานานหมื่นปีอยู่ในดวงจันทร์ ทุกวันนี้เพิ่งจะตื่นขึ้นมา บุญคุณความแค้นหมื่นปีของสองใต้หล้าก่อนหน้านั้น เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย ชาติกำเนิดขาวสะอาดมาก ซิ่วไฉเฒ่าคิดหาคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว รู้แล้วว่าควรจะทวงความดีความชอบกับศาลบุ๋นอย่างไร
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการเข้าร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่าง ศาลบุ๋นของพวกเราไม่ส่งเจ้าลัทธิสักคนสองคนไปร่วมแสดงความยินดี สมควรแล้วหรือ? หากว่าคนที่ไปเป็นรองเจ้าลัทธิสองคน ก็ดูเหมือนว่าจะยังสู้หนึ่งหลักหนึ่งรองไม่ได้เลย ใช่เหตุผลข้อนี้หรือไม่…
เสี่ยวโม่พยักหน้าก่อน จากนั้นค่อยประสานมือคารวะ “โปรดอภัยที่เสี่ยวโม่มิกล้าตีสนิทเป็นคนรุ่นเดียวกับอาจารย์เหวินเซิ่ง คุณชายเคยเตือนข้าว่าเมื่อมาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ เรื่องมารยาทพิธีการก็ห้ามทำผิดส่งเดช”
“ข้อสอง ทุกวันนี้เสี่ยวโม่เองก็ไม่ใช่ผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่วอะไร เป็นแค่องค์รักพลีชีพข้างกายคุณชายเท่านั้น”
“สุดท้าย วันนี้เสี่ยวโม่ได้พบเจอกับเหวินเซิ่งที่มีความรู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่กลับเป็นมิตรเขากับคนอื่นได้ง่าย ถือเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงของเสี่ยวโม่”
ซิ่วไฉเฒ่ากลั้นขำ เหลือบตามองลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ไปหาสมบัติที่สุภาพมีมารยาท ทำอะไรหัวโบราณคร่ำครึแบบนี้มาจากไหนกัน เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนักปราชญ์วิญญูชนคนหนึ่งของสถานศึกษาสำนักศึกษาแล้วเสียอีก
เฉินผิงอันที่รู้ใจอาจารย์จึงรีบยิ้มเอ่ยกับเสี่ยวโม่ว่า “คำพูดของอาจารย์ย่อมมีน้ำหนักกว่าลูกศิษย์ เสี่ยวโม่ นี่ก็เป็นการเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามชนิดหนึ่งเหมือนกัน ต้องมีลำดับก่อนหลัง ในเมื่ออาจารย์ของข้าบอกว่าเจ้าคือผู้ถวายงาน ถ้าอย่างนั้นนับแต่นี้ไปเจ้าก็คือผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วพวกเราแล้ว อาจารย์เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเจ้า เจ้าก็จงรับไว้อย่างสบายใจเถิด”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม ในใจอบอุ่นยิ่งนัก ราวกับได้ดื่มเหล้าอุ่นๆ ในวันที่อากาศหนาวเหน็บ บวกกับไข่อีกสองฟอง โรยขิงสับอีกสักหน่อย นั่งล้อมกองไฟอยู่ด้วยกัน
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกปลาบปลื้มยินดีมากที่สุดก็คือคำว่าล้อม คนคนหนึ่งได้แต่นั่งอย่างเดียวดาย อย่างน้อยต้องมีคนสองสามคนถึงจะพูดว่านั่งล้อมรอบกองไฟได้นี่นะ