กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 878.2 เรื่องราวมากมายดุจขนวัว
เสี่ยวโม่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พูดคุยกับสหายลู่อย่างถูกคอ สหายลู่เล่าให้ฟังว่าคุณชายบ้านตนมีนิสัยอยู่สามข้อที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน นับแต่เด็กมาก็เคารพครูบาอาจารย์อย่างมาก เป็นเหตุให้มีวาสนากับพวกผู้อาวุโสดีเยี่ยม ชอบทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์ ดังนั้นจึงมีสหายอยู่ทั่วหล้า
สุดท้ายคือชอบจดบัญชี ตอนนั้นสหายลู่พูดจาน่าเชื่อถือบอกว่าหากไม่เชื่อ รอให้ไปถึงเมืองหลวงต้าหลีแล้วได้เจอลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของคุณชายบ้านเจ้ากับตาตัวเองก็จะเข้าใจได้เอง
หน้าประตูตรงนี้มีม้านั่งยาวอยู่สองตัว ซิ่วไฉเฒ่ากดมือลงบนความว่างเปล่า “พี่เสี่ยวโม่ พวกเรานั่งคุยกันเถอะ”
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์ ไม่สู้ไปหาที่ดื่มเหล้ากันดีไหมขอรับ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างเป็นกังวล “ดื่มได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอบเขตตามสุรา ยิ่งดื่มก็ยิ่งมี”
ซิ่วไฉเฒ่าอืมรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นกันเถอะ ใกล้หน่อย”
หากไม่เป็นเพราะพี่เสี่ยวโม่อยู่ที่นี่ด้วย ซิ่วไฉเฒ่าคงจะพาลูกศิษย์คนสุดท้ายไปดื่มเหล้ากับผู้อาวุโสเฟิงอี๋ที่ศาลเทพอัคคีแล้ว มีซุ้มดอกไม้ นั่งแล้วเย็นสบาย
ขอดื่มเหล้าเปล่าๆ? ซิ่วไฉเฒ่ากล้าถามมโนธรรมในใจตัวเอง กล้าพูดว่าตนกับลูกศิษย์คนสุดท้ายไม่ใช่คนแบบนั้น ใครกล้าพูดคำว่าไม่ แน่จริงก็เดินออกมา ซิ่วไฉเฒ่าจะเอาสุราคืนให้เขาไป
เดินไปที่ตรอกเส้นนั้นด้วยกัน ในลานประกอบพิธีกรรมที่อยู่หน้าตรอกเล็ก หลิวเจียผู้ฝึกตนเฒ่ากำลังลากเอาจ้าวหมิงผู้เป็นลูกศิษย์มาดื่มเหล้าด้วยกัน
สังเกตเห็นคนสามคนที่อยู่นอกตรอกเล็ก หลิวเจียก็รีบสลายตราผนึกของลานประกอบพิธีกรรมทิ้ง หันไปกุมหมัดคารวะเหวินเซิ่งก่อน ช่วงนี้ผู้ฝึกตนเฒ่าสนิทสนมกับซิ่วไฉเฒ่าเป็นอย่างดี
เฉินผิงอันเอ่ยแนะนำ “นี่คือเสี่ยวโม่ โม่จากคำว่าโม่เซิง เป็นผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา”
หลิวเจียตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ ปล่อยไปเถอะ ปล่อยไปเถอะ หากยังทำตัวเป็นคนโง่เจอใครก็ขวางทางอีก ข้าผู้อาวุโสจะใช้แซ่เดียวกับเจ้าเฉินผิงอันเลย
ผู้ฝึกตนเฒ่าลังเลเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ไหวต้องใช้เสียงในใจเอ่ยเรียก “เจ้าขุนเขาเฉิน?”
เฉินผิงอันหยุดเดินทันใด ถามว่า “มีอะไรหรือ?”
ดูเหมือนผู้ฝึกตนเฒ่าจะลำบากใจที่ต้องพูด แต่ก็ยังบากหน้าถามว่า “ช่วงนี้คงไม่มีคนต่างถิ่นผ่านมายังที่แห่งนี้อีกกระมัง?”
จะดีจะชั่วก็ให้ข้าได้พักหายใจหายคอบ้าง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้ข้าจะรับรองได้อย่างไร ขาคนอื่นไม่ได้มาอยู่บนร่างข้าสักหน่อย ถึงอย่างไรอีกไม่นานข้าก็จะออกไปจากเมืองหลวงแล้ว”
หลิวเจียถอนหายใจโล่งอก
ผู้ฝึกตนเฒ่ามองไปยังคนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว
เสี่ยวโม่รีบผงกศีรษะยิ้มบางๆ ให้หลิวเจียทันใด
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “รอให้ข้าจากไปแล้ว หลิวเซียนซืออย่าลืมไปทำความสะอาดเรือนของศิษย์พี่ชุยด้วย”
เป็นการเตือนผู้ฝึกตนเฒ่าว่ารอให้ตนออกไปจากเมืองหลวงต้าหลีแล้วก็สามารถไป ‘เก็บตำรา’ ที่นั่นได้แล้ว
วิถีของเวทอสนี ทุกวันนี้เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าตัวเองเชี่ยวชาญถึงเพียงใด เพราะยังอยู่ห่างจากยอดสูงสุดอีกไกลนัก แต่หากจะพูดถึงความเข้าใจในขั้นต้น เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองทำได้แล้ว
พูดถึงแค่ฉากสายฟ้านั้น ได้มาจากการพินิจซากปรักสนามรบของนครมังกรเฒ่า จากนั้นก็ร่ายใช้ที่ภูเขาทัวเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายมีแนวโน้มว่าจะเชี่ยวชาญ ระดับความแตกฉานลึกซึ้งไม่ต่ำ
ใบหน้าแก่ๆ ของหลิวเจียแดงก่ำ แต่ก็ยังถามต่ออย่างคลางแคลงว่า “เจ้าขุนเขาเฉินรวบรวมตำราเวทอสนีได้ครบเล่มเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? หรือว่าการออกไปข้างนอกคราวนี้ บังเอิญไปเจอกับผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือพอดี? ใต้หล้าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ด้วยหรือ?”
เพราะก่อนหน้านี้สองฝ่ายตกลงกันไว้ว่า ต้องรอให้เจ้าขุนเขาเฉินผู้นี้เดินทางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปเป็นแขกที่ภูเขามังกรพยัคฆ์และได้เจอกับสหายคนนั้น ยืมตำรามาเปิดอ่านได้เสียก่อน ถึงจะมีโอกาสรวบรวมตำราลับเวทอสนีที่เข้าท่าเข้าทีออกมาได้สักเล่มหนึ่ง แล้วก็จะไม่ทันระวังทำตำราเล่มนี้ตกหล่นอยู่ในหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น หลิวเจียเก็บได้โดยบังเอิญ ลองเปิดอ่านแค่ไม่กี่หน้า ครั้นจึงไปถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ที่โดนฟ้าผ่ามาหลายครั้ง แม้แต่เหตุผลหลิวเจียก็ยังคิดไว้เรียบร้อยแล้ว มีวันหนึ่งตนดื่มเหล้าเมา ฝันไปว่าได้ไปเยือนกองทั้งหลายในกรมสายฟ้ายุคบรรพกาล แล้วได้เจอกับเทพองค์หนึ่งที่ถ่ายทอดเวทสายฟ้าให้กับตน
ยิ่งคิดหลิวเจียยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ แล้วก็คงเพราะเขามีนิสัยคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น จึงเอ่ยออกมาตามตรงว่า “เฉินผิงอัน เจ้าห้ามกลับคำกลางคัน รู้สึกว่าเรื่องนี้ยุ่งยาก ไม่อาจยืมตำราลับเวทอสนีจากภูเขามังกรพยัคฆ์มาอ่านได้ แต่เพราะวางหน้าไม่ลงก็เลยหาคาถาเวทอสนีบนภูเขาไม่กี่ประโยคมาหลอกข้าเชียวนะ? ทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย เดิมทีข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องเวทสายฟ้าแม้แต่นิดเดียว ยินดีไม่สอนอะไรให้ตวนหมิงเลย แต่จะไม่ยอมให้เจ้าเด็กนี่เดินทางผิดแน่นอน!”
เฉินผิงอันอธิบาย “วางใจเถอะ นี่เป็นตำราลับเวทอสนีที่ข้าเขียนด้วยลายมือตัวเอง ระดับขั้นไม่มีทางต่ำเกินไปนัก รับรองว่าจะไม่ถ่วงรั้งลูกศิษย์ของใคร ขอแค่จ้าวตวนหมิงฝึกตนไปตามลำดับขั้นตอนก็พอ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดได้ ขอแค่มีข้อผิดพลาดแม้เพียงน้อย หลิวเซียนซือก็ตรงไปดักหน้าประตูภูเขาลั่วพั่วรอด่าข้าได้เลย”
หลิวเจียหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “เจ้าเฉินผิงอันตัวดี ล้อข้าเล่นหรือไร นี่เพิ่งผ่านมานานเท่าไรเอง เจ้าจะคิดค้นเวทอสนีสูงส่งลึกล้ำออกมาได้เชียวหรือ? เรื่องนี้ก็ยกเลิกไปแล้วกัน พวกเราสองคนคิดเสียว่าไม่เคยมีเรื่องนี้ เจ้าเองก็ไม่ต้องรู้สึกขายหน้า แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องการไปดักหน้าประตูรอด่าคน ข้าก็ทำไม่ลงจริงๆ”
เจ้าคิดว่าตัวเองคือผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซืออย่างนั้นหรือ หรือคิดว่าตัวเองเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์กันเล่า?
เฉินผิงอันเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก็จริงนะ ก็แค่ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบเดียว เนื่องจากหลี่เซิ่งช่วยพาส่งไปกลับมารอบหนึ่ง อีกทั้งอยู่ที่นั่นยังมียันต์สามภูเขาของลู่เฉิน พูดถึงแค่ระยะเวลาสั้นยาวก็ไม่นานเลยจริงๆ แต่พอย้อนนึกดูกลับรู้สึกเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลก ตัวเองสองคนในสองใต้หล้า คนหนึ่งเดินทางข้ามใต้หล้าเปลี่ยวร้างครึ่งแห่งไปแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งก็เดินทางจากเหนือจดใต้แจกันสมบัติทวีปมาแล้วรอบหนึ่ง ระหว่างที่เดินทางไปกลับขุนเขาสายน้ำสองรอบก็ได้เจอกับคนมากมายและผ่านเรื่องราวมามากมายจริงๆ
เสี่ยวโม่พลันเปิดปากเอ่ย “คุณชายของข้ามีพรสวรรค์ด้านเวทอสนีที่ลึกล้ำอย่างมาก”
หลิวเจียอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย เพราะมีลูกศิษย์อยู่ด้วย เขาจึงใช้เสียงในใจพูดคุยกับเฉินผิงอันอยู่ตลอด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้รีบร้อน ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ข้าไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก่อนก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นข้าจะแบ่งตำราออกเป็นบนกับล่าง หลิวเซียนซือก็ค่อยเลือกดูอีกที”
หลิวเจียพยักหน้ารับ “เจ้าขุนเขาเฉินยังคงทำอะไรรอบคอบมั่นคง”
เรื่องนี้จึงตกลงกันตามนี้
ขยับเข้าไปใกล้ประตูเรือน เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชาย ผู้ฝึกตนคนนี้ไม่ค่อยรู้จักดีชั่วเกินไปหน่อยหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนที่เป็นอาจารย์ในใต้หล้านี้ อันที่จริงก็เหมือนๆ กันทุกคนนั่นแหละ ย่อมต้องพะวงถึงผลได้ผลเสียอย่างหลีเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีเหตุผลให้พูดถึงหรอก”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว”
ตรงหน้าปากตรอกเล็ก เด็กหนุ่มพลันเอ่ยว่า “อาจารย์ ดูเหมือนอาจารย์เฉินจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย”
หลิวเจียหันไปมองเซียนกระบี่ชุดเขียวแล้วส่ายหน้า ไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น
พอไปถึงด้านนอกหอหนังสือก็ไปนั่งล้อมโต๊ะหินของลานบ้านขนาดเล็กด้วยกัน เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสามกา จอกเทพีบุปผาสามใบ
เสี่ยวโม่ลุกขึ้นมารับกาเหล้าและจอกเหล้า พอนั่งลงแล้วก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เซียนกระบี่หญิงที่ชื่อว่าลู่จือคนนั้น ปราณสังหารเข้มข้นมาก สายตาที่นางมองข้า ค่อนข้าง…น่าขนลุก”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่ว่าลู่จือจงใจพุ่งเป้ามาที่เจ้า นางก็มีนิสัยเช่นนี้เอง อันที่จริงลู่จือก็เหมือนกับข้า ในความหมายที่เข้มงวดแล้วเราต่างก็เป็นคนต่างถิ่น แต่นางเห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นบ้านเกิดของตัวเองนานแล้ว ในอนาคตวันใดลู่จือเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน จะต้องเป็นหนึ่งในขอบเขตบินทะยานที่พลังพิฆาตสูงที่สุดอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นปราณสังหารจะยิ่งเข้มข้นมากกว่านี้”
หากลู่จือสามารถหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เป่ยโต้ว’ ได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นตั้งใจหลอมกระบี่ยาวแปดเล่มที่อยู่ในกล่องกระบี่ ลู่จือที่เชี่ยวชาญการโจมตี แต่อ่อนด้อยด้านการป้องกันจะกลายเป็นว่ามีครบทั้งป้องกันและโจมตี
คล้ายคลึงกับฝูลู่อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ฮว่อหลงเจินเหริน
ผลสำเร็จบนวิถีกระบี่ของลู่จือในอนาคต อันที่จริงอาจจะสูงกว่าฉีถิงจี้หนึ่งระดับ
แม้จะไม่ได้เป็นเรื่องที่ ‘แน่นอน’ ทว่าต่อให้จะมีแค่ความเป็นไปได้นี้ก็ถือว่าร้ายกาจอย่างมากแล้ว
เสี่ยวโม่พูดอย่างจริงใจว่า “คุณชาย นอกจากข้าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งแล้ว ตามคำกล่าวบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ยังถือเป็นอาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งได้ด้วย นอกจากนี้แล้ว สิ่งเดียวที่ข้าถนัดก็คงจะเป็นเรื่องที่ข้าค่อนข้างเชี่ยวชาญการถักทอชุดคลุมอาคมแล้ว นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีข้อดีอะไรอีก”
ผู้ฝึกกระบี่ อาจารย์ค่ายกล ถักทอชุดคลุมอาคม สามารถเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ถือว่าเป็นชิ้นเนื้อหอมๆ ที่เหมือนเอาผู้ถวายงานและเค่อชิงบนภูเขามาเสียบเรียงกันได้เต็มไม้แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที เขารู้สึกว่าคำกล่าวนี้คุ้นหูยิ่งนัก พอคิดอีกทีก็พลันกระจ่างแจ้ง นี่ก็คือวิชาลับเฉพาะเวลาที่ตนใช้หาเหล้าดื่มนี่นา
เสี่ยวโม่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น แบฝ่ามือออก ด้านบนวางกระบอกไม้ไผ่สีเขียวที่กองอยู่รวมกัน ระดับความสูงและความหนาไม่เท่ากัน ขนาดเล็กกะทัดรัด จำนวนมีมากถึงห้าสิบหกสิบชิ้น มีม้วน ‘ผ้า’ ยาวหลายจั้งหรือถึงขั้นหลายสิบจั้งใส่รวมกันอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ชิ้นหนึ่ง ส่วนที่มากกว่านั้นเป็นชุดคลุมอาคมหลายตัวที่สำเร็จรูปแล้ว ล้วนม้วนพับใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่เขียวใบหนึ่ง
เสี่ยวโม่เอ่ย “ตามกฎเกณฑ์บนภูเขาของใต้หล้าไพศาล เมื่อคนคนหนึ่งไปเยี่ยมเยือนถึงบนภูเขาจะต้องมีของขวัญพบหน้า ขอคุณชายโปรดช่วยนำไปแบ่งแทนข้า ถึงอย่างไรเสี่ยวโม่ก็มีสถานะเป็นนักรบพลีชีพ จะทำอะไรก็ไม่ควรโจ่งแจ้งเกินไป หลีกเลี่ยงไม่ให้คนมีใจสืบสาวเบาะแสมาเจอ ชุดคลุมอาคมพวกนี้ล้วนเป็นของที่ข้าอยู่ว่างๆ จึงถักทอขึ้นมาแก้เบื่อก่อนจะจำศีลในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ ระดับขั้นจึงไม่สูง ตามคำประเมินของบนภูเขาในทุกวันนี้ แม้แต่อาวุธกึ่งเซียนก็ยังเทียบไม่ได้”
ก่อนที่จะหลับสนิทอย่างยาวนานอยู่ในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ เสี่ยวโม่ที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ทิ้งสายการสืบทอดเอาไว้หกถ้ำ จากการคำนวณของคุณชายก่อนหน้านี้ ทุกวันนี้น่าจะเหลือแค่ถ้ำสถิตของสำนักอักษรจงแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของเปลี่ยวร้างแล้ว ค่อนข้างเหมือนสายเก่าที่สืบทอดมายาวนานหมื่นปี ส่วนสายอื่นๆ ที่เหลือก็ได้สลายหายไปท่ามกลางวันเวลาอันยาวนาน หรือก็ไม่เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ อย่างวิธีการถักทอหลายชนิดของนครจินชุ่ย เห็นได้ชัดว่ามาจากเสี่ยวโม่ นี่ไม่ได้บอกว่านครจินชุ่ยก็คือสายสืบทอดของเสี่ยวโม่ แต่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าถ้ำสายหนึ่งอาจถูกนครจินชุ่ยรับเอาไว้ สำหรับการสืบทอดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว อันที่จริงนี่ถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสายของเสี่ยวโม่แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าจิบเหล้าหนึ่งอึก ส่งเสียงดังซู้ด ไม่เอ่ยแทรกบทสนทนาของทั้งสอง
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าลัทธิลู่สอนเจ้าอีกแล้วหรือ? เขาบอกด้วยหรือเปล่าว่าไปเยี่ยมเยือนบนภูเขา ในมือต้องมีอิฐเคาะประตูไปด้วย?”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “คุณชายคาดเดาได้แม่นยำยิ่ง”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาลั่วพั่วบวกกับผู้ถวายงาน คาดว่าหากแบ่งชุดคลุมอาคมให้คนละชุดก็ยังมากพอเหลือแหล่
ส่วนชุดคลุมอาคมรูปแบบที่ผู้ฝึกตนหญิงของจวนไฉ่เชวี่ยถักทอขึ้นมานั้น อันที่จริงผู้ฝึกตนของภูเขาลั่วพั่วไม่เหมาะจะเอามาสวมไว้บนร่างมากนัก
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเฉินผิงอันจะสามารถรับของขวัญหนักชิ้นนี้มาได้อย่างสบายใจ ดังนั้นจึงปฏิเสธไปโดยตรง “เสี่ยวโม่ รอวันใดที่เจ้าทำตามสัญญาสำเร็จก็สามารถออกไปจากภูเขาลั่วพั่วได้เลย หากถึงเวลานั้นเจ้ายังอยากจะมอบให้ ข้าก็จะไม่ขัดขวางเจ้า แต่ก่อนจะถึงวันนั้น พวกเราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก”
เสี่ยวโม่จึงได้แต่หันไปมองซิ่วไฉเฒ่า
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “เสี่ยวโม่ เรื่องนี้ต้องฟังคุณชายเจ้าแล้วล่ะ ใต้หล้าไพศาลของพวกเรามีกฎของใต้หล้าไพศาล เพียงแต่ว่าภูเขาลูกหนึ่งก็มีขนบธรรมเนียมของภูเขาลูกหนึ่งเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ตายตัวขนาดนั้น”
เสี่ยวโม่พลิกหมุนข้อมือ เก็บชุดคลุมอาคมในกระบอกไม้ไผ่พวกนั้นลงไป
การประชุมในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อครั้งที่สอง คือการเฉลิมฉลองที่ภูเขาลั่วพั่วก่อตั้งเป็นสำนักอย่างเป็นทางการ
ตอนนั้นมีคนสี่สิบสามคนที่ได้เป็นสมาชิกบนทำเนียบศาลบรรพจารย์ บวกกับผู้เข้าร่วมงานพิธีอีกสามสิบหกคน
รอกระทั่งงานเฉลิมฉลองสิ้นสุดลง เฉินผิงอันก็ได้ฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน ทำให้ภูเขาลั่วพั่วมีเค่อชิงเพิ่มมาอีกกลุ่มหนึ่ง