กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 878.3 เรื่องราวมากมายดุจขนวัว
เส้าอวิ๋นเหยียนแห่งสำนักกระบี่หลงเซี่ยงทักษินาตยทวีป ถัวเหยียนฮูหยิน
เจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋นที่รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของนครเหนือเมฆ เซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีป เซี่ยซงฮวา ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดตำหนักจินอู หลิ่วจื้อชิง
ผู้ถวายงานอันดับรองของสำนักเจินจิ้งในทุกวันนี้ หลี่ฝูฉวี เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะ หยวนหลิงเตี้ยนยอดเขาจื่อเสวียน
รวมไปถึงเฉินหลี่ผู้ฝึกกระบี่ที่มีฉายาว่า ‘อิ่นกวานน้อย’ ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
ตอนอยู่ศาลบุ๋น ภูเขาลั่วพั่วก็ได้รับผู้ถวายงานมาใหม่คนหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่ ช่วงนี้ผู้เฒ่าก็อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถหลอกตัวอ่อนเซียนกระบี่สักคนสองคนไปได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ความสามารถของตัวผู้เฒ่าเองและวาสนาของเด็กแต่ละคนในกลุ่มนั้นแล้ว
ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ มีเฉาจวิ้นมาเพิ่มอีกคน
บนภูเขามีคำกล่าวบอกว่า
จำนวนผู้ถวายงานมากน้อย ขอบเขตสูงต่ำ หมายความถึงรากฐานของสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งว่าลึกหรือตื้น
ส่วนเค่อชิงกลับสามารถบอกได้ว่าเส้นทางภูเขาที่มุ่งไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักแห่งหนึ่งกว้างขวางมากแค่ไหน
ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน “ผิงอัน เคยคิดถึงเรื่องหนึ่งหรือไม่ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีชีวิตอยู่มาหมื่นปี หรือไม่ก็หลายพันปีอย่างเสี่ยวโม่นี้ อย่าว่าแต่สองมือเลย บางทีสองมือก็ยังนับไม่พอ พวกเขาได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานกันนานแล้ว ถึงขั้นที่ว่าเป็นบินทะยานบนยอดเขาสูงสุด เหตุใดนอกจากปีศาจใหญ่ที่ใช้นามแฝงว่าลู่ฝ่าเหยียนแล้วกลับไม่มีปีศาจใหญ่ตนใดได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่เสียที?”
พูดมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็ยกจอกเหล้าขึ้น “พี่เสี่ยวโม่ ข้าก็แค่พูดไปตามสถานการณ์ อย่าได้ถือสากันเลยนะ ข้าขอดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก…”
เสี่ยวโม่รีบใช้สองมือถือจอก โน้มตัวไปข้างหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง คำพูดจริงใจ “อาจารย์เหวินเซิ่งพูดจาตรงไปตรงมา คนเปิดเผยพูดจาผ่าเผย เห็นได้ชัดว่าเห็นเสี่ยวโม่เป็นคนกันเองครึ่งตัวแล้ว จอกเหล้าก็ดี ชามใหญ่หน่อยก็ช่าง ใต้หล้านี้มีแค่เหล้าที่ดื่มหมดในรวดเดียว บนโต๊ะเหล้าไม่มีถ้อยคำที่วกไปวนมา ไม่พูดมากแล้ว ข้าดื่มให้หมดก่อนแล้วกัน เชิญอาจารย์เหวินเซิ่งตามสบาย”
เสี่ยวโม่เงยหน้ากระดกเหล้าดื่มจนหมด
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
นี่มันหลักทำนองคลองธรรมและความรู้บนโต๊ะเหล้าที่เรียนมาจากไหนกัน?
ตนยังเตือนเสี่ยวโม่ว่าให้เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม นี่จะไม่ใช่การกระทำที่เกินความจำเป็นหรอกหรือ?
ซิ่วไฉเฒ่ารินเหล้าให้ตัวเองเต็มจอกอีกครั้ง “เห็นแก่ความเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีส่วนนี้ของพี่เสี่ยวโม่ ข้าก็จะดื่มอีกจอก”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อาจารย์ นี่เป็นเหล้าของบ้านตัวเอง ดื่มช้าๆ หน่อยขอรับ”
เป็นการเตือนอาจารย์ของตัวเองว่า ในเมื่อเป็นเหล้าของตัวเอง ต่อให้ดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งกาก็ไม่ได้เปรียบอะไรเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงดื่มเหล้าของคนอื่นเท่านั้น ดื่มมากดื่มน้อย ดื่มเร็วดื่มช้า นั่นต่างหากจึงจะเป็นความรู้
แต่เหตุผลที่แท้จริงคือ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือเป็นตัวเฉินผิงอันเอง อันที่จริงตอนนี้ต่างก็ไม่เหมาะจะดื่มเหล้ามากเกินไปหรือดื่มเร็วเกินไปนัก
ซิ่วไฉเฒ่าขยุ้มหนวดอย่างขัดใจ
เฉินผิงอันพลันเอ่ยเสียงเบา “ทางฝั่งของเฟิงอี๋ ดูเหมือนว่าจะยังมีเหล้าหมักร้อยบุปผาอีกร้อยกา”
ซิ่วไฉเฒ่าตบขาดังฉาด “ก่อนจะออกไปจากแจกันสมบัติทวีป จะต้องไปบอกลาผู้อาวุโสเฟิงอี๋ก่อนให้ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าจะไปเป็นเพื่อนอาจารย์ด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยต่อว่า “แม้จะบอกว่าการผสานมรรคาเป็นเรื่องที่ยากมาก นี่ไม่ผิด แม้แต่ตัวเสี่ยวโม่เอง ต้องใช้วิธีจำศีลมารักษาบาดแผล นี่ก็ไม่ผิดเหมือนกัน แต่พวกราชาบนบัลลังก์เก่าเหล่านั้น มีใครที่คุณสมบัติด้านการฝึกตนย่ำแย่บ้างเล่า?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในฐานะลูกศิษย์คนแรกของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ คุณสมบัติด้านการฝึกตนของหยวนซงจึงดีเยี่ยม
ข้อได้เปรียบตั้งแต่เกิดอย่างร่างจริงที่แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจยังนำพาเอาข้อได้เปรียบหลังกำเนิดมาด้วยอีกอย่างหนึ่ง ระหว่างทั้งสองอย่างนี้มีธรณีประตูหนึ่งกางกั้น นั่นก็คือจะสามารถฝึกตนได้หรือไม่
เผ่าปีศาจขึ้นเขาฝึกตน การเดินเข้าประตูมักจะยากกว่าเผ่ามนุษย์เสมอ แต่หากหล่อหลอมเรือนกายได้สำเร็จ ขอบเขตเดียวกัน อายุขัยของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลับยืนยาวกว่าเผ่ามนุษย์
นี่ก็คล้ายการชดเชยบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
เสี่ยวโม่วางจอกเหล้าลง เอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นป๋ายเจ๋อ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าพูดทอดถอนใจ “ใช่แล้ว เพราะการดำรงอยู่ของพี่ใหญ่ป๋าย”
ป๋ายเจ๋อได้ครอบครองชื่อจริงของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจทั้งหมดในใต้หล้า นี่ก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของป๋ายเจ๋อ ไม่จำเป็นต้องบอกอีกฝ่ายเลยสักนิด เพราะขอแค่หลอมเรือนกายได้สำเร็จแล้วมีชื่อจริง ก็จะต้องถูก ‘บันทึกลงสมุด’ ของป๋ายเจ๋อ
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “ต่อสู้ก็สู้ไม่ชนะ แย่งชิงก็ชิงมาไม่ได้ ยอมรับชะตากรรมนานแล้ว ไม่เพียงแค่ข้าเท่านั้น ปีนั้นผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกันทั้งหมดที่เลือกจำศีลเพื่อรักษาบาดแผลก็ล้วนคิดแบบเดียวกัน”
อันที่จริงเสี่ยวโม่กับป๋ายเจ๋อไม่เพียงแต่เคยต่อสู้กันมาก่อน ยังต่อสู้กันถึงสองครั้งด้วย
ครั้งหนึ่งรู้สึกว่าป๋ายเจ๋อมองดูแล้วไม่คล้ายคนที่จะต่อสู้เป็น
ครั้งหนึ่งเพราะรู้มาว่าป๋ายเจ๋อถึงกับเตรียมจะช่วยจอมปราชญ์น้อยผู้นั้นสร้างเตาหลอมขนาดใหญ่ขึ้นมาบนยอดเขาของไพศาล จะแกะสลักชื่อจริงของเผ่าปีศาจลงไปนับไม่ถ้วน
ดังนั้นเสี่ยวโม่จึงได้เดินทางไปเยือนดวงจันทร์เฮ่าไฉ่
ซิ่วไฉเฒ่าพูดเปิดเผยความลับสวรรค์ในประโยคเดียว “อันที่จริงตัวป๋ายเจ๋อเองก็ลำบากใจเหมือนกัน เรื่องของชื่อจริงไม่ใช่ว่าเขาอยากจะมอบให้ใครแล้วคนนั้นจะต้องทำได้เสมอไป”
นี่คงเป็นเรื่องเดียวบนเส้นทางการฝึกตนของป๋ายเจ๋อที่สามารถเรียกได้ว่าไร้อิสระแล้ว
นี่หมายความว่าใต้หล้าไพศาลและศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเองก็ลำบากใจเหมือนกัน
สมมติว่าป๋ายเจ๋อตายไป
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เหมือนสูญเสียด่านแห่งหนึ่ง เดิมทีการดำรงอยู่ของตัวป๋ายเจ๋อก็เหมือนเป็นปราการธรรมชาติที่มิอาจก้าวข้ามของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานทุกตนในใต้หล้า จำเป็นต้องได้รับการยอมรับบางอย่างบนมหามรรคา ปีศาจใหญ่ในยุคหลังถึงจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ หากป๋ายเจ๋อร่างดับมรรคาสลาย ก็เหมือนกับว่าได้สูญเสียพันธนาการบางอย่างบนมหามรรคาไป
สมมติว่าป๋ายเจ๋อไม่ตาย สองใต้หล้าห้ำหั่นต่อสู้กันเอง สงครามนองเลือดดุเดือด เผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างบาดเจ็บล้มตายกันไปมากเท่าไร ขอบเขตของป๋ายเจ๋อก็จะยิ่งขยับเข้าใกล้ขอบเขตสิบห้ามากเท่านั้น พลังการสู้รบของป๋ายเจ๋อจะยิ่งเหมือนกลายมาเป็นขอบเขตสิบสี่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่มีปรากฎอีกในอนาคต
พูดง่ายๆ ก็คือ ถึงเวลานั้นพลังพิฆาตของป๋ายเจ๋อจะรุนแรงจนสามารถมองเป็นเฉินชิงตูที่ไม่ถูกกำแพงเมืองปราณกระบี่พันธนาการได้เลย
ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามามองเสี่ยวโม่ “เสี่ยวโม่ ใต้หล้าไพศาลไม่ได้ต่างจากบ้านเกิดของเจ้าเลย วิถีทางโลกในทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว ให้เจ้าเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม แรกเริ่มอาจจะยังรู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง แต่ข้าเชื่อว่ายิ่งเวลานานวันเข้าเจ้าก็จะยิ่งคุ้นเคยและผ่อนคลาย”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “ทุกวันนี้ข้าเพิ่งมาถึงไพศาล เรื่องราวและผู้คนที่ได้พบเจอมีไม่มาก ไม่แน่เสมอไปว่าจะเชื่อว่าวิถีทางโลกในอีกหมื่นปีให้หลังจะต้องดีกว่าเมื่อหมื่นปีก่อนมากมายนัก แต่ข้ายินดีเชื่อใจในตัวคุณชายและเหวินเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก พี่เสี่ยวโม่ใช้เหตุผลเช่นนี้ ไม่ไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วสิถึงจะน่าเสียดาย
เฉินผิงอันดื่มเหล้าเนิบช้า
อยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ นอกจากบุญคุณความแค้นส่วนตัวเรื่องนั้นแล้ว ยังต้องไปเลี้ยงเหล้ากวนอี้หรานด้วย
แล้วยังต้องไปเลือกหนังสือกับขุนนางหนุ่มแห่งศาลหงลูที่ชื่อสวินชวี่ซึ่งสอบเข้ารับราชการปีเดียวกับเฉาฉิงหล่าง
บางทีอาจยังต้องไปที่จวนของซูเกาซานในเมืองหลวงรอบหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องไปเจอใคร พูดอะไรหรือทำอะไร
จากนั้นก็บอกลากับอาจารย์ แล้วพาหนิงเหยา เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างเดินทางลงใต้ย้อนกลับไปภูเขาลั่วพั่ว และตนต้องไปที่ร้านตระกูลหยางสักรอบ
ฟังหมี่ลี่น้อยเล่าว่า จางซานเฟิงเห็นว่าตนไม่อยู่บนภูเขาจึงไปหาสวีหย่วนเสียก่อนแล้ว บอกว่าจะไปรอตนอยู่ที่นั่น
ดังนั้นก่อนจะไปใบถงทวีป เฉินผิงอันจะตรงไปที่อำเภอเซียนโหยวเขตชิงหยวน ไปดื่มเหล้า
ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอวี๋เยว่ยังรอคอยตนอยู่บนภูเขาตลอด เนื่องจากอวี๋เยว่จะต้องเลือกตัวอ่อนรับไว้เป็นลูกศิษย์ ตามคำบอกของหมี่ลี่น้อย เรื่องนี้มีความคืบหน้าอยู่บ้าง
เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกผิดหวังสักเท่าไร ตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคน สุดท้ายแล้วจะเหลือกี่คนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วต่อ ก็แล้วแต่วาสนา
หลังจากนั้นก็เป็นการเลือกที่ตั้งและก่อตั้งสำนักที่ใบถงทวีปแล้ว คนทั้งกลุ่มสามารถนั่งโดยสารเรือข้ามฟาก ‘เฟิงยวน’ ที่ส่งมาจากราชวงศ์เสวียนมี่ ข้ามทวีปเดินทางไกลไปด้วยกัน แล้วถือโอกาสตรวจสอบหาเส้นทางการค้าที่ค่อนข้างมั่นคงให้กับเรือข้ามฟากไปพร้อมกันได้
ไปถึงใบถงทวีป เฉินผิงอันต้องไปที่ราชวงศ์ต้าเฉวียนก่อน ไปพบแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา
รอให้เรื่องของสำนักเบื้องล่างสิ้นสุดลงแล้ว เดิมทีควรจะชวนหลิวจิ่งหลงให้เดินทางไปเที่ยวเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยกัน แต่เนื่องจากทุกวันนี้ขอบเขตถดถอย เรื่องนี้คงต้องชะลอไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง นอกจากจะหลอมใหญ่ให้วัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้ว เฉินผิงอันก็ยังต้องใช้สถานะของผู้ฝึกตนเริ่มทำการปิดด่านตามความหมายที่แท้จริง เอาความรู้ของทั้งร่างมาหลอมรวมกันไว้ในเตาเดียว พยายามเลื่อนกลับไปเป็นขอบเขตหยกดิบเสียก่อนแล้วค่อยไปหาหลิวจิ่งหลงที่สำนักกระบี่ไท่ฮุย
อันที่จริงเรื่องน้อยใหญ่ล้วนมีมากมายดุจขนวัว
โต๊ะตรงหน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว หลังจากซิ่วไฉเฒ่าและเจิ้งจวีจงจากไป
ห่านขาวใหญ่ เด็กชายชุดเขียว แม่นางน้อยชุดดำ เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า
เฉินหลิงจวินไม่ใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้เห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเกรงอกเกรงใจคนผู้นั้นมากถึงเพียงนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าตนเองคงจะทำตัวเหลวไหลอีกรอบแล้ว
เฉินหลิงจวินไหล่ลู่คอตก ท่าทางอ่อนระโหยเหมือนคนป่วย ถามอย่างไร้ชีวิตชีวา “ทำไมก่อนจะออกเดินทาง คนผู้นั้นถึงต้องทิ้งประโยคที่ทำให้คนมึนงงสับสนเอาไว้ด้วย บอกว่าอาจารย์ของเขาปีนป่ายที่สูงอะไรนั่น”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง “เป็นคำพูดเกรงใจที่อาจารย์เจิ้งพูดกับจิ่งชิงกระมัง”
เฮ้อ กบาลน้อยๆ ของจิ่งชิงก็ยังไม่ค่อยฉลาดอยู่ดี
ตนคิดอยู่เสมอว่าจะแนะนำจิ่งชิงให้เข้าไปอยู่ในพรรคหนึ่งของยุทธภพ นั่นก็คือสายเรือนไม้ไผ่ที่ปิดบังอำพรางและธรณีประตูสูงมาก
ก่อนหน้านี้ได้พูดไปสองครั้งแล้ว แต่พี่หญิงหน่วนซู่กลับไม่ตอบตกลงเสียที ท่าทีของเผยเฉียนก็คลุมเครือ จึงได้แต่ถ่วงเวลาเอาไว้ตลอด
เฉินหลิงจวินใช้เสียงในใจพูดกับชุยตงซาน “คนผู้นั้นคือใคร เจ้าต้องรู้ตัวตนของอีกฝ่ายแน่ ช่วยบอกข้าหน่อยเถอะ?”
หลีกเลี่ยงไม่ให้หมี่ลี่น้อยตกใจ
ทว่าชุยตงซานกลับใจลอย เขาโบกมือ “ไม่ต้องรู้หรอก เจ้าแค่รู้ว่าเขาแซ่เจิ้งก็พอแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงร้ายกาจอย่างมาก
มีเพียงเขาเท่านั้นที่ถึงจะสามารถทำให้ป๋ายเจ๋อและเจิ้งจวีจงเปลี่ยนใจ
เห็นแก่หน้าของเขา
แต่ในใจของชุยตงซานกลับอัดอั้นมาก
เฉินหลิงจวินยกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นเช็ดโต๊ะ เอ่ยอย่างน้อยใจ “รู้ว่าแซ่เจิ้งแล้วจะมีประโยชน์อะไร ต้องไม่ใช่เจิ้งจวีจงแน่”
ชุยตงซานกลอกตามองบน
เฉินหลิงจวินเองก็คร้านจะคิดมากแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เขาหัวเราะเอ่ยว่า “พี่ชุย คิดอะไรอยู่น่ะ?”
ชุยตงซานเอ่ย “กำลังคิดถึงชื่อของสำนักเบื้องล่าง”
เฉินหลิงจวินตบโต๊ะเบาๆ “ไม่เข้าท่าเลย เรื่องอย่างการตั้งชื่อนี้ นายท่านเชี่ยวชาญที่สุด เจ้าจะมาร่วมวงด้วยทำไม คิดว่าตัวเองคือเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก็ข้าเป็นเจ้าสำนักน่ะสิ”
เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ “หมี่ลี่น้อย เจ้าคิดว่าคำพูดล้อเล่นนี้ตลกหรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม ไม่เอ่ยอะไร
ชุยตงซานอารมณ์ดีขึ้นโดยพลัน อาจารย์ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบหนึ่ง ได้ทำเรื่องราวไปมากมายถึงเพียงนั้น
ก็จะต้องเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมอย่างมาก
แม้ว่าขอบเขตจะถดถอยอย่างหนัก แต่ก็ไม่เป็นไร ที่ถดถอยก็เป็นแค่ขอบเขต ที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดกลับเป็นจิตแห่งมรรคา
ชุยตงซานไม่ต้องไปพบอาจารย์ที่เมืองหลวงต้าหลีก็สามารถจินตนาการได้ว่าทุกวันนี้อาจารย์มีสภาพการณ์อย่างไร
อาจารย์ในอดีต
เจ้าสามารถลองดูได้
อาจารย์ในเวลานี้
เจ้าจงพูดกับข้าให้ดีๆ