กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 880.2 ผู้แข็งแกร่งที่ทำให้จิตใจข้าหวั่นไหว
เห็นว่าหนันจานกำลังจะเปิดปากพูด เฉินผิงอันก็หยิบตะเกียบไม้อันหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ เอ่ยเตือนว่า “เจ้ามีโอกาสพูดแค่ประโยคเดียว หากไม่มีคำตอบที่แน่ชัด ข้าก็จะถือเสียว่าเจ้ายอมรับในการเลือกอย่างหลังไปโดยปริยาย”
หนันจานทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เมื่อเทียบกับตอนที่พบเจอกันในหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นก่อนหน้านี้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วันนี้นางถึงกับไม่กล้าพูดเหลวไหลแม้แต่คำเดียว
นางเหลือบมองบรรพบุรุษบ้านตน ฝ่ายหลังสีหน้าไร้อารมณ์
เฉินผิงอันรอคอยคำตอบนั้นเงียบๆ
บางครั้งการไม่ใช้เหตุผลกับคนไร้เหตุผล ก็คือการใช้เหตุผลอย่างหนึ่ง
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยใช้คำพูดถ่ายทอดและใช้การกระทำแสดงให้เห็นตอนอยู่บนหัวกำแพง สอนหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุดข้อหนึ่งให้กับเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังไม่ใช่อิ่นกวาน
……
กองโหราศาสตร์ของเมืองหลวง เจียนเจิ้งสองคนจำต้องมาเชิญตัวอาจารย์หยวนให้ช่วยทำนายเสี่ยงดวงอีกครั้ง
จำต้องยอมรับว่า ในเรื่องนี้หยวนเทียนเฟิงจึงจะเป็นยอดฝีมือ ‘นอกโลก’ อย่างแท้จริง
สถานะของหยวนเทียนเฟิงในกองโหราศาสตร์คล้ายคลึงกับเค่อชิงบนภูเขา
ถือเป็นกรณีพิเศษอย่างหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อน ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขากับชุดสีขาวหนึ่งชุดถูกเรียกตัวเข้าวังหลวง ให้มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ต้าหลี
หยวนเทียนเฟิงเชี่ยวชาญนรลักษณ์ศาสตร์ (การดูรูปลักษณ์หรือโหงวเฮ้ง) เคยทำนายดวงให้นายท่านผู้เฒ่ากวนของกรมขุนนาง แม่ทัพใหญ่ซูเกาซานและยังมีขุนนางคนสำคัญที่อยู่ใจกลางราชสำนักต้าหลีในอนาคตอย่างพวกเฉาผิงมาก่อน อีกทั้งยังแม่นยำตรงตามคำทำนายทุกคนด้วย
สำหรับเรื่องนี้ราชสำนักต้าหลีไม่มีข้อห้าม ขุนนางเองก็ไร้ข้อห้ามเช่นกัน
เวลานั้นนายท่านผู้เฒ่ากวนมีคำกล่าวที่กล่าวได้ดีมากอยู่อย่างหนึ่ง บอกว่าชะตาชีวิตยอดเยี่ยมที่มีครบทั้งร่ำรวยและสูงศักดิ์ ชุดคลุมสีม่วงเข็มทัดทองนั่งในห้องโถงสูง คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังได้อาศัยร่มเงา สะสมหยกทองกองกันเต็มศาลบรรพชน บอกว่าเฉาผิงมีกระดูกหน้าผากนูนเหมือนเขาของฉิว (มังกรตัวเล็กที่มีเขา) โหนกคิ้วสูงยาวเหมือนเทือกเขา ถือว่าหาได้ยากยิ่ง บอกว่าดวงตาของซูเกาซานมีเส้นเลือดสีแดงทะลุลูกตาดำ เวลาพูดจามีปราณสีชาดและสีเหลืองล้อมวนบนใบหน้า
หยวนเทียนเฟิงกล่าว “หลังจากที่อยู่ดีๆ เจ้าขุนเขาเฉินก็กลายไปเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ อันที่จริงคำทำนายก็มั่นคงอย่างมาก”
หม่าเจียนฝูซักถาม “ต้องมีคำว่า ‘แต่’ ตามมาด้วยหรือไม่?”
หยวนเทียนเฟิงยิ้มกล่าว “แต่รอกระทั่งอีกฝ่ายคล้ายจะไม่ใช่ขอบเขตสิบสี่แล้ว การทำนายกลับเปลี่ยนเป็นว่าดีร้ายยากคาดการณ์”
หยวนเทียนเฟิงยิ้มพูดต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้เป็นการยอมอดทนข่มกลั้นของเจ้าขุนเขาเฉิน ตอนนี้ก็ถึงคราวที่พวกเจ้าควรยอมอดทนบ้างแล้ว”
หม่าเจียนฝูแก้ไขให้ถูกต้อง “เป็นพวกเรา ต้าหลีของพวกเรา!”
ทางฝั่งซุ้มดอกไม้ในศาลเทพอัคคี
เฟิงอี๋เหล่ตามองสารถีเฒ่าที่มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้าเสพติดการขอเหล้าคนอื่นไปเปล่าๆ มากนักหรือ? คิดว่าตัวเองคือเหวินเซิ่งที่หน้าใหญ่กว่าฟ้าหรือไร?”
สารถีเฒ่าถอนหายใจ สีหน้ากลัดกลุ้ม ยื่นมือออกมา “มักรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นนานแล้ว ขนาดข้าผู้อาวุโสยังรู้สึกอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าหากไม่รีบดื่มเหล้าเสียตั้งแต่วันนี้ วันหน้าก็คงไม่ได้ดื่มอีกแล้ว ฉวยโอกาสที่ฝั่งของวังหลวงยังไม่ได้ตีกัน รีบเอาเหล้าร้อยบุปผามากาหนึ่งเร็วเข้า วันนี้ข้าผู้อาวุโสดื่มได้กี่กาก็ดื่มเท่านั้น”
เฟิงอี๋โยนเหล้าไปให้หนึ่งกา เอ่ยสัพยอกว่า “ตาแก่อย่างพวกเจ้า หากรู้สึกไม่มั่นใจก็ร่วมมือกันเข้าสิ หรือยังต้องกลัวว่าคนหนุ่มอายุไม่ถึงครึ่งร้อยคนหนึ่งจะมาหาเจ้าเพื่อรื้อบัญชีเก่าด้วย?”
สารถีเฒ่าแกะผนึกดินออก แหงนหน้ากระดกดื่มอึกใหญ่ ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก “ร่วมมือกับผายลมอะไรเล่า รื้อบัญชีเก่า? ตอนนี้ข้าผู้อาวุโสกลัวว่าจะถูกเจ้าเด็กนั่นสืบสาวเบาะแสไปขุดหลุมบรรพบุรุษแล้วด้วยซ้ำ เจ้าเด็กนี่ออกเดินทางไกลรอบนี้ พอย้อนกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งก็ผิดแปลกไปจากเดิม ผิดปกติอย่างมาก เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เกี่ยวข้องกับขอบเขตประหลาดนั่น แต่ก็เหมือนว่าจะไม่เรียบง่ายเพียงแค่เกี่ยวกับขอบเขตเท่านั้น”
เฟิงอี๋หลุดหัวเราะพรืดอย่างอดไม่ไหว “ทีอย่างนี้ล่ะรู้จักหลักการที่ต้องทำดีกับคนอื่นแล้วหรือ ปีนั้นฉีจิ้งชุนน่าจะพูดไว้ไม่น้อยกระมัง? พวกเจ้าแต่ละคนมีใครฟังเข้าหูบ้างเล่า? หากรู้แต่แรกไยต้องทำเช่นนี้”
สารถีเฒ่าเอ่ยอย่างอัดอั้น “หากรู้แต่แรกที่ทองพันชั่งยากจะซื้อได้ ยาเสียใจภายหลังที่ทองหมื่นชั่งยากจะซื้อได้”
มองเจ้าคนที่ในที่สุดก็ยอมจำนนแล้วผู้นี้ เฟิงอี๋ก็ไม่เอ่ยสัพยอกอีกฝ่ายอีก นางมองไปทางวังหลวง พยักหน้าเอ่ยว่า “ลมฟ้าลมฝนกำลังจะมา ไม่ใช่เรื่องเล็ก”
จวนตระกูลเฉา ในห้องหนังสือแห่งหนึ่ง
อาและหลานสองคนกำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่
เฉาเกิงซินกวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อเทียบกับห้องหนังสือของบิดาตนแล้ว ห้องหนังสือของท่านอารองก็แร้นแค้นเกินไปอยู่บ้างจริงๆ
ที่นี่นอกจากหนังสือแล้วก็คือหนังสือ ห้องหนังสือของบิดาสง่างามมีรสนิยมกว่ามากนัก มีดอกไม้ใบไม้งามครบถ้วน ยามฤดูใบไม้ร่วงมีทั้งไห่ถังและสุ่ยเซียน และยังมีขวดกระเบื้องเขียวดอกเหมยที่เป็นลายน้ำแข็งแตกเล็กละเอียด รวมไปถึงกรงนกไม้หนันมู่ประดับด้ายทองที่เรียงกันเป็นแถว เลี้ยงนกฮว่าเหมย นกหวงลี่ที่เสียงไพเราะที่สุด กระปุกอาหารนกที่อยู่ด้านในล้วนเป็นเฉาเกิงซินที่นำกลับมาจากเตาเผาของหลงโจว บิดาชื่นชอบอย่างมาก
ในฐานะลูกหลานสกุลเฉา เฉาเกิงซินกล้าอาละวาดงอแงกับท่านปู่ กล้าหยิบจับวาดภาพส่งเดชในห้องหนังสือของบิดา ทว่านับตั้งแต่เด็กมาก็น้อยครั้งนักที่จะมาเล่นอยู่กับท่านอารอง เขาไม่กล้า
นั่นเป็นเพราะใต้เท้าทูตผู้ตรวจการที่ตนเรียกว่าท่านอารองตรงหน้าผู้นี้เข้มงวดมากเกินไป
ยังดีที่อีกไม่นานท่านอารองจะต้องนำทัพมุ่งหน้าไปยังท่าเรือรื่อจุ้ยของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
เฉาผิง ได้รับตำแหน่งทูตผู้ตรวจการถือเป็นระดับสูงสุดของขุนนางบู๊แล้ว
ตลอดทั้งราชวงศ์ต้าหลี มีคนแค่ไม่ถึงห้าคน คนที่ยังมีชีวิตอยู่ อันที่จริงก็เหลือแค่สามคนเท่านั้น
เสาคานค้ำยันแคว้นฝ่ายบุ๋น ทูตผู้ตรวจการฝ่ายบู๊ ก็คือรูปแบบของต้าหลีในอนาคต
สกุลของเสาค้ำยันแคว้นสามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้ แต่ทูตผู้ตรวจการกลับทำไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายหลังล้ำค่ามากยิ่งกว่า ยากที่จะได้ครอบครองมากกว่า เพียงแต่ว่าสำหรับตระกูลแห่งหนึ่งแล้ว ข้อดีและข้อเสียของทั้งสองฝ่าย ตอนนี้ยังยากที่จะแบ่งสูงต่ำ
ส่วนหลังจากตายไปแล้วจะได้รับสมญานามอย่างไร ฮ่องเต้ไม่มีทางอวยยศย้อนหลังเป็นมหาราชครูอะไรแน่นอน เพราะเมื่อเทียบกับยศสองอย่างก่อนหน้านี้แล้วล้วนถือว่าเปล่าประโยชน์
ท่านอารองเฉาผิงคือแม่ทัพผู้มีความรู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนในราชสำนัก มีชาติกำเนิดจากเสาค้ำยันแคว้น เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ เสน่ห์และความสามารถครบครัน
วันนี้มีการประชันหมากล้อม
เฉาเกิงซินถือพัดพับหยกไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เดี๋ยวหุบเดี๋ยวคลี่ออกอยู่ตลอดเวลา เสียงพรึ่บพรั่บจึงดังไม่ขาดสาย
เจ้าคนที่เคยเป็นผู้ตรวจการงานเตาเผามานานหลายปีผู้นี้ ตรงเอวยังคงห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่เงาวับลูกเดิม
เฉาผิงเงยหน้าขึ้นมองหลานชายที่เอ้อระเหยลอยชายผู้นี้
เฉาเกิงซินหัวเราะหึหึ “ท่านอารอง แค่นี้ก็หงุดหงิดแล้วหรือ? ฝึกฝนจิตใจได้ไม่มากพอนะ”
เฉาผิงถาม “คันผิวหนังหรือ?”
เฉาเกิงซินจึงได้แต่นั่งตัวตรงอย่างสำรวม
อย่าว่าแต่พ่อแม่แท้ๆ เลย ขนาดท่านปู่ที่ออกจากราชการไปนานหลายปีเขายังไม่กลัว มีเพียงท่านอารองที่ตอนอยู่บ้านแทบจะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าคนนี้เท่านั้นที่เฉาเกิงซินหวาดกลัวจริงๆ
ช่วยไม่ได้ เป็นเพราะตอนเด็กเฉาเกิงซินถูกเฉาผิงตีจนขยาดแล้ว
ใครใช้ให้ตำแหน่งขุนนางของท่านอารองใหญ่ ลำดับอาวุโสสูง ความรู้มาก ความสามารถยิ่งมากกว่ากันเล่า ของสิ่งหนึ่งสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอนี่นะ
ปัญหาอยู่ที่ว่าทุกครั้งที่เฉาเกิงซินโดนซ้อมมักจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุเสมอ เรื่องที่เฉาเกิงซินคิดว่าตัวเองต้องโดนตีแน่นอน ท่านอารองกลับทำเป็นมองไม่เห็น ส่วนเรื่องที่เฉาเกิงซินคิดว่าไม่มีอะไร ผลกลับกลายเป็นว่าทุกครั้งเฉาผิงจะต้องใช้เข็ดขัดฟาดเขาอย่างแรง คนในบ้านไม่ว่าใครขอร้องก็ไม่เป็นผล
เสียงท่องหนังสือดังกังวานอยู่ในโรงเรียนของตรอกอี้ฉือ เสียงบิดาในตระกูลของถนนฉือเอ๋อร์ตีบุตรชายก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาอย่างถึงที่สุดแล้ว
ทว่าจวนตระกูลเฉาแห่งนี้ เฉาผิงเอาเข็มขัดฟาดเฉาเกิงซินผู้เป็นหลานก็สุดยอดมากเหมือนกัน ถนนและตรอกทั้งสองสายล้วนชอบชมเป็นเรื่องสนุกสนาน
เฉาผิงถาม “เจ้าจะแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรชายเมื่อไหร่?”
เฉาเกิงซินรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด เห็นว่าท่านอารองไม่มีทางปล่อยตนไปในเรื่องนี้ เพราะเป็นเหตุฉุกเฉินจึงได้แต่หาข้ออ้างมาปัดผ่านไป “ข้ารู้สึกว่าโจวไห่จิ้งนั้นดีมาก กลัวก็แต่ว่านางจะไม่ชอบข้า”
ในใจของเฉาเกิงซินรู้ได้ทันทีว่าท่าไม่ดีแล้ว ท่านอารองคิดเป็นจริงเป็นจังแล้ว!
แล้วก็จริงดังคาด เฉาผิงพยักหน้ารับ “สายตาไม่เลว เพียงแต่โจวไห่จิ้งไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาก็สมเหตุสมผลแล้ว ดังนั้นข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสามปี ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไรก็ต้องแต่งนางเข้าบ้านมาให้ได้”
เฉาเกิงซินจนคำพูดจะตอบโต้
ผลคือท่านอารองยังเอ่ยอีกประโยคที่ทำให้คนกลุ้มใจยิ่งกว่าเดิม “หากเจ้าไม่มีปัญญาจริงๆ แค่พาบุตรชายกลับมาบ้านก็พอ”
เฉาเกิงซินอึ้งงันบื้อใบ้
ท่านอารองเฉาผิงไม่เคยล้อเล่นกับใคร
อยู่ดีๆ เฉาผิงก็โพล่งมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าคิดว่าเฉินผิงอันเป็นคนอย่างไร ไหนลองว่ามาสิ”
เฉาเกิงซินเอ่ยเสียงเบา “ท่านอารอง แม้ว่าจะอยู่ในบ้าน แต่พวกเราสองคนคุยกันเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะเท่าไร”
สถานการณ์อันตรายที่ร่องน้ำหุบเขาลึกที่สุดในโลกก็คือวงการขุนนางนี่เอง
บนสนามรบ ต่อให้เจอกับศัตรูที่เป็นพวกดุดันร้ายกาจ ขุนพลผู้มีชื่อเสียงจะมีมากแค่ไหน แต่ก็เป็นแค่ดาบและหอกของจริงเท่านั้น
ทว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ในราชสำนักกลับเหมือนแมลงวันตอมหน้าเหมือนยุงตอมผิวหนัง ไล่อย่างไรก็ไม่ไป
เฉาผิงหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ส่งให้เฉาเกิงซิน “เจ้าไม่ใช่คนที่จะบอกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม”
เฉาเกิงซินอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างว่องไว ถึงกับเป็นการค้าอย่างหนึ่งระหว่างท่านอารองกับเฉินผิงอัน อ่านจบก็คืนจดหมายลับให้ท่านอารอง เฉาเกิงซินกระแอมสองสามที “ไม่สนิทกัน ไม่สนิทกันเลยจริงๆ หลายปีที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการก็ไม่เคยคุยกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว ไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันด้วยซ้ำ คนที่ไม่เปิดเผยความรู้สึกแบบนั้น ข้าไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ส่งเดชหรอก”
เฉินผิงอันเผยกายในเมืองเล็กน้อยครั้งมากจริงๆ ทุกครั้งที่กลับบ้านเกิดหลังจากเดินทางไกล ก็จะแค่กลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงเงียบๆ ไปที่หลุมศพ จากนั้นก็ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว แทบไม่เคยอยู่ในอำเภอไหวหวง หรือไม่ก็แค่ลงเขาไปตรวจสอบบัญชีที่สองร้านในตรอกฉีหลง
ส่วนเส้นทางของเฉาเกิงซินก็มีอยู่แค่ไม่กี่เส้น ที่ไหนมีเหล้าก็ไปที่นั่น แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยสถานะของเฉาเกิงซินแล้วก็ไม่เหมาะจะคบค้าสมาคมอะไรกับเฉินผิงอันจริงๆ
เฉาผิงใช้มือหนึ่งคีบเม็ดหมากออกมาจากโถเก็บเม็ดหมาก มือหนึ่งกดไว้ตรงเข็มขัด
เฉาเกิงซินเห็นท่าไม่ดีก็รีบพูดทันใดว่า “แต่ข้าเป็นสหายรักที่ถูกชะตากันดีกับเซียนกระบี่ใหญ่หลิว และเขาก็เป็นสหายสนิทที่ดีที่สุดของเฉินผิงอัน ดังนั้นนิสัยคร่าวๆ ของอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ ข้าจึงพอจะเข้าใจอยู่บ้าง ตอนอายุยังน้อยไม่ว่าทำอะไรเฉินผิงอันก็รอบคอบหนักแน่นเกินกว่าวัย แต่เขา…ไม่เคยทำร้ายใคร หากจะพูดถึงคนที่จะมาทำการค้าด้วย เฉินผิงอันต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแน่นอน ท่านอารองมีสายตาเฉียบแหลม ไม่มีคำใดมาบรรยายได้เลย!”
เฉาผิงเห็นว่าท่านอารองคล้ายจะยังไม่ค่อยพอใจก็แต่ได้เค้นสมองครุ่นคิด แล้วก็คิดคำกล่าวหนึ่งขึ้นมาได้ “ควบคุมตัวเองเหมือนอากาศฤดูใบไม้ร่วง ลงมือทำเรื่องต่างๆ ราวกับลมฤดูใบไม้ผลิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ทั้งขึ้นภูเขาและลงภูเขาแล้ว”
เฉาผิงถึงได้พยักหน้า “เด็กตระกูลยากจนมากความสามารถในมือกุมอำนาจสูง การวางตัวในสังคมและนิสัยทำเรื่องต่างๆ อย่างมั่นคง ต้องได้มาจากทั้งความโชคดีและสติปัญญาอย่างแน่นอน”
จวนตระกูลหยวน
หยวนฮว่าจิ้งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดออกมาจากโรงเตี๊ยม กลับมาที่ตระกูลอย่างหาได้ยาก ไปพบหยวนเจิ้งติ้งที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้
ทั้งสองฝ่ายนั่งดื่มชาตรงข้ามกัน
พวกเขาสองคนถูกมองเป็นคนสองคนที่โดดเด่นที่สุดภายในเวลาร้อยปีของสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้น
เพียงแต่ว่าอายุทั้งสองฝ่ายห่างกัน โชคดีที่ห่างกันแค่รุ่นเดียว
มองแค่รูปลักษณ์ภายนอก หยวนเจิ้งติ้งที่ถึงวัยกลางคน แต่อันที่จริงกลับดูแก่กว่าหยวนฮว่าจิ้งหลายส่วน
หยวนเจิ้งติ้งที่รับหน้าที่เป็นเจ้าเมืองของเขตหนึ่งในจังหวัดหลงโจว กับเฉาเกิงซินที่รับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาอยู่หลายปี ถูกคนเฒ่าคนแก่ในวงการขุนนางเมืองหลวงนำมาเปรียบเทียบกันอยู่ตลอด
บวกกับกวนอี้หราน หลิวสวินเหม่ย คนสี่คนที่อายุและฐานะทางบ้านใกล้เคียงกัน อีกทั้งทุกวันนี้ต่างก็มีชีวิตที่ดีกันมาก
อีกไม่นานหลิวสวินเหม่ยจะต้องติดตามเฉาผิงไปที่สนามรบของเปลี่ยวร้าง
เมื่อเทียบกันแล้ว เฉาเกิงซินจึงแปลกแยกที่สุด เป็นคุณชายแห่งเมืองหลวงตามแบบฉบับ เสเพลลอยชายมาตั้งแต่อายุยังน้อย
แน่นอนว่ายังขึ้นชื่อว่าร้ายกาจมาตั้งแต่เด็ก ‘ลมคาวฝนเลือด’ ที่เกิดขึ้นในตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ คุณความชอบอย่างน้อยที่สุดครึ่งหนึ่งล้วนต้องยกให้การพัดลมกระพือไฟจากนั้นก็ค่อยหากำไรจากมันของเจ้าหมอนี่
ดังนั้นหยวนเจิ้งติ้งจึงไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ อันใดต่อเฉาเกิงซิน
หยวนฮว่าจิ้งกล่าว “เจิ้งติ้ง ครั้งนี้เรื่องไม่คาดฝันมีไม่มาก”
เว่ยหลี่ผู้ว่าการจังหวัดหลงโจวที่มีชาติกำเนิดจากแคว้นหวงถิง อันที่จริงตอนนี้ก็อยู่ในเมืองหลวง แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเขาก็จะต้องไปจากเมืองหลวง ไปรับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมพิธีการของเมืองหลวงสำรองต้าหลี
ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งผู้ว่าจังหวัดหลงโจวที่ว่างลงก็จะกลายมาเป็นเนื้อชิ้นหอมที่กองกำลังแต่ละฝ่ายพากันแย่งชิง
ในวงการขุนนางก็มีตำแหน่งขุนนางสำคัญที่คล้ายคลึงกับสถานที่ที่จำเป็นต้องแย่งชิงของสำนักการทหารอยู่เช่นกัน
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากได้รับตำแหน่งผู้ว่าของหนึ่งจังหวัด สำหรับขุนนางบุ๋นแล้วก็คือขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาอย่างสมชื่อแล้ว
หยวนเจิ้งติ้งพยักหน้า ถามอย่างสงสัย “ได้รับบาดเจ็บหรือ?”
หยวนฮว่าจิ้งยิ้มกล่าว “ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เป็นขุนนางของเจ้าไปอย่างสบายใจเถอะ”
จากนั้นหยวนฮว่าจิ้งก็ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เรือข้ามฟากของอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่มาถึงชานเมืองหลวงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนใจกะทันหันจึงไม่ได้เข้ามาในเมือง”
นี่ก็คือข้อได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวที่หยวนฮว่าจิ้งเป็นผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดิน
ได้รู้เรื่องลับมากมายที่ลูกหลานแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นไม่มีทางกล้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ข้างกายอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่
สาวใช้จื้อกุย ขอบเขตบินทะยาน ทุกวันนี้นางเป็นหนึ่งในสุ่ยจวินของสี่มหาสมุทร
หม่าขู่เสวียน ภูเขาเจินอู่
รวมถึงภูเขาตะวันเที่ยง ภูเขาเมฆาเรือง และตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่า ตระกูลเซียนบนภูเขาเหล่านี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีความสนิทสนมกับจวนอ๋องเจ้าเมืองมาโดยตลอด
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังต้องรวมกองทัพม้าเหล็กต้าหลีหลายกองเข้าไปด้วย
ยังรวมไปถึงขุนนางที่หนุ่นแน่นแข็งแกร่งในที่ว่าการหกกรมของเมืองหลวงสำรองต้าหลี