กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 880.3 ผู้แข็งแกร่งที่ทำให้จิตใจข้าหวั่นไหว
หยวนเจิ้งติ้งพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่รู้จักโอรสสวรรค์ รู้จักแต่อ๋องพื้นที่ศักดินา นี่คือภัยร้ายใหญ่หลวงของแคว้น”
หยวนฮว่าจิ้งยิ้มกล่าว “ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
หยวนเจิ้งติ้งเอ่ย “ข้าเตรียมจะเสนอต่อฮ่องเต้ให้ย้ายเมืองหลวงไปที่ทิศใต้”
หยวนฮว่าจิ้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
หยวนเจิ้งติ้งถาม “ทางฝั่งของสกุลสวี่นครลมเย็นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
สกุลสวี่นครลมเย็นเคยให้บุตรสาวสายตรงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบุตรอนุภรรยาของสกุลหยวน
หยวนฮว่าจิ้งยิ้มตอบ “ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ได้รับความเสียหายอย่างหนัก”
ไปมีเรื่องกับเจ้าหมอนั่น นี่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
ตรอกเล็กที่ตั้งของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นมีผู้ดูแลจากตระกูลจ้าวมาเยือน บอกว่าต้องการให้จ้าวตวนหมิงกลับไปบ้านรอบหนึ่ง
ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มก็เป็นทายาทสายตรงของภรรยาเอกสกุลจ้าวเทียนสุ่ย
หลิวเจียเอ่ยเตือน “รีบไปรีบกลับ อย่าลืมเทียบอักษรพวกนั้นล่ะ ได้มามากเท่าไรก็เอามาเท่านั้น ข้าไม่รังเกียจที่มีมากเกินไป”
จ้าวตวนหมิงพยักหน้า “ต้องได้มาแน่นอน”
ในบรรดาแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้นต้าหลี หยวน เฉา กวน อยู่ในอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย จากนั้นก็เป็นตระกูลอวี๋ที่ให้กำเนิดฮองเฮาพระองค์หนึ่ง และสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ให้กำเนิดหม่าเจิ้ง (ผู้ดูแลม้าที่ทางการใช้งาน ทั้งเลี้ยง ฝึกฝน นำมาใช้งานและทำการค้าแลกเปลี่ยน) แห่งหนึ่งแคว้น ต่อมาจึงจะเป็นสกุลชิวฝูเฟิง สกุลหม่าโผหยาง ตระกูลเยี่ยนจื่อจ้าว ฯลฯ แต่ละฝ่ายมีความต่างกันไม่มาก ต่างคนต่างมีภูเขาและเส้นสายในวงการขุนนาง
ก่อนหน้านี้หลิวเจียช่วยขอเทียบคำสั่งสอนสกุลจ้าวจากเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ยมาให้เฉินผิงอันหนึ่งฉบับ
ตามข้อตกลง จะไม่พูดถึงเฉินผิงอัน จะบอกเพียงว่าหลิวเจียต้องการ
แม้จะบอกว่าสกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ดูแลสนามม้ามากมายของต้าหลีจะถูกผู้คนเรียกอย่างขบขันว่า ‘จ้าวขี้ม้า’
ทว่าอักษรกว่านเก๋อที่ใช้ในวงการขุนนางต้าหลี แท้จริงแล้วเป็นตัวอักษรของสกุลจ้าว
ก็เหมือนอย่างแผ่นป้ายขุนนางสวินปันของสวินชวี่ขุนนางศาลหงหลู และยังมีหินคำสั่งห้ามน้อยใหญ่ที่ใช้กันทั่วที่ว่าการขุนนางในหนึ่งแคว้น ก็ล้วนมาจากฝีมือของเจ้าประมุขสกุลจ้าวทั้งสิ้น
แต่ไหนแต่ไรมาหลิวเจียก็มักจะชอบวางมาดกับเจ้าประมุขสกุลจ้าว บางครั้งไปดื่มเหล้าที่นั่น นั่งดื่มกับขุนนางสำคัญขั้นสองที่ชื่อเสียงดีงามเลื่องลือไปทั่วต้าหลี หลิวเจียก็ยังเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เสี่ยวจ้าว’ คำแล้วคำเล่า
จ้าวตวนหมิงตามพ่อบ้านกลับไปที่บ้าน ได้เจอกับท่านปู่ที่เจ็บป่วยจึงต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณอย่างเด็กหนุ่ม เห็นๆ กันอยู่ว่าสุขภาพร่างกายของท่านปู่แข็งแรงดีมาก ไหนเลยจะมีท่าทางของคนที่ได้รับลมเย็นจนป่วยไข้
ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงขั้นบันไดของลานบ้านขนาดเล็ก ก้มตัวลงมาลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดายว่า “ช่วงนี้ไม่ถูกฟ้าผ่าเลยหรือ?”
จ้าวตวนหมิงค้อนปะหลับปะเหลือก
ผู้เฒ่าพาจ้าวตวนหมิงไปเดินเล่นในสวนดอกไม้พลางพูดพึมพำกับตัวเอง
บอกว่าใบถงทวีปคือตำราแห่งความเศร้าที่โกรธากับความไม่เอาไหนของมัน ฝูเหยาทวีปคือตำราแห่งความเดือดดาลที่เต็มไปด้วยคาวเลือด
ส่วนแจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือ…ตำราสวรรค์ที่…ทำให้ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายคนกันเองไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มรอจนผู้เฒ่าไม่โอ้อวดความรู้ต่อแล้วถึงได้ถามว่า “ท่านปู่ เทียบอักษรหนึ่งกระบุงท่านเตรียมไว้แล้วหรือยัง อาจารย์ของข้าต้องการด่วนสุดๆ เลย”
“ทำไมถึงเปลี่ยนมาเป็นกระบุงหนึ่งแล้วเล่า”
จากนั้นผู้เฒ่าก็ยิ้มเอ่ยว่า “คนที่ต้องการจริงๆ ไม่รีบร้อน อาจารย์ของเจ้าจะต้องรีบร้อนไปไย”
เด็กหนุ่มหุบปากฉับไม่พูดไม่จา ตนเป็นคนเก่าแก่มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนมากพอแล้ว มีหรือจะหลุดปากแพร่งพรายความลับอะไรออกไป
อยู่ดีๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ต้องเป็นสหายกับคนที่มีความกล้า ให้ความสำคัญกับความรู้สึกและมีคุณธรรม และต้องเอาความรู้ที่ได้จากชีวิตประจำวันมาเพิ่มพูนความสามารถ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าเอ่ย “ท่านปู่ ประโยคนี้ท่านพูดได้ดีมากเลย เขียนเป็นเทียบอักษรด้วยนะ ข้าจะได้เอาไปด้วย”
ผู้เฒ่ามองเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาแล้วพลันหัวเราะ
สำหรับคนแก่วัยไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่ง ทุกครั้งที่นอนหลับก็ไม่รู้เลยว่าจะใช่การบอกลาครั้งหนึ่งหรือไม่
แล้วก็คงเพราะเป็นเช่นนี้ คนแก่ทั่วไปจึงมักจะหลับไม่สนิทนัก
แสงอาทิตย์ในยามเช้าตรู่ของทุกวันคล้ายกับกวางสีทองตัวหนึ่งที่เหยียบย่ำลงบนหน้าผากของคนที่กำลังฝันหวานเบาๆ
วันนี้ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนพลันออกจากวังไปเยี่ยมญาติที่ตรอกฉี้ฉือมารอบหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้จัดขบวนใหญ่โต
สำหรับเรื่องแบบนี้สกุลซ่งต้าหลีมีการผ่อนปรนให้อย่างมาก กรมพิธีการก็มักจะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งอยู่เสมอ ไม่เคยมีคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ
องค์ชายซ่งซวี่และยังมีอวี๋อวี๋รับหน้าที่เป็นผู้คุมกันฮองเฮาเหนียงเนียง
อวี๋อวี๋ที่ยังเป็นแค่แม่นางน้อยคนหนึ่งอายุไม่มาก ทว่าลำดับอาวุโสในตระกูลกลับไม่ต่ำ ต่อให้ฮองเฮาเจอหน้านางก็ยังต้องเรียกนางคำหนึ่งว่าท่านน้าเล็ก
เอาเป็นว่าหากต้องเจอหน้ากัน ต่างคนก็ต่างเรียกขานกันไป อวี๋อวี๋ไม่คิดจะเกรงใจฮองเฮาเลยสักนิด
น่าเสียดายที่องค์ชายซ่งซวี่ชอบแกล้งโง่ใส่นาง ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องเรียกนางด้วยความเคารพว่าอี๋ไหน่ไน (คำเรียกญาติอย่างหนึ่ง เรียกพี่น้องของย่า ป้าหรือน้าของพ่อ ฯลฯ) แล้ว
สกุลอวี๋เสาค้ำยันแคว้นไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักในวงการขุนนาง เพียงแค่ดูแลเรื่องผ้าไหม ผ้าแพรและชาของในท้องถิ่นเท่านั้น
“ฮ่าๆ ตอนนั้นเซียนกระบี่เฉินให้คำวิจารณ์ที่สูงมากต่อซ่งซวี่”
เด็กสาวหัวเราะร่าชอบใจ กว่าจะหยุดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางเลียนแบบสีหน้าน้ำเสียงของเซียนกระบี่เฉิน ชี้นิ้วไปที่ซ่งซวี่ ผงกศีรษะพูดกับตัวเองว่า “ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี เด็กรุ่นหลังช่างน่ากลัว”
ฮองเฮายิ้มบางๆ
องค์ชายซ่งซวี่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่กิจการซบเซา ก่ายเยี่ยนและขู่โส่ว และยังมีเด็กหนุ่มอย่างพวกโก่วฉุน วันนี้มาคุยเล่นอยู่ด้วยกัน
โฮ่วแจว๋ภิกษุน้อยที่สวมจีวรผ้าโปร่งสีเรียบกลับไปที่หน่วยแปลคัมภีร์แล้ว
เก๋อหลิ่งก็เหมือนว่าจะถูกเรียกตัวกลับไปที่หน่วยเต้าเจิ้งด้วย
ก่ายเยี่ยนพลันสะดุ้งเยือก หน้าซีดขาวเล็กน้อย
โก่วฉุนหันหน้ามาถาม “เป็นอะไรไป?”
ผู้ฝึกตนแผนภูมิดินที่มีชื่อว่าขู่โส่วยิ้มจืดเจื่อนเล็กน้อย เหตุใดก่ายเยี่ยนถึงเป็นเช่นนี้ ตนก็คือคนที่มีความรู้สึกร่วมกับนาง
ท่ามกลางการเข่นฆ่าครั้งนั้น คนชุดขาวพูดแค่สองคำว่า ‘ดอกไม้บาน’ ลู่ฮุยผู้เป็นสหายก็ถูกกระบี่ยาวหลายสิบเล่มปักตรึงเข้าไปในร่างจนสภาพเหมือนเม่นตัวหนึ่ง
ภายหลังผีสาวก่ายเยี่ยนก็ถูกแสงกระบี่อีกนับไม่ถ้วนฟันจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย หากใช้คำพูดของ ‘คน’ ผู้นั้น นี่คือเวทกระบี่ที่เขาคิดค้นขึ้นเอง มีชื่อว่า ‘เศษจันทร์’
แล้วคนที่รอดพ้นจากหายนะมาได้อย่างพวกเขาจะไม่รู้สึกหวาดผวาไม่คลายได้อย่างไร?
อารามเต๋าแห่งหนึ่งในเมืองหลวงที่ประตูหน้ามีขนาดเล็กมาก
ฝ่ายเต้าเจิ้งของเมืองหลวงภายใต้การปกครองของหน่วยฉงซวีของต้าหลี
การประชุมที่เต้าเจิ้งของเมืองหลวงเป็นผู้ดำเนินการ
เมื่อรวมเก๋อหลิ่งอยู่ด้วย เต้าลู่หกกรมอย่างกองทำเนียบ กองดำเนินคดี กองคำเขียว กองตราประทับ กองภูมิศาสตร์ กองกฎข้อบังคับล้วนมากันครบแล้ว
และยังมีนักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งที่ชอบหรี่ตา คลี่ยิ้มน้อยๆ ประดับใบหน้าอยู่ตลอด
ไม่ใช่ว่าเป็นเสือหน้ายิ้มอะไร แต่เป็นเพราะตอนอายุน้อยชอบจุดตะเกียงอ่านตำรา แล้วก็มักจะอ่านตลอดทั้งคืนจึงทำให้สายตาเสีย
แม้จะบอกว่าสายตากลับมาดีดังเดิมแล้ว แต่ความเคยชินก็เปลี่ยนกันได้ยาก
เขามาจากแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งของต้าหลีในอดีต แคว้นชิงหลวนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป มาจากอารามเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ทว่าทุกวันนี้กลับเป็นนักพรตที่เป็นผู้นำของหน่วยฉงซวี
สวินชวี่ขุนนางหนุ่มของศาลหงหลู ช่วงนี้มีงานลับอย่างหนึ่งเพิ่มมา รับผิดชอบคอยรวบรวมรายงานจากที่ว่าการใหญ่แห่งต่างๆ ของราชสำนัก
ลำดับขั้นขุนนางไม่สูง แค่ขั้นเก้าชั้นโทเท่านั้น แต่เป็นจิ้นซื่อจากการสอบเคอจวี่ซึ่งถือเป็นขุนนางน้ำใส จึงค่อนข้างได้รับความสำคัญจากศาลหงหลู เป็นเหตุให้นอกจากจะทำหน้าที่ ‘ซวี่ปัน’ แล้ว ยังรับหน้าที่ในกองกิจวัดของเมืองหลวงและทำงานในหน่วยถีเตี่ยน นี่ไม่ใช่การฝึกประสบการณ์ในวงการขุนนางที่ธรรมดาทั่วไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าจะได้เลื่อนขั้นแล้ว
ซื่อชิงของศาลหงหลูแค่ถามสวินชวี่เป็นการส่วนตัวประโยคเดียว ความรู้ของอาจารย์เฉินเป็นเช่นไร
แน่นอนว่าสวินชวี่ไม่กล้าพูดเหลวไหล จึงได้แต่บอกว่าเขายังไม่ได้สนิทสนมกับอาจารย์เฉินมากนัก
ภูเขาลั่วพั่ว
ชุยตงซานนั่งขัดสมาธิ ในลานบ้านมีแผนที่ขุนเขาสายน้ำทางทิศเหนือของใบถงทวีปอยู่แผ่นหนึ่ง
เฉินหลิงจวินนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กด้านข้าง กำลังยกข้อศอกนวดไหล่ให้พี่ใหญ่ชุย
เฉินหลิงจวินแทบจะไม่เคยเห็นชุยตงซานมีสีหน้าและแววตาที่จริงจังขนาดนี้มาก่อน
นับตั้งแต่คนแซ่เจิ้งผู้นั้นมาเยือนแล้วจากไป ห่านขาวใหญ่ก็กลายมาเป็นเช่นนี้
หรือว่าบัณฑิตที่ชอบแต่งตัวเป็นห่านขาวใหญ่ล้วนชอบทำตัวแบบนี้เหมือนกันหมด?
ปัญหาก็คือเจ้าคนแซ่เจิ้งแต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไรผู้นั้น เวลาเดินไม่เห็นว่าส่ายซ้ายโยกขวาเลยนี่นา
เฉินหลิงจวินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถามว่า “พี่ใหญ่ชุย เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือลั่วซานมู่เค่อ?”
ชุยตงซานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คือคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่อาศัยในป่าเขาปลีกตัวจากโลกภายนอก นับแต่โบราณมาก็ชอบเอาสิ่งของไปแลกเปลี่ยนสิ่งของ ไม่ชอบให้สองมือสัมผัสกับเงิน แต่มีชื่อเสียงไม่โดดเด่นนักบนภูเขาของไพศาล คนที่อยู่เบื้องหลังร้านผ้าห่อบุญของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงล้วนมีชาติกำเนิดจากลั่วซานมู่เค่อ ทว่าต่อให้มีชาติกำเนิดมาจากคนกลุ่มนี้เหมือนกัน ขอแค่ลงจากภูเขาก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กันเท่าใดนัก”
เฉินหลิงจวินถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้จักสตรีที่ชื่อว่าฉินปู้อี๋หรือไม่?”
ชุยตงซานใจลอย ส่ายหน้าตอบ “ไม่เคยได้ยิน”
เฉินหลิงจวินพูดเสริม “นางบอกว่าตัวเองเป็นคนของเขตถงหลงแผ่นดินกลาง”
ชุยตงซานคิดแล้วก็ถามว่า “นางได้พกดาบที่ด้ามทำมาจากไม้ป๋ายหยางหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินตกตะลึงอย่างหนัก “มีจริงๆ ด้วย!”
มารดามันเถอะ คงไม่ใช่ว่าเจอเข้ากับตะปูแข็งทิ่มแทงมืออีกแล้วหรอกนะ?
สายตาของชุยตงซานเอาแต่จับจ้องไปยังแผนที่ที่มีกลิ่นอายเซียนล่องลอยแผ่นนั้นอยู่ตลอดเวลา เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถูกแล้ว รูปโฉมงามล้ำเหมือนบุปผา ในมือถือดาบป๋ายหยาง ฆ่าคนกลางเมือง นางกับป๋ายเหย่เป็นคนที่เดียวกัน อายุก็พอๆ กัน ชื่อเสียงโด่งดังมาก ตอนที่นางสังหารศัตรูในตลาดที่ผู้คนพลุกพล่าน ทั้งยังไม่ได้เรียนวรยุทธแล้วก็ไม่ได้ฝึกตน นักประพันธ์จำนวนไม่น้อยซึ่งรวมถึงป๋ายเหย่ต่างก็เคยเขียนบทกวีให้นางมาก่อน แต่ได้ยินมาว่าหลังจากนั้นไม่นานนางก็หายเข้ากลีบเมฆ ดูท่าคงจะขึ้นเขาไปฝึกตนแล้ว เหมาะกับนางอย่างมาก มีข่าวลือบนภูเขาบอกว่า วิชาหมัดทักษะการต่อสู้ของเด็กสาวฉุนชิงแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ก็เป็นฮูหยินภูเขาชิงเสินที่เชิญให้คนผู้นี้มาถ่ายทอดวิชาให้”
เฉินหลิงจวินยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ถามอย่างขลาดๆ ว่า “แต่ตอนที่ข้าอยู่ตรอกฉีหลง มองดูแล้วอย่างมากนางก็มีตบะแค่ขอบเขตก่อกำเนิดเองนะ?”
ในเมื่อฉินปู้อี๋ผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกับผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของไพศาล ถ้าอย่างนั้นนางก็ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด มีอายุขัยของขอบเขตก่อกำเนิดอะไรแน่นอน
ชุยตงซานกล่าว “ไม่ต้องกังวล ในเมื่อนางติดตามเฉินเจินหรงมา ก็คงไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร”
แต่ไหนแต่ไรมาแจกันสมบัติทวีปก็ไม่เคยเป็นที่รักที่ชื่นชอบ ขอบเขตปลายทางของซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี ขอบเขตหยกดิบอายุสี่สิบของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ต่างก็ถูกมองเป็นเรื่องหายากที่ ‘ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’
แต่ทุกวันนี้ทวีปอื่นๆ กลับมีคนประหลาดมากความสามารถเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนแจกันสมบัติทวีปมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ในเมื่อเจ้าหมอนั่นเป็นลูกศิษย์ของป๋ายหมาง ถ้าอย่างนั้นจะดีจะชั่วข้าก็เป็นผู้อาวุโสรุ่นอาจารย์ลุงของเขา คราวหน้าเจอเจ้าคนแซ่เจิ้งผู้นั้น คอยดูเถอะข้าจะเอาน้ำหมึกถังใหญ่ๆ สาดใส่เขาเลย ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องช่วยระบายความแค้นแทนเจ้าให้จงได้!”
นี่ก็คือประโยคอาฆาตที่เฉินหลิงจวินแข็งใจเอ่ยออกมา
ช่วยไม่ได้ ชุยตงซานเป็นอย่างนี้อยู่ตลอด เฉินหลิงจวินเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย
เดิมทีชุยตงซานอยากเตือนเฉินหลิงจวินว่าพูดจาควรระวังหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวพันกับคน ‘แซ่เจิ้ง’ นั่นด้วยแล้ว เพียงแต่ว่าลองคิดดูอีกทีกลับดูเหมือนว่าจะเตือนใครก็ไม่ต้องเตือนเจ้าคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้
เซียนฉาแห่งไพศาล เถาถิงแห่งเปลี่ยวร้าง หากจะเทียบกันด้านคุณูปการอันยิ่งใหญ่ เกรงว่าคงต้องแพ้ให้กับนายท่านใหญ่ผู้นี้แล้ว
ชุยตงซานคล้ายจะอารมณ์ดีขึ้น จึงพลันยื่นแขนไปรั้งคอของเฉินหลิงจวิน หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “อาจารย์รับผู้มีความสามารถมากพรสวรรค์อย่างเจ้ามาได้อย่างไรกันนะ”
“แววตา เป็นแววตาของนายท่าน ความโชคดี เป็นความโชคดีของข้า”
เฉินหลิงจวินหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้หมี่ลี่น้อย
หมี่ลี่น้อยรีบยกสองมือขึ้น ชูนิ้วโป้งให้เขาสองข้าง จิ่งชิง จิ่งชิงนี่นะ
ซานจวินเว่ยป้อเดินจากประตูเข้ามาในลานบ้าน
เฉินหลิงจวินโคลงศีรษะ แต่ก็ไม่สามารถสลัดแขนของห่านขาวใหญ่ให้หลุดได้ เฉินหลิงจวินจึงยอมอ่อนข้อให้ หัวเราะฮ่าๆ โบกมือเอ่ยว่า “โอ้ นี่มันพี่เว่ยไม่ใช่หรือ แขกที่หาได้ยาก แขกที่หาได้ยาก”
เว่ยป้อคร้านจะสนใจเฉินหลิงจวิน มือหนึ่งถือเอกสารแผ่นหนึ่ง ยิ้มเอ่ย “ข่าวดี เรือข้ามทวีปเฟิงยวนลำนั้นได้ผ่านการตรวจสอบเส้นทางเดินเรือบนแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปจากทางราชสำนักต้าหลีแล้ว ไม่มีความเห็นต่างใดๆ แต่ก็มีเรื่องที่ต้องระวังสองสามข้อ”
ที่แท้ชุยตงซานได้จัดวางเส้นทางที่สมบูรณ์แบบเส้นทางหนึ่งไว้เรียบร้อยแล้ว จากท่าเรือตระกูลเซียนของราชวงศ์ต้าหยวนภาคกลางของอุตรกุรุทวีปไปจนถึงท่าเรือชวีซานทางทิศใต้สุดของใบถงทวีป
ในเมื่อตนต้องไปเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง ก็ไม่อาจทำตัวเกียจคร้านเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นคงต้องเริ่มรับลูกศิษย์แล้ว
จะฝืนใจรับเซี่ยเซี่ยผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อก็แล้วกัน
ในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งเก้าก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่เช่นกัน
อันที่จริงเรื่องพวกนี้ต่างก็เกิดขึ้นเร็วกว่าที่ชุยตงซานคาดการณ์ไว้มากนัก อย่างน้อยที่สุดก็เร็วกว่าเดิมหกสิบปี
อีกทั้งแผนการที่แท้จริงของชุยตงซานก็ยังอยู่ไกลกว่าใบถงทวีป อยู่ที่ใต้หล้าห้าสี
ชุยตงซานลุกขึ้นเดินพลางคุยกับเว่ยซานจวิน เดินไปที่ริมหน้าผาของเรือนไม้ไผ่ด้วยกัน
หลังจากที่เว่ยป้อขอตัวกลับไปแล้ว ชุยตงซานก็ผลักประตูห้องของอาจารย์ที่ชั้นหนึ่งเรือนไม้ไผ่ให้เปิดออก
เป็นทั้งห้องหนังสือและเป็นทั้งห้องพัก
ด้านในห้องแขวนกลอนคู่ที่อาจารย์ชื่นชอบอย่างถึงที่สุดไว้คู่หนึ่ง
คือกลอนคู่ตัวอักษรสีทองบนกระดาษสีฟ้าลายเมฆและค้างคาว
‘ลมฝนนอกขุนเขากระบี่สามฉื่อ มีเรื่องถือกระบี่ลงภูเขา’
‘บุปผาวิหคกลางหมู่เมฆตำราเต็มห้อง ไร้ทุกข์ไร้กังวลเปิดตำราอริยะปราชญ์’
ชุยตงซานเงยหน้ามองกลอนคู่ แต่ไม่นานก็เดินออกจากห้อง ปิดประตูลงแล้วเอาสองมือสอดไว้ใต้ท้ายทอย กระโดดไปตามก้อนอิฐเขียวหกก้อน สุดท้ายหยุดยืนนิ่งด้วยสองเท้าบนอิฐเขียวก้อนหนึ่ง
เด็กหนุ่มชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สิ่งที่ทำให้จิตใจข้าหวั่นไหว แสงจันทร์ สาวงาม หิมะตก แสงกระบี่”