กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 881.1 นั่งนิ่ง
งานเลี้ยงสุราส่วนตัวที่ถูกเรียกขานอย่างไพเราะว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับจัดขึ้นในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง กลุ่มบุปผานานาพรรณรวมกลุ่มชูช่ออยู่บริเวณโดยรอบ กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูกทำให้คนอารมณ์ผ่อนคลาย
โต๊ะกลมขนาดเล็กที่ทำจากหยกขาวตัวหนึ่งถูกยกออกมาตั้งไว้นานแล้ว เฉินผิงอันกับไทเฮาต้าหลีนั่งลงตรงข้ามกัน
บนโต๊ะยังวางกล่องไม้ที่สะดุดตาใบหนึ่งไว้ด้วย หนันจานถือกำเนิดที่เขตอวี้จาง แค่มองก็รู้ว่ากล่องอาหารใบนี้ทำมาจากไม้ของบ้านเกิดตัวเอง
เหล้าหนึ่งกา ตะเกียบไม้ไผ่เขียวสองคู่ ขนมราคาย่อมเยาประดับเสริมอีกเล็กน้อย เอามาทำเป็นกับแกล้ม
ทำเอาหนันจานที่ได้เห็นขมวดคิ้วมุ่น ทำไม เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนจากตรอกเก่าโทรมของเมืองเล็กคนหนึ่ง พอได้เป็นคนบนภูเขาก็ชอบโอ้อวดตนเช่นนี้หรือ?
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่สถานะยังคงเป็นดั่งเงาจันทร์ในม่านเมฆนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
นี่คล้ายการทะเลาะเบาะแว้งในยุทธภพที่สะสมความแค้นมาเนิ่นนาน พอลมและน้ำหมุนเปลี่ยนฝั่ง ฝ่ายที่ต้องยอมอ่อนข้อเนื่องจากตกเป็นรอง ทั้งไม่กล้าฉีกหน้าแตกหักไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ทั้งไม่ยินดีจะเสียศักดิ์ศรีมากเกินไป จำเป็นต้องหาบันไดลงให้กับตัวเอง จึงได้แต่เชิญคนมีชื่อเสียงในยุทธภพคนหนึ่งมาให้การช่วยเหลือ ช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้
ส่วนเด็กหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ต่อให้ยังมีที่ว่าง ทว่ากลับไม่ได้นั่งลง เลือกจะยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน สองมือวางทับซ้อนกันไว้ที่หน้าท้อง ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ
เฉินผิงอันหยิบยันต์ส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วัสดุธรรมดา สองนิ้วขยับกระดาษยันต์ประทับตราสีเหลือง จากนั้นวางมันลงบนกล่องอาหาร ยันต์ส่องไฟค่อยๆ ลุกไหม้ช้าๆ เป็นการเตือนไทเฮาต้าหลีที่แสร้งทำตัวเป็นคนใบ้ว่าเวลามีจำกัด
หนันจานเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น หรี่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นลง
อยู่ดีๆ ก็ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐี จึงลืมกำพืดของตัวเอง โอ้อวดบารมีอยู่ที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นก็แล้วไปเถิด เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นสถานที่ที่ราชครูชุยใช้ศึกษาวิชาหาความรู้ ทว่าทั้งๆ ที่เป็นผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของต้าหลีคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เหลือทั้งภูเขาต่างก็ต้องถูกบันทึกลงเอกสารของราชสำนักสกุลซ่ง แต่กลับยังกล้าบีบคั้นคนอื่นอยู่ในวังหลวงต้าหลีเช่นนี้?
นางกำลังจะใช้เสียงในใจพูดคุยกับบรรพจารย์สกุลลู่สองสามประโยค
คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของหนันจาน ส่ายหน้าทันที ใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่นางว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม
หากอีกฝ่ายคิดว่าเจ้าหนันจานให้คำตอบแน่ชัดแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังจะต้องคุยอะไรกันอีก
คนหนุ่มอย่างเฉินผิงอันผู้นี้เชี่ยวชาญการแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นจริงๆ ก็เหมือนอย่างตอนนี้ มองดูคล้ายเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทอง? ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล? หลอกผีหรือไร
อีกทั้งภาพบรรยากาศขอบเขตสิบสี่ของก่อนหน้านี้ก็ชั่วร้ายเกินไป ความเป็นมาไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นหากหนันจานใช้เสียงในใจพูดคุยกับตนจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกอีกฝ่ายแอบฟังเข้าหู
วันนี้เฉินผิงอันมาเยือนวังหลวงของต้าหลี บอกชัดว่าต้องการพบไทเฮาหนันจาน แสดงออกชัดเจนว่าความอดทนของเขาได้หมดสิ้นไปแล้ว
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เริ่มหลับตาทำสมาธิ
ผู้ฝึกตนหนุ่มยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแนะนำตัวเองเสียหน่อย ข้าแซ่ลู่นามเหว่ย เหว่ยจากประโยคยุงกัดหางม้าเดิน (เปรียบเปรยว่าแอบอิงผู้มีอำนาจเพื่อให้ตัวเองได้มีชื่อเสียง) ข้ากับลู่เจี้ยงและลู่ไถต่างก็มาจากสายตรงของสกุลลู่”
บรรพจารย์สกุลลู่ที่แนะนำตัวเองผู้นี้เอ่ยต่ออีกว่า “ก็เหมือนที่เจ้าขุนเขาเฉินพูดระหว่างที่เดินกันมา ข้าผู้แซ่ลู่ฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูมานานหลายปีจริงๆ เหนือกว่าเวลาที่ฝึกตนในตระกูลเสียอีก ดังนั้นเจ้าและข้าจึงพอจะถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัวได้”
ใจของหนันจานพอจะสงบลงได้บ้างเล็กน้อย
การดำรงอยู่ของบรรพจารย์สกุลลู่ท่านนี้เป็นทั้งพลานุภาพที่มาจากตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้นางจำเป็นต้องเป็นลู่เจี้ยงจากสายตรงสกุลลู่ก่อน ถึงจะเป็นหนันจานแห่งเขตอวี้จางต้าหลีได้ แต่ลู่เหว่ยก็เป็นที่พึ่งทางใจที่ใหญ่ที่สุดของนางในตอนนี้ เป็นภูเขาที่ช่วยหนุนหลังให้กับนาง
แม้จะบอกว่าลู่เหว่ยไม่ใช่เจ้าประมุขสกุลลู่แผ่นดินกลาง แต่ผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางคนหนึ่งที่ขาดแค่ครึ่งก้าวก็เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้แล้ง ตบะลึกหรือตื้น พลังพิฆาตสูงหรือต่ำ อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่สมบัติอาคมหรือเวทวิชาอภินิหารที่ใช้โจมตี แต่อยู่ที่การชิงลงมือก่อน
หากนางสามารถเลือกได้เอง หนันจานย่อมไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับสกุลลู่แม้แต่น้อย เป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใย เป็นตายไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง
หนันจานหวังว่าตัวเองจะเป็นแค่บุตรสาวสายตรงของสกุลหนันเขตอวี้จางเท่านั้น พอจะมีคุณสมบัติในด้านการฝึกตนอยู่บ้างเล็กน้อย ได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีคนหนึ่ง ให้กำเนิดบุตรชายที่ดีสองคน
แต่ละวันกว่าจะอดทนผ่านจากลูกสะใภ้มาเป็นแม่สามีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ในที่สุดก็ทนจนถึงวันที่ซิ่วหู่ผู้นั้นตายไป ทนจนบุตรชายสองคน คนหนึ่งเป็นฮ่องเต้คนหนึ่งเป็นอ๋องเจ้าเมือง นางเองก็สามารถเปลี่ยนจากฮองเฮาต้าหลีที่ต้องระมัดระวังสำรวมตน กลายมาเป็นไทเฮาที่สามารถออกราชโองการ สามารถเข้าร่วมกิจของทางราชสำนักต้าหลีในระดับที่แน่นอนได้ ไม่ได้เป็นเหมือนลูกสะใภ้ที่เป็นนางจิ้งจอกมาตั้งแต่เกิดที่มีสถานะเป็นฮองเฮา ซึ่งก็ได้แต่คุยเรื่องสัพเพเหระกับพวกฮูหยินตราตั้งทั้งหลายเท่านั้น
เฉินผิงอันลืมตาถาม “ลู่ฮุยลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เป็นผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินของต้าหลีก็เป็นลูกหลานสายตรงที่สืบทอดมาจากสกุลลู่แผ่นดินกลางของพวกเจ้าเช่นกันหรือ?”
ลู่เหว่ยขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าประมุขของสำนักแห่งหนึ่งที่ตั้งตัวมาได้จากสองมือเปล่า ความคิดจิตใจโบยบินไปไกล มักจะมีความเคยชินในการคิดเรื่องที่คนทั่วไปคิดไม่ถึง
คนทั่วไป ต่อให้รู้เส้นทางแห่งความร่ำรวยของเจ้าขุนเขาเฉินท่านนี้ บางทีส่วนใหญ่อาจจะให้ความสนใจกับโชควาสนาตระกูลเซียนของเขามากกว่า
แต่ลู่เหว่ยคุ้นเคยดีกับขนบธรรมเนียมและเรื่องวงในน้อยใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจู จึงรู้อย่างลึกซึ้งว่าเด็กกำพร้าตรอกเก่าโทรมที่ไร้ที่พึ่งคนหนึ่งสามารถเดินมาจนถึงก้าวนี้ได้ ไม่ง่ายปานใด
วันนี้ลู่เหว่ยที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางที่มีความจริงใจอย่างถึงที่สุด เขาไม่ได้ปิดบังอำพรางใดๆ ส่ายหน้าตอบว่า “เจ้าเด็กลู่ฮุยนั่นเป็นแค่ทายาทสายรองเท่านั้น ไม่ค่อยเหมือนกับไทเฮาเหนียงเนียง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชาติกำเนิดของตัวเอง”
เฉินผิงอันกล่าว “หากข้าเป็นคนจับปลาที่เพิ่งจะถักแหตอนอยู่ใกล้ริมน้ำ บางทีอาจจะต้องท่องคำพูดเก่าแก่ประโยคหนึ่งซ้ำไปมาหลายรอบอยู่ทุกวัน ตาข่ายสวรรค์แม้จะห่างแต่ไม่รั่ว”
ลู่เหว่ยพยักหน้ารับ “ถ้อยคำล้ำค่าดุจทองดุจหยก เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
สารถีเฒ่าที่ก่อนหน้านี้คุ้มกันหนันจานไปหาเฉินผิงอันที่ตรอกเล็ก คนที่เขาทุ่มเดิมพันด้วยอย่างหนักก็คือหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่ภายหลังไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาเจินอู่
ส่วนสตรีตระกูลเฟิงผู้นั้น แม้จะมีชาติกำเนิดมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเช่นเดียวกับสารถีเฒ่า แต่กลับไม่เคยมีจุดยืนอะไร ไม่ว่าใครก็ไม่ล่วงเกิน ผูกบุญสัมพันธ์กับคนไปทั่ว
ส่วนลู่เหว่ยกับผู้ประคับประคองมังกรที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเผยกายให้เฉินผิงอันเห็น กลับลงเดิมพันไว้ที่สกุลซ่งต้าหลีซึ่งตอนนั้นยังเป็นแค่ฝ่ายที่ต้องพึ่งพาสกุลหลู
และช่วงเวลาที่ลู่เหว่ยจำศีลอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู การลงมือที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ไม่ใช่อยู่เบื้องหลังคอยช่วยอดีตฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีวางแผนเรื่องการเลือกที่ตั้งของห้ามหาบรรพตเก่าให้กับต้าหลี แต่เป็นก่อนหน้านั้น ลู่เหว่ยได้อบรมปลูกฝังคนรุ่นเยาว์ของถ้ำสวรรค์หลีจูสองคนอย่างตั้งใจ ช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับพวกเขา ภายหลังสองคนนี้ก็ได้กลายเป็นขุนนางผู้กอบกู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าหลี เฉาห้าง หยวนเซี่ย หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ เสาคานของแคว้น ช่วยให้ต้าหลีข้ามผ่านวันเวลาแห่งความทุกข์ยากที่อันตรายที่สุด เป็นเหตุให้ต้าหลีที่ตอนนั้นยังเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลหลูหลบพ้นจุดจบที่จะถูกราชวงศ์สกุลหลูกลืนกินอย่างสิ้นเชิงมาได้
แต่เพื่อกลบร่องรอย ตอนนั้นลู่เหว่ยได้ขอให้เฟิงอี๋ลงมือ ให้นางส่งคนทั้งสองออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู
และการที่ทุกครอบครัวในหนึ่งทวีปต่างก็ติดภาพเทพทวารบาลเฉาหยวนสองคน ทำให้ลู่เหว่ยได้แบ่งโชคชะตาขุนเขาสายน้ำมาเยอะมาก ได้รับผลประโยชน์บนมหามรรคาอย่างมหาศาล ในที่สุดคอขวดขอบเขตเซียนเหรินก็มีลางว่าจะคลายตัวแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ศาลเทพอัคคี เฟิงอี๋เอ่ยสัพยอกสารถีเฒ่า บอกว่าหากไม่ได้จริงๆ เพื่อปกป้องตัวเองก็ไม่สู้บอกรากฐานของคนบางคนออกไป
คนที่เฟิงอี๋หมายถึง ก็คือลู่เหว่ย
สารถีผู้เฒ่ายังนับว่ามีศักดิ์ศรี ไม่ยินดีจะลดตัวต่อหน้าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่ในอดีตเขาไม่คิดจะมองให้เต็มตาอย่างเฉินผิงอัน จึงไม่ได้ทำอย่างที่นางแนะนำ
แต่เหตุผลที่ใหญ่กว่านั้นยังเป็นเพราะสารถีเฒ่าคิดมาโดยตลอดว่าสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขา รวมกันแล้วก็ยังสู้คนที่ทำนายเป็นคนเดียวไม่ได้
เห็นว่าคนทั้งสองพูดคุยกันอย่างปรองดอง หนันจานกลับเริ่มกระวนกระวายไม่เป็นสุข
ตนคงจะไม่กลายเป็นหมากที่ถูกบรรพจารย์ของสกุลลู่ทอดทิ้ง หรือกลายเป็นเบี้ยที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนหรอกกระมัง?
ลู่เหว่ยพลันขยับเส้นสายตามองไปยังองค์รักษ์ท่าทางประหลาดที่อยู่ข้างหลังเฉินผิงอัน ยิ้มถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน สหายที่ใช้นามแฝงว่า ‘โม่เซิง’ ผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนของไพศาลพวกเรากระมัง?”
ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่แม้แต่เขาก็ยังมองความเป็นมา มองตบะตื้นลึกไม่ออก อย่างน้อยที่สุดต้องขอบเขตเริ่มต้นก็ต้องอยู่ที่เซียนเหริน
เมื่อครู่ระหว่างที่นำทางมา ลู่เหว่ยลองอนุมานเงียบๆ น่าเสียดายที่เจอแต่ปมยุ่งเหยิง ไร้เบาะแสให้สืบเสาะ
ลู่เหว่ยเองก็ไม่กล้าจะคำนวณมากนัก กังวลว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น กลายเป็นการสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับตัวเอง
เพียงแต่ว่าท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น ลู่เหว่ยมักจะรู้สึกว่า ‘โม่เซิง’ ที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดผู้นี้ได้ซุกซ่อนจิตสังหารยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลังใบหน้าเปื้อนยิ้มที่สุภาพนอบน้อม
เฉินผิงอันเอ่ยแนะนำ “ผู้อาวุโสลู่มีชื่อเสียงและคุณธรรมอยู่บนภูเขา อีกทั้งเวลาในการฝึกตนก็วางให้เห็นอยู่ตรงนั้น เรียกเขาว่าเสี่ยวโม่ก็พอแล้ว ภิกษุไม่ถามนาม นักพรตไม่ถามอายุขัย ต่างฝ่ายต่างมีข้อพิถีพิถัน ส่วนเสี่ยวโม่เกิดที่ไหน ฝึกตนอยู่ที่ใด ผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ไม่เป็นที่ไม่เป็นทาง คงไม่ต้องพูดถึงการสืบทอดของสำนักแล้ว”
ลู่เหว่ยยิ้มรับ เขาได้แต่อาศัยปราณเปลี่ยวร้างเสี้ยวหนึ่งบนร่างของอีกฝ่ายมาทำการคาดเดาที่ไร้ประโยชน์ หากอีกฝ่ายไม่ใช่เซียนกระบี่ผู้อาวุโสของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้าง จึงรับเอาโชคชะตาต่างบ้านต่างเมืองอย่างเปลี่ยวร้างมามากเกินไป ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็น…ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เป็นฝ่ายมาสวามิภักดิ์กับกำแพงเมืองปราณกระบี่!
เหมือนกับเฒ่าหูหนวกผู้นั้น
ผู้ฝึกตนใหญ่เผ่าปีศาจในสองขอบเขตอย่างบินทะยานและเซียนเหรินที่อยู่ในไพศาล คนบนยอดเขาล้วนรู้จักแทบทั้งหมด อย่างกวอโอ่วทิงภูเขาต้นไม้เหล็กที่มีฉายาว่าโยวหมิง และยังมีหลิ่วเต้าฉุนศิษย์น้องของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว แต่ดูเหมือนว่าทุกวันนี้จะเปลี่ยนชื่อเป็นหลิ่วชื่อเฉิงแล้ว ลู่เหว่ยไม่รู้สึกว่าพวกเขาคนใดจะสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของ ‘โม่เซิง’ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ต้องรู้ว่าลู่เหว่ยคือหนึ่งในนักมองลมปราณระดับสูงสุดของโลก เวทอำพรางตาขุนเขาสายน้ำของเซียนเหรินทั่วไปไม่มีประโยชน์ใดๆ ในสายตาของลู่เหว่ยเลย
ในเมื่อเฉินผิงอันรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานมานานหลายปี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัว ข้างกายก็น่าจะมีองค์รักษ์เวทกระบี่สูงส่งสักคนมาคอยแลกชีวิตเป็นตายกับเขา
“แสงตะวันแสงจันทร์ร่วมกันสาดส่อง ล้วนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน”
เสี่ยวโม่คลี่ยิ้มอบอุ่น น้ำเสียงอ่อนโยน พูดด้วยภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยสำเนียงที่ถูกต้องชัดเจนที่สุด “ดังนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าลู่จึงไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกคนในพื้นที่หรือคนต่างถิ่น แค่มองข้าเป็นผู้เยาว์บนเส้นทางการฝึกตนก็พอ”
ลู่เหว่ยมองไปยังเฉินผิงอัน อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ผู้ที่เป็นอริยะปราชญ์คือร่างจำแลงของฟ้าดิน”
ลู่เหว่ยยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดจอก “วีรบุรุษผู้กล้าก็คือการจำแลงแห่งดวงดาว”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่เหลือบมองยันต์ส่องไฟที่เผาไหม้ช้าๆ แล้วพลันใช้สองนิ้วคีบธูปภูเขาดอกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ คือธูปเมฆาเรืองที่เพิ่งซื้อมาจากไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองก่อนหน้านี้ไม่นาน
ใช้ธูปหอมเคาะโต๊ะหินเบาๆ ประหนึ่งปักธูปลงไปในกระถางธูป และยิ่งเหมือน...จุดธูปคารวะหน้าหลุมศพต่อลู่เหว่ยที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด
กำลังเอ่ยเตือนผู้อาวุโสสกุลลู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูมานานหลายปีผู้นี้ว่า คำกล่าวที่ว่า ‘คนบ้านเดียวกันครึ่งตัว’ ของเจ้า ความสัมพันธ์ควันธูปที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อกัน มีมากเพียงเท่านี้
ต่อจากนี้ไม่ว่าลู่เหว่ยเตรียมจะใช้เหตุผลทำให้คนเข้าใจหรือใช้ความรู้สึกทำให้คนซาบซึ้งใจ หรือจะพูดจาเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจัง ยกเอาเรื่องชะตาชีวิตที่ลี้ลับมหัศจรรย์มาพูดถึง ก็มีเวลาแค่ก้านธูปเดียวเท่านั้น
เมื่อหมดเวลา ก็อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าของเจ้าผู้อาวุโสลู่อีกเลย
ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่ง
ลู่เหว่ยมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่เห็นเป็นสำคัญ
ความสามารถในการรักษาท่าทีของเทพเซียนผู้เฒ่า มิอาจพูดว่าไม่ลึกล้ำ
หนันจานกลับโมโหจนหน้าแดงน้อยๆ นางถลึงตาทั้งคู่ คล้ายว่าคำพูดด่าคนวิ่งมารอที่ปากแล้ว อีกนิดก็เกือบจะหลุดปากโพล่งออกมา
ทว่าแท้จริงในใจนางกลับแอบลอบยินดี หากสามารถลากสกุลลู่แผ่นดินกลางทั้งหมดลงน้ำไปด้วยกัน นางก็ไม่เชื่อจริงๆ ว่าเจ้าขุนเขาเฉินผู้นี้จะยังกล้าทำอะไรโดยใช้อารมณ์อีก
ในสายตาของนาง บนโลกใบนี้คนที่ได้ผลประโยชน์ไปแล้วต่างก็ต้องพยายามรักษาผลประโยชน์ในมือตัวเองเอาไว้สุดชีวิต นี่คือหลักการเหตุผลที่ตื้นเขินเรียบง่ายจนเรียบง่ายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ยันต์คุ้มกันกายทั้งหมดล้วนเป็นโซ่ตรวนพันธนาการไปในเวลาเดียวกัน ยิ่งตัวตนและยศตำแหน่งของเฉินผิงอันมีมากเท่าไร ตามหลักทั่วไปแล้วก็ยิ่งไม่กล้าที่จะเป็นปลาตายตาข่ายขาด (เปรียบเปรยว่าพินาศกันไปทั้งสองฝ่าย) กับใครมากเท่านั้น
ลู่เหว่ยกล่าว “ตระกูลสกุลลู่ใหญ่เกินไปจริงๆ แตกกิ่งก้านหนาแน่น ไม่พูดถึงความต่างบนมหามรรคาระหว่างสายตรงกับสายรองสายอื่นที่ทำให้เกิดความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ พูดถึงแค่ฝ่ายในของสายตรงพวกเราเองก็มีความเห็นต่างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โลกภายนอกถึงได้พูดกันว่าการประชุมศาลบรรพชนสกุลลู่ของพวกเราต้องทำให้คนเหนื่อยล้าทั้งกายและใจที่สุดอย่างแน่นอน”
ประโยคนี้ของลู่เหว่ย ครึ่งประโยคแรกไม่ถือว่าเป็นการพูดจาวางโตอย่างไม่ละอายอะไรจริงๆ และประโยคหลังก็ไม่ใช่คำพูดที่ขัดความรู้สึกของตัวเอง สายความรู้ของสกุลลู่หนึ่งแซ่ในแผ่นดินกลางได้ยึดครองแผ่นดินของสำนักหยินหยางไปถึงครึ่งหนึ่ง ตระกูลแห่งหนึ่ง เมื่ออยู่ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ก็มีบินทะยานหนึ่งเซียนเหรินสาม หากไม่เป็นเพราะยังมีโจวจื่อที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ฐานะของสกุลลู่ในใต้หล้าไพศาลจะยิ่งสูงมากกว่านี้
โจวจื่อพูดถึงฟ้า สกุลลู่พูดถึงดิน
หากจะให้ยกตัวอย่างก็อย่างเช่นแจกันสมบัติทวีปเมื่อสองร้อยปีก่อนที่หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าใช้กำลังของคนคนเดียวสยบกำราบผู้ฝึกกระบี่หลายยอดเขาของภูเขาตะวันเที่ยง
ยามที่ตะวันจันทราดาราชักนำบรรยากาศฟ้า เทือกเขาสายน้ำพาชะตาดินให้เคลื่อนไหว ฟ้าดินหยินหยางสอดผสาน บรรยากาศแห่งสองชะตาฟ้าดิน หมื่นสรรพสิ่งได้รับการบำรุงก่อกำเนิด บนฟ้าเกิดภาพปรากฎการณ์ อริยะเป็นผู้เลือก ตรวจสอบวิถีแห่งฟ้า ตามหาวิถีแห่งดิน เป็นเหตุให้ศาสตร์การดูลักษณะชัยภูมิเป็นวิชาความรู้ของฟ้าดินอันดับหนึ่งในโลกมนุษย์ สองลมปราณฟ้าดินลอยตามลมกระจายไป เมื่อเจอน้ำก็หยุด จึงเรียกว่าลมและน้ำ เป็นเหตุให้วิถีแห่งลมน้ำ (เฟิงสุ่ยหรือฮวงจุ้ย) เป็นที่สุดแห่งธรณีศาสตร์