กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 882.1 สายตา
สองนิ้วของเฉินผิงอันคีบตะเกียบไผ่เขียวที่อยู่ในมือจับหมุนไปมา “ว่าอย่างไร?”
ลู่เหว่ยเอ่ย “หากรอดได้ก็มีชีวิตรอด”
พึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นก็จำต้องยอมก้มหัว เวลานี้สถานการณ์ไม่ได้อยู่ข้างพวกเขา พูดจาอ่อนข้อไปก็ไม่มีประโยชน์ ทิ้งถ้อยคำอาฆาตไว้ก็ไม่มีความหมายใดๆ เช่นกัน
ก็เหมือนอย่างที่ลู่เหว่ยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ภูเขาสูงสายน้ำไหลยาว หวังว่าอิ่นกวานหนุ่มที่ทำอะไรกำเริบเสิบสานผู้นี้จะรักษาตัวให้ดี สี่ฤดูของฟ้าดินสับเปลี่ยนหมุนเวียน ลมและน้ำหมุนวนย้อนกลับ ย่อมต้องมีโอกาสที่จะคิดบัญชีกันใหม่
ดูเหมือนลู่เหว่ยจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว จึงยังมีอารมณ์มองตะเกียบไผ่เขียวที่เหลือเพียงด้ามเดียวนั้น
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันใช้ตะเกียบด้ามหนึ่งต่างกระบี่ฟันยันต์พิฆาตศพที่เป็นยันต์แทนตัวออกโดยตรง
เวทกระบี่ระดับนี้ พลังพิฆาตเช่นนี้ มีแต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินเท่านั้น ไม่ต้องคิดให้มากความแล้ว
ประเด็นสำคัญคือกระบี่นี้ลี้ลับมหัศจรรย์เกินไป วิถีวงโคจรของกระบี่คล้ายเส้นตรงดิ่งที่พุ่งมาในระยะสั้นเส้นหนึ่ง
หนึ่งกระบี่ปล่อยออกไป แสงกระบี่หล่นร่วงลงมา มองเมินการไหลรินของแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลา มองเมินการรวมตัวและการแยกสลายของปราณวิญญาณฟ้าดิน นี่ก็คือเวทคาถาใกล้เคียงมหามรรคาอย่างที่กล่าวถึงในตำนาน
และ ‘วิชาอภินิหาร’ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งดิ่งตรงลงมายังใต้หล้าเช่นนี้ ก็คือเวทกระบี่ที่หล่นลงมาในโลกมนุษย์ก่อนหน้าเวทคาถานับพันหมื่น
“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสลู่จะมีนิสัยแข็งกระด้างเช่นนี้ ในที่สุดขนบธรรมเนียมของสกุลลู่ก็ทำให้ข้ามองพวกเจ้าสูงขึ้นแล้ว”
เฉินผิงอันถาม “มีชีวิตรอดได้ก็มีชีวิตรอด? ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถเข้าใจว่า…คิดจะตายก็ได้เหมือนกัน ได้หรือไม่?”
ลู่เหว่ยหลุดหัวเราะพรืด
คิดอยากจะให้ข้าส่ายหางขอร้องความเมตตา ฝันไปเถอะ
สำหรับเวทกระบี่ ลู่เหว่ยรู้จักเยอะจริงๆ
คำว่า ‘ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็อย่าได้พูดถึงเวทกระบี่อย่างส่งเดช’ แน่นอนว่าเป็นคำพูดที่อิ่นกวานหนุ่มพูดให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน จงใจดูแคลนบรรพจารย์สกุลลู่ท่านนี้
อันที่จริงเกี่ยวกับที่มาของวิถีกระบี่ของโลกมนุษย์และเวทกระบี่ในใต้หล้าแล้ว สกุลลู่แผ่นดินกลางไม่กล้าพูดว่ารู้ความจริงถึงแปดเก้าในสิบส่วน แต่เมื่อเทียบกับสำนักชั้นสูงบนยอดเขาแล้วก็รู้ความลับมากมายเกี่ยวกับปฏิทินเหลืองส่วนแรกๆ อยู่จริง
อย่าเห็นว่าเวลานี้สีหน้าแววตาของลู่เหว่ยต่างก็สงบนิ่งเป็นธรรมชาติ แต่แท้จริงแล้วทะเลสาบหัวใจกลับมีลูกคลื่นซัดถาโถม มีแต่จะรุนแรงยิ่งกว่าไทเฮาหนันจาน
หรือว่ารายงานบนจดหมายลับของตระกูลมีข้อผิดพลาด อันที่จริงเฉินผิงอันยังไม่มอบขอบเขตกลับคืน หรือจะบอกว่าได้แอบทำการค้ากับเจ้าลัทธิลู่อย่างลับๆ รักษามรรคกถาส่วนหนึ่งของป๋ายอวี้จิงเอาไว้ เพื่อเตรียมไว้ใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็น ก็เหมือนอย่างที่เอามารับมือกับสถานการณ์ในวันนี้? บรรพบุรุษท่านนี้นี่นะ ด้วยมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้าของเขา มีหรือจะคิดคำนวณถึงหายนะของวันนี้ไม่ได้?
สะบั้นเส้นด้ายแห่งโลกีย์ กระโดดออกไปนอกสามภพ เป็นเหตุให้ขี้เหนียวร่มเงาบรรพบุรุษมากเป็นพิเศษ ไม่ยินดีจะมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสกุลลู่แผ่นดินกลาง?
เพียงแต่เจ้าลู่เฉินไม่ดูแลลูกหลานสกุลลู่ก็ยังพอทำเนา แต่จำเป็นต้องทำร้ายตัวเองถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ตามลำดับอาวุโสที่อยู่บนทำเนียบตระกูลสกุลลู่ ลู่เหว่ยต้องเรียกเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงว่าบรรพจารย์อา
ความคิดของลู่เหว่ยแล่นเร็วจี๋
หรือจะบอกว่า ‘นายแห่งกระบี่’ ผู้นี้ได้ครอบครองมหามรรคาแห่งเวทกระบี่หลายเส้นแล้ว?
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าหอครองดาวของตระกูลสกุลลู่กลับไม่มีบันทึกใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ในเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้าเรื่องนี้ เจ้าประมุขสกุลลู่และผู้ที่คอยสังเกตปรากฎการณ์ฟ้าและการเปลี่ยนแปลงทางดวงดาวทั้งหลาย รวมไปถึงพวกเยว่ตู๋จู้สื่อ ซือเฉินซือแห่งหอสวรรค์ที่รับหน้าที่ตรวจสอบแก้ไขช่องโหว่ ย่อมไม่มีทางกล้า แล้วก็ไม่คิดจะปิดบังเรื่องใดๆ กับบรรพบุรุษสกุลลู่ที่ออกจากบ้านเกิดมานานหลายปีและกำลังจะกลับเข้าสู่ตระกูลอย่างตนแน่นอน
เพราะขอแค่เฉินผิงอันเรียนรู้วิถีกระบี่เส้นหนึ่งมาจากบุคคลยุคบรรพกาลผู้นั้นได้ เวทกระบี่ชนิดหนึ่งก็จะมีการจำแลงบนมหามรรคาเกิดขึ้น แล้วชักนำให้เกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติแห่งฟ้าดิน
บางทีอาจเป็นการร่วงลงมาของดวงดาวบรรพกาลบางดวง หรือไม่ก็แม่น้ำแห่งกาลเวลาบางช่วงตอนที่แห้งขอดกะทันหัน!
ปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันเดินไปบนสะพานแบบคานของเมืองเล็ก สกุลลู่แผ่นดินกลางรู้ข่าวก็รีบระดมพลใหญ่โต เจ้าประมุขนำพาคนไปเฝ้าพิทักษ์หอสวรรค์ด้วยตัวเอง สิ้นเปลืองพละกำลังมหาศาลเพื่อสืบเสาะเรื่องนี้อย่างไม่เสียดาย วันแล้ววันเล่าผ่านไป ปีแล้วปีเล่าผ่านไป ไม่กล้าเพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย
ให้คำอธิบายการปิดด่านตลอดหลายปีมานี้ของพวกกลุ่มคนสกุลลู่ที่รับผิดชอบสังเกตการณ์ผืนฟ้าเพื่อตรวจสอบดูแนวโน้มแห่งวิถีกระบี่ว่า ‘เฝ้ามองตาไม่กะพริบ’ ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
ลู่ไถที่มาจากสายตรงเช่นเดียวกับลู่เหว่ย ปีนั้นเหตุใดถึงออกเดินทางไปท่องเที่ยวแจกันสมบัติทวีปเพียงลำพัง แล้วเหตุใดถึงได้บังเอิญไปเจอกับเฉินผิงอันบนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาพอดี?
นี่เป็นเรื่องที่สกุลลู่คิดร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เหตุใดผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘นายแห่งกระบี่’ เป็น ‘ผู้ครองกระบี่’ คนใหม่ ไม่เพียงแต่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ ถึงขั้นที่ว่ายังไม่เคยเรียนเวทกระบี่สักบท
ดังนั้นถึงจำเป็นต้องมีคนไปอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน คอยสังเกตการณ์เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ส่วนเรื่องที่ตัวลู่ไถเองถูกปิดหูปิดตามาโดยตลอด
สุดท้ายลูกหลานสายหลักที่ทางตระกูลฝากความหวังไว้สูง แต่กลับเลือกจะทำเรื่องเนรคุณด้วยการหลอกลวงตระกูลอย่างร้ายกาจ
นั่นก็เพราะลู่ไถเปิดเผยความลับสวรรค์ที่ใบถงทวีปโดยพลการ เกือบจะทำให้ตลอดทั้งสกุลลู่ของแผ่นดินกลาง รวมไปถึงสายรองทั้งหมดถูกลากเข้าไปในเหวลึกไร้ก้นแห่งหนึ่ง
ลู่เหว่ยทราบเรื่องในภายหลัง ปีนั้นเนื่องจากบนหอซือเทียนของตระกูลเกิดบ่อโบราณขนาดใหญ่ยักษ์อย่างไรที่สิ้นสุดแผ่ปกคลุมไปทั่วผู้สังเกตการณ์ฟ้าทุกคน ความมืดมิดแผ่ลามไปทั่วนภากาศ
โชคดีที่ภาพปรากฎการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินที่ชวนตะลึงพรึงเพริดซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนระดับนี้เกิดเพียงวูบเดียวก็หายวับไป เร็วจนราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ สกุลลู่สำนักหยินหยางก็ยิ่งแน่ใจได้ความหนักเบาและผลดีผลเสียที่อยู่ในเรื่องนี้
หากไม่ทันระวังจะกลายเป็นลางร้ายแห่งหายนะ
โจวจื่อผู้น่ารังเกียจ! โจวจื่อผู้น่ากลัว!
เฉินผิงอันกล่าว “สหายของสหายไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นสหาย ศัตรูของศัตรูกลับอาจกลายมาเป็นสหายได้ โจวจื่อเคยวางแผนเล่นงานข้า ข้าก็วางแผนเล่นงานพวกเจ้า ดังนั้นในเรื่องนี้พวกเราจึงมีโอกาสที่จะร่วมมือกันได้”
ลู่เหว่ยไม่เผยสีหน้ากระโตกกระตาก แต่ในใจกลับประหวั่นพรั่นพรึงสุดขีด
เฉินผิงอันสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ มือหนึ่งถือตะเกียบไม้ไผ่เคาะลงบนผิวโต๊ะที่พลิกกลับมาเรียบร้อยแล้วเบาๆ
ไม่เสียแรงที่เป็นวัสดุของตระกูลเซียน ใต้โต๊ะที่ไม่สัมผัสแสงแดดมานานปีกลับไม่มีร่องรอยความเสียหายแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสลู่ไม่ต้องคิดมาก เมื่อครู่นี้ใช้กระบวนท่ากระบี่ย่ำแย่มาหยั่งเชิงมรรคกถาตื้นลึกของผู้อาวุโส เป็นเวทกระบี่ที่ข้าคิดค้นขึ้นเอง อยู่ห่างจากความสมบูรณ์แบบมากนัก”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สกุลลู่แผ่นดินกลางของพวกเจ้าไม่สามารถไล่ตามสัญญาณจากฟ้ามาหาเบาะแสบนร่างข้าพบ ไม่ถือว่าละเลยหน้าที่อะไรแน่นอน ยิ่งไม่ใช่ว่าข้าอายุน้อยๆ ก็สามารถปิดบังหูตาผู้คน ปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรอะไร จะโทษก็ต้องโทษผลการตรวจสอบจากทางเตาเผามังกรของเมืองเล็กในปีนั้นที่ชักนำให้ผู้อาวุโสลู่เข้าใจผิด ไม่แน่ว่าข้าอาจไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นเซียนดินมาตั้งแต่เกิดก็ได้ อาจจะสูงยิ่งกว่านั้น เป็นเจ้าและพวกตี้ซือของต้าหลีที่มองผิดไป เป็นหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายยิ่ง หากผิดมาตั้งแต่เริ่มต้น แล้วจะเอาความถูกหนึ่งร้อยหนึ่งพันหนึ่งหมื่นต่อจากนั้นมาจากไหน? ต้องเป็น ‘หนึ่งในหมื่น’ ถึงจะถูกมากกว่า ผู้อาวุโสลู่เป็นปรมาจารย์สำนักชัยภูมิ เห็นด้วยหรือไม่?”
นอกจากนี้แล้วเฉินผิงอันยังมีเวทกระบี่อีกบทหนึ่งที่ตั้งชื่อว่า ‘เศษจันทร์’
หนึ่งเรียบง่ายหนึ่งซับซ้อน เป็นสองขั้วที่สุดโต่งพอดี
เฉินผิงอันยกตะเกียบไผ่เขียวอันนั้นขึ้นมา ยิ้มถาม “เอาผู้อาวุโสลู่มาฝึกปรือฝีมือ คงไม่ถือสาหรอกกระมัง? ถึงอย่างไรก็แค่เสียยันต์ร่างจริงไปแผ่นเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ร่างจริงๆ สักหน่อย”
น่าเสียดายที่ในฐานะเจ้าบ้านที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับในวันนี้ ทั้งยังสูงศักดิ์เป็นถึงไทเฮาต้าหลี ผลกลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้หนันจานกลับไม่ได้เปิดปากพูดแทรกแม้แต่คำเดียว แล้วก็ไม่กล้าพูดจาส่งเดชด้วย
ข้างกายเฉินผิงอันมีเสี่ยวโม่ที่สามารถควบคุมเส้นเอ็นหัวใจยืนอยู่ แต่ถึงอย่างไรลู่เหว่ยก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางขอบเขตเซียนเหรินขั้นสูงสุด ดังนั้นเสี่ยวโม่จึงได้แต่มอบคำศัพท์ที่เป็นกุญแจสำคัญบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับทะเลสาบหัวใจของลู่เหว่ย รวมไปถึง ‘เสียงในใจ’ แบบกระจัดกระจายให้แก่คุณชายของตนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นนักสังเกตการณ์ท้องฟ้าสกุลลู่ ดวงดาวร่วงหล่น แม่น้ำยาวแห้งขอด เยว่ตู๋จู้สื่อของสกุลลู่ ซือเฉินซือแห่งหอสวรรค์ โจวจื่อ…
ลู่เหว่ยยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าเจ้าขุนเขาเฉินต้องคู่ควรกับคำกล่าวว่า ‘พรสวรรค์เลิศล้ำ’ อยู่แล้ว”
ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดอะไร แต่กลับสามารถฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่ระดับขั้นสูงมากในภายหลัง สุดท้ายกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างสมชื่อคนหนึ่ง
แม้ว่าลู่เหว่ยจะไม่รู้ว่าเหตุใดบุคคลผู้นั้นถึงไม่ได้ถ่ายทอดเวทกระบี่ใดๆ ให้กับเฉินผิงอันที่เป็น ‘นายแห่งกระบี่’ แต่เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าราชสำนักต้าหลีมองพลาด ในเรื่องการสร้างเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตเป็นวิชาลับที่ถ่ายทอดมาจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหว การตรวจสอบคุณสมบัติย่อมไม่มีทางมีปัญหาแน่นอน
เฉินผิงอันเงยหน้ามองสีท้องฟ้า จากนั้นหันหน้ามาน้อยๆ เหลือบตามองยันต์ส่องไฟบนพื้นที่เตรียมไว้ให้ไทเฮาต้าหลีแผ่นนั้น ยันต์นี้มีจุดจบดีกว่าธูปเมฆาเรืองก้านนั้นไม่น้อย แม้ว่าจะหล่นลงพื้น แล้วยังเปียกสุราเล็กน้อย แต่กลับยังคงเผาไหม้ช้าๆ อยู่เหมือนเดิม ในงานเลี้ยงสุราของวันนี้มันทั้งเป็นเหมือนยันต์ปกป้องชีวิตของหนันจาน แล้วก็เหมือนยันต์เร่งชีวิตของลู่เจี้ยงด้วย
หนันจานมองตามสายตาของเฉินผิงอันไป เห็นยันต์ที่อยู่บนพื้น ในใจนางก็ให้ร้อนรนสุดขีด ประหนึ่งแม่น้ำพลิกมหาสมุทรถาโถม
เฉินผิงอันโยนตะเกียบชิ้นนั้นไปบนโต๊ะ มันหล่นร่วงเป็นแนวขวางอยู่ระหว่างคนสองคนที่นั่งตรงข้ามกัน แบ่งโต๊ะตัวหนึ่งออกเป็นฝั่งละครึ่งพอดี
หนันจานรู้ถึงความหมายลึกซึ้งในการกระทำนี้ของเฉินผิงอัน เจตนาชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด!
กำลังถามนางว่ากลัวราชสำนักต้าหลีจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความแตกแยกที่เหนือใต้คุมเชิงกันหรือไม่
ไม่ได้บอกว่าเฉินผิงอันอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวก็สามารถตัดสินใจแทนแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นที่มีเฉาผิงเป็นหนึ่งในนั้น ตัดสินใจแทน ‘หมาก’ พวกนั้นได้ แต่เป็นตอนนี้เฉินผิงอันอยู่ในเมืองหลวงต้าหลี หากตัดสินใจที่จะแสดงจุดยืนบางอย่างอย่างชัดเจน หมากที่มีจำนวนซับซ้อนและผลประโยชน์พัวพันอยู่บนกระดานหมากพวกนั้นก็จะชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย คอยสังเกตการณ์เพื่อหาโอกาสเหมาะ ฉกฉวยผลประโยชน์หลีกเลี่ยงผลร้าย ไขว่คว้าหากำไรด้วยตัวเอง สุดท้ายมีแนวโน้มที่จะ ‘เบนเข้าหา’ คล้อยตามการตัดสินของเฉินผิงอัน
หมากที่สำคัญแต่ละเม็ดซึ่งมีตำแหน่งอยู่ในราชสำนักและมีฐานะที่สำคัญบนภูเขา บ้างก็อาจจะนิ่งดูดายต่อไป หรือไม่ก็อาจจะช่วยผลักดันคลื่นอย่างลับๆ หรือไม่ก็เดินลงโต๊ะเดิมพันด้วยตัวเอง…
หนันจานได้แต่อาศัยไข่มุกหลิงซีเส้นนั้นมาย้อนนึกทวนความทรงจำมากมายของเมื่อก่อน ไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก แค่ฟื้นคืนความทรงจำส่วนหนึ่งขึ้นมา แน่นอนว่านี่เป็นเพราะลู่เหว่ยเล่นตุกติกกับสมบัติล้ำค่าบนภูเขาชิ้นนี้มานานแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้หนันจานที่ชาตินี้ได้เป็นไทเฮาต้าหลีเป็นสตรีผมยาวความรู้สั้น คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้อง ตัดสินใจอำมหิตโดยไม่สนใจสถานการณ์ใหญ่ ลู่เจี้ยงเพ้อฝันคิดว่าจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับทางตระกูลอย่างชัดเจน ใช่ว่าสกุลลู่แผ่นดินกลางจะไม่มีวิธีทำให้หนันจานเปลี่ยนความคิด เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้จะเสียแผนการไปซะเปล่าๆ สำหรับสกุลลู่แผ่นดินกลาง สำหรับราชวงศ์ต้าหลีล้วนไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ซ่งเหอหรืออ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสองพี่น้องจะมองสกุลลู่แผ่นดินกลางเป็นศัตรูเพราะสาเหตุนี้
ลู่เหว่ยเอ่ย “ในเมื่อเจ้าขุนเขาเฉินไม่ได้ใช้เวทกระบี่พร่ำเพื่อก็หมายความว่าทั้งสองฝ่ายยังมีพื้นที่ว่างเหลือให้ปรึกษากัน”
เสี่ยวโม่ที่กลับมายืนอยู่ข้างหลังคุณชายอีกครั้งได้ยินประโยคนี้ก็อดไม่ไหวยื่นมือมานวดหูตัวเอง
เสี่ยวโม่รู้สึกเพียงว่าได้เปิดโลกกว้างแล้ว เจ้าตัวดี เปลี่ยนวิธีมารนหาที่ตายโดยแท้
ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินของใต้หล้าไพศาลใจกล้าขนาดนี้เลยหรือ? นับถือๆ หากปีนั้นตนมีความกล้าเช่นนี้ ป่านนี้คงไปตีกับบรรพจารย์สามลัทธิแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “ก็ดีเหมือนกัน ให้ข้าถือโอกาสนี้รู้ด้วยว่าตะเกียงต่อชะตาชีวิตในศาลบรรพชนของสกุลลู่สูงส่งกว่าศาลบรรพจารย์ทั่วไปหรือไม่ จะสามารถทำให้เซียนเหรินคนหนึ่งไม่ขอบเขตถดถอย เพียงแต่ว่าชีวิตนี้ไม่มีหวังจะเป็นบินทะยานเท่านั้นหรือไม่”
ยกมือขวาขึ้น ในขุนเขาสายน้ำเส้นลายมือของเฉินผิงอันมีตราประทับหกเต็มชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมาจากความว่างเปล่า
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือประคองถือตราประทับอาคมห้าอสนีโบราณชิ้นนั้นเอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนกับสหายต่างถิ่นบางคนก็แล้วกัน บังเอิญนัก ทั้งสองท่านต่างก็เคยเป็นเซียนเหริน”
ศึกที่ภูเขาทัวเยว่ ทวยเทพ ‘หลับตา’ สามสิบหกตนบนสี่ด้านของตราประทับล้วนถูกเฉินผิงอันที่มีมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ ‘แต้มนัยน์ตา’ เบิกเนตรสวรรค์ให้แล้ว
เรียกตราประทับอาคมออกมา เทพทั้งหมดสามสิบหกตนที่มีเทพเจ้าแห่งสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ เทพพิรุณ เทพวายุเป็นหนึ่งในนั้นลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ช่วยผลักดันจนเฉินผิงอันเป็นเหมือนผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคายุคบรรพกาลที่เป็นผู้สร้างหยินหยาง ฟ้าดินก่อตัวบนฝ่ามือ วิถีแห่งฟ้าโคจรตามลำดับ
สีหน้าของลู่เหว่ยแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขามิอาจแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็นได้อีกแล้วจริงๆ
จุดตะเกียงต่อชะตาชีวิต ผลัดรกเปลี่ยนกระดูก เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาใหม่อย่างสิ้นเชิง นอกจากขอบเขตถดถอยแล้ว เรื่องที่กลัวที่สุดนอกเหนือจากนี้ก็คือจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนแหลกสลาย แต่กลับ ‘ตายอย่างไม่สะอาดเอี่ยมอ่อง’ จิตวิญญาณถูกกักไว้ในมือของคนนอก มิอาจหลุดพ้น ไม่อย่างนั้นก็ตกอยู่ในสภาพการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนที่ ‘เนื้อและกระดูกแยกจาก อยู่กันคนละขอบฟ้า’ สำหรับผู้ฝึกตนที่ได้สร้างเนื้อหนังจิตวิญญาณใหม่อีกครั้งแล้ว หากเดินขึ้นเขาไปฝึกตนต่ออีกครั้ง ทว่ายังถูกพัวพันไว้ด้วยเรื่องราวของ ‘ภพชาติก่อน’ ก็ไม่ต่างอะไรจากการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ