กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 883.2 ดอกและผล
ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มที่ปีนั้นเห็นคนก้นใหญ่ก็ละสายตาออกไม่ได้กลายมาเป็นขุนนางใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งราชสำนักคำพูดหนึ่งคำล้ำค่าดุจทองคำ แม้แต่เทพเซียนบนภูเขาก็ยังต้องขอตัวอักษรจากเขามาได้อย่างไร
ผู้ฝึกตนก็มีดีเช่นนี้ ได้เห็น ‘เด็กหนุ่ม’ ที่กลายเป็นคนแก่ล่างภูเขามามากมาย
หลิวเจียแก้ด้ายสีเหลืองทองที่รัดอยู่บนแกนภาพออก บิดหมุนข้อมือสะบัดม้วนภาพให้คลี่กางอยู่กลางอากาศ ด้านบนคือตัวอักษรใหญ่สองแถวที่น้ำหมึกเปี่ยมล้น ราวกับคนเขียนใส่อารมณ์อย่างเต็มที่ ‘เดียวดายเพียงลำพังมีเพียงเงาเคียงข้าง แรงกดดันรอบด้านมิอาจสยบกำราบข้าได้’
หลิวเจียด่าขำๆ “เสี่ยวจ้าวตัวดี ตัวอักษรเหมือนความสามารถในการประจบสอพลอจริงๆ แม้จะแก่แต่ก็ยังแข็งแรง”
จ้าวตวนหมิงบ่นพึม “อาจารย์ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้วกระมัง ถึงอย่างไรก็เป็นท่านปู่ของข้า ท่านเอาแต่เรียกว่าเสี่ยวจ้าว เสี่ยวจ้าวอยู่อย่างนี้ ข้าทำตัวลำบากนะ จะแสร้งหูหนวกแสร้งเป็นใบ้ก็เหมือนคนอกตัญญู แต่จะโต้เถียงท่านก็อกตัญญูอยู่ดี”
หลิวเจียหัวเราะ พลันถามว่า “คงไม่ใช่ว่าเป็นของปลอมที่เชิญให้คนอื่นมาเขียนแทนหรอกกระมัง?”
จ้าวตวนหมิงยืดคอยาวไปมอง “อาจารย์ สายตาท่านนี่ยังไงกัน น้ำหมึกบนนี้ยังไม่ทันแห้งดีเลย แล้วยังมีตราประทับที่หากไม่ใช่ผลงานที่ภาคภูมิใจจะไม่ประทับลงไปอีกเด็ดขาด จะยังเป็นของปลอมได้อีกหรือ?”
“อีกอย่างอาจารย์ท่านก็ใช่ว่าจะไม่รู้สักหน่อย ท่านปู่ของข้ารักศักดิ์ศรีหน้าตาเป็นที่สุด ต่อให้เป็นตอนหนุ่มที่ขาดเงิน อย่างมากสุดท่านปู่ก็แค่วาดภาพเลียนแบบหาเงินมาเล็กน้อยเท่านั้น”
หลิวเจียหันหน้ามาถาม “ก็แค่ล้อเล่น จะทำหน้างอทำไม”
เด็กหนุ่มนั่งยองบนพื้น “ท่านปู่บอกแล้วว่าให้ท่านเอาตราประทับที่แกะสลักเองสองชิ้นไปมอบให้เขาด้วย แบ่งเป็นแกะสลักคำว่า ‘เซียนกระบี่’ และ ‘ผู้เล่นระดับแคว้น’ หากท่านไม่ทำให้ เขาจะมาดักหน้าประตูรอทวงหนี้ที่นี่ด้วยตัวเอง”
ผู้ฝึกตนเฒ่าถลึงตากล่าว “เสี่ยวจ้าวออกจากบ้านไม่ทันดูทาง หัวเลยถูกประตูหนีบใช่ไหม? ตาเฒ่าที่แค่ลมพัดก็ตัวปลิวยังจะกล้ามาดักหน้าประตูที่นี่ด้วย?”
จ้าวตวนหมิงใช้สายตาเวทนามองอาจารย์ของตน
ทำไมตนถึงต้องมาเจออาจารย์ที่หัวทึบแบบนี้ด้วยนะ
เพียงไม่นานหลิวเจียก็เข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องราวจึงกระแอมสองสามที หาบันไดลงให้ตัวเองด้วยการพูดว่า “ก็ได้ๆ อันที่จริงอาจารย์ก็เป็นนักแกะสลักหินทองผู้เชี่ยวชาญที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง ก็แค่ว่าไม่ชอบเปิดเผยสุดยอดฝีมือนี้ง่ายๆ ก็เท่านั้น”
มารดามันเถอะ บัณฑิตที่เป็นขุนนางพวกนี้มีไส้หลายขดเสียเหลือเกิน พูดจาหรือทำอะไรก็ชอบวกวนอ้อมค้อมกันซะจริง
หลิวเจียเปิดอักษรภาพอีกชิ้น ร้องเอ๊ะหนึ่งที ค่อนข้างตกตะลึงอยู่มาก
ต่อให้ผู้ฝึกตนเฒ่าจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนอักษรพู่กันจีน แต่เขาก็รู้สึกว่าเทียบอักษรชิ้นนี้ แค่คลี่ออกมาก็ไม่ธรรมดาอย่างมากแล้ว
เรียบง่ายมาก ก็คือหนึ่งอักษรหนึ่งแถวที่หาได้ยากยิ่ง!
เป็นเหตุให้ตอนที่คลี่กางเทียบอักษรออกทั้งหมด ม้วนภาพจึงยาวถึงสามจั้ง!
เริ่มต้นด้วยประโยคว่า ‘หยวนเจียปีที่หก สถานที่ที่หนาวเหน็บยากแค้น อุทกภัยสิ้นสุด เห็นคนชุดเขียว ดึงหญ้าถ่อเรือ ล่องลำน้ำอย่างเดียวดาย ดุจมนุษย์ดุจเทพ ดุจผีดุจเซียน’
ลงท้ายด้วยสี่คำว่า ‘ถือเทียนเดินทางกลับยามค่ำคืน’
ตัวอักษรเหมือนหอกยาวง้าวใหญ่ พลังอำนาจบีบคั้นกดดันผู้คน
จ้าวตวนหมิงอึ้งไปพักใหญ่ เอ่ยอย่างเหม่อลอยว่า “เหตุใดแม้แต่เทียบอักษรนี้ท่านปู่ก็เอามามอบให้คนอื่นด้วยเล่า”
ท่านปู่พูดไม่ใช่แค่ครั้งเดียว บอกว่าในอนาคตจะต้องเอาเทียบอักษรนี้ใส่ลงโลงต่างหมอนนอน
ท่านปู่คือบัณฑิตอ่อนแอตามแบบฉบับ ได้ยินว่าตอนเด็กร่างกายอ่อนแอป่วยออดๆ แอดๆ ตอนอายุสามสิบเป็นขุนนางอยู่ในกรมคลัง เคยมีความเห็นแตกต่างจากราชครูชุย รู้สึกว่ากองทัพชายแดนต้าหลีทุ่มกำลังทรัพย์จับศึกพร่ำเพื่อ ผลคือถูกเนรเทศไปรับความทรมานหนาวเหน็บที่ชายแดน ระหกระเหินอยู่หรงโจวที่ซึ่งขุนเขาสายน้ำอันตรายนานถึงหกปี อดีตหลางจงกองชิงลี่แห่งกรมคลังได้แต่ไปเป็นนายอำเภอที่ชายแดน อีกทั้งตอนนั้นที่ท่านปู่ออกไปจากเมืองหลวงก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดกลับมาอีก
จ้าวตวนหมิงเคยได้ยินบิดาเล่าเรื่องนี้ บอกว่าท่านย่าของเจ้านิสัยดื้อรั้นแข็งกร้าว ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคนนอก มีเพียงครั้งเดียวที่ร้องไห้อย่างน่าสงสารยิ่ง
รอกระทั่งท่านปู่กลับมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ได้รับร่มหมื่นประชา (ร่มที่มอบให้กับขุนนางซึ่งแสดงการยกย่องว่ามีคุณูปการต่อชาวประชา) แล้วก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีในท้องถิ่นอะไร ไม่ได้ทิ้งกลอนไว้แม้แต่บทเดียว ราวกับว่านอกจากสัมภาระหนึ่งห่อแล้ว ของที่เกินมาบนร่างก็มีแค่เทียบอักษรชิ้นนี้เท่านั้น
ทุกครั้งที่คลี่กางม้วนภาพนี้ออกบนโต๊ะช้าๆ เจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ยผู้นี้จะต้องหยิบเหล้ามาด้วยหนึ่งกา
จากช่วงวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่อ่านหนังสือหนึ่งตัวพร้อมดื่มเหล้าหนึ่งอึก มาจนถึงวัยชราที่ดื่มเหล้าหนึ่งอึกกับอ่านอักษรหลายตัว จนกระทั่งถึงวันนี้ ผู้เฒ่าแค่ดื่มเหล้าครึ่งกาก็อ่านเทียบอักษรทั้งเทียบจบแล้ว
และคำว่าหยวนเจียปีที่หกที่เป็นประโยคเปิดเทียบอักษร
ก็เป็นปีรัชศกที่กองทัพต้าหลีผ่านสงครามยากลำบากเอาชนะกองทัพม้าของสกุลหลูได้พอดี
ก็เป็นปีนี้เองที่หากใช้คำกล่าวของชาวบ้านก็คือ กองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่ถูกขุนนางบุ๋นกรมคลังซึ่งเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งตำราด่าว่าทุ่มกำลังทัพจับศึกพร่ำเพื่อได้จับกองทัพม้าเหล็กฝีมือดีสองแสนนายของสกุลหลูที่ใครก็มิอาจต่อกรกดลงพื้นแล้วอัดเสียน่วม สังหารศัตรูไปนับไม่ถ้วน ครั้งแรกที่กองทัพชายแดนต้าหลีบุกเข่นฆ่าเข้าไปถึงในอาณาเขตแคว้นสกุลหลู คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชายแดนที่ไม่เคยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว!
หากใช้คำพูดของทางการต้าหลีก็จะมีความพิถีพิถันอยู่สักหน่อย นั่นคือฆ่าจนกองทัพม้าเหล็กสกุลหลูที่ในอดีตบุกผ่านที่ใดที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลองจน ‘หลังม้าไม่เหลือคนแม้แต่คนเดียว’!
นับแต่นั้นมาขุนเขาสายน้ำทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปก็ไม่มีกองทัพม้าเหล็กสกุลหลูอีกต่อไป มีเพียงกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเท่านั้น
หลิวเจียม้วนเทียบอักษรเก็บกลับมาอย่างเชื่องช้า หันหน้ามาพูดกับเด็กหนุ่มว่า “ไปบอกกับท่านปู่เจ้าสักคำว่า ตราประทับสองชิ้นนั้น ข้าจะจัดการให้เอง”
หันโจ้วจิ่นผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินออกจากเมืองหลวงไปอย่างลับๆ นางมายังวัดเล็กไร้ชื่อเสียงแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง
นางยืนอยู่หน้าประตู เห็นคนหนุ่มคนหนึ่งกำลังคัดคัมภีร์อยู่ในกุฎิ สีหน้ามุ่งมั่นมีสมาธิ คัดคัมภีร์พุทธบทหนึ่งด้วยตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน
คนผู้นั้นมองดูแล้วเหมือนลูกหลานของตระกูลชั้นสูงที่เอ้อระเหยลอยชายเสียมากกว่า
แต่หันโจ้วจิ่นกลับตึงเครียดอย่างมาก ถึงกับเหงื่อไหลเปียกฝ่ามือ
เจ้าประมุขคนปัจจุบันของสกุลเยี่ยนจื่อจ้าว ก็คือเยี่ยนหย่งเฟิงซื่อชิงแห่งวัดกวงลู่ เมื่อเทียบกับยศของแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นแล้ว ตำแหน่งขุนนางของเขาจึงไม่เล็กไม่ใหญ่ ประเด็นสำคัญคือยังเป็นที่ว่าการน้ำใสของเก้ามนตรีเล็กอีกด้วย แต่คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของสกุลเยี่ยนอย่างแท้จริง กลับเป็นบุคคลที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูแคลน
นั่นก็คือผู้ฝึกตนที่มีศาสตร์คงความเยาว์วัยตรงหน้าหันโจ้วจิ่นอย่างเยี่ยนเจี่ยวหรานผู้นี้
เยี่ยนเจี่ยวหรานเชี่ยวชาญการเขียนตัวอักษรแบบหวัด แต่กลับชอบมาคัดคัมภีร์ด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กอยู่ที่นี่ ราวกับว่าทุกครั้งที่เข้าเมืองหลวง หากมีเวลาว่างก็จะต้องมาคัดคัมภีร์ที่วัดแห่งนี้
นี่เป็นครั้งที่สามที่หันโจ่วจิ้นมาพบคนผู้นี้ที่นี่
คัดจบหนึ่งประโยคแล้ว เยี่ยนเจี่ยวหรานก็หันหน้ามายิ้มกล่าว “เข้ามานั่งสิ มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม”
เยี่ยนเจี่ยวหรานก้มหน้าลง เอ่ยเสียงเบา “แม่นางหัน รอสักครู่ ยังขาดอีกร้อยกว่าตัว”
หันโจ้วจิ่นปิดประตูห้องลงเบาๆ จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
ก่อนจะเจอกับอาจารย์เฉิน หันโจ้วจิ่นกลัวแค่คนตรงหน้าเท่านั้น
ในห้องมีเพียงเสียงแสกสากจากปลายพู่กันที่เสียดสีกับแผ่นกระดาษเท่านั้น
หลังจากเยี่ยนเจี่ยวหรานคัดคัมภีร์พุทธบทหนึ่งเสร็จก็วางพู่กันลงเบาๆ หันหน้ามามองสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มกล่าว “นั่งสิ”
หันโจ้วจิ่นรีบขยับเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว เคลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
เยี่ยนเจี่ยวหรานยื่นมือไปกดเทียบอักษรล้ำค่าที่พกติดตัวมาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ “เมื่อก่อนได้ฟังท่านราชครูเคยบอกว่า วิถีแห่งการเขียนพู่กันจีนคือเส้นทางสายเล็กที่อยู่ปลายแถวมากที่สุด เทียบกับการวาดภาพแล้วยังด้อยกว่า แนะนำข้าว่าอย่าสิ้นเปลืองความคิดและแรงกายอยู่กับเรื่องนี้ ภายหลังคงเป็นเพราะเห็นว่าข้าไม่ยอมเปลี่ยนใจ บางทีอาจรู้สึกว่าข้าเองก็พอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้างหลายส่วน? มีครั้งหนึ่งที่การประชุมสิ้นสุดลงก็เลยชี้แนะข้าสองสามประโยค แล้วยังมอบเทียบอักษรแบบหวัดฉบับนี้มาให้ข้าด้วย”
หันโจ้วจิ่นฟังทุกคำไม่มีปล่อยให้ตกหล่น
เพียงแต่นางไม่รู้ว่าจำเรื่องพวกนี้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร
เยี่ยนเจี่ยวหรานพลันถามว่า “ทางฝั่งของโรงเตี๊ยม ดูเหมือนพวกเจ้าเก้าคนจะเจอเจ็บตัวกันไม่น้อย?”
หันโจ้วจิ่นกำลังจะอธิบายขั้นตอนการเข่นฆ่าสองสามครั้งนั้นอย่างละเอียด
เยี่ยนเจี่ยวหรานกลับโบกมือ “ไม่ต้องอธิบายอะไร เจ้าแค่ลองบอกมาสิว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นชี้แนะเจ้าอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นเขาได้พูดถึงซากปรักของพื้นที่มงคลถงป่ายและองค์รักษ์เซียนกระบี่ข้างกายเจ้าหรือไม่?”
หันโจ่วจิ้นบอกเล่าทุกเรื่องอย่างไม่มีปิดบัง
คนเก้าคนของแผนภูมิดินที่ขาดอีกแค่คนเดียวก็จะครบถ้วน บางทีนอกจากเด็กหนุ่มโก่วฉุนแล้ว แต่ละคนต่างก็มีประวัติความเป็นมา และปีนั้นราชครูก็ไม่เคยห้ามไม่ให้พวกเขาติดต่อกับคนภายนอก
‘ออกแรงเต็มกำลัง ฉายคมแปดทิศ ลมปราณราบรื่น กฎเกณฑ์เข้มงวด’
คาดไม่ถึงว่าเยี่ยนเจี่ยวหรานจะตบเทียบอักษรชิ้นนั้นเบาๆ แล้วเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดว่า “หันข้างปลายแหลมลงกระดาษ ตวัดเขียนจากกลางปลายยอดพู่กัน อักษรแบบหวัดเขียนลวกๆ ทว่าแก่นแห่งความรู้กลับอยู่ที่สองคำว่า ‘ตรงแน่ว’ จึงจะได้ภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ แม่นางหัน เจ้าว่ามันแปลกหรือไม่?”
ถึงอย่างไรหันโจ้วจิ่นก็ไม่ใช่คนโง่ ในที่สุดก็เข้าใจความนัยในคำพูดของอีกฝ่าย นางรีบพยักหน้าทันที “อาจารย์เฉินทำอะไรรู้หนักเบา มองดูเหมือนควบม้าทะยานไร้จุดหมาย แต่อันที่จริงหากตั้งใจสักนิดก็จะสังเกตเห็นว่ามีระเบียบขั้นตอนให้สืบหา ทุกเรื่องล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์”
เยี่ยนเจี่ยวหรานยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
หันโจ้วจิ่นกลั้นหายใจนั่งตัวตรงอยู่ด้านข้าง
เยี่ยนเจี่ยวหรานยิ้มกล่าว “แม่นางหันไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้”
หันโจ้วจิ่นพยักหน้า
แต่ความสำรวมระมัดระวังตนของนางกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิด
เยี่ยนเจี่ยวหราน
รับผิดชอบโยกย้ายผู้ฝึกตนติดตามกองทัพม้าเหล็กต้าหลีทุกคน ทั้งบันทึกคุณความชอบ ทั้งรับหน้าที่ให้รางวัลและลงโทษ เป็นเหตุให้ในเรื่องของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ สามกรมอย่างกลาโหม อาญาและพิธีการของต้าหลีก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะยื่นมือเข้าแทรกได้อย่างแท้จริง
เยี่ยนเจี่ยวหรานก็เหมือนเงาเงาหนึ่งของราชวงศ์ต้าหลี ดำรงอยู่แค่ในม่านราตรีเท่านั้น
ได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นหนึ่งในคนสนิทที่สุดของราชครูชุยฉาน
คำกล่าวที่คลุมเครือนี้ หันโจ้วจิ่นย่อมไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือเท็จ
แต่หันโจ้วจิ่นมั่นใจในความจริงเรื่องหนึ่งอย่างมาก ในอดีตเยี่ยนเจี่ยวหรานเคยต่อสู้กับซ่งจ่างจิ้งมาก่อน!
นอกจากนี้แล้วหันโจ้วจิ่นยังรู้ความลับอีกเรื่องหนึ่ง เยี่ยนเจี่ยวหรานกับฉีเจินเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพคือสหายต่างวัยที่อายุห่างกันมาก และยิ่งเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจกัน
ดังนั้นสกุลเยี่ยนถึงได้ชิงดึงตัวนางมาจากมือของหน่วยจานกานต้าหลี พาออกจากพื้นที่มงคลชิงถานกลับไปที่ตระกุลสกุลเยี่ยนก่อน
“สหายคนนั้นที่เฉินผิงอันพูดถึง หากเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย ส่วนเรื่องที่เขาให้เจ้าไปหาเฟิงอี๋ที่ศาลเทพอัคคี เจ้าก็จงถามเรื่องของใจกลางค่ายกลไปอย่างเปิดเผย จงทะนุถนอมวาสนาเซียนบนภูเขาสองส่วนนี้ให้ดี”
เยี่ยนเจี่ยวหรานลุกขึ้นยืน “ไป ถึงเวลากินข้าวพอดี ข้าจะเลี้ยงบะหมี่เจแม่นางหันสักถ้วย”
เยี่ยนเจี่ยวหรานลุกขึ้นพาหันโจ้วจิ่นเดินออกจากกุฎิ มาที่ห้องติดกัน ด้านในมีแค่โต๊ะหนึ่งตัวกับม้านั่งยาวสี่ตัวเท่านั้น
เพราะเป็นผู้แสวงบุญรายใหญ่ของที่นี่ เยี่ยนเจี่ยวหรานจึงไม่ต้องไปที่โรงทาน แต่บอกให้ผู้ติดตามคนหนึ่งที่เผยกายออกมาไปขอบะหมี่เจสองชามมาจากภิกษุของวัด
เยี่ยนเจี่ยวหรานไม่ได้นั่งตรงตำแหน่งประธานที่หันหน้าเข้าหาประตู หันไปทางหันโจ้วจิ่น ยื่นมือกดลงบนความว่างเปล่า ยิ้มเอ่ย “การที่ชอบมาที่นี่ ครึ่งหนึ่งเพราะอยาก อีกครึ่งหนึ่งเพราะฌาน” (คำว่าอยากหมายถึงอยากกิน ออกเสียงว่าฉานเหมือนกับว่าฌาน)
เพียงไม่นานก็มีเณรร้อยคนหนึ่งที่ฝีเท้าหนักแน่นยกบะหมี่เจมาสองชาม
หันโจ้วจิ่นก้มหน้ามองบะหมี่ชามที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเอง ทั้งสีสันและกลิ่นล้วนครบถ้วน
เห็ดหอม หน่อไม้อ่อน ต้นหอม เต้าหู้ทอด หัวไชเท้าดอง แล้วยังมีผักดองรสจัดที่เรียกชื่อไม่ถูกอีกสองสามชนิด
บวกกับส่วนที่โรยหน้า ทำเอาหันโจ้วจิ่นที่เป็นผู้ฝึกตนซึ่งจิตใจสงบนิ่งไร้ความอยากถึงกับรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา
ต่างคนต่างกินของตัวเองกันไป
เยี่ยนเจี่ยวหรานม้วนบะหมี่ขึ้นมาหนึ่งคำ เคี้ยวช้าๆ แล้วกลืน คีบผักชิ้นหนึ่งใส่ปาก อยู่ดีๆ ก็เอ่ยว่า “อันที่จริงตอนที่ข้ายังหนุ่ม เคยแอบไปเยือนภูเขาห้อยหัว”
หันโจ้วจิ่นเตรียมจะหยุดขยับตะเกียบ เยี่ยนเจี่ยวหรานกลับยิ้มเอ่ยเสียก่อน “บอกเจ้าว่าไม่ต้องระมัดระวังตัว ไม่ใช่เพราะข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นแบบนี้แล้วมีอะไรไม่ถูก แต่เพราะข้าคนนี้ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากมากที่สุด รังเกียจความยุ่งยากเป็นที่สุด เลยต้องพูดจาซ้ำซากเตือนเจ้าบ่อยๆ เจ้ารำคาญหรือไม่ก็ไม่สำเร็จ แต่เจ้าทำให้ข้ารำคาญแล้วจริงๆ”
หันโจ้วจิ่นไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ม้วนบะหมี่คำใหญ่ขึ้นมาก้มหน้ากินต่อ
“ค่อนข้างน่าอนาถ นั่งโดยสารเต่าทะเลภูเขาของนครมังกรเฒ่าไปที่ภูเขาห้อยหัว นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าข้ามทวีปเดินทางไกล แล้วก็เป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ระหว่างที่เดินทางข้าต้องคอยศึกษาภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่อย่างนั้นพอไปถึงภูเขาห้อยหัวจะต้องถูกคนมองเป็นพวกบ้านนอก คิดจะควักเงินออกจากกระเป๋ายังยาก เวลานั้นแจกันสมบัติทวีปของพวกเราไม่เป็นที่ยอมรับอย่างมาก และต้าหลีของพวกเราก็ยิ่งถูกมองเป็นคนเถื่อนแดนเหนือ ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนั้นไม่น้อยไม่ใหญ่ แต่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้คนที่ถูกราชครูพูดว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำอย่างข้าอึดอัดถึงเพียงใด แค่คิดก็พอจะรู้ได้”
“แม่นางหันเจ้ายังอายุน้อย ดังนั้นอาจจะไม่เข้าใจคำกล่าวนี้ แน่นอนว่าวันหน้าก็ยิ่งมิอาจเข้าใจได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่โชคดีอย่างมาก”
“เจ้าลองเดาดูสิว่ารอข้าข้ามผ่านภูเขาห้อยหัวไปแล้ว ไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ความเสียดายที่ใหญ่หลวงที่สุดคืออะไร?”
หันโจ้วจิ่นได้แต่ส่ายหน้า
นางจะเดาออกได้อย่างไร
เยี่ยนเจี่ยวหรานหัวเราะ
น่าเสียดายที่ไม่ใช่อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น
“ก็คือเรื่องที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งมีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆแห่งนั้น กลับมีเซียนกระบี่แซ่เยี่ยนแค่คนเดียวเท่านั้น”
“เขาชื่อเยี่ยนหมิง”
“แล้วยังเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งที่ทำการค้าเก่งมากด้วย”
พูดมาถึงตรงนี้ เยี่ยนเจี่ยวหรานก็ใช้ตะเกียบม้วนบะหมี่ ผงกศีรษะอยู่กับตัวเอง
เส้นชีพจรมังกรที่แท้จริงในหนึ่งแคว้นอยู่ที่ไหน?
อยู่ที่กีบเท้าม้า อยู่ที่เงินขาว
อะไรคือกองกำลังแคว้นโชติช่วง สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือเสียงกีบเท้าบนสนามรบที่สนั่นสะเทือนแก้วหู
และยังมีเสียงดีดลูกคิดในห้องบัญชี ดังประสานคลออยู่กับเสียงท่องตำราในโรงเรียนอยู่ไกลๆ
“ดังนั้นพอข้าไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องแรกที่ทำก็คือไปที่หน้าประตูใหญ่ตระกูลเยี่ยน บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง บอกว่าตัวข้าเองก็แซ่เยี่ยน มาจากแจกันสมบัติทวีป”