กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 883.4 ดอกและผล
“เสียงกีบเท้าม้าของชายแดนไม่ดัง ต่อให้ขุนนางศาลหงหลูอย่างพวกเราพูดดังแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์”
“ขอแค่เสียงกีบเท้าม้าบนสนามรบดังราวฟ้าผ่า ต่อให้เจ้าไม่พูดอะไรสักคำก็ไม่มีใครกล้าพูดจาเหลวไหลแล้ว”
ผู้เฒ่ายกมือขึ้นมาชี้สวินชวี่ “คนหนุ่มในวงการขุนนางต้าหลีอย่างพวกเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางที่ทำงานอยู่ในศาลหงหลูของพวกเราทุกวันนี้ โชคดีกันมากเลยนะ ดังนั้นพวกเจ้าต้องทะนุถนอมความโชคดีที่ได้มาไม่ง่ายนี้เอาไว้ แล้วยังต้องคอยนึกถึงความอันตรายและยากลำบากในยามที่ชีวิตสุขสงบ ต้องพยายามให้มากๆ เข้า”
ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง หัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “ครั้งนั้นถือว่าข้าอัดอั้นจนบาดเจ็บภายในเชียวล่ะ ด้วยความโมโหจึงคิดจะลาออกจากการเป็นขุนนาง รู้สึกว่าจะมีหรือไม่มีข้าก็ไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรทั้งนั้น”
“วันที่ข้ายื่นเอกสารลาออกไปที่ราชสำนัก ท่านราชครูก็มาเยือนศาลหงหลูอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง ตอนนั้นถึงอย่างไรข้าก็ยังถือว่าเป็นขุนนางที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ ก็เลยมาพบใต้เท้าราชครู ข้าสะสมความไม่พอใจไว้เต็มท้อง แต่ก็จงใจไม่ผายลมออกไปแม้แต่ครั้งเดียว ใต้เท้าราชครูเองก็ไม่พูดอะไร ไม่โน้มน้าว ไม่ด่า ไม่โกรธ ภายหลังที่คนเอาไปเล่าลือกันว่าราชครูช่วยให้คำชี้แนะข้าอย่างจริงใจอะไรนั่น ไม่ได้ใกล้เคียงกับความจริงเลยสักนิดเดียว อันที่จริงราชครูถามข้าแค่คำถามเดียว หากมีเพียงตอนที่แคว้นเจริญรุ่งเรือง การเป็นขุนนางจึงจะถือว่ามีรสมีชาติ ถ้าอย่างนั้นเมื่อแคว้นอ่อนแอ ใครเล่าจะมาเป็นขุนนาง”
อยู่ดีๆ ผู้เฒ่าก็ยกมือขึ้นปัดไหล่ของตนเองอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ น่าเสียดายที่ไม่ใช่หน้าหนาว ยังไม่มีหิมะตกลงมา
การพบเจอกันปลายปีหยวนเจียที่ห้าครานั้นเป็นช่วงเวลาที่หิมะใหญ่ตกลงมาพอดี บนถนนหนทางมีหิมะทับถมกองเป็นพะเนินหนา กดทับให้กิ่งของต้นสนต้นป่ายแตกหักลงมาเป็นระยะ เสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ดังต่อเนื่อง
ปีนั้นก่อนที่ราชครูจะออกไปจากศาลหงหลูก็ได้ตบไหล่ของฉางซุนเม่า ใบหน้าประดับยิ้ม เอ่ยประโยคหนึ่งกับซื่อชิงศาลหงหลูที่กำลังจะลาออกด้วยจิตใจที่เป็นกลาง
แต่ไม่เป็นไร หากเจ้าฉางซุนเม่าไม่ยินดีจะเป็นขุนนางอย่างขับข้องใจ ย่อมต้องมีคนอื่นยืนหยัดออกหน้ามาแทน เจ้าก็ออกจากราชการไปนั่งเสวยสุขอยู่ในศาลา พูดกับพวกนักประพันธ์อย่างสบายใจ จะด่าฟ้าด่าดินก็ตามใจชอบ วางใจได้เลยว่าวันหน้าราชสำนักต้าหลีจะยังยอมรับบัณฑิตที่มีปณิธานอย่างเจ้าได้
ฉางซุนเม่ามองไปยังทิศไกลบนถนน
ราวกับมองเห็นภาพในอดีตอย่างเลือนราง
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาคนหนึ่งค่อยๆ เดินจากไปไกลท่ามกลางลมหิมะ ไปจากศาลหงหลูทั้งอย่างนั้น
วันนี้ฉางซุนเม่าก็ยังมีคำพูดบางอย่างที่ไม่ได้พูดออกไป
ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่ปีนั้นตนถูกขุนนางสกุลหลูทำให้โมโหจนควันแทบผุดออกจากทวารทั้งเจ็ด อันที่จริงสิ่งที่ทำให้ฉางซุนเม่ารู้สึกหมดอาลัยตายอยากอย่างแท้จริงเป็นเพราะหางตาเหลือบไปเห็นสีหน้าที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าชินชาของพวกคนเฒ่าคนแก่ในศาลหงหลูต้าหลีมากกว่า ราวกับว่านั่นเป็นเหตุผลชอบธรรมที่แผ่ออกมาจากกระดูก
ฉางซุนเม่าเดินหน้าต่ออีกครั้ง “ข้าน่ะโชคดีได้อยู่ในยุคสมัยแห่งความผาสุก เกิดมาในครอบครัวฐานะพอมีอันจะกิน อายุน้อยๆ ก็มีชื่อเสียงแล้ว มีความสามารถในการเป็นขุนนาง ครอบครัวอยู่ดีมีสุข แต่งภรรยาที่เรียบร้อยเพียบพร้อม ให้กำเนิดบุตรที่ฉลาดเฉลียว เจอกับการเปลี่ยนแปลงที่พันปีไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ราชสำนักใสสะอาด กองทัพแข็งแกร่ง ผงาดลุกอย่างกล้าหาญ กอบกู้วิกฤตร้ายให้กลายเป็นดี วัยชรามีความสุขอยู่กับลูกหลาน หากในอนาคตจากไปอย่างไร้โรคภัยได้ แล้วยังได้รับสมญานามย้อนหลังหลังที่จากไปแล้ว ชีวิตนี้ก็สามารถพูดได้ว่าสมบูรณ์พูนสุขแล้ว”
ฉางซุนเม่าพลันหันหน้ามาถาม “ความรู้ของเจ้าขุนเขาเฉินเป็นอย่างไร?”
สวินชวี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะคราวก่อนที่พบเจอกัน ใต้เท้าซื่อชิงก็เคยถามคำถามทำนองเดียวกันนี้ไปแล้ว และสวินชวี่ก็ให้คำตอบของตัวเองไปแล้ว
ฉางซุนเม่ายกสองมือขึ้นมาเป่าลมเบาๆ ยิ้มเอ่ย “แต่งกลอนมีอะไรยาก ก็แค่ต้องสัมผัสคล้องจองเท่านั้น”
แต่งกลอนเป็นเช่นนี้ เป็นขุนนางก็เช่นเดียวกัน บางทีเป็นราชครูก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกันกระมัง?
สวินชวี่ฟังด้วยความมึนงงสนเท่ห์
เรือนใหญ่หลังหนึ่งในตรอกอี้ฉือ ตรงเก้าอี้ประธานของห้องโถงมีหญิงชราที่แม้จะแก่เฒ่าแต่ก็ยังแข็งแรงคนหนึ่งนั่งอยู่ มือสองข้างค้ำอยู่บนไม้เท้า ยิ้มตาหยีมองไปยังฮองเฮาและแม่นางน้อยคนหนึ่งที่อยู่นอกประตู
ในวงการขุนนาง หญิงชราได้รับคำเรียกขานอย่างให้ความเคารพว่าเหล่าไท่จวิน
นางอายุน้อยกว่านายท่านผู้เฒ่ากวนแค่สิบสองปี ห่างกันหนึ่งรอบพอดี ทั้งยังเกิดปีนักษัตรเดียวกัน
หญิงชราลุกขึ้นยืนถวายบังคมแก่ฮองเฮา
รับการคารวะมาก่อน จากนั้นฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนก็รีบใช้สถานะของผู้เยาว์ในตระกูลคารวะกลับคืนไป
อวี๋อวี๋ตะโกนเรียกเสียงดังว่า “ท่านป้ารอง!”
เหล่าไท่จวินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ซ่งซวี่รู้สึกอึดอัดอย่างถึงที่สุด
เวลาปกติเหล่าไท่จวินจะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบอยู่ที่บ้านเกิด
แซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นไม่ใช่ว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงเหมือนอย่างหยวนและเฉาทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่นรากฐานของตระกูลกวนก็ยังอยู่ที่เมืองอวิ๋นไจ้จังหวัดอี้โจว
เหล่าไท่จวินกับฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้สองตัวที่อยู่ติดกัน หญิงชรายื่นมือมากุมมือของอวี๋เหมี่ยนไว้เบาๆ มองไปทางแม่นางน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ้มเอ่ยด้วยสีหน้าปลาบปลื้มมีเมตตา “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ในที่สุดก็พอจะมีท่าทีของหญิงสาวบ้างแล้ว เวลาเดินก็มีจังหวะแช่มช้อยอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นมองแล้วจะเหมือนเด็กผู้ชายตัวปลอม ออกเรือนยาก”
อวี๋อวี๋หัวเราะฮ่าๆ “ใช่แล้วๆ ทุกปีน้ำหนักเพิ่มขึ้นสองสามจิน อีกแค่ไม่กี่ปีก็จะใช้คำว่า ‘แข็งแกร่งทรงพลัง’ ได้แล้ว! ถึงเวลานั้นก่ายเยี่ยนกับหันโจ้วจิ่นรวมกันก็ยังสู้ข้าไม่ได้”
ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนคลี่ยิ้มเป็นปกติ
องค์ชายที่นั่งอยู่ข้างอวี๋อวี๋ได้แต่เกร็งหน้าขึงตึง ดื่มชาไปเงียบๆ
เหล่าไท่จวินฟังเจ้าคนคาบข่าวอย่างอวี๋อวี๋เล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงช่วงที่ผ่านมา
บางครั้งก็วิจารณ์บ้างสองสามประโยค
“เป็นคนนี่นะ เรียบง่ายมาก พยายามทำเรื่องที่ต้องขมวดคิ้วให้น้อยลงหน่อย ข้างกายพยามให้มีคนที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันน้อยลง ถนนหนทางก็กว้างขวางขึ้นแล้ว”
“เจ้าลูกตะพาบหยวนฮว่าจิ้งผู้นั้นฝึกตนได้ราบรื่นเกินไป ขอบเขตได้มาเร็วเกินไป มาดของยอดฝีมือยังไม่ทันตามทัน นี่ก็เป็นหลักการเดียวกันกับที่ตัวสูงขึ้นพรวดๆ แต่สมองกลับโตตามไม่ทันนั่นแหละ”
องค์ชายซ่งซวี่ยังคงแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
อันที่จริงอายุของเหล่าไท่จวินกับหยวนฮว่าจิ้งนั้นพอๆ กัน
ซ่งซวี่เคยได้ฟังเรื่องเก่าแก่ในอดีตเรื่องหนึ่งมาจากอวี๋อวี๋ที่ปากไม่มีหูรูด ตอนที่หยวนฮว่าจิ้งยังเป็นเด็กหนุ่มเคยมีความขัดแย้งที่ค่อนข้างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของยุทธภพกับเหล่าไท่จวินมาก่อน
เหล่าไท่จวินกล่าว “ระหว่างที่เดินทางมามองไกลๆ ไปเห็นเรือลำหนึ่งจอดอยู่ชานเมือง ดูเหมือนลั่วอ๋องจะอยู่บนนั้น”
ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองเป็นพี่น้องร่วมอุทรของฮ่องเต้ซ่งเหอ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอ๋องปกครองพื้นที่ศักดินาลั่วโจว และลั่วโจวก็เป็นหนึ่งในดินแดนต้นกำเนิดลำน้ำใหญ่ที่อยู่ภาคกลางสายนั้น
ซ่งซวี่เอ่ยทันใดว่า “ตอบเหล่าไท่จวิน เสด็จอาได้โดยสารเรือมุ่งหน้าไปยังเปลี่ยวร้างแล้ว”
เหล่าไท่จวินอืมรับหนึ่งที ตบหลังมือของฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนเบาๆ
หญิงชรายิ้มถาม “องค์ชาย ท่านรู้สึกว่าเซียนกระบี่เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วเหมือนราชครูของพวกเรามากกว่า หรือเหมือนเจ้าขุนเขาฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยามากกว่า?”
ซ่งซวี่ลำบากใจเล็กน้อย จึงเหลือบตาไปมองเสด็จแม่
อวี๋เหมี่ยนส่ายหน้าเบาๆ
อวี๋อวี๋ตบที่เท้าแขนเก้าอี้ เด็กสาวยังคงพูดจาอย่างไร้ยำเกรงเหมือนทุกครา “เหมือนทั้งคู่เลย!”
“เป็นไปไม่ได้”
หญิงชราส่ายหน้า “ปีนั้นตอนที่เจ้าขุนเขาฉีสอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษา ทั้งทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนนั่งอาบไล้อยู่ท่ามกลางลมวสันต์ ทั้งให้ความรู้สึกถึงความน่ารักของฤดูหนาว หันกลับมามองราชครูที่วางแผนยุคนในให้สามัคคียุให้คนนอกแตกแยกอยู่ในราชสำนัก ทั้งทำให้คนรู้สึกเยียบเย็นเหมือนสายลมฤดูใบไม้ร่วง ทั้งยังมีความน่าหวาดกลัวของฤดูร้อน ทั้งสองคนนิสัยแตกต่าง ไม่ใกล้เคียงกันเลยสักนิด คนคนหนึ่งจะมีทั้งสองนิสัยได้อย่างไร อวี๋อวี๋ เจ้าต้องมองผิดเป็นแน่ องค์ชาย ยังคงเป็นท่านที่ตรัสเองเถิดเพคะ?”
ซงซวี่จึงได้แต่ใคร่ครวญใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าคิดไม่ต่างจากอวี๋อวี๋เท่าไร บางทีข้าก็อาจมองผิดไปเหมือนกัน”
เหล่าไท่จวินหัวเราะร่าผงกศีรษะเอ่ยว่า “ขนมหมาสือ (ขนมโมจิ) อร่อย”
กองโหราศาสตร์
หัวหน้าและรองหัวหน้าสองคนเริ่มสอบถามเรื่องหนึ่งกับหยวนเทียนเฟิง เพราะราชสำนักต้าหลีเตรียมจะเปลี่ยนชื่อหลงโจวให้เป็นชู่โจว ชื่อนี้อิงตามทฤษฎีการแบ่งแยกดวงดาว นอกจากนี้ชื่อและขอบเขตของอำเภอกับเขตแต่ละแห่งก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ปีนั้นยกเขตหลงเฉวียนขึ้นเป็นจังหวัดหลงโจว เนื่องจากอาณาเขตคลอบคลุมพื้นที่มงคลหลีจูที่หยั่งรากลงสู่พื้นดินไปเกินครึ่ง เมื่อเทียบกับจังหวัดทั่วไปแล้ว อาณาเขตของหลงโจวจึงกว้างขวางกว่ามาก ทว่าพื้นที่ใต้การปกครองกลับมีแค่สี่เขตอย่างชิงสือ เป่าซี ซานเจียงและเซียงฮว่อเท่านั้น นี่เป็นการจัดตั้งที่ไม่ปกติอย่างยิ่งสำหรับราชสำนักค้าหลี ดังนั้นทุกวันนี้นอกจากกจะเปลี่ยนชื่อจังหวัดแล้วยังต้องเพิ่มเขตอีกมากมายเข้าไป รวมไปถึงเพิ่มอำเภอใหม่ให้มากขึ้น เท่ากับว่าอำเภอ เขตและจังหวัดของหลงโจวถูกรื้อเปลี่ยนทั้งหมดแล้วค่อยเริ่มจัดตั้งกันใหม่
เว่ยหลี่ผู้ว่าจังหวัดหลงโจวคนปัจจุบัน อีกไม่นานทางราชสำนักจะมีหน้าที่สำคัญอย่างอื่นให้ทำ
วงการขุนนางต้าหลีเห็นพ้องต้องกันว่ามีสองสถานที่ฮวงจุ้ยมงคลที่ง่ายต่อการเลื่อนขั้นยกระดับมากที่สุด หนึ่งคือตัวจังหวัดหลงโจวเอง อีกหนึ่งคือแคว้นชิงหลวนพื้นที่ใต้อาณัติเก่า
หยวนเทียนเฟิงดูภาพแผนที่ของจังหวัดหลงโจวเก่าแล้วยิ้มเอ่ย “ข้าแค่รับผิดชอบเรื่องการตั้งชื่อ หากเกี่ยวพันไปถึงการแบ่งอาณาเขตของอำเภอและเขตที่เป็นรูปธรรม ข้าไม่มีทางให้คำเสนอแนะใดๆ ส่วนชื่อพวกนี้จะเอาไปใช้กับเขตหรืออำเภอ กองโหราศาสตร์ของพวกเจ้าก็เอาไปปรึกษากับกรมพิธีการกันเอาเองเถอะ”
กองโหราศาสตร์นอกจากจะเรียบเรียงปฏิทินขึ้นมาแล้ว อันที่จริงยังเรียกรวมเป็นสำนักชัยภูมิอาจารย์ชิงอู จึงมีสิทธิ์มีอำนาจในการสำรวจภูมิศาสตร์เช่นกัน
หากจะบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของปรากฎการณ์ฟ้าเกี่ยวข้องกับความรุ่งโรจน์ความเสื่อมถอยของจักรพรรดิในโลกมนุษย์อย่างแนบแน่น ถ้าอย่างนั้นการที่กองโหราศาสตร์ใช้ศาสตร์ของการคำนวณมาอนุมานวิถีแห่งฟ้า จากนั้นก็นำมาเรียบเรียงจัดทำเป็นปฏิทิน ทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ ก็เป็นการกระทำที่สร้างวันเวลาขึ้นมา
หม่าเจียนฟู่ยิ้มกล่าว “เชิญอาจารย์หยวนพูดได้อย่างเต็มที่เลย”
ทำนายดวง กำจัดเสนียดชั่วร้าย ขอพร ชั่งกระดูกดูชะตา อักษรเกิดแปดตัว คำนวณดวงชะตา ทำนายฝัน…
อาจารย์หยวนท่านนี้ล้วนเชี่ยวชาญทุกเรื่อง
หยวนเทียนเฟิงร่ายรายชื่อของอำเภอและเขตออกมาเป็นพรวน เซียนตู จิ้นอวิ๋น หลันซี อูซาน อู่อี้ เหวินเฉิง…
หัวหน้ากองและรองหัวหน้ากองฟังมาถึงชื่อในช่วงท้ายๆ ก็หันมาสบตาแล้วยิ้มให้กัน
หยวนเทียนเฟิงพลันเอ่ยว่า “เรื่องของการตั้งชื่อ อันที่จริงพวกเจ้ายังสามารถลองสอบถามความเห็นของคนอื่นดูได้ ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน”
ใต้เท้าหัวหน้ากองมองไปยังรองหัวหน้ากองแล้วกระแอมหนึ่งที
หม่าเจียนฟู่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ใต้เท้าเจียนเจิ้งก็เริ่มกระแอมไอขึ้นมาอีก
หม่าเจียนฟู่หันหน้ามาถาม “ใต้เท้าเจียนเจิ้ง ท่านไม่สบายคอหรือ?”
เจียนเจิ้งถอนหายใจยาวเหยียด “ช่างเถิดๆ”
หม่าเจียนฟู่ถอนหายใจโล่งอก
คาดไม่ถึงว่าใต้เท้าเจียนเจิ้งจะพูดว่า “คนมีความสามารถก็มักต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น ครั้งนี้ยังคงต้องให้น้องหม่าแสดงฝีมือ (ภาษาจีนคือชูหม่า แปลตรงตัวว่าปล่อยม้า) อีกครั้ง ก็แซ่หม่านี่นะ ต้องหนึ่งม้านำหน้า ม้ามาความสำเร็จบังเกิดแน่นอน”
ฝ่ายเต้าเจิ้งเมืองหลวง
นักพรตที่เป็นผู้นำซึ่งมาจากหน่วยฉงซวีต้าหลีคอยฟังการประชุมอยู่ตลอด ไม่ได้เอ่ยแทรกสักคำตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลงก็แค่เดินออกจากอารามเต๋ามาพร้อมเก๋อหลิ่ง
เก๋อหลิ่งคือคนของจวี้หรงซึ่งเป็นอาณาเขตทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป
เขากับนักพรตของอารามป๋ายอวิ๋นแคว้นชิงหลวน อันที่จริงบ้านเกิดของสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมาก เพียงแต่ว่าก่อนที่แต่ละคนจะเข้าเมืองไม่เคยคบค้าสมาคมกันมาก่อน
สวนดอกไม้ของวังหลวง สตรีฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ร้องไห้สะอึกสะอื้น
สตรีพลันเงยหน้าขึ้น แค่นเสียงหึในลำคอ คอยดูกันไปเถอะ!
เพียงแต่เมื่อนางเห็นตะเกียบไผ่เขียวที่วางอยู่บนโต๊ะก็อดโศกาอาดูร โทษคนบ่นฟ้าขึ้นมาอีกไม่ได้
ตรอกเล็ก
เส้นเอ็นหัวใจของหลิวเจียพลันหดรัดตัว หันหน้ามองเข้าไปในตรอกเล็ก
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง เพิ่งจะเคยเห็นแขกไม่ได้รับเชิญที่เดินออกมาจากตรอกเล็ก ไม่ได้เดินเข้าไปในตรอกเล็กเป็นครั้งแรก เป็นโจรที่ตบะสูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
หลิวเจียโมโหไม่เบา เจ้าตัวดี ถึงกับกล้าบุกเข้าไปในเรือนของราชครูโดยพลการเชียวรึ?
คิดว่าผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างข้ากินหญ้าอย่างนั้นรึ?
ผู้ฝึกตนเฒ่าสีหน้านิ่งสนิทราวกับผืนน้ำ “รีบบอกชื่อแซ่มา จากนั้นก็ตามข้าไปกรมอาญาด้วยกัน”
หากไอ้หมอนี่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในตรอกเล็ก ตนยังพออะลุ้มอล่วยให้ได้ หากขวางไว้ได้ก็ขวางไว้ ขวางไม่ได้ก็ถือว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือที่ใจกล้า
ทว่าไอ้เจ้านี่กลับข้ามอาณาเขตเข้ามาโดยตรง เดินออกมาจากในเรือนของท่านราชครู ก้าวอาดๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าตน ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษด้วย ไม่มีพื้นที่ให้ถอยหลังกลับ ไม่อาจปรึกษากันได้อีกแล้ว
คนผู้นั้นยืนอยู่ริมอาณาเขตของลานประกอบพิธีกรรมหยกขาว เอ่ยแนะนำตัวเองว่า “เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว”
เด็กหนุ่มกำลังจะอธิบายให้อาจารย์ฟังสองสามประโยคด้วยความเคยชิน จากนั้นจะเอ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า ตนไม่เคยเห็นภาพวาดของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวมาก่อน ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ดังนั้นเรื่องแยกแยะว่าเป็นจริงหรือเท็จ อาจารย์ท่านต้องตัดสินใจเองแล้ว
เซียนซือผู้เฒ่าหลิวเกือบจะมีน้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอดวงตา ในที่สุดก็เจอกับคนที่พบหน้ากันแล้วยอมแนะนำตัวเองแล้ว
เห็นเพียงว่าทั่วร่างของหลิวเจียเปี่ยมไปด้วยปราณของความเที่ยงธรรมไพศาล เบี่ยงตัวหลีกทางให้ เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ยินดีต้อนรับอาจารย์เจิ้งมาเป็นแขกบ่อยๆ!”
…….
เฉินผิงอันเดินออกมาจากประตูใหญ่ของวังหลวงแล้วก็เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ พวกเราเดินกันอีกสักพักหนึ่ง เจ้าก็พาข้าตามเรือข้ามฟากลำนั้นไปเถอะ”
เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างเพิ่งจะขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งเดินทางมุ่งหน้าลงใต้ เพิ่งออกเดินทางไปได้ไม่นานนี้
เสี่ยวโม่พยักหน้า จากนั้นเอ่ยถาม “คุณชายเป็นห่วงลูกศิษย์ทั้งสองหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก เพียงแค่อยากจะมองพวกเขาให้มากสักหน่อย ถือโอกาสให้พวกเขาเอาข่าวข่าวหนึ่งไปบอกต่อแก่ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของข้าด้วย”
เสี่ยวโม่ถามอย่างประหลาดใจ “ลูกศิษย์คนนั้นของคุณชายใช่อาจารย์ชุยที่สหายลู่พูดถึงหรือไม่?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “สหายลู่ของเจ้าพูดถึงชุยตงซานว่าอย่างไร”
เสี่ยวโม่ตอบ “ต้น กลาง ท้ายและประโยคปิดท้าย สหายลู่มีคำวิจารณ์สี่คำที่ไม่เหมือนกัน ได้แก่ความสามารถเลิศล้ำ คุณูปการเกริกก้อง ขุนเขาตะวันออกผุดผงาดอีกครั้ง โลกมนุษย์ต้องหันมามอง”
เฉินผิงอันพยักหน้า เผยสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างที่หาได้ยาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ดังนั้นข้าที่เป็นอาจารย์จึงเป็นได้ไม่สมชื่อมาโดยตลอด”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าลูกศิษย์คนนี้ของคุณชายต้องไม่มีทางรู้สึกว่าอาจารย์ของตัวเองไม่คู่ควรกับคำว่าอาจารย์อะไรแน่นอน มีแต่จะรู้สึกโชคดี รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ท่านมาเป็นอาจารย์มากกว่า”
เฉินผิงอันอดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหว ตบป้าบลงบนไหล่ของเสี่ยวโม่อย่างหนัก “นี่มันขนบธรรมเนียมอะไรกัน! ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลยจริงๆ ด้วย”