กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 884.1 เตรียมสุรา
เรือข้ามฟากลำหนึ่งของตำหนักฉางชุนที่เดินทางลงใต้ ระหว่างทางจะจอดเทียบท่าที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวในอาณาเขตของหลงโจว
เฉาฉิงหล่างมาที่นอกห้องของเผยเฉียน ยืนอยู่กลางระเบียง เคาะประตูเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าเอง”
เผยเฉียนเปิดประตูห้องแล้วก็กลับไปเดินนิ่งหกก้าวในห้องต่อ ถามง่ายๆ ว่า “มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”
ไปกลับระหว่างภูเขาลั่วพั่วกับเมืองหลวงครั้งนี้ ระหว่างที่เดินทางเผยเฉียนจะต้องสวมหน้ากากของเด็กสาว หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องเสียค่ายาโดยไม่จำเป็นหลายก้อน
เดินนิ่งหกก้าวคือ ‘ทักษะวิชาหมัด’ เพียงหนึ่งเดียวที่เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังตอนที่เผยเฉียนเป็นเด็ก
เพียงแต่ว่าถ่านดำในเวลาน้อยในเวลานั้นดูแคลน รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลา วันๆ คิดแต่จะอยากขอให้เหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายมอบกำลังภายในให้นางหกสิบปี ไม่ต้องเจ็บตัว เป็นสุดยอดวิชาบู๊ล้ำโลกที่หล่นลงมาจากฟ้า
เฉาฉิงหล่างยืนอยู่ตรงประตู “รอให้เจ้าฝึกหมัดเสร็จข้าค่อยมาใหม่ดีไหม?”
เผยเฉียนทำหน้าพิกล “นอกจากตอนนอน ข้าก็ฝึกหมัดอยู่ตลอด”
เฉาฉิงหล่างประดักประเดิดอย่างเห็นได้ชัด
เผยเฉียนกล่าว “พูดคุยกันไม่ถ่วงเวลาการเดินนิ่งหรอก”
เฉาฉิงหล่างถึงได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา งับประตูปิดเบาๆ นั่งลงข้างโต๊ะ รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งถ้วย
นอกจากเรือกองทัพของต้าหลีแล้ว น้ำเปล่าที่เรือข้ามฟากตระกูลเซียนทุกลำเตรียมไว้ให้ล้วนมีข้อพิถีพิถันแทบทุกแห่ง ส่วนใหญ่จะไปเอามาจากน้ำพุที่มีชื่อเสียง ในอดีตไม่รู้ว่ามีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นคนใดที่แบ่งประเภทของน้ำชั้นยอดในหนึ่งทวีปออกเป็นเจ็ดระดับ
ยกตัวอย่างเช่นน้ำพุเจินจูในวัดป๋ายสุ่ยของแคว้นชิงหลวน สระน้ำแห่งหนึ่งบนยอดเขาหลงถวนของภูเขาเมฆาเรือง ว่ากันว่าเทน้ำลงถ้วย น้ำสามารถลอยพ้นระดับของแก้วขึ้นมาโดยไม่ล้นออก น้ำในสระยังถึงขั้นสามารถประคองให้เหรียญทองแดงลอยตัวได้ด้วย และยังมีอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังในอดีต ส่วนน้ำกานี้ที่อยู่บนโต๊ะก็คือน้ำหลิงชิวที่มีเฉพาะของตำหนักฉางชุน ว่ากันว่ามีประโยชน์ในการบำรุงความงามของสตรี สามารถลบรอยตีนกาได้อย่างมีประสิทธิภาพ…
ปีนั้นที่เจิ้งต้าเฟิงยังเฝ้าประตูภูเขาให้กับภูเขาลั่วพั่ว เฉาฉิงหล่างจะต้องเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลที่เมืองหลวง เจิ้งต้าเฟิงจึงเริ่มยุยงเฉาฉิงหล่างว่าจะต้องช่วยเดินทางอ้อมไปที่ตำหนักฉางชุนให้เขาสักรอบ หากหาซื้อมาได้ย่อมดีที่สุด แต่หากจ่ายเงินแล้วก็ยังซื้อมาไม่ได้ ต่อให้ขโมยก็ต้องขโมยน้ำพุหลิงชิวกลับมาที่บ้านสักหลายๆ กา ถึงเวลานั้นเขาพี่น้องต้าเฟิงจะต้องตอบแทนอย่างหนักแน่นอน!
เฉาฉิงหล่างบอกกล่าวจุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้ “นอกจากเจ้าจะเดินทางขึ้นเหนือกับอาจารย์เมื่อครั้งที่ออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้ว ภายหลังยังเดินทางลงใต้ไปเยือนใบถงทวีปเพียงลำพัง ข้าอยากจะขอความรู้เรื่องผู้คนและขนบธรรมเนียมระหว่างทางจากเจ้าสักหน่อย พูดได้ละเอียดเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น นี่อาจจะถ่วงเวลาการฝึกหมัดของเจ้าอยู่สักครึ่งวัน”
เผยเฉียนความจำดี เมื่อเทียบกับการอ่านหนังสือทีละสิบบรรทัด อ่านผ่านตาไม่เคยลืมของสวินชวี่แล้ว นางยังเหมือนเทพเซียนมากยิ่งกว่า
เฉาฉิงหล่างความจำไม่แย่ พอจะงัดข้อกับสวินชวี่ได้ แต่หากจะให้เปรียบเทียบกับเผยเฉียนก็เป็นการหาเรื่องอัปยศใส่ตัวเองจริงๆ
ตามแผนการที่อาจารย์และศิษย์พี่เล็กวางไว้ ปลายปีของปีนี้ หรืออย่างช้าสุดฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ภูเขาลั่วพั่วจะต้องเลือกที่ตั้งในสถานที่หนึ่งทางทิศเหนือของใบถงทวีป แล้วสร้างสำนักเบื้องล่างขึ้นมาอย่างเป็นทางการ
เวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปี ก่อตั้งสำนักเบื้องบนก่อนแล้วจึงตามมาด้วยสำนักเบื้องล่าง อันที่จริงในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีแค่สองครั้งเท่านั้น
ผู้ฝึกตนสองคนที่สร้างวีรกรรมระดับนี้ได้สำเร็จก็ได้แก่ฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง รวมไปถึงผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานเฒ่าที่เคยเลือกจะทรยศกลางสงครามใหญ่ในเกราะทองทวีป หวานเหยียนเหล่าจิ่ง
เผยเฉียนกล่าว “วันหน้าข้าเขียนเป็นตำราเล่มหนึ่งให้เจ้าดีไหม?”
เฉาฉิงหล่างยกมือขึ้นกุมหมัดเขย่าเบาๆ ยิ้มเอ่ย “หากเป็นแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด ขอบคุณศิษย์พี่หญิงใหญ่มาก”
ความตั้งใจเดิมคือให้เผยเฉียนบรรยายผ่านปากเปล่า ส่วนเฉาฉิงหล่างจะเอากระดาษหมึกพู่กันและแท่นฝนหมึกออกมาทำการคัดลอก ‘บันทึกการเดินทาง’ เล่มนั้น
ทุกวันนี้เขากับเผยเฉียนต่างก็มี ‘ถ้ำสวรรค์เล็ก’ ชิ้นหนึ่งที่ผู้อาวุโสสี่จู๋มอบให้ ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าวัตถุจื่อชื่อ ดังนั้นยามออกมาข้างนอกจึงสะดวกกว่าเดิมมาก
เผยเฉียนเดินนิ่งไม่หยุด กระตุกมุมปากเอ่ย “ต้องเก็บเงินนะ คิดราคาตามตัวอักษร หนึ่งอักษรหนึ่งอีแปะ เป็นอย่างไร?”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
รู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ หนีไม่พ้นเงินทุกที
ระหว่างที่เผยเฉียนเดินนิ่งหกก้าวครั้งหนึ่งก็ได้หยิบ ‘สมุดบัญชี’ เล่มใหญ่ออกมาจากชายแขนเสื้อโยนให้กับเฉาฉิงหล่าง
ตัวอักษรมีมากถึงสองล้านคำ เนื้อหาด้านในล้วนเขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน
เห็นได้ชัดว่านางเตรียมไว้นานแล้ว แค่รอให้เฉาฉิงหล่างเปิดปากขอเท่านั้น
ดูจากลายน้ำหมึก เกินครึ่งนางคงเขียน ‘บันทึกท่องเที่ยว’ เล่มนี้ขึ้นมาตอนที่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมเมืองหลวงต้าหลี
เฉาฉิงหล่างพลิกเปิดไปสองสามหน้าก็ให้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นอกจากเผยเฉียนจะบรรยายอาณาเขต เทือกเขาสายน้ำ วัดวาอาราม กองทัพที่มาตั้งฐานบัญชาการณ์ ขนบธรรมเนียมและผู้คนของแต่ละแคว้นเอาไว้แล้ว ถึงกับยังบันทึกเรื่องของผลผลิตอย่างพวกเกลือและเหล็กของแต่ละสถานที่เอาไว้ด้วย ถึงขั้นที่ว่ายังคัดลอกเนื้อหาในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์จำนวนไม่น้อย สอดแทรกไว้ด้วยภาพแผนที่ของทางการอีกหลายภาพ
เผยเฉียนหยุดท่าเดินนิ่ง นั่งลงข้างโต๊ะ
รวบผมเป็นมวยกลมกลางกระหม่อม เปิดหน้าผากนูนสูง
คนทั้งคนมองดูแล้วสะอาดสะอ้านคล่องตัว องอาจมากเป็นพิเศษ
นางมองไปนอกหน้าต่างเงียบๆ
เป็นสตรีที่ไม่ได้งดงามมากมายอะไร แต่เผยเฉียนในทุกวันนี้จะต้องทำให้คนที่ได้พบเห็นนางจดจำนางได้อย่างลึกซึ้งแน่นอน
นอกหน้าต่างมีเมฆลอยตัวบ้างสูงบ้างต่ำ เผยเฉียนมองจนเหม่อลอยไปเล็กน้อย
อันที่จริงตอนเด็กนางมักจะมองดูเมฆลอยไปลอยมานอกภูเขาเป็นเพื่อนพี่หญิงหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยเป็นประจำ
เพียงแต่ไม่เหมือนกับหมี่ลี่น้อยที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำ ต่อให้จะเป็นทัศนียภาพที่เหมือนกันแค่ไหนก็ยังถูกหมี่ลี่น้อยมองออกมาแปลกใหม่ได้สารพัดแบบ
อาจารย์พ่อเคยบอกว่าบทความในตำราคือขุนเขาสายน้ำบนโต๊ะ ภูเขาลำน้ำในใต้หล้าคือบทความบนพื้นดิน ล้วนสามารถทำให้คนที่ได้เห็นจิตใจปลอดโปร่งผ่อนคลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างหลังที่มองได้เปล่าๆ โดยไม่เก็บเงิน ไม่มองก็เสียเปล่าน่ะสิ!
ห่านขาวใหญ่เองก็เคยบอกว่า อยากเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญแต่เป็นไม่ได้ ทว่าก็พอจะเลียนแบบได้คล้ายคลึงของจริงอยู่บ้าง อยากได้วิสุทธิ์จารย์ผู้มีชื่อเสียงแต่หาไม่ได้ ก็คือมีปณิธานยิ่งใหญ่แต่ทำไม่สำเร็จแล้วยังจะกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่น พวกเราสองคนโชคดี โชคดีมากๆๆ เลยล่ะ อาจารย์ของข้า อาจารย์พ่อของเจ้า จะไปหาจากที่ไหนได้อีกเล่า?
ทุกครั้งที่พี่หญิงหน่วนซู่ลงจากภูเขาไปซื้อของที่ตัวจังหวัด จะต้องห่อเอาเต้าหู้เหม็นสามถุงกลับมาบ้านด้วย
นั่งอยู่ริมหน้าผาด้วยกัน แกว่งเท้าเล็กด้วยกัน โคลงศีรษะด้วยกัน กินเต้าหู้เหม็นที่ยิ่งกินก็ยิ่งหอมอร่อย
เวลาอยู่กับคนนอกพี่หญิงหน่วนซู่เป็นสตรีที่เรียบร้อยมากความสามารถ อันที่จริงเวลาอยู่กับนางและหมี่ลี่น้อย นางกลับร่าเริงอย่างมาก
เก็บอารมณ์อ่อนจางที่ไม่เรียกว่าเป็นความกลัดกลุ้มอะไรมา เผยเฉียนหันหน้ามองไปทางเฉาฉิงหล่าง
เฉาฉิงหล่างสังเกตเห็นแววตาประหลาดของเผยเฉียนก็ถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “ถูกศิษย์พี่เล็กแย่งตำแหน่งเจ้าสำนักไป เจ้าไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ?”
เฉาฉิงหล่างคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “แน่นอนว่าต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ที่มากกว่ากลับเป็นความรู้สึกโล่งอก”
เฉาฉิงหล่างยกมือขึ้นตบไหล่เบาๆ “ยังคงมีความสามารถไม่มากพอ แบกรับภาระหนักไม่ไหวหรอก”
“ตอนที่อาจารย์พ่ออายุเท่าเจ้าก็เกือบจะได้เป็นอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วนะ”
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “คำสอนของอริยะบอกว่า ลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้ แต่ข้าว่า เจ้าน่ะ หมดหวัง”
เฉาฉิงหล่างกลั้นยิ้ม “การที่อริยะสอนแบบนี้ก็ยิ่งแสดงให้รู้ว่าสถานการณ์ที่ลูกศิษย์สู้อาจารย์ไม่ได้มีมากยิ่งกว่า อีกอย่างศิษย์พี่หญิงก็เขียนประโยค ‘ครามเกิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม’ ลงไปในหนังสืออย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ การที่หลักการเหตุผลคือหลักการเหตุผลก็เพราะว่าพูดง่ายแต่ทำยากอย่างไรล่ะ”
เผยเฉียนไม่พูดอะไรอีก
เรื่องหาเหตุผลเอนเอียงมาอ้าง นางถนัดนักล่ะ
ช่างเถิด เรื่องการอธิบายเหตุผลอย่างจริงจัง ตนสู้เจ้าตอไม้เฉาผู้นี้ไม่ได้
เหอะ ปั้งเหยี่ยน
เฉาฉิงหล่างเตรียมจะลุกขึ้นขอตัวลา มีตำราเล่มนี้ รอให้ตนไปถึงใบถงทวีปก็ค่อยอิงตามเส้นทางในตำรา ย่างเท้าเหยียบลงบนพื้นดินอย่างจริงจัง ในใจก็จะมั่นคงมากขึ้นแล้ว
เผยเฉียนพลันถามว่า “เจ้าคิดว่าจะสร้างโอสถทองอย่างไร? ถึงเวลานั้นจะขอให้อาจารย์จ้งมาช่วยปกป้องด่านให้หรือ?”
เฉาฉิงหล่างจึงได้แต่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อีกครั้ง เอ่ยว่า “อยู่บนภูเขาบ้านตัวเอง อันที่จริงไม่ต้องให้ใครช่วยคุ้มกันหรอก รอให้เรื่องของการเลือกที่ตั้งเสร็จเรียบร้อย งานพิธีการของสำนักจัดขึ้นสำเร็จ ข้าค่อยปิดด่านสร้างโอสถทองที่สำนักเบื้องล่าง ใช้คำกล่าวของศิษย์พี่เล็กก็คือ เมื่อเปิดประตู บนภูเขาบ้านตนก็มีโอสถทองเพิ่มมาคนหนึ่งทันที เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเปิดประตูต้อนรับความมงคลให้กับสำนักเบื้องล่างได้ด้วย”
เผยเฉียนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “มิน่าเล่าถึงไม่ร้อนใจเลยสักนิด”
เฉาฉิงหล่างยิ้มรับ
สร้างโอสถทองระหว่างวัยสี่สิบ ฝึกตนจนได้ก่อกำเนิดตอนวัยเจ็ดสิบ อายุร้อยปีเลื่อนเป็นหยกดิบ
นี่คือ ‘ข้อสอบบนภูเขา’ ที่อาจารย์ลู่มอบให้ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว
เฉาฉิงหล่างเริ่มฝึกตนตามนี้ตั้งแต่ตอนอยู่บ้านเกิดแล้ว
บวกกับคำแนะนำจากอาจารย์จ้ง เส้นทางเดินขึ้นเขา เดินได้ไม่เร็ว แต่มั่นคง
วัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้น ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตเคยเป็นของล้ำค่าหายาก แต่เมื่อเทียบกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักในใต้หล้าไพศาลแล้ว ระดับขั้นล้วนไม่สูง ไม่มากพอจะให้ดูชม
ไม่ใช่ว่าเฉาฉิงหล่างไม่สามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วยิ่งกว่านี้ เพียงแต่ว่าไม่มีความจำเป็น แล้วก็เป็นอย่างที่เผยเฉียนว่าไว้จริงๆ ไม่รีบร้อน
นี่จึงเป็นเหตุให้เมื่อเทียบกับเผยเฉียนที่ฝ่าทะลุขอบเขตรวดเร็วราวกับผ่าลำไม้ไผ่แล้ว ไม่พูดถึงการศึกษาหาความรู้ พูดถึงแค่ด้านการฝึกตน เฉาฉิงหล่างจึงดูหม่นหมองไร้ประกายอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อก่อนเฉินหลิงจวินมักจะพูดบ่นเฉาฉิงหล่างด้วยความปรารถนาดี บอกว่าอย่าทำตัวเป็นเต่าคลานเชื่องช้าเหมือนนังเด็กโง่หน่วนซู่นั่น หัดเรียนรู้ไปจากข้าให้มาก ขอบเขตพุ่งสวบๆๆ แล้วก็ให้ออกจากบ้านไปข้างนอกบ่อยๆ บัณฑิตอย่างเราๆ ล้วนพิถีพิถันทั้งการอ่านตำราหมื่นเล่มและเดินทางหมื่นลี้
เผยเฉียนเอ่ยเสริมมาหนึ่งประโยค “การฝึกตนและการฝึกยุทธไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร ขอแค่มีความเหนียวแน่นอดทนก็จะมีแรงส่งช่วงสุดท้าย มีแรงส่งช่วงสุดท้ายก็จะมีโอกาสถอยออกมาหาจุดอ่อนแล้วค่อยบุกโจมตี ไม่รีบร้อนนั้นถูกต้องแล้ว”
ก็เหมือนสัจธรรมแห่งหมัดที่ท่านปู่ชุยพูดถึง ใต้หล้านี้ก็เป็นการฝึกหมัดที่เรียบง่ายที่สุด แค่ต้องปล่อยหมัดออกไปให้มากกว่าศัตรูหนึ่งหมัด
ปีนั้นอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ห่านขาวใหญ่เคยพาพวกเขาสองคนไปหาอาจารย์ลุงจั่วของพวกเขาทั้งสาม
ระหว่างที่เดินขึ้นหัวกำแพง ศิษย์พี่เล็กเคยได้ยกตัวอย่างข้อหนึ่ง
ผีขี้เหล้าของใต้หล้าไพศาลไม่เคยสร่าง ดื่มเหล้าเหมือนดื่มน้ำ
ผีขี้เหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยเมา ดื่มน้ำเหมือนดื่มสุรา
เผยเฉียนมองออกว่าอาจารย์ลุงจั่วชอบศิษย์หลานอย่างเฉาฉิงหล่างมาก ตอนที่อยู่บนหัวกำแพง หลังจากคุยกับนางจบแล้วก็ดึงตัวเฉาฉิงหล่างไปถามคำถามมากมาย
คำตอบบางอย่างของเฉาฉิงหล่างทำให้อาจารย์ลุงจั่วขมวดคิ้ว คำตอบบางอย่างก็ทำให้อาจารย์ลุงจั่วผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม สุดท้ายไม่รู้ว่าเฉาฉิงหล่างพูดอะไรถึงกับทำให้อาจารย์ลุงจั่ว…ประหลาดใจอย่างมาก ทั้งยังหัวเราะเสียงดังลั่นไม่หยุด
ตอนนั้นเผยเฉียนกับห่านขาวใหญ่นั่งอยู่ห่างออกมา นางไม่ได้ยินเนื้อหาของการถามตอบพวกนั้นอย่างละเอียด
นางจึงถามห่านขาวใหญ่ว่าตอนสุดท้ายเฉาฉิงหล่างพูดว่าอะไร ห่านขาวใหญ่จึงทวนประโยคที่ทำให้เผยเฉียนขนพองสยองเกล้าฟังอีกรอบ
ฆ่าคนจำเป็นต้องเอามีดปาดลงบนลำคอ
ทำเอาเผยเฉียนตกใจเกือบตาย
ทำไม เจ้าตอไม้เฉาผู้นี้มองดูแล้วก็เป็นคนซื่อดีอยู่หรอก แต่แท้จริงแล้วต้องคอยเก็บกดอยู่ทุกวัน คิดไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งต้องพลิกบัญชีเก่ากับตน?
ยังดีที่ห่านขาวใหญ่อธิบายให้ฟังว่าเป็นการถามตอบเรื่องการศึกษาหาความรู้ที่อาจารย์ลุงจั่วถามเฉาฉิงหล่าง
ตอนนั้นเผยเฉียนกึ่งเชื่อกึ่งกังขา มักรู้สึกว่าเฉาตอไม้เลวร้ายมาก ภายหลังอยู่ที่บ้านของอาจารย์แม่ พวกเขาช่วยอาจารย์พ่อแกะสลักตราประทับเพื่อหาเงิน รอกระทั่งอาจารย์พ่อมอบมีดแกะสลักเล่มหนึ่งที่เก็บรักษามานานปีให้กับเฉาฉิงหล่าง อันที่จริงตอนนั้นถ่านดำน้อยตกใจจนอึ้งไปเลย
เฉาฉิงหล่างกล่าว “เดิมทีข้านึกว่าเจ้าจะฉวยโอกาสพูดจาประหลาดสักสองสามคำเสียอีก”
เผยเฉียนนวดคลึงข้างแก้ม หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ยืดแขนบิดขี้เกียจ “ไม่ใช่เด็กแล้วสักหน่อย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”
เฉาฉิงหล่างถามหยั่งเชิง “ที่คุยเล่นกันในวันนี้ เจ้าคงไม่ถึงขั้นจดลงบัญชีหรอกใช่ไหม?”
เผยเฉียนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร”
นางไม่ได้บอกนะว่าจะเป็นอย่างไร หรือไม่เป็นอย่างไร
อยู่ดีๆ เผยเฉียนก็นึกถึง ‘ศิษย์น้องหญิง’ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่คนนั้นขึ้นมา
กวอจู๋จิ่ว ชื่อเล่นลวี่ตวน
ตอนนั้นกวอจู๋จิ่วตัวสูงกว่าเผยเฉียน ยามที่คนทั้งสองประชันกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง มักเป็นเผยเฉียนที่ต้องสะอึกอึ้ง ตอนที่พูดคุยกัน กวอจู๋จิ่วมักจะชอบงอเข่าเพื่อให้ตัวสูงเสมอกับเผยเฉียนเป็นประจำ
นางเคยยกแขนขึ้น ถามเผยเฉียนด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่รู้ว่าพวกพี่หญิงเทพธิดาในใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้า ตรงนี้มีขนรักแร้หรือไม่ หากว่ามี นานเท่าไรถึงจะโกนสักครั้ง แล้วใช้อะไรโกน…
จุดที่ทำให้เผยเฉียนรับไม่ได้มากที่สุดไม่ใช่คำพูดเหลวไหลอะไรพวกนี้ อันที่จริงตอนเด็กเผยเฉียนถนัดพูดจาอาฆาตมาดร้าย พูดจาหยาบคาย ใช้คำพูดทิ่มแทงใจคนฟัง เพียงแต่ว่าพอเติบใหญ่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไม่พูดคำพูดเหล่านี้แล้ว เผยเฉียนจำเรื่องทุกอย่างได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ดูเหมือนว่าไม่เคยคิดถึงมาก่อน แล้วก็จำไม่ได้ด้วย
ส่วนศิษย์น้องหญิงกวอจู๋จิ่ว ทุกครั้งที่พูดจา เวลาถามคำถามกับเผยเฉียนล้วนมีแต่ความจริงใจ ดังนั้นปีนั้นเผยเฉียนจึงจนปัญญากับนางมากจริงๆ
ต่อให้ทุกวันนี้มาย้อนนึกดู เผยเฉียนก็ยังรู้สึกปวดหัวไม่คลาย
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เผยเฉียนถูกกวอจู๋จิ่วทำให้โมโหจนระเบิดอยู่หลายครั้ง ประเด็นสำคัญคือล้วนเป็นการเสียเปรียบที่นางได้แต่เก็บกลั้นไว้ ดังนั้นนางจึงเคยแอบมองสภาพจิตใจของกวอจู๋จิ่ว
เป็นนกเจ็ดสีกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง หากพวกมันไม่พากันนิ่งสงบไม่ขยับทั้งหมด ไม่อย่างนั้นก็จะสยายปีกโบยบินเป็นกลุ่ม ดังนั้นกวอจู๋จิ่วจะไม่ชอบคิดเหลวไหลได้หรือ?
อันที่จริงเผยเฉียนคาดหวังให้ศิษย์น้องเล็กคนนี้มาถึงที่ภูเขาลั่วพั่วเร็วๆ แต่พอคิดถึงว่าเมื่อนางมาถึงบนภูเขาแล้วคงเดาไม่ออกเลยว่ากวอจู๋จิ่วจะพูดหรือทำอะไรบ้าง เผยเฉียนก็ปวดกบาลแล้ว