กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 884.3 เตรียมสุรา
หากคนที่อวี๋หงถามหมัดด้วยคือเจิ้งเฉียนไม่ใช่โจวไห่จิ้ง อย่าว่าแต่ผู้คนเบียดเสียดแออัดตามตรอกตามถนนอะไรเลย คาดว่าหลังคาเรือนทุกหลังที่อยู่ใกล้กับศาลเทพอัคคีก็คงถูกพวกคนที่มาชมการประลองนั่งจนพังถล่มลงมาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคุณชายและลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ของเมืองหลวงต้าหลีกลุ่มนั้น แม้แต่ลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพที่เคยไปเยือนสนามรบมาก่อน แต่ละคนยามที่พูดถึง ‘เจิ้งเฉียน’ ความชื่นชมเลื่อมใสนั้นมีมากจนมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว สรุปก็คือใครกล้าพูดว่าเผยเฉียนไม่สวยก็จะมีเรื่องกับคนนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยียนกวานที่เคยโชคดีได้เห็นการออกหมัดของ ‘เจิ้งเฉียน’ บนสนามรบกับตาตัวเองมาก่อน
ในค่ายทหารขนาดใหญ่ของเปลี่ยวร้างที่กองทัพทั้งหลายมารวมตัวกัน หญิงสาวเรือนกายผอมเพรียวคนหนึ่งพลันหล่นร่วงลงมาจากฟ้า จากนั้นเพียงแค่ชั่วพริบตาฟ้าดินก็สว่างไสว ในรัศมีร้อยจั้งรอบด้าน ผู้ที่ล้มลงไปกองกับพื้นล้วนตายอย่างศพไร้สภาพสมบูรณ์ มีเพียงผู้ฝึกยุทธหญิงคนเดียวที่ยืนอยู่
เป็นเหตุให้ในใจของเหยียนกวาน สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จึงแทบไม่ต่างจากเทพของบนสวรรค์
เป็นเหตุให้ก่อนหน้านี้ตอนที่กุมหมัดคารวะ ไม่ว่าจะเป็นมือหรือเสียงของเหยียนกวานก็ล้วนสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างที่มิอาจควบคุม
เผยเฉียนถาม “ผู้อาวุโสอวี๋ มีเรื่องจะปรึกษาหรือ?”
อวี๋หงยิ้มกล่าว “มีเรื่องอยากจะปรึกษากับปรมาจารย์เจิ้งจริงๆ ครั้งนี้พวกเราจะลงจากเรือที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว คิดว่าจะแวะไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ไม่ทราบว่าทุกวันนี้เจ้าขุนเขาเฉินอยู่บนภูเขาหรือไม่?”
เผยเฉียนกล่าว “อาจารย์พ่อของข้าชอบออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง ร่องรอยไม่แน่นอน ตอนนี้อาจารย์พ่ออยู่บนภูเขาหรือไม่ ข้าก็ไม่กล้าแน่ใจ”
อวี๋หงพยักหน้า “ไม่เป็นไร เมื่อเรือจอดเทียบท่า ข้าลงจากเรือไปแล้วจะไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นก่อนสักรอบ ถึงเวลานั้นอาจต้องรบกวนปรมาจารย์เจิ้งให้ส่งคนนำข่าวไปแจ้งให้ด้วย”
เผยเฉียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ส่งคน?
ข้าจะใช้ใครได้?
ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาของตรอกฉีหลงหรือ?
หมี่ลี่น้อยขี้ขลาด ไม่กล้าออกจกาบ้าน ส่วนเจ้าตัวนั้นที่วันๆ ชอบเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี อวี๋หงไม่กล้าไปถามหมัดด้วยแม้แต่น้อย เพราะจะต้องตาย
เผยเฉียนที่อยู่ตรงข้ามผู้นี้ ถึงอย่างไรก็ต้องแพ้อย่างแน่นอน อวี๋หงจึงไม่ยินดีจะมอบชื่อเสียงให้นางเปล่าๆ
ภูเขาลั่วพั่ว ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งจริงๆ
เค่อชิงเว่ยจิ้น เซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะ บุคคลอันดับหนึ่งแห่งวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีป
และยังมี ‘อวี๋หมี่’ เซียนกระบี่ที่ปล่อยกระบี่อยู่ในนครมังกรเฒ่าผู้นั้นอีก
ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ย้ายจากภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือมาอยู่กับภูเขาลั่วพั่ว
บวกกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นขอบเขตเดินทางไกลกลุ่มนั้น
โชคชะตาบู๊โชติช่วงเป็นอันดับหนึ่งในทวีป
สำนักที่เป็นเช่นนี้มีค่าพอให้อวี๋หงลดตัวลงมาเป็นฝ่ายผูกมิตรด้วยจริงๆ
เผยเฉียนมองจู๋เฟิ่งเซียน รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เอ่ยอะไร
อีกฝ่ายจำตนไม่ได้ แต่เผยเฉียนกลับจำเจ้าประมุขผู้เฒ่าของพรรคต้าเจ๋อคนนี้ได้
ปีนั้นติดตามอาจารย์พ่อไปเที่ยวที่อารามจินกุ้ยแคว้นชิงหลวนก็ได้เจอกับจางกั่วเจ้าอารามที่กำลังรับลูกศิษย์พอดี ตอนที่หลบฝนได้เจอกับคนในยุทธภพสองกลุ่ม ฝ่ายหนึ่งมาจากเรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียว นอกจากนี้ก็คนของพรรคต้าเจ๋อแคว้นชิงหลวน ในบรรดานั้นก็มีจู๋เฟิ่งเซียนเจ้าประมุขผู้เฒ่ามารในยุทธภพชื่อเสียงเลื่องลือคนนี้
ตอนนั้นยังมีเด็กสาวอีกสองคนที่ชื่อว่าจู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิง ฝ่ายแรกมีใบหน้ารูปไข่ เวลาพูดจาชอบหน้าแดง นางพกมีดตัดกระดาษติดตัวไว้เล่มหนึ่ง มีชื่อว่า ‘จุ้ยเอ่อ’
ส่วนคนหน้ากลมอีกคนหนึ่งพูดจามีนัยชวนให้ขบคิด เหมือนกับท่านปู่ของนาง
ตอนที่อยู่บนภูเขาชิงเหย้าของแคว้นชิงหลวน บนภูเขามีอารามจินกุ้ยที่มีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์มาเนิ่นนาน ในอารามปลูกต้นกุ้ยโบราณไว้หกต้น เคยมีเซียนที่เดินทางมาเที่ยวเยือนที่แห่งนี้พูดเปิดเผยความลับสวรรค์ว่าเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งดวงจันทร์
ใต้ต้นไม้ที่แกะสลักกระดานหมากล้อมตัดสลับกันสิบแปดช่องไว้บนโต๊ะหิน ว่ากันว่าเป็นหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าที่ใช้ปราณกระบี่แกะสลักเอาไว้ ร่มกิ่งกุ้ยที่นักพรตในอารามมอบให้คนอื่นโดยดูตามวาสนาค่อนข้างจะมีค่า
อวี๋หงไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนั่งลงดื่มน้ำชาอะไรด้วยซ้ำ ทักทายพูดคุยเสร็จก็พาคนบอกลาจากไปโดยตรง
ลำพังเรื่องนี้ก็เท่ากับว่ามอบหน้าตาที่ใหญ่อย่างถึงที่สุดให้กับ ‘เจิ้งเฉียน’ แล้ว
เผยเฉียนจึงเดินไปส่งตามระเบียงเส้นนั้นตลอดทาง จนถึงปลายระเบียงถึงได้หยุดเท้า
หวงเหมยสังเกตเห็นว่าตอนที่อาจารย์กลับไป คล้ายจะอารมณ์ไม่เลว
เผยเฉียนกลับมาที่ห้อง เฉาฉิงหล่างกำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างใน
ผ่านไปไม่นานนักก็มีคนชุดเขียวแอบดอดเข้ามาในห้องจากทางหน้าต่างของเรือข้ามฟาก พลิ้วกายลงบนพื้น
เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างทยอยกันลุกขึ้นยืน ต่างคนต่างเรียก “อาจารย์พ่อ” “อาจารย์”
เสี่ยวโม่ปรากฏตัวข้างกายเฉินผิงอันหลังจากนั้น
เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ เฉาฉิงหล่างไม่เคลื่อนไหวเหมือนตอไม้ตอหนึ่ง เผยเฉียนกลับรินน้ำสองถ้วยให้กับอาจารย์พ่อและผู้อาวุโสสี่จู๋แล้ว
เสี่ยวโม่เอ่ยขอบคุณเผยเฉียนหนึ่งคำ หยิบถ้วยน้ำขึ้นมาจากบนโต๊ะ ถือประคองด้วยสองมือ ยืนดื่มน้ำ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่มาส่งพวกเจ้าเท่านั้น อีกเดี๋ยวก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว”
เผยเฉียนกล่าว “อาจารย์พ่อ เมื่อครู่ข้าเจอกับเจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ของพรรคต้าเจ๋อด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เมื่อครู่ข้ากับเสี่ยวโม่ซ่อนตัวอยู่กลางเมฆ มองไกลๆ มาเห็นภาพนี้แล้ว อีกเดี๋ยวจะไปทักทายเขาเอง”
ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในอดีต เฉินผิงอันเคยพบเจอคนมากมายในยุทธภพ ขอบเขตมีทั้งสูงและต่ำ มีทั้งคนดีและคนเลว มีทั้งที่ทำอะไรพิถีพิถันและไม่พิถีพิถัน นิสัยแตกต่างกันออกไป แต่ต่างก็เป็นยุทธภพและคนในยุทธภพในใจของเฉินผิงอันทั้งสิ้น
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือถ้วย เท้าคางด้วยมือข้างเดียว มองเผยเฉียน แล้วก็มองเฉาฉิงหล่าง
บุรุษชุดเขียวที่เป็นอาจารย์พ่อและอาจารย์ยิ้มจนตาหยี
จากนั้นเฉินผิงอันก็บอกการคาดเดาที่มาจากวังหลวงต้าหลีให้กับคนทั้งสองรู้อย่างชัดเจน ให้พวกเขาที่กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ให้ไปเตือนชุยตงซาน บอกว่าเรื่องของการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างที่ใบถงทวีปต้องระวังแล้วระวังอีก สถานที่ที่เหมาะสมที่ในอดีตยิ่งยอมรับมากเท่าไรก็ยิ่งต้องทบทวนแล้วทบทวนอีกมากเท่านั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้หลงกลสกุลลู่แผ่นดินกลาง แล้วก็ถือโอกาสเล่าให้ฟังถึงงานเลี้ยงสุราครั้งนั้นคร่าวๆ ด้วย
เผยเฉียนจดจำสกุลลู่แผ่นดินกลางไว้เงียบๆ รวมไปถึงชื่อของลู่เหว่ยด้วย
ส่วนเฉาฉิงหล่างก็ถามว่า “การกระทำเช่นนี้ของสกุลลู่แผ่นดินกลางถือว่าเป็นการละเมิดข้อห้ามหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สำนักหยินหยางนี่นะ ทำอะไรก็ล้วนเจ้าเล่ห์ เลือกแบบที่ทำได้ทั้งสองทาง หากทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันจนไปถึงศาลบุ๋นจริงๆ ก็เป็นบัญชีเลอะเลือนครั้งหนึ่ง ต่อให้พวกเราเถียงชนะ ไม้ที่ตีลงบนร่างของสกุลลู่แผ่นดินกลางก็ไม่มีทางแรงเกินไป”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น “ดังนั้นไม่สู้ทำเองดีกว่า ถึงเวลานั้นสองฝ่ายค่อยไปทะเลาะกันที่ศาลบุ๋น”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันพลันทำท่าเงี่ยหูฟัง ดื่มชาในถ้วยจนหมดก็ลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องสนุกให้ดูด้วย ดูเหมือนว่าหวงเหมยผู้นั้นจะตีกับคนอื่นแล้ว พวกเจ้าทำธุระของตัวเองไปเถอะ ข้าชมงิ้วจบแล้วค่อยไปรำลึกความหลังกับเจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ ตอนลงจากเรือคงไม่ได้มาบอกลาพวกเจ้าแล้ว”
เฉาฉิงหล่างลุกขึ้นตามไปด้วย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์ ‘ถ้ำสวรรค์เล็ก’ ที่ผู้อาวุโสสี่จู๋มอบให้ซึ่งอยู่กับข้าชิ้นนั้น อันที่จริงไม่ได้มีความหมายมากนัก เป็นการเอาของดีมาใช้อย่างเปล่าประโยชน์ ทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วพวกเรามีการทำการค้ากับคนอื่นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ไม่สู้อาจารย์มอบมันให้กับผู้ดูแลเรือเฟิงยวนในอนาคต สามารถเอามาไว้เก็บสมบัติแห่งฟ้าดินที่ล้ำค่าบางอย่างบนภูเขาได้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “อาจารย์ย่อมมีแผนการเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ขาดแค่ของชิ้นนี้ของเจ้าหรอก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็พาเสี่ยวโม่ออกไปจากห้อง ไปร่วมวงความครึกครื้น
รอกระทั่งอาจารย์พ่อออกไปจากห้องแล้ว เผยเฉียนถึงเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เมื่อครู่เจ้าแอบพูดอะไรกับอาจารย์พ่อ?”
เฉาฉิงหล่างพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก็แค่บอกให้อาจารย์รักษาตัวด้วย”
เผยเฉียนหรี่ตาลง “โกหก บอกมานะ! เจ้าแอบฟ้องเรื่องข้ากับอาจารย์พ่อใช่ไหม?”
เฉาฉิงหล่างโบกมือ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ใส่ร้ายกันแล้ว”
เผยเฉียนกำลังจะพูด เฉาฉิงหล่างกลับยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามอาจารย์ดูเองได้”
เดินอยู่ในระเบียง เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้เห็นตอนอวี๋หงลงจากบันได มาดยามที่ขึ้นเวทีนั้น รู้สึกว่าจะมีความกล้าหาญยิ่งกว่าสหายเก่าบางคนที่เสี่ยวโม่รู้จักเสียอีก”
เฉินผิงอันกล่าว “นี่เรียกว่าสายตามองไม่เห็นอะไร เห็นเพียงความองอาจของตัวเองเท่านั้น ฟังแล้วคล้ายจะเป็นความหมายในทางลบ อันที่จริงสำหรับผู้ฝึกยุทธแล้วกลับไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “เรียนรู้ไว้แล้ว”
ที่แท้ก็มีคนคิดอยากจะถามหมัดกับปรมาจารย์ผู้เฒ่าอวี๋ แล้วยังถึงกับพกเอาสัญญาเป็นตายมาด้วย
อันที่จริงคนวัยกลางคนผู้นั้นเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่พื้นฐานไม่เลวคนหนึ่งเท่านั้น แต่อยู่ในแคว้นเล็กแห่งนั้นกลับถือว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าคนหนึ่งได้แล้ว
นี่ก็เป็นเพราะอวี๋หงเป็นไม้ใหญ่เรียกลม ไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรในยุทธภพที่จำเป็นต้องลงนามในสัญญาเป็นตาย เพียงแต่อีกฝ่ายมั่นใจว่าอวี๋หงมีคุณธรรมพอจะไม่ออกหมัดฆ่าคน ส่วนตัวเองเท่ากับว่าได้ชื่อเสียงในยุทธภพมาเปล่าๆ โดนต่อยหมัดสองหมัด นอนบนเตียงอีกสักหนึ่งเดือน สิ้นเปลืองเงินเล็กน้อยก็สามารถช่วงชิงชื่อเสียงและการถูกพูดถึงที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชั่วชีวิตของผู้ฝึกยุทธทั่วไปก็ยังมิอาจสะสมมาได้ ไยจะไม่ยินดีทำเล่า เพียงแต่ว่าพรรคในยุทธภพก็มีวิธีการในการรับมือเช่นกัน มักจะให้ลูกศิษย์เปิดภูเขารับหน้าที่เป็นคนรับหมัด ดังนั้นลูกศิษย์ใหญ่ของพรรคแห่งหนึ่งจึงเหมือนประตูภูเขาที่รับผิดชอบคอยขัดขวางไม่ให้พวกเสือสิงห์กระทิงแรดกล้ำกรายเข้ามา วันนี้อวี๋หงจึงส่งหวงเหมยออกมา จากนั้นให้เหยียนกวานคอยคุมหลังอยู่ข้างๆ ส่วนตัวอวี๋หงเองกลับเดินจากไปแล้ว ไม่คิดจะชมการประลองฝีมือที่แพ้ชนะไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแม้แต่น้อย ปรมาจารย์ผู้เฒ่าเพียงแค่รวบรวมเสียงให้เป็นเส้นเตือนหวงเหมยอย่างลับๆ ว่าอย่าลงมือหนักเกินไปนัก
หวงเหมยฟังเข้าใจแล้ว ความหมายของอาจารย์ก็คือการออกหมัดของตนอย่าให้เบาเกินไป
ชั้นหนึ่งของเรือข้ามฟากมีคนมาเบียดเสียดรอกันอยู่นานแล้ว ตรงบันไดก็มีคนยืนออเต็มไปหมด เฉินผิงอันจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังของกลุ่มคน เขย่งปลายเท้ามองไกลๆ ไปยังลานประลองยุทธนั้น
หากไม่ใช่การประลองยุทธครั้งนี้ เฉินผิงอันก็คงไม่รู้จริงๆ ว่ากิจการของเรือข้ามฟากตำหนักฉางชุนจะดีขนาดนี้
เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งที่เดินทางลอดผ่านเมฆหมอก หากไม่พูดถึงรายรับทางการค้าจากการขนส่งสินค้า ห้องน้อยใหญ่บนเรือต่างก็เต็มหมด เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ผู้คนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก ปีหนึ่งหากลองเฉลี่ยดูก็อาจได้รายรับถึงหกส่วน รายรับของเรือข้ามฟากก็มากพอน่าดูชมแล้ว ทุกวันนี้เรือของบ้านเฉินผิงอันเองก็มีอยู่สองลำ ลำหนึ่งคือเรือฟานโม่ที่สามารถข้ามดินแดนของครึ่งทวีป อีกลำหนึ่งคือเฟิงยวนที่สามารถเดินทางไกลข้ามทวีปได้ เส้นทางการเดินเรือทั้งสองลำก็คือเส้นทางการเงินสองเส้นของแท้แน่นอน เฉินผิงอันวางแผนไว้แล้วว่าจะทำกิจการไปให้ถึงทักษินาตยทวีป ถึงอย่างไรที่นั่นก็มีขาใหญ่ที่หนามากอยู่ขาหนึ่งอย่างสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงใคร่ครวญว่าควรจะให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ไปช่วงชิงสถานะของผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อดีหรือไม่ เวลาเจอเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะได้แจ้งชื่อไปโดยตรง
เสี่ยวโม่ไม่รู้สึกสนใจการประลองยุทธประเภทนี้เลยจริงๆ เขายกมือขึ้นตบปากที่อ้าหาวเบาๆ
เหมือนลูกเจี๊ยบสองตัวที่เพิ่งออกจากเล้า เจ้าจิกข้าหนึ่งที ข้ากัดเจ้าสองที
ทว่าคุณชายบ้านตนกลับตั้งใจดูอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างสนใจวิชาหมัดของหวงเหมยอยู่มาก
เฉินผิงอันอาศัยการชมศึกครั้งนี้ทำให้มองเบาะแสบางอย่างออก ออกหมัดอย่างเด็ดเดี่ยว กับออกหมัดอย่างอำมหิตคือวิถีแห่งหมัดสองเส้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
บนร่างของผู้ฝึกยุทธหากมีปณิธานหมัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกบังเกิดขึ้น ก็จะมีภาพปรากฎการณ์เป็นของตัวเอง
เหยียนกวานใช้นิสัยของตัวเองมาสยบการแทรกซึมของวิชาหมัด แต่หวงเหมยกลับมีนิสัยที่สอดคล้องกับวิถีแห่งหมัดซึ่งสืบทอดมาจากสำนัก ดังนั้นยิ่งเป็นช่วงหลังๆ ความต่างด้านความสูงต่ำระหว่างวิชาหมัดของสองฝ่ายจะยิ่งต่างกันมาก
นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ฝึกยุทธที่เดินออกจากหอฝูสู่ไปแตกกิ่งก้านสาขา สร้างพรรคขึ้นมาเป็นของตัวเอง ล้วนไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมันอะไร
แต่ถึงอย่างไรสตรีผู้นั้นก็มาจากพรรคใหญ่ที่มีชื่อเสียง แม้ว่าจะออกหมัดไม่เบา แต่ก็กะน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม กระบวนท่าหมัดที่ต่อยลงบนร่างของฝ่ายตรงข้ามจะไม่มีทางแตะโดนจุดตายเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายพ่ายแพ้ในการประลอง คาดว่าคงสัมผัสได้ไม่ถึงต้นตอของโรคและภัยแฝงที่ถูกทิ้งไว้อย่างแน่นอน ผีไม่รู้เทพไม่เห็นอย่างยิ่ง
กระทั่งหวงเหมยปล่อยหมัดสุดท้ายออกไป สองเท้าของบุรุษวัยกลางคนก็เกือบจะพ้นพื้นลอยกระเด็นออกไป ผลคือถูกนางที่คลี่ยิ้มยื่นมือไปคว้าแขนไว้ เอ่ยประโยคหนึ่งว่าออมมือแล้ว ดังนั้นฝ่ายหลังจึงเพียงแค่เรือนกายส่ายไหว ฝืนกลืนเลือดข้นๆ ลงคอ กุมหมัดยอมแพ้หวงเหมย
หวงเหมยปล่อยมือออก “ล่วงเกินแล้ว”
บุรุษไม่อาจถามหมัดกับอวี๋หง แต่จะดีจะชั่วก็ได้ประลองกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอวี๋หง แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่กระนั้นก็ยังพึงพอใจ
เพียงแต่ว่าบนร่างยังมีบาดแผลเล็กๆ กระจัดกระจายที่สะสมเอาไว้ วันใดจะพลันก่อตัวเป็นเหมือนเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ในร่างกายหรือไม่ เขากลับไม่รู้ตัวเลย
พวกผู้ชมที่ชมศึกอยู่บนเรือข้ามฟากแทบจะเป็นผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่ไม่เชี่ยวชาญการใช้หมัดเท้าเข่นฆ่าแทบทั้งหมด แล้วนับประสาอะไรกับที่ชมเรื่องสนุกไม่ว่าใครก็ถือว่าได้รับกำไรก้อนใหญ่
กลุ่มคนค่อยๆ กระจายตัวแยกย้ายกันออกไป
จู๋เฟิ่งเซียนยืนคุยกับอวี๋ชางหมางอยู่ตรงหัวเรือ สำหรับการประลองครั้งนี้ เขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
คนในยุทธภพออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องราวในยุทธภพ
ก่อนหน้านี้มีการประลองที่เวทีของศาลเทพอัคคีเมืองหลวงต้าหลี สหายเก่าอย่างพวกเขาสองคนต่างก็ไม่ได้ไปร่วมชมศึก แต่ไปดื่มเหล้าเคล้านารีที่ลำคลองชางผู น่าเสียดายที่มีแต่นางโลมที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง ได้แต่มองมิอาจลูบคลำ ว่ากันว่าจะพากลับไปด้วยได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคน ต้องดูเงินในกระเป๋าของแขก จู๋เฟิ่งเซียนไม่ได้ขาดตั๋วเงิน แต่คิดไม่ถึงว่าคณิกาอ่อนเยาว์สองคนที่คอยช่วยขับร้องสร้างความบันเทิงเริงใจอยู่ข้างโต๊ะสุรา คงเพราะรู้สึกว่าแขกทั้งสองคนแก่เกินไป ดังนั้นจึงเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร แสร้งทำเป็นฟังการบอกเป็นนัยอย่างลับๆ ของจู๋เฟิ่งเซียนไม่ออก