กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 885.1 หนึ่งคำในใต้หล้า
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงราวรั้วของเรือข้ามฟากกับเสี่ยวโม่ หลุบตาลงมองไปก็เห็นเทือกเขาสายน้ำบนพื้นแผ่นดินที่ทอดตัวยาวคดเคี้ยวราวกับเส้นด้าย
เงยหน้าขึ้นมองสูง หากจะบอกว่าฟ้าไร้ผนังสี่ด้าน ถ้าอย่างนั้นสายตาของคนที่มองไปเห็นก็คล้ายกับมันคือกำแพงไร้รูปลักษณ์แห่งหนึ่งที่แต่ละคนกักขังตัวเองไว้ข้างในนั้น
เสี่ยวโม่ถาม “คุณชายกำลังรอคนอยู่หรือ?”
“กำลังรอเจ้าของเรือข้ามฟากลำนี้”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองชั้นสามของเรือข้ามฟาก จากนั้นถอนสายตากลับมา พาเสี่ยวโม่เดินเล่นที่หัวเรือต่ออีกครั้ง อันที่จริงเรือข้ามฟากใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาลำนี้มีชื่อว่าหลี่เฉวียน ทั้งยังเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่ใช้เรียกเมฆโปรยฝนชิ้นหนึ่ง นับตั้งแต่สกุลซ่งต้าหลีก่อตั้งแคว้นมาจนถึงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน สกุลซ่งต้าหลียังไม่หลุดพ้นจากสถานะแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู มีภัยแฝงทั้งภายในและภายนอก กำลังแคว้นอ่อนแอ ยังต้องขอยืมเรือข้ามฟากบนภูเขาลำนี้จากตำหนักฉางชุนมาใช้จัดการกับภัยแล้งตามเขตและจังหวัดต่างๆ บ่อยๆ เชิญให้เซียนซือมาร่ายคาถาประทานฝนรสหวานลงมาจากฟ้า ว่ากันว่าราชสำนักต้าหลีเคยติดหนี้ก้อนใหญ่เพราะสาเหตุนี้ ทว่าตำหนักฉางชุนกลับไม่เคยเร่งรัดทวงหนี้เอากับสกุลซ่ง ดังนั้นรอกระทั่งราชวงศ์ต้าหลีลุกผงาดขึ้นมาได้ ฮ่องเต้หลายพระองค์ของสกุลซ่งจึงปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนของตำหนักฉางชุนอย่างดีเป็นพิเศษ หากไม่เป็นเพราะตำหนักฉางชุนไม่เคยมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแม้แต่คนเดียว ไม่อย่างนั้นการเลื่อนเป็นสำนักก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยแล้ว คิดดูแล้วฮ่องเต้ต้าหลีน่าจะยอมละเมิดกฎเข้าร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันอธิบาย “ก่อนหน้านี้ที่พวกเราขึ้นเรือมาถือเป็นการมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ หากยังจากไปโดยไม่ลาอีกก็จะเสียมารยาทมากแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ละเมิดกฎอย่างมากสำหรับบนภูเขา”
“หากพวกเราเป็นฝ่ายขึ้นเรือมาแล้วไปขอพบผู้ดูแลเรือ วันหน้าตำหนักฉางชุนก็อาจจะคิดมาก”
“แต่หากเป็นที่อุตรกุรุทวีปกลับไม่ค่อยมีปัญหา ขนบธรรมเนียมของสองสถานที่ไม่ค่อยเหมือนกัน คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าน้ำและดินของพื้นที่หนึ่งเลี้ยงดูคนของพื้นที่หนึ่งกระมัง”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “อยู่ข้างกายคุณชายได้รับการสั่งสอนกล่อมเกลา สามารถเรียนรู้และฝึกฝนเรื่องน้ำใจมนุษย์ที่มีต่อกันนอกตำราได้มากมาย”
เฉินผิงอันไม่ต่อคำกับประโยคนี้ แค่ถือโอกาสเล่าเรื่องในอดีตระหว่างตำหนักฉางชุนกับสกุลซ่งต้าหลีให้เสี่ยวโม่ฟังต่อ
เสี่ยวโม่จึงมองจวนเซียนในท้องถิ่นของต้าหลีแห่งนี้สูงขึ้นอีกหนึ่งระดับ เขาเอ่ยว่า “ร่วมกันข้ามผ่านความทุกข์ยาก ตำหนักฉางชุนก็ถือว่าเมฆคล้อยเห็นแสงจันทร์แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ลงเรือลำเดียวกัน เป็นบุญสัมพันธ์ครั้งหนึ่งจริงๆ”
“เสี่ยวโม่ ในอนาคตเมื่อเจ้าออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว เก้าทวีปในไพศาล สถานที่อื่นๆ ยังไม่ค่อยเท่าไร แต่อุตรกุรุทวีปเจ้าต้องไปเที่ยวเยือนให้ได้นะ”
“ตกลง หากเสี่ยวโม่มีโอกาสจะต้องขึ้นเหนือไปเยือนสถานที่แห่งนี้แน่นอน”
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เดินจากหัวเรือมาที่ท้ายเรือ มองไปทางทิศเหนือ
หากมีเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปรบตายที่ต่างบ้านต่างเมือง คนทั้งทวีป ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ล้วนมีธรรมเนียมเซ่นกระบี่กันทั้งทวีป
ก็เหมือนหุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูกที่เกาเฉิงแห่งนครจิงกวานเป็นฝ่ายปล่อยหมัด ยอมสละปราณวิญญาณมากมายอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องเปิดตราผนึกฟ้าดิน เพียงแค่ให้ผู้ฝึกกระบี่ผูหรางได้เซ่นกระบี่ขึ้นฟ้าไปกลางอากาศที่สูงยิ่งกว่าเดิม
ราวกับว่าเรื่องของการเซ่นกระบี่ หุบเขาผีร้ายมิอาจรั้งท้ายผู้อื่น แสงกระบี่มิอาจต่ำกว่าคนอื่น
ส่วนภูเขามู่อีที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด สำนักพีหมาที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับนครจิงกวานก็จะไม่มีทางฉวยโอกาสลงมือโจมตีนครจิงกวานเด็ดขาด
เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่ได้เล่าอะไรให้เสี่ยวโม่ฟังมากนัก
แม้ว่าภาพอันยิ่งใหญ่ตระการตานั้นจะทำให้จิตใจของคนสะท้านไหว แต่ทางที่ดีที่สุดก็ขออย่าให้ได้เห็นดีกว่า
สนามรบต่างถิ่นสองแห่งอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่และแจกันสมบัติทวีป เซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีปที่เดิมทีสามารถวางตัวอยู่นอกสถานการณ์ได้ กลับต้องมาตายกันไปเยอะมาก
ทางฝั่งชั้นสามของเรือข้ามฟาก ผู้ฝึกตนหญิงรูปโฉมงดงามที่ฝึกตนประสบความสำเร็จจึงคงความเยาว์วัยไว้ได้คนหนึ่ง แต่งกายเหมือนสตรีที่ออกเรือนแล้ว ไม่ประทินโฉม ท่วงท่าสุภาพเยือกเย็น เมื่อครู่ที่สบตากับเฉินผิงอันโดยไม่ทันระวัง นางฝืนทำให้ตัวเองสงบนิ่งไว้ได้ ในใจกลับถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที เป็นโชคไม่ใช่เคราะห์ ต่อให้เป็นเคราะห์ก็หลบเลี่ยงไม่พ้น จึงได้แต่เผยกายด้วยตัวเอง สตรีก็คือผู้ดูแลเรือข้ามฟากหลี่เฉวียนคนปัจจุบัน หากเป็นไปได้นางก็อยากแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อีกฝ่ายขึ้นเรือมาอย่างเงียบเชียบนางไม่ไปสนใจ เดินอาดๆ ลงจากเรือไปนางก็ยิ่งไม่ขัดขวาง ต้องโทษตัวเองที่สะกดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ถึงได้เหลือบมองไปทางหัวเรืออยู่หลายที
นางสงสัยใคร่รู้ในตัวเซียนกระบี่ชุดเขียวที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าประหลาดมากสีสันคนนั้นจริงๆ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลูบเส้นผมสีนิลตรงจอนหู จัดระเบียบสาบเสื้อของชุดคลุมอาคมให้เรียบร้อย
ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ของอวี๋หงมีข้อพิพาทกับคนอื่นจนเกิดการประลองขึ้นมา เรือข้ามฟากบนภูเขาจะจัดการเรื่องประเภทนี้ด้วยการผ่อนปรนกับภายนอกเข้มงวดกับภายในมาโดยตลอด แต่หากเป็นการประลองเวทคาถาของเซียนซือ ขอโทษด้วย เชิญลงจากเรือไป
จากนั้นทางฝั่งของเรือข้ามฟากหลี่เฉวียนก็มีคนสังเกตเห็นว่าในกลุ่มคนที่มาชมเรื่องสนุกคล้ายจะมีผู้ฝึกลมปราณสองคนที่ไม่ได้มีการบันทึกขึ้นเรือ ทั้งยังเป็นคนแปลกหน้าทั้งคู่ พอมองอีกทีก็ตกใจจนขวัญแทบบินออกจากร่าง คนหนึ่งในนั้นถึงกับเป็นเจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วที่ทิ่มแผ่นฟ้าของภูเขาตะวันเที่ยงจนเป็นรู พูดจาเสียไพเราะว่าไปเข้าร่วมงานพิธี ทว่าไม่เพียงแต่รื้อศาลบรรพจารย์บ้านคนอื่นเขา ยังตั้งป้ายศิลากำหนดขอบเขตเอาไว้ด้วย
ผู้ฝึกตนหญิงที่รับผิดชอบคอยตรวจตราความผิดปกติบนเรือข้ามฟากคนนั้นรีบไปหาผู้ดูแล ขอให้ฝ่ายหลังช่วยตัดสินใจ
ไล่คน? จ่ายเงินเพิ่ม?
แน่นอนว่าเป็นเรื่องของผู้ดูแลต้องตัดสินใจว่าสรุปแล้วจะเลี้ยงเหล้าเซียนกระบี่หรือว่าจะเลี้ยงน้ำชาดี
ผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นผู้ดูแลทำจิตใจให้สงบ ครั้นจึงทำมุทราร่ายเวทย้ายตำแหน่งบทหนึ่งมาที่ดาดฟ้าเรือ เดินเข้าหาเซียนกระบี่ชุดเขียวที่มีผู้ติดตามเพียงคนเดียวอยู่ข้างกายด้วยฝีเท้าเร่งร้อน
พูดว่านางพยายามฝืนปลุกความกล้า แข็งใจบากหน้ามาหา ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับพรรคบนภูเขาทั่วไป ข่าวของตำหนักฉางชุนสามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในภูเขาไม่กี่แห่งที่ข่าวสารว่องไวที่สุดของแจกันสมบัติทวีป
นางคือเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งของตำหนักฉางชุน รับหน้าที่เป็นผู้อาวุโสผู้ถวายงาน มีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์ อีกทั้งตำแหน่งยังอยู่ในช่วงหน้าๆ ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาตะวันเที่ยง นครมังกรเฒ่าและภูเขาเมฆาเรืองแล้ว นางจึงรู้เรื่องวงในบนภูเขาได้มากยิ่งกว่า ได้ยินความจริงที่ชวนให้คนตะลึงพรึงเพริดมามากกว่า
พอเจอกับเจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่ว นางก็ย่อเข่ายอบกายคารวะอย่างนอบน้อมสง่างาม “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน ข้าชื่อกานอี๋ ฉายาอู้ซง ทุกวันนี้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลเรือข้ามฟากลำนี้”
ผู้ฝึกตนหญิงกลัวว่าชื่อของตนอาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคิดเอาเปรียบอีกฝ่าย (ชื่อกานอี๋พ้องกับคำว่ากานอี๋ที่แปลว่าน้าหรือป้าบุญธรรม) จึงรีบเอ่ยเสริมไปอีกว่า “กานที่แปลว่าหวาน อี๋ที่แปลว่าจิตใจปลอดโปร่งผ่อนคลาย”
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ย “คารวะผู้ดูแลกาน”
เสี่ยวโม่มองกานอี๋ จิงเสินของในร่างล้วนอยู่ที่ดวงตาทั้งคู่
ผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองคนนี้ดวงตาชอบหรี่ลง ทั้งข้างแก้มยังมีลักยิ้มสองข้าง ดังนั้นมองดูแล้วสีหน้าของสตรีตรงหน้าจึงดูเป็นมิตรอยู่ตลอด
เฉินผิงอันช่วยแนะนำ “ผู้ถวายงานบ้านข้าเอง เสี่ยวโม่ เสี่ยวที่แปลว่าเล็ก โม่ที่แปลว่าแปลกหน้า”
เสี่ยวโม่คารวะ คลี่ยิ้มอบอุ่น เอ่ยเสียงเบา “เป็นเกียรติยิ่งที่ได้พบเจอกานเซียนซือ”
กานอี๋รีบคารวะกลับคืน “กานอี๋คารวะเสี่ยวโม่เซียนซือ”
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะใช่เซียนกระบี่ที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำคนหนึ่งหรือไม่?
สำหรับเรื่องนี้ ตำหนักฉางชุนมีบทเรียนมาก่อนแล้ว กานอี้จึงจำต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
กานอี๋ถามหยั่งเชิง “เจ้าขุนเขาเฉินจะถือโอกาสนี้เดินทางกลับภูเขาลั่วพั่วไปด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “บนเรือมีสหายในยุทธภพที่รู้จักมานานอยู่สองคน ก็เลยแวะมาหาพวกเขาสักหน่อย ดื่มเหล้าด้วยกันแล้วก็เตรียมจะกลับเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ข้ากับเสี่ยวโม่ขึ้นเรือมาโดยไม่บอกกล่าว ต้องขออภัยผู้ดูกานด้วย”
เดิมทีอยากจะพูดว่าค่าเรือที่เรือข้ามฟากหลี่เฉวียนลำนี้จอดเทียบท่าที่ภูเขาลั่วพั่วสามารถยกเว้นให้ได้
ประโยคนี้เกือบจะหลุดออกจากปาก โชคดีที่ข่มกลั้นไว้อยู่
พูดคุยกับตำหนักฉางชุนที่มีเงินทองไหลมาเทมาเป็นการตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนมากเกินไป
ความคิดของกานอี๋แล่นอย่างว่องไว ถามอย่างระมัดระวังว่า “สหายของเจ้าขุนเขาเฉินใช่ปรมาจารย์ใหญ่อวี๋หรือไม่?”
อันที่จริงนางไม่อยากถาม เพราะง่ายที่จะก่อให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน แต่ก็ไม่กล้าไม่ถามอีกเหมือนกัน
ช่วยไม่ได้ พูดคุยกับผู้ฝึกตนบนภูเขาที่มีอำนาจสูงเหล่านี้ อีกฝ่ายมักจะชอบพูดจาแฝงความนัยต้องให้คนคิดแล้วคิดอีกอยู่เสมอ
มองดูเหมือนเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งหมด แต่อันที่จริงกลับไม่เหลวไหลสักประโยค
นางไม่กล้ามองเซียนกระบี่หนุ่มที่มีชาติกำเนิดยากจนท่านนี้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่มีความคิดเรียบง่าย อาศัยแค่ความโชคดีจึงทำเรื่องต่างๆ สำเร็จจริงๆ
หากเป็นอวี๋หง
ค่าใช้จ่ายบนเรือข้ามฟากของคนกลุ่มนั้น เงินก็เก็บมาแล้ว หรือจะต้องคืนเงิน? วิธีการเช่นนั้นก็ออกจะไร้ระดับเกินไป
แต่ก็มีอีกวิธีที่สามารถชดเชยให้ได้ ยกตัวอย่างเช่นนางเป็นฝ่ายนำเหล้าหมักเซียนของตำหนักฉางชุนไปมอบให้ด้วยตัวเองสองสามไห
ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ปรมาจารย์ใหญ่ด้านการฝึกยุทธคนหนึ่ง ตำหนักฉางชุนก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินทองพยายามตีสนิทเช่นนี้ เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอายุไม่น้อย แต่กลับไร้ความหวังจะฝ่าทะลุขอบเขต ไม่ใช่ขอบเขตปลายทางเสียหน่อย
แม้ว่าตำหนักฉางชุนจะไม่ใช่สำนัก แต่ก็เป็นตระกูลเซียนในท้องถิ่นของราชวงศ์ต้าหลีที่เป็นรองแค่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขายังตั้งอยู่ติดกับสถานที่มังกรลุกผงาดของสกุลซ่งตาหลีอีกด้วย
แน่นอนว่าทุกวันนี้ยังมีภูเขาลั่วพั่วที่ได้อักษรจงมาเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าว “ไม่ใช่อวี๋หง แต่เป็นเจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋กับอาจารย์ผู้เฒ่าอวี่ แต่จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก ทุกวันนี้ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างก็รับตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสอยู่ในหอฝูสู่พอดี”
กานอี๋ฉลาดถึงเพียงนี้จึงเข้าใจความนัยได้ทันที อย่างน้อยที่สุดต้องมอบเหล้าหมักออกไปสามกา
แน่นอนว่าไม่อาจขาดส่วนของอวี๋หงได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ ‘ผู้อาวุโสในยุทธภพ’ ของเจ้าขุนเขาเฉินสองคนนั้นวางตัวลำบาก
เฉินผิงอันเตรียมจะขอตัวลาจากไป กานอี๋พลันเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน เป็นตำหนักฉางชุนของพวกเราที่รู้สึกตัวช้าไป ปีนั้นเรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่มาช่วยคุ้มกันให้ ตำหนักฉางชุนซาบซึ้งใจยิ่งนัก เส้นทางขุนเขาสายน้ำตลอดเส้นทางนั้น หากมีจุดใดที่รับรองได้ไม่รอบคอบมากพอ หวังว่าเซียนกระบี่ใหญ่หมี่จะให้อภัยด้วย”
เมื่อหลายปีก่อนตำหนักฉางชุนมีผู้ฝึกตนหญิงสายของไท่ซ่างเหล่าจวิน ‘หลินโยว’ เดินทางไปฝึกประสบการณ์ทางทิศใต้ ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้น ราบรื่นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้าเพียงหนึ่งเดียวกลับเป็นผู้ร่วมเดินทางที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดคนนั้น
ระหว่างทางพวกนางเดินทางผ่านภูเขาพีอวิ๋น ที่จวนซานจวินของขุนเขาเหนือก็มีเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อนามว่าอวี๋หมี่ต้องการเดินทางลงใต้กลับบ้านเกิดพอดี จึงเดินทางไปพร้อมกับพวกนางแล้วถือโอกาสช่วยปกป้องมรรคาให้ด้วย
ตอนนั้นทางภูเขาพีอวิ๋นบอกว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลของอวี๋หมี่ผู้นี้เป็นคนรู้จักเก่าแก่กับเว่ยซานจวิน ฝึกตนได้ไม่ถึงหกสิบปีก็เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว แล้วยังเป็นอาจารย์หล่อหลอมที่เชี่ยวชาญด้านยันต์กระบี่คนหนึ่ง พลังการสู้รบมิธรรมดา
ผลคือทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา…
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ได้เลย เรื่องเล็กน้อย ข้าสามารถช่วยนำความไปบอกให้ได้ แต่ข้าก็เคยได้ยินหมี่อวี้พูดถึงเรื่องนี้ ฟังออกว่าเขามีความประทับใจที่ดีมากต่อตำหนักฉางชุน บอกว่าผู้อาวุโสบนภูเขาของพวกเจ้าปกป้องมรรคาอย่างรอบคอบ ทุ่มเทกำลังกายใจเต็มที่ ผู้เยาว์เองก็ขยันมานะฝึกตน ยามอยู่ร่วมกันจึงผ่อนคลายอย่างมาก”
บนใบหน้าของกานอี๋มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คล้ายกับได้กินยาสงบใจเข้าไป
เซียนกระบี่คนหนึ่งที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ นิสัยยากจะคาดเดา มิอาจทำให้คนเบาใจได้เลยจริงๆ ในศาลบรรพจารย์ของตำหนักฉางชุนมีการพูดถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยตัดสินใจกันได้เสียที
คำพูดเกรงใจจากเจ้าขุนเขาเฉินผู้นี้ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังเกินไปนัก
ทว่าหากแม้แต่คำพูดเกรงใจอีกฝ่ายก็ยังคร้านจะพูด ถ้าอย่างนั้นก็เป็นปัญหามากแล้ว
คิดไม่ถึงว่าการคุยเล่นที่ไม่หวังว่าจะมีคุณความชอบ หวังเพียงว่าจะไม่มีความผิดพลาดในวันนี้จะมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน ทำให้กานอี๋ช่วยสำนักบ้านตนคลี่คลายปมทางใจไม่ใหญ่ไม่เล็กไปได้เรื่องหนึ่ง
ระหว่างทางที่เดินทางลงใต้ไปหาประสบการณ์ ตอนอยู่ในอาณาเขตของแคว้นหวงถิง ตำหนักฉางชุนได้ปราบปรามปีศาจที่ออกอาละวาดในวัดอวิ๋นซานไปตัวหนึ่ง จากนั้นนำพาผู้ฝึกตนเฒ่าที่สละร่างหลุดพ้นไปยังภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปเพื่อนำพาวิญญาณวีรบุรุษแม่ทัพบู๊คนหนึ่งของต้าหลีกลับคืนสู่บ้านเกิด สุดท้าย แล้วก็เป็นเรื่องลับที่สำคัญที่สุดก็คือช่วยไปซื้อต้นสนหมื่นปีกิ่งเล็กมาจากศาลลมหิมะให้กับซูเกาซานแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่บนโลก
ไท่ซ่างเหล่าจวินของตำหนักฉางชุนกับบรรพบุรุษสกุลฉินร่องต้าหนี ทั้งสองฝ่ายเคยมี ‘เรื่องราวในอดีต’ กันมาก่อน ดังนั้นก่อนจะรับหน้าที่นี้ตำหนักฉางชุนรู้สึกว่าใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้เลย ผลคือพออีกฝ่ายได้ยินว่าจะขอซื้อต้นสนหมื่นปีก็เปลี่ยนสีหน้าไม่จำคน บอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน เพราะว่าต้นสนหมื่นปีที่ถูกตั้งชื่อว่า ‘ฉางฉิง’ ต้นนั้นเติบโตอยู่ที่หอเทพเซียนของศาลลมหิมะ ในนามจึงเป็นของเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยจิ้น
ดังนั้นผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนกลุ่มนั้นจึงถูกปฏิเสธที่ศาลลมหิมะ ต้องกลับไปพร้อมกับความผิดหวัง แต่ละคนกระวนกระวายไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าพวกนางควรจะไปอธิบายเรื่องนี้กับทางสำนักอย่างไร แล้วทางสำนักควรจะอธิบายกับทูตผู้ตรวจการคนหนึ่งที่เป็นขุนนางใหญ่ฝ่ายบู๊ของต้าหลีอย่างไร
คาดไม่ถึงว่าจะมีความหวังอีกครั้ง เพราะตอนที่ ‘อวี๋หมี่’ ลงเรือที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวถึงกับนำต้นสนหมื่นปีท่อนหนึ่งมามอบให้กับหันปี้ยาเป็นการส่วนตัว
อันที่จริงตอนนั้นตำหนักฉางชุนที่แน่ใจแล้วว่าต้นสนหมื่นปีเป็นของจริงหรือของปลอมก็ต้องอัดอั้นตันใจกันอย่างมาก คิดร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่เป็นเค่อชิงคนหนึ่งของภูเขาพีอวิ๋น ได้ของสิ่งนี้มาได้อย่างไร
ซื้อ?
ต่อให้ซานจวินเว่ยป้อเปิดปากทองคำขอซื้อ ด้วยนิสัยของศาลลมหิมะก็ไม่มีทางพยักหน้ายอมตอบตกลงแน่นอน
ขโมย?
ใครจะมีปัญญาข้ามผ่านตราผนึกภูเขาสายน้ำของศาลลมหิมะ แล้วยังมีความกล้าที่จะปีนขึ้นไปบนต้นสนโบราณ ‘ฉางฉิง’ ต้นนั้นได้อีกเล่า?
รอกระทั่งภายหลังสงครามที่นครมังกรเฒ่าดุเดือดรุนแรง ระหว่างนั้นก็มีเซียนกระบี่ไม่ทราบนามที่พลังการต่อสู้โดดเด่นคนหนึ่งโผล่มา มาดองอาจผ่าเผย แสงกระบี่พุ่งทะยานดุจสายรุ้ง ชอบสังหารเซียนดินเผ่าปีศาจด้วยการแยกร่าง หรือไม่ก็ฟันผ่าเอวเป็นที่สุด
อีกทั้งดูจากท่าทางแล้วคนผู้นี้น่าจะเป็นคนรู้จักเก่ากับลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิงจากอุตรกุรุทวีปด้วย