กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 886.4 ปิ่นเต๋า
เฉินผิงอันปล่อยมือ มองนักพรตหนุ่มขวัญกล้าเทียมฟ้าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มองไม่ออกเลยสักนิด
นักพรตหนุ่มหน้ามุ่ย นวดคลึงแขนของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เอ่ยถามอย่างขลาดๆ ว่า “ขอถามนายท่านทั้งสอง เงินสามสิบตำลึงต้องโดนที่ว่าการเมืองหลวงโบยกี่ไม้ ต้องกินข้าวแดงนานกี่วัน?”
เจ้าคนที่มีชื่อจริงว่าเหนียนจิ่ง นามเซียนเว่ย แล้วยังตั้งฉายาให้กับตัวเองว่า ‘นักพรตซวีเสวียน’ ผู้นี้ แค่ฟังที่เขาพูดก็รู้แล้วว่าทำความผิดมาจนชิน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “นักพรตซวีเสวียน การทำพิธีครั้งนั้นทำให้เจ้าได้เงินไปสามสิบตำลึงเงิน ตอนนี้บนร่างยังเหลือเงินอีกกี่ตำลึงล่ะ?”
นักพรตหนุ่มเหลือบมองตำราและกาสุราบนโต๊ะแวบหนึ่ง “ค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงค่อนข้างสูง จึงเหลืออยู่ไม่เยอะ เหลือแค่เจ็ดแปดตำลึงเท่านั้น”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก นักพรตหนุ่มรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “เรียนนายท่าน หากรวมกับเงินสะสมที่มีอยู่ก็ยังเหลืออีกยี่สิบตำลึงเงิน”
เฉินผิงอันเริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน นักพรตหนุ่มสูดจมูก หัวใจเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีดเถือ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ยังมีทองหยวนเป่าอีกก้อนหนึ่ง”
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าน่าขำ เจ้าเด็กนี่ก็ไม่ฉี่ราดให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปเลยล่ะ
เพียงแต่ว่าชั่วพริบตานั้นเสี่ยวโม่กลับเตรียมจะก้าวถอยหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก ทว่าอาศัยจิตแห่งมรรคาที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดทำให้ฝืนข่มกลั้นไม่ก้าวถอย กลับกันเสี่ยวโม่ยังขยับมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน กำลังจะใช้เสียงในใจเอ่ย คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเปิดปากพูดก่อนแล้ว “ไม่เป็นไร ข้ารู้แล้ว”
เสี่ยวโม่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเรียกออกมาครบสี่เล่มด้วย
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “เก็บกระบี่บินลงไป”
เสี่ยวโม่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เห็นว่าคุณชายมีสีหน้ายืนกรานก็ได้แต่เก็บกระบี่บินลงไปเงียบๆ
ที่แท้ตรงมวยผมของคนหนุ่มที่สวมรอยเป็นนักพรตก็มีปิ่นไม้ชิ้นหนึ่งปักไว้อยู่ รูปลักษณ์ธรรมดาเรียบง่าย แต่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ปิ่นเต๋าชิ้นนี้ช่างคุ้นตาเสี่ยวโม่ยิ่งนัก!
แม้ว่าปิ่นไม้ที่อยู่บนผมของนักพรตหนุ่มตรงหน้าจะไม่มีทางเป็นปิ่นที่ได้เห็นในปีนั้นแน่นอน แต่ลำพังเพียงแค่รูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันก็ทำให้จิตใจของเสี่ยวโม่สั่นไหวได้แล้ว
เฉินผิงอันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทางสีหน้า
นี่คงเป็นผลกรรมอย่างหนึ่งจากการที่เขาทำลายนครเซียนจานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้หักออกเป็นสองท่อนกระมัง?
“ดูท่าพวกเจ้าน่าจะเดาตัวตนของผินเต้าออกแล้ว”
คนหนุ่มคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืนช้าๆ สะบัดชายแขนเสื้อสองข้างของเสื้อคลุมเต๋า กำลังจะเปิดปากพูด ผลคือต้องร้องโอ้ย เจ็บๆๆ มือจะหักแล้ว นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย…ขึ้นมาอีกรอบ
ในใจโอดครวญไม่หยุด ต่อให้จะเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าน้ำเสียง พูดจาเหลวไหลได้คล่องปากแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานคำว่าเจ็บได้ไหวจริงๆ คนของทางการพวกนี้มีแต่พวกมุทะลุบุ่มบ่าม ชอบกระทำการหยาบช้า ไร้อารยธรรมเสียจริง…
พา ‘นักพรตซวีเสวียน’ ผู้นี้เดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม นักพรตหนุ่มสะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ แน่นอนว่าไม่ลืมไปจ่ายเงินค่าห้องที่โต๊ะคิดเงินด้วย
ขุนนางหนุ่มที่นิสัยค่อนข้างย่ำแย่ผู้นั้นบอกว่าจะให้เขาเปลี่ยนไปพักในสถานที่ที่กว้างขวางกว่านี้ คนหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ข้าวแดงในคุกไม่อร่อยเลยจริงๆ
อยู่ดีๆ ก็มอบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งให้เขา บอกว่าเป็นยันต์ปราณหยางส่องไฟอะไรสักอย่าง บอกกับเขาว่าพรุ่งนี้ให้เอาไปแปะที่หน้าประตูศาลบรรพชนของบ้านหลังนั้น
เดิมทีนึกว่าจะไปยังที่ว่าการ นึกไม่ถึงว่าเดินอ้อมเส้นทางไปตลบหนึ่ง เดินจนนักพรตหนุ่มเหงื่อแตกเต็มสันหลัง สุดท้ายไปถึงตรอกเล็กตรอกหนึ่ง นักพรตหนุ่มพลันหยุดเดิน สีหน้าตื่นตระหนก เป็นฝ่ายปลดห่อสัมภาระยื่นส่งให้กับเจ้าคนที่เรียกตัวเองว่าเฉาโม่ที่อยู่ข้างกาย พูดเสียงสั่นฟันกระทบกัน “เอาทรัพย์สินไปย่อมได้ แต่อย่าได้ฆ่าแกงกันเลย! หากรวมทองหยวนเป่าก้อนนั้น ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้ารวมกันแล้วไม่ถึงสองร้อยตำลึงเงิน อย่าถึงขั้นฆ่าคนเลยนะ!”
พูดมาถึงสุดท้าย คนหนุ่มก็เอนหลังพิงพนัง น้ำเสียงเริ่มเจือสะอื้นบ้างแล้ว
หลิวเจียกับจ้าวตวนหมิงที่อยู่ในลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวเห็นงิ้วที่อยู่นอกประตูฉากนี้ อาจารย์และศิษย์สองคนก็หันมามองหน้ากันเองตาปริบๆ อาจารย์เฉินพาสมบัติมีชีวิตกลับมาด้วยหรือ?
“ห่อสัมภาระเจ้าเก็บเอาไว้เองเถอะ เงินน้อยนิดแค่นี้ไม่เข้าตาข้าหรอก เหนียนจิ่ง…ช่างเถิด เรียกเจ้าว่าเซียนเว่ยค่อนข้างคล่องปากมากกว่า ส่วนชื่อเดิมก็เหลือค้างไว้ก่อนแล้วกัน”
เฉินผิงอันโบกมือ ยิ้มกล่าว “ใช่แล้ว ข้าเป็นคนบนภูเขา วันหน้าเจ้าก็ติดตามข้าไปฝึกตนเถอะ”
เซียนเว่ยที่อึ้งค้างไร้คำพูดเหมือนกำลังฟังตำราสวรรค์ ในใจคลางแคลง หรือจะเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าภูเขาลูกหนึ่งมักมีภูเขาอีกลูกที่สูงกว่าเสมอ ตนมาเจอกับยอดฝีมือที่พูดจาเหลวไหลได้เก่งยิ่งกว่าเสียแล้ว? อีกฝ่ายนอกจากจะหลอกเอาเงินแล้วยังคิดจะทำอะไรอีก? ปัญหาคือยังจะสามารถทำอะไรได้ ตนไม่ใช่สตรีสักหน่อย…พอคิดมาถึงตรงนี้ เซียนเว่ยก็เหลือบตามองผู้ติดตามข้างกายเฉาโม่ผู้นั้น ความเศร้าโศกพลันบังเกิดขึ้นในใจ โยนห่อผ้าให้เฉาโม่แล้วไม่สนใจอีก นั่งแปะลงบนพื้น ให้ตายก็ไม่ยอมขยับไปไหนแล้ว
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน ได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น เรียกตราประทับห้าอสนีขึ้นมากลางฝ่ามือ ประกายแสงไหลเวียนวนสาดส่องตรอกเล็กให้สว่างจ้า
เซียนเว่ยเหม่อลอย พลันคืนสติกลับมา คว้าห่อผ้าที่หล่นอยู่บนพื้นมาอย่างว่องไว เอามาสะพายไว้บนบ่าอีกครั้ง เดินตามเฉาโม่เข้าไปในตรอกเล็ก ลูกผู้ชายตัวจริง ต่อให้ต้องขึ้นเขามีดลงทะเลเพลิงก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้แต่ครั้งเดียว
“อาจารย์เฉา หรือว่าเห็นข้ากลางตลาดแล้วถูกใจในฐานกระดูกตระกูลเซียนของข้าเพียงแค่มองแวบเดียว? รู้สึกว่าข้าคือวัตถุดิบที่สามารถสร้างได้?”
“ขอถามเฉาเซียนซือว่ามาจากจวนเซียนบนภูเขาแห่งใดในแจกันสมบัติทวีปหรือ? ใช่เทพเซียนพสุธาที่บอกว่าเอื้อมมือคว้าดวงจันทร์เด็ดดวงดาวที่กล่าวถึงในตำนานหรือไม่?”
“เฉาเซียนซือ ไม่สู้ให้ข้าเรียกท่านว่าอาจารย์ดีกว่าไหม พิธีการยิบย่อยอย่างการกราบอาจารย์คารวะน้ำชาไหว้ภาพเหมือนอะไรนั่น สามารถชะลอไว้ก่อนได้ อาจารย์ ทุกวันนี้ข้ามีศิษย์พี่ชายหญิงหรือไม่? เมื่อไหร่ถึงจะได้พบเจอพวกเขาหรือขอรับ?”
เห็นว่าเทพเซียนบนภูเขาท่านนั้นไม่ต่อคำ เซียนเว่ยก็ลูบท้อง บากหน้าเปลี่ยนมาเรียกคำว่าเฉาเซียนซือใหม่อีกครั้ง ถามหยั่งเชิงว่า “มีของกินหรือไม่? เดินมาตลอดทางแล้ว ข้าหิวมากเลย”
เฉินผิงอันควักกุญแจออกมาไขเปิดประตูใหญ่ของเรือน ยิ้มกล่าว “เสี่ยวโม่ ไปซื้ออาหารมื้อดึกกลับมาหน่อย”
เสี่ยวโม่พยักหน้ารับเงียบๆ แล้วเรือนกายก็เปล่งวูบหายไป
ที่เรือนด้านหน้า เฉินผิงอันให้เซียนเว่ยพักอยู่ในห้องข้างห้องหนึ่งชั่วคราว บอกเขาว่าอย่าเดินไปไหนส่งเดช จงรออยู่ในห้องแต่โดยดี แล้วเฉินผิงอันก็เดินกลับเข้าไปในตรอกอีกครั้ง พูดคุยกับอาจารย์และศิษย์สองคนสองสามประโยคก็มอบตราประทับสองชิ้นที่เพิ่งแกะสลักเสร็จให้กับหลิวเจีย บอกให้เขาช่วยนำไปมอบต่อให้กับเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ย
กลับไปที่เรือนด้านหน้า ‘นักพรตหนุ่ม’ กำลังก้มหน้าก้มตาสวาปามอาหาร เสี่ยวโม่ยืนอยู่หน้าประตู เฉินผิงอันเหลือบตามองปิ่นเต๋าอันนั้นอีกครั้งแล้วกลับไปที่หอหนังสือ
ตลอดทั้งคืนผ่านไปอย่างไร้เรื่องราวใด
เซียนเว่ยกินดื่มอิ่มหนำแล้วก็นอนพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่พักใหญ่ กว่าจะผล็อยหลับไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
วันต่อมานักพรตหนุ่มก็ค้นพบว่าเฉาโม่ผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เสียแรงที่เป็นเทพเซียนบนภูเขา นิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ในเรือนมีแค่เจ้าคนที่เรียกตัวเองว่า ‘เสี่ยวโม่’ ผู้นั้น อีกฝ่ายไปที่บ้านหลังนั้นเป็นเพื่อนเขารอบหนึ่ง เซียนเว่ยย่อมมีคำพูดเป็นของตัวเอง เขาร่ายคำพูดไปหนึ่งรอบ ก่อนจะเอายันต์ส่องไฟที่เฉาเซียนซือมอบให้ตนไปแปะไว้ที่หน้าประตูใหญ่ของศาลบรรพชนก็ถือว่าทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นเสี่ยวโม่ก็คว้าจับไหล่ของเขา รู้สึกเพียงว่าเหมือนได้ทะยานเมฆขี่หมอก พอมองไปอีกทีก็มาถึงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองหลวง ท่าเรือก่าวซู่ (ชุดขาว ชุดไว้ทุกข์) ชื่อไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไร แต่เซียนเว่ยกลับรู้ว่าทำไมถึงตั้งชื่อเช่นนี้ ร้อยปีที่ผ่านมากองทัพชายแดนต้าหลีทำสงครามหลายครั้ง การที่เขานอนกลางดินกินกลางทราย อาศัยเพียงสองมือและเท้าหนึ่งคู่เดินเท้าเปล่ามาตลอดทาง เดินขึ้นเหนือจนมาถึงเมืองหลวงต้าหลี ก็ไม่ใช่เพราะเลื่อมใสในความแข็งแกร่งไร้ศัตรูเทียมทานของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจากใจจริงหรอกหรือ?
เพียงแต่ว่าเงินอีแปะเดียวก็ทำให้วีรบุรุษล้มได้ หากมีเงินจริงๆ ไยต้องคอยไปหลอกลวงคนอื่น ป่านนี้ก็คงไปทุ่มทองพันชั่งที่เหลาสุราริมลำคลองชางผูแล้ว
เสี่ยวโม่บอกให้เซียนเว่ยยืนอยู่ที่เดิม ฝ่ายหลังเพ่งตามองให้แน่ชัดถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าห่างไปไกลมีแผงดูดวงอยู่แผงหนึ่ง ถึงกับเป็นเฉาเซียนซือที่เปลี่ยนชุดแต่งกาย สวมชุดเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว บนโต๊ะวางกระบอกเซียมซีไว้ใบหนึ่ง
ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง ทว่าร้านที่มาตั้งอยู่ที่ท่าเรือแห่งนี้กลับมีการค้าให้ทำแล้ว เป็นสตรีออกเรือนแล้วรูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง นางพาลูกมาด้วยสองคน คือเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งที่คิ้วตามีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน คนทั้งสามกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งยาวหน้าโต๊ะตัวนั้น
ข้างกายมีผู้ดูแลเฒ่าอายุมากคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
เพียงแต่ว่าห่างไปไกลอีกเล็กน้อย ดูเหมือนจะมีชายร่างกำยำอีกสองคน สายตาคมกริบ ต้องเป็นองค์รักษ์ในตระกูลอย่างไม่ต้องสงสัย
แววตาน้อยนิดแค่นี้ เซียนเว่ยยังพอมีอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกของสตรีออกเรือนแล้วก็ดี หรือพลังอำนาจอันกร้าวแกร่งบนร่างขององค์รักษ์สองคนก็ช่าง สรุปก็คือแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนจากตระกูลธรรมดาทั่วไป ไม่แน่ว่าอาจเป็นตระกูลเมล็ดพันธ์แม่ทัพบางแห่งในเมืองหลวงก็เป็นได้
เฉาเซียนซือร้ายกาจจริงๆ ฝีมือสูงส่งกว่าตนหนึ่งระดับจริงๆ รับอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ก็ไม่ขาดทุนเลยสักนิด
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันท่องเที่ยวอยู่ในแจกันสมบัติทวีป ระหว่างทางได้ไปเยือนบ้านเกิดของแม่ทัพใหญ่ซูเกาซาน ไม่ได้สร้างเรือนหรูหราสร้างสุสานใหญ่โต คนในตระกูลก็ไม่ได้เป็นดั่งหมาและไก่ที่พลอยได้บินขึ้นสวรรค์ คนที่มีความเกี่ยวข้องก็แค่เปลี่ยนจากตระกูลยากจนกลายมาเป็นตระกูลที่นอกจากทำนาแล้วก็เล่าเรียนหนังสือซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่
เวลานี้หมอดูที่เรียกตัวเองว่า ‘นักพรตซวีเสวียน’ กำลังอธิบายใบเซียมซีให้กับสตรีออกเรือนแล้ว เป็นคำทำนายถึงการออกเดินทางไกล โชคดีที่เป็นเซียมซีกลางบน สตรีออกเรือนแล้วฟังอย่างตั้งใจ คิ้วตามีความยินดีแทรกอยู่หลายส่วน
นอกจากค่าทำนายก้อนหนึ่งที่ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว สตรียังมอบเงินอีกสิบตำลึงให้เพิ่มเติม
นักพรตหนุ่มจึงหยิบป้ายคำว่าฝู (โชคดี/มงคล) ซึ่งแกะสลักบนหยกขาวชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนจะตบศีรษะตัวเอง บอกว่าเรื่องดีต้องมาเป็นคู่ จึงหยิบป้ายหยกคำว่าฝูออกมาอีกชิ้น บอกว่ามอบให้กับคุณชายและคุณหนู
มีความสุขแข็งแรง เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ทุกอย่างสมดังใจปรารถนา อยู่ไกลห่างหมื่นลี้ยังได้กลิ่นหอมของกล้วยไม้
ผลสมบูรณ์ใบหนาชอุ่ม ฝนตกให้ความชุ่มฉ่ำแก่ผืนนา ครอบครัวสงบสุข ลูกหลานปรองดอง
สตรีออกเรือนแล้วเห็นป้ายอักษรฝูก็เกิดความชื่นชอบจึงรับมาไว้ นางเบี่ยงตัวหยิบเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญออกมาจากถุงผ้าแพรปักลายใบเก่า วางลงบนโต๊ะเบาๆ “ขอท่านนักพรตโปรดรับไว้ด้วย”
เพียงแต่ว่านักพรตที่อายุน้อย ทว่าคำพูดคำจากลับไม่ธรรมดากลับผลักเงินเทพเซียนเหรียญนั้นกลับคืนมาเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องของโชควาสนา ทองหมื่นชั่งก็ยากจะซื้อได้ ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ถือเสียว่าทำดีย่อมได้ดีตอบแทน”
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจสอบถาม “คุณชาย ทำเช่นนี้ สกุลซ่งต้าหลีจะมีความคิดอะไรหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาคิดไป”
เสี่ยวโม่พยักหน้ารับเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากด้านหลังเด็กสองคนข้างกายฮูหยินผู้นี้มีตะเกียงสีแดงดวงใหญ่คู่หนึ่งลอยอยู่
บนตะเกียงมีตัวอักษรสีทองที่เขียนไว้ยาวเป็นพรวน เป็นวิชาลับจากศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ ลงท้ายด้วยคำว่าเฉินผิงอัน
จากนั้นประทับตราประทับส่วนตัวลงไปเป็นคำว่า
อิ่นกวาน
ฮูหยินผู้นั้นพาเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสองออกไปจากแผงดูดวง เพียงแต่ไม่ลืมให้พวกเขาเอ่ยขอบคุณนักพรตหนุ่มคนนั้น
เดินออกมาได้ระยะทางหนึ่ง สตรีผู้นั้นพูดคุยบางอย่างกับผู้ดูแลเฒ่าถึงได้รู้ความจริงเรื่องหนึ่ง นางหันขวับกลับไปมอง นักพรตหนุ่มที่ปักปิ่นหยกบนมวยผมคนนั้นลุกขึ้นยืนแล้ว สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ โบกมืออำลาพวกเขา
สตรีหยุดเท้า หมุนตัวกลับมา ยอบกายคารวะคนหนุ่มอยู่ไกลๆ
คนผู้นั้นถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะกลับคืน
แม้ว่าจะเป็นฮูหยินตราตั้งอันดับหนึ่งของราชสำนักต้าหลี แต่สตรีออกเรือนแล้วที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในราชสำนักและบนสนามรบเท่าไรผู้นี้ วันนี้ถึงเพิ่งรู้ว่า ที่แท้อิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เป็นคนสกุลต้าหลีของพวกเรานี่เอง
ยามเช้าตรู่ ดวงจันทร์ลาลับดวงตะวันลอยขึ้นสูง อากาศสดชื่นปลอดโปร่ง
ประหนึ่งคนที่เดินทางยามค่ำคืน ห่มดาวสวมจันทร์ ได้เห็นแสงสว่างบนฟากฟ้า