กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 887.2 มีเรื่องขอให้ช่วย
ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านร้านเหล้าก็พลันหยุดเดิน หันตัวเดินดิ่งเข้าไปในร้าน เพราะด้านในมีบุรุษชุดขาวคนหนึ่งนั่งยึดครองโต๊ะตัวหนึ่งเพียงลำพัง กำลังดื่มเหล้า
กลายเป็นว่าตรงตามที่เซียนเว่ยพูด
เจิ้งจวีจงยกถ้วยเหล้าขึ้นยิ้มเอ่ย “บังเอิญขนาดนี้เชียว”
เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะเหล้า ประสานมือคารวะเจิ้งจวีจง เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์เจิ้ง แล้วนั่งลงเงียบๆ บนโต๊ะเหล้าวางถ้วยเหล้าว่างเปล่าไว้สามใบ เห็นได้ชัดว่าเจิ้งจวีจงกำลังรอคอยให้กลุ่มของตนเดินผ่านร้านเหล้าแห่งนี้
เฉินผิงอันมั่นใจว่าเจิ้งจวีจงในสายตาของตนกับบุรุษชุดขาวในสายตาของนักดื่มมากมายในร้านเหล้าต้องเป็นคนละคนกันอย่างแน่นอน
ไม่ต้องให้เจิ้งจวีจงเอ่ยอะไร ปริศนาในใจของเฉินผิงอันก็เท่ากับว่าได้คลายออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าตัวเองมีค่าพอให้เจิ้งจวีจงมารอคอย นี่ต้องเป็นเพราะเซียนเว่ยที่อยู่ข้างกายแน่นอน
เซียนเว่ยนั่งลงอย่างผึ่งผาย แต่เสี่ยวโม่หลังจากช่วยรินเหล้าให้แล้วกลับยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน
เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ร่ายเวทอำพรางตากับตน เสี่ยวโม่จึงรู้ถึงตัวตนของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า มองปราดเดียวก็จำได้
ติดตามเฉินผิงอันมายังใต้หล้าไพศาล แม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่นาน แต่เรื่องหนึ่งที่เสี่ยวโม่ตั้งใจอย่างมากก็คือการค้นหาข่าวคราวบนภูเขาบางอย่าง จดจำคนกลุ่มเล็กที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุดของใต้หล้าไพศาลไว้ในใจเงียบๆ แน่นอนว่าทุกคนต้องเป็นบินทะยานขั้นสูงสุดทั้งหมด
เจิ้งจวีจงมองเซียนเว่ยที่นั่งร่วมโต๊ะแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ใช้ปิ่นจุ่มสุรา เพียงครู่ปิ่นก็สลายสิ้น ประหนึ่งคนฝนหมึก ทั้งกายและชื่อเสียงล้วนดับสูญ แพร่หลายยาวนานนับพันนับหมื่นปี”
เซียนเว่ยอารมณ์ดีทันใด เจ้าตัวดี คิดจะพูดเรื่องเหลวไหลไร้แก่นสาร ข้าเอาชนะเฉาเซียนซือไม่ได้ แต่จะยังกลัวเจ้าด้วยหรือ?
สองนิ้วคีบถ้วยเหล้า ไม่ต้องร่างถ้อยคำอะไรไว้ก่อนด้วยซ้ำ นักพรตหนุ่มคนนี้ก็เริ่มพูดจาเลื่อนเปื้อนด้วยสีหน้าจริงจัง แกว่งกาเหล้าเบาๆ สูดกลิ่นสุรา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ธรรมะสูงหนึ่งฉื่ออธรรมสูงหนึ่งจั้ง ชะตาชีวิตไม่ราบรื่นสมดังใจ ได้แต่ตะโกนอย่างร้อนใจว่าจะทำอย่างไรดี”
เฉินผิงอันฟังแล้วหนังตากระตุกริกๆ
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “พูดดีทำดีดุจคนได้รับการศึกษา น่ายินดีด้วย”
เซียนเว่ยพูดอย่างแค้นใจในความผิดพลาดของตัวเอง “เกิดมาก็มีชีวิตเหมือนล่องเรือบนพื้นดินแห้งแล้ง ข้ายังจะทำอย่างไรได้อีก ข้าจะฟืนลิขิตสวรรค์ได้หรือ?”
ถึงอย่างไรก็มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว ใช้คำพูดแบบไหนถึงจะสยบคนได้ก็จะพูดแบบนั้น
เจิ้งจวีจงคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน จากไปทั้งอย่างนี้
บนโต๊ะมีเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งถูกทิ้งเอาไว้ ถือเป็นค่าสุรา
เจิ้งจวีจงใช้เสียงในใจเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “อย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง”
นี่น่าจะเป็นการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เฉินผิงอันว่าควรจะอยู่ร่วมกับเซียนเว่ยอย่างไรแล้ว
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจตอบรับ “ขอบคุณคำสั่งสอนของอาจารย์เจิ้ง”
หลังจากเจิ้งจวีจงออกไปจากร้านเหล้าแล้ว เฉินผิงอันก็เก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตะโกนพูดกับเถ้าแก่ร้านว่า “พวกเราจะคิดเงินก่อน”
เซียนเว่ยมึนงง ถามว่า “อาจารย์เฉา นั่นใครกัน? พูดจาไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย ยังดีที่วางตัวใช้ได้ รู้ว่าควรต้องทิ้งเงินค่าเหล้าเอาไว้”
เฉินผิงอันยังคงคร้านจะสนใจเจ้าหมอนี่ แค่จ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งให้กับเถ้าแก่ร้านเหล้า จากนั้นก็ดื่มเหล้าเซียนตำหนักฉางชุนที่อยู่บนโต๊ะกานี้
เฉินผิงอันบอกให้เสี่ยวโม่นั่งลงดื่มเหล้าด้วยกัน จากนั้นก็ก้มหน้าจิบเหล้าหนึ่งอึก ใช้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ กระบี่บินสี่เล่มนั้นของเจ้า?”
ก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เจอกับเซียนเว่ยในโรงเตี๊ยม เสี่ยวโม่ก็เรียกกระบี่บินสี่เล่มออกมาแล้ว
เสี่ยวโม่ไม่ได้ปิดบังอำพรางใดๆ บอกตามตรงว่า “กระบี่บินสามเล่มในนั้น หลักๆ แล้วใช้ในการโจมตี ยังมีอีกหนึ่งเล่มที่ช่วยในการฝึกตน เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เหมือนซี่โครงไก่มากเกินไป กระบี่บินสี่เล่มไม่เคยมีชื่อเรียก วันหน้าอาจยังต้องรบกวนขอให้คุณชายช่วยตั้งชื่อให้ สามเล่มแรก เล่มหนึ่งในนั้นเสี่ยวโม่รักมากที่สุด เพราะสามารถชักนำดวงดาวจากนอกฟ้าดวงหนึ่งให้หล่นลงมายังพื้นดินได้ หากถามกระบี่กับคนอื่นแล้วจำเป็นต้องทุ่มชีวิตต่อสู้อย่างแท้จริง จะแพ้หรือชนะก็อยู่ที่การกระทำนี้ ส่วนอีกสองเล่มกลับค่อนข้างจะธรรมดาแล้ว เล่มหนึ่งสามารถเลียนแบบวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินคนอื่น น่าเสียดายที่การกระทำนี้มิอาจประคับประคองไว้ได้นานนัก แล้วยังถูกลดระดับขั้นลงด้วย พลังพิฆาตจะลดน้อยลงไปไม่น้อย แต่มีก็ดีกว่าไม่มี และยังมีกระบี่บินอีกเล่มที่สามารถสร้างคุกแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ชั่วคราว ใช้กักขังดวงวิญญาณของนักพรต ยังคงถือว่าเป็นวิธีเสี่ยงอันตรายอยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องของเวทกระบี่ ดังนั้นในอดีตตอนที่ข้าถามกระบี่กับคนอื่นจึงไม่ค่อยชอบเรียกกระบี่บินพวกนี้ออกมา ฉูดฉาดมากสีสัน แต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้จริง”
“กระบี่บินเล่มสุดท้าย ช่วงแรกเป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนอย่างมาก เคยทำให้ข้าเดินขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับการรุดหน้าเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ของคุณชายแล้วย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง กระบี่บินเล่มนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านการหลอมใดๆ ก็สามารถทำให้ข้าดูดดึงเอาปราณวิญญาณจากฟ้าดินมาได้อย่างมหาศาล กระทั่งพื้นที่ในรัศมีพันลี้กลายมาเป็น ‘ดินแดนไร้อาคม’ ตามคำกล่าวของผู้ฝึกลมปราณในทุกวันนี้ ข้าก็สามารถเก็บกระบี่บินกลับมาแล้วย้ายไปฝึกตนอยู่ที่อื่นได้แล้ว ในอดีตเมื่อข้าเลื่อนเป็นเซียนดิน…หรือก็คือขอบเขตเซียนเหรินในทุกวันนี้ ความหมายของกระบี่บินเล่มนี้ก็มีไม่ค่อยมากแล้ว ดังนั้นถึงได้บอกว่าเหมือนซี่โครงไก่”
“วันหน้าติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย หากเจอตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ถูกชะตา เสี่ยวโม่ก็จะรับมาไว้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสักสองสามคน แล้วถ่ายทอดเวทกระบี่ให้พวกเขาอย่างตั้งใจ รอวันใดที่เจอตัวเลือกที่เหมาะสมสามารถเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าได้ ขอแค่จิตแห่งมรรคาของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากพอ ข้าก็จะมอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ให้กับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจคนนี้”
ใบหน้าของเฉินผิงอันมีรอยยิ้มประดับ “เสี่ยวโม่อ่า อย่าเอาแต่พูดสิ ดื่มเหล้าให้มากๆ”
เสี่ยวโม่ถามด้วยสีหน้าวาดฝันอยู่หลายส่วน “คุณชาย ทุกวันนี้ในภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีตัวเลือกที่เหมาะสมหรือไม่? หากบนภูเขามีตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่เป็นเช่นนี้อยู่พอดี ข้าก็ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้นแล้ว แค่หาตัวลูกศิษย์คนสุดท้ายมาโดยตรงเลย”
ไม่ใช่คำพูดล้อเล่นอะไร
เฉินผิงอันดื่มเหล้า โบกมือปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ไม่มีใครทำเป็นเล่นอย่างเจ้ากันหรอก ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
เห็นว่าเซียนเว่ยมีสีหน้าเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เฉินผิงอันก็ถามว่า “เป็นอะไรไป?”
เซียนเว่ยตบหน้าท้องตัวเอง เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ดื่มเหล้าดับกระหาย แต่ไม่ช่วยให้หายหิวนะ ข้าหิว”
ก่อนหน้านี้เขาหรือจะรู้ว่าร้านเหล้าแห่งนี้ขายแต่เหล้า ไม่ขายของกิน อีกทั้งเถ้าแก่ร้านก็เป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง ไม่เหมือนกับในตำราที่บอกว่าต้องมีสตรีรินเหล้าดุจไข่มุกกลมเกลี้ยงดุจหยกแวววาว ประหนึ่งเดินออกมาจากภาพวาดอะไรเลย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เดี๋ยวพอไปถึงเมืองหลวงจะให้เสี่ยวโม่ช่วยไปซื้ออาหารเช้ามาให้เจ้ากิน”
เซียนเว่ยได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่นทันใด “ยังต้องเดินอีกตั้งสิบกว่าลี้เชียวนะ เฉาเซียนซือ ด้วยฝีเท้าของข้า เดินกลับไปถึงอย่างเชื่องช้า จะไม่ถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของท่านหรือ?”
เฉินผิงอันแค่ยิ้มรับ หันหน้าไปมองนอกร้าน คนเดินไปเดินมา แขกที่ผ่านทางมาเดินผ่านฝีเท้าเร่งร้อน
สิ่งที่ใช้แกล้มเหล้า
แสงจันทร์ สาวงาม คำพูดสัปดน
บ้านเกิด ความคิดถึง ความฝัน
เฉินผิงอันรอให้เซียนเว่ยดื่มเหล้าหมดอย่างเชื่องช้า คนทั้งสามก็ออกมาจากร้านเหล้าด้วยกัน เซียนเว่ยอิดๆ ออดๆ พอคิดถึงว่ายังต้องเดินอีกตั้งไกลก็ทำท่าอ่อนระโหยโรยแรง ไม่มีชีวิตชีวาใดๆ โชคดีที่เฉาเซียนซือนับว่ายังเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ถึงได้เดินออกไปจากถนนทางหลวง พอไปถึงริมน้ำตื้นที่มีต้นกกต้นอ้อก็ให้เสี่ยวโม่จับไหล่ของเซียนเว่ย ส่วนเฉินผิงอันร่ายร่างวารีเมฆากลับไปที่เมืองหลวงด้วยกัน
คนทั้งสามมาถึงอารามเต๋าขนาดเล็กที่ประตูอารามไม่แสดงให้เห็นถึงฐานะอันสูงส่งเลยแม้แต่น้อย
เซียนเว่ยกินแผ่นแป้งย่างที่เสี่ยวโม่ช่วยซื้อหามาให้ เอาแป้งสองแผ่นมาม้วนเข้าด้วยกัน ด้านในมีไส้เนื้อสับรวมกับใบเหมยแห้ง อร่อย ทั้งยังอยู่ท้อง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแชนเสื้อ ยืนอยู่บนถนนนอกที่ว่าการของเต้าเจิ้งเมืองหลวงแห่งนี้ คล้ายกับไม่รีบร้อนเข้าไปเยี่ยมเยือนด้านใน
เสี่ยวโม่เห็นว่าคุณชายของตนไม่ขยับเท้าก็เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว ค้อมเอวก้มหน้ามองป้ายศิลาที่ตั้งอยู่ข้างขั้นบันได คนที่ตั้งป้ายหินแผ่นนี้ก็คือผู้นำลัทธิเต๋าของหน่วยฉงซวีแห่งราชวงศ์ต้าหลีในทุกวันนี้ อิงตามบันทึกบนป้ายศิลา มียศที่ยาวเป็นพรวน อู๋หลิงจิ้งหัวหน้าหน่วยฉงซวีแห่งเขตเซ่อจวิ้น ลูกศิษย์ซานต้งผู้รับยศต้าเต้าซื่อเจิ้งแห่งเมืองหลวง
ก่อนหน้านี้เดินทางผ่านที่แห่งนี้พร้อมกับหนิงเหยา เฉินผิงอันยังคลางแคลงว่าอู๋หลิงจิ้งผู้นี้คือใคร ทำไมถึงได้รับยศ ‘ต้าเต้าซื่อเจิ้ง’ ดูแลเต้าเจิ้งหลายสิบคนของราชสำนักต้าหลี เท่ากับว่าขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับสำนักโองการเทพอย่างชัดเจน ภายหลังไปเปิดอ่านเอกสารคดีที่กองโหราศาสตร์ของเมืองหลวงถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นนักพรตวัยกลางคนที่เขาได้เจอในอารามป๋ายอวิ๋นแคว้นชิงหลวนในอดีต ตามคำกล่าวในวงการขุนนางต้าหลีของทุกวันนี้ การที่คนผู้นี้สามารถเดินขึ้นฟ้ากลายเป็นผู้ดูแลหลักในหน่วยฉงซวีได้ในก้าวเดียว ล้วนเป็นเพราะได้รับการเสนอชื่อมาจากเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วกรมพิธีการของเมืองหลวงสำรอง ก็มิตรภาพของคนบ้านเดียวกันนี่นะ คนหนึ่งบรรลุเซียน หมาไก่พลอยได้ขึ้นสวรรค์ สมเหตุสมผลดีแล้ว
ไม่เพียงแต่หน่วยฉงซวีเท่านั้น อันที่จริงแม้แต่ภิกษุชุดขาวในหน่วยแปลคัมภีร์ของต้าหลี มังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธที่ได้รับตำแหน่งตรีปีฎกาจารย์ ก็มาจากแคว้นชิงหลวนเช่นเดียวกัน มาจากวัดป๋ายสุ่ย
เซียนเว่ยพูดเสียงอู้อี้ “เฉาเซียนซือ มาทำอะไรที่นี่หรือ”
เฉินผิงอันตอบ “มาเดินเล่น”
เซียนเว่ยถามอีก “แล้วทำไมพวกเราไม่เข้าไปข้างในล่ะ?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “ก็ไม่ต้องรอให้เจ้ากินเสร็จก่อนหรอกหรือ?”
เซียนเว่ยร้องอ้อหนึ่งที เดิมทีก็ไม่รู้อยู่แล้วว่า ‘ที่ว่าการเต้าเจิ้งแห่งเมืองหลวง’ ที่เขียนไว้บนกรอบป้ายหมายความว่าอะไร รู้สึกเพียงว่าอารามเต๋าขนาดเล็กที่ไม่มีมาดน่าเกรงขามแม้แต่น้อยแห่งนี้ เป็นแค่อารามเล็กๆ แห่งหนึ่ง ข่มขู่ให้นักพรตตัวปลอมอย่างตนกลัวยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
เซียนเว่ยกินเสร็จก็ปัดมือ “ไป เข้าไปดูกัน”
คนเฝ้าประตูของอารามเล็กคือนักพรตน้อยคนหนึ่ง เฉินผิงอันบอกว่าตัวเองคือสหายของเก๋อหลิ่งเต้าลู่ มาที่อารามเพื่อมาขอน้ำชาดื่มสักถ้วย
พอได้ยินว่าเป็นเพื่อนของเก๋อเต้าลู่ นักพรตน้อยก็ปล่อยให้เข้าไปทันที ไม่อย่างนั้นอารามบ้านตนก็ไม่มีทางรับรองคนธรรมดาทั่วไปแน่นอน
เพียงไม่นานเต้าเจิ้งแห่งเมืองหลวงก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง คือผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ในมือถือประคองแส้ปัดฝุ่น ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า พูดด้วยสีหน้านอบน้อมว่า “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันประสานมือคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ย “รบกวนแล้ว”
เต้าเจิ้งผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน เจ้าขุนเขาเฉินมาเยือนทั้งที ถือเป็นเกียรติของหน่วยเต้าลู่แล้ว”
พาคนทั้งสามไปนั่งในห้องแห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่าก็ให้นักพรตของที่ว่าการยกน้ำชามาให้กับแขกสูงศักดิ์ทั้งสามคน
เต้าเจิ้งผู้เฒ่าถามเสียงเบา “ได้ยินว่าเจ้าขุนเขาเฉินฝึกตนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานหลายปี ระหว่างนี้เคยเจอกับอริยะของป๋ายอวี้จิงที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้า เคยถกปัญหาธรรม เคยประลองวิชาความรู้กันบ้างหรือไม่?”
พูดถึงเจ้านครเสินเซียวหนึ่งในห้านครสิบสองหอเรือนผู้นั้นนั่นเอง
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่เคยทักทายกันไกลๆ เท่านั้น ไม่เคยไปมาหาสู่กับเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้น”
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก
ภายหลังไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวจะต้องไปเป็นแขกที่นครเสินเซียวให้ได้ แน่นอนว่าเป็นการไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านดั่งความหมายตามตัวอักษรเท่านั้น
ส่วนพวกหอจื่อชี่อะไรนั่น ก็ว่ากันไปอีกเรื่อง
เต้าเจิ้งผู้เฒ่าพยักหน้า เห็นว่าเซียนกระบี่เฉินท่านนี้ดื่มชาเรียบร้อยแล้วก็ถามว่าตนสามารถเดินเล่นอยู่ในอารามเต๋าได้หรือไม่ ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยว่ามีอะไรไม่ได้กัน เจ้าขุนเขาเฉินเชิญเดินเล่น เชิญเที่ยวชมได้ตามสบาย
เฉินผิงอันจึงพาเสี่ยวโม่และเซียนเว่ยออกไปนอกห้อง นักพรตผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปทำธุระของตัวเองต่อ
เฉินผิงอันมาถึงใต้ต้นป่ายโบราณต้นหนึ่ง
เซียนเว่ยถามอย่างใคร่รู้ “เสี่ยวโม่ เต้าเจิ้งของเมืองหลวงคือขุนนางตำแหน่งอะไรหรือ?”
เสี่ยวโม่ตอบ “คือนักพรตที่ดูแลนักพรตทั้งหมดในเมืองหลวงต้าหลี”
“ขุนนางใหญ่เลยนะ!”
เซียนเว่ยตกใจสะดุ้งโหยง ความคิดแล่นเร็วจี๋ ถามหยั่งเชิงว่า “เสี่ยวโม่ ให้เฉาโม่ช่วยขอทำเนียบนักพรตให้ข้าสักฉบับได้หรือไม่”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “เจ้าไปพูดเรื่องนี้กับคุณชายเอาเอง”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกังวานของเครื่องดนตรีเสนาะหูดังแว่วมา
เฉินผิงอันคืนสติ เก็บความคิดทั้งหลายกลับคืน เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”
ก่อนจะออกไปจากอารามเต๋า เฉินผิงอันไปหาเต้าเจิ้งแห่งเมืองหลวงผู้นั้นอีกรอบ กลับพบว่านอกจากเก๋อหลิ่งแล้ว เต้าลู่ของกองต่างๆ ซึ่งมีกองคำอวยพร กองคำเขียวและกองตราประทับเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็มาอยู่ในห้องทำงานของใต้เท้าเต้าเจิ้งผู้นี้ ราวกับกำลังรอคอยให้เซียนกระบี่เฉินปรากฎตัว เฉินผิงอันจึงได้แต่ทำเป็นไม่รับรู้ถึงความคิดที่จะมาร่วมวงความครึกครื้นของเต้าลู่พวกนี้ เพียงคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขอตัวลากลับไป
ภายหลังก็พาเสี่ยวโม่และเซียนเว่ยมาที่หน่วยฉงซวี เนื่องจากมีหน่วยแปลคัมภีร์อยู่ด้วย อีกทั้งยังเป็นที่ว่าการที่ได้รับคำสั่งให้สร้างขึ้นใหม่ของต้าหลี เป็นเหตุให้เมื่อเทียบกับอารามเต๋าที่มีอายุยาวนานแห่งนั้นแล้วจึงดูมีบารมีน่าเกรงขามมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เซียนเว่ยเดินอย่างสำรวมระมัดระวัง ไม่กล้าหายใจแรงสักครั้ง เสี่ยวโม่เอ่ยสัพยอกไปคำหนึ่งว่า ต้องการให้ข้าช่วยบอกกับคุณชายแทนเจ้าสักคำหรือไม่? เซียนเว่ยฟังความนัยของประโยคนี้ออก จึงหัวเราะหึหึตอบกลับว่า เสี่ยวโม่ บ้านเจ้ามีป่าไผ่อยู่ไม่ใช่หรือ? เสี่ยวโม่มึนงง พลันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
สุดท้ายเฉินผิงอันถอดรองเท้านั่งอยู่ในระเบียงไม้นอกห้องทำสมาธิ เสี่ยวโม่ดึงตัวเซียนเว่ยให้ไปนั่งบนขั้นบันไดด้วยกัน
สองมือของเฉินผิงอันวางทับซ้อนกันไว้ที่หน้าท้อง เริ่มหลับตาทำสมาธิ
วิชาสงบใจ วิชาบำเพ็ญภาวนา ถือศีลบำเพ็ญตบะ
บ้านเกิดมีคำพูดเก่าแก่อยู่ประโยคหนึ่ง ทำนาบนหน้าผาหิน
เอามาใช้บรรยายสภาพอับจนยากแค้นและความขยันหมั่นเพียรของคนจนว่าน่าเหลือเชื่อจนถึงขั้นนี้
ไม่รู้ว่าเหตุใด ครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้สัมผัสกับคดีลัทธิพุทธคดีนั้นในตำรา ได้เห็นคำว่าฝนอิฐให้กลายเป็นกระจก ก็อดนึกถึงคำพูดประโยคนี้ของบ้านเกิดขึ้นมาไม่ได้
คนคนหนึ่ง ในเมื่อมีบ้านเกิดแห่งความสบายใจเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าก็ต้องมีสถานที่แห่งความกลุ้มใจที่ทำให้คนวนย่ำอยู่กับที่เหมือนถูกผีบังตาอยู่ด้วย
ของศิษย์พี่ชุยฉาน บางทีอาจเป็นหอหนังสือในบ้านตัวเองที่ถูกยกบันไดออก ได้แต่มองลอดหน้าต่างบานเล็กๆ ไปเห็นแสงดาวรวมกลุ่มทอประกาย เห็นลมฝนพัดกระโชก เห็นธารดวงดาวสว่างพรางพราว หิมะใหญ่ปลิวปราย ดวงจันทร์เดียวดาย
หรือบางทีก็อาจจะเป็นหลังออกจากบ้านเกิด นอกหน้าต่างบ้านหนึ่งในโรงเรียนต่างบ้านต่างเมือง มองไปยังอาจารย์สอนหนังสือผู้ยากจนข้นแค้นที่ช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ของอริยะปราชญ์ให้กับพวกเด็กๆ ด้วยคิ้วตาที่เบิกบาน
ของอาเหลียง บางทีอาจเป็นสุสานไร้ญาติที่ชานเมืองแห่งนั้น
เว่ยป้อ อาจเป็นสตรีที่เมื่อหนึ่งพันปีก่อนลงน้ำไปงมเอาเศษร่างทอง
ของผีสาวสวมชุดแต่งงาน บางทีอาจเป็นบัณฑิตที่ท่องตำราอริยะปราชญ์เพื่อปลุกความกล้าอยู่บนเส้นทางภูเขาท่ามกลางม่านราตรี
ย่ำวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
ยิ่งใครคิดอยากจะแบ่งแยกขาวดำให้ชัดเจนเท่าไร ยิ่งคิดอยากจะแบ่งแยกถูกผิดให้ได้มากเท่าไร คนผู้นั้นก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น
โดยไม่ทันรู้ตัวเสียงระฆังยามเย็นก็ดังขึ้น เฉินผิงอันยังคงหลับตา เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ เจ้ากับเซียนเว่ยสามารถกลับไปที่เรือนหลังนั้นก่อนได้”
เสี่ยวโม่เอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไร พวกเรารอคุณชายได้”