กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 888.1 ชุนซาน
ฮ่องเต้ซ่งเหอพูดเข้าประเด็นทันทีที่พบหน้า แต่ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่มีท่าทีอยากพูดคุยด้วย รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าซ่งเหอไม่มีความคิดว่าจะกลับไปทั้งอย่างนี้ เหลือบตามองตะเกียบและชามบนโต๊ะสุราจึงขยับเก้าอี้ที่อยู่ข้างมือมาตัวหนึ่ง สับเปลี่ยนตำแหน่งเล็กน้อย เอนตัวไปหาเฉินผิงอัน ถามว่า “อาจารย์เฉิน พวกเรานั่งลงคุยกันดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า ขยับเก้าอี้ตามไปด้วย จากนั้นขยับชุดกว้าให้เข้าที่ พอนั่งลงแล้วก็ยกขาไขว่ห้าง
เผยให้เห็นรองเท้าผ้าพื้นหนาสีดำขาวตัดกันคู่หนึ่ง
ซ่งเหอเอ่ย “อาจารย์เฉินลองพิจารณาดูก่อน ข้าสามารถรอได้”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เป็นความคิดของไทเฮาหรือ?”
ซ่งเหอส่ายหน้า “เป็นความคิดของข้าเอง”
ซ่งเหอไม่รู้สึกว่าตัวเองเปิดปากขอร้องแล้วอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงยอมเป็นราชครูต้าหลีทันที
คนสามกลุ่ม โต๊ะกินเลี้ยงสามตัวต่างก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน
ฮ่องเต้กับเฉินผิงอันนั่งด้วยกันลำพังโต๊ะหนึ่ง แน่นอนว่าต้องคุยธุระเรื่องสำคัญ เวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็นั่งลงแล้ว
คนหนึ่งคือจักรพรรดิแห่งล่างภูเขา อีกคนหนึ่งคือเจ้าสำนักของบนภูเขา เป็นคนวัยเดียวกัน
คนทั้งสองไม่ได้นั่งตรงข้ามกัน แล้วก็ไม่ได้เห็นหน้าเข้าหาเศษซากอาหารบนโต๊ะด้วย
ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนยืนอยู่ข้างโต๊ะจัดเลี้ยงอีกตัวหนึ่ง
ออกมาจากวังคราวนี้ ฮ่องเต้ซ่งเหอย่อมสวมชุดสามัญชนปลอมกายออกมา นอกจากฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนแล้ว ข้างกายยังมีผู้ติดตามอีกสามคน หนึ่งคือขันทีเฒ่าฝ่ายซือหลี่เจียนที่แต่งกายเป็นเศรษฐีเฒ่า กับอีกคนหนึ่งเป็นผู้ถวายงานสกุลซ่งที่อยู่ในราชสำนักต้าหลีแต่ไม่ค่อยชอบเปิดเผยหน้าตาเท่าใดนัก เป็นคนเฝ้าสุสานของสุสานหลวงสกุลซ่ง ผู้ติดตามคนสุดท้าย เวลานี้อยู่บนถนนนอกบ้านตระกูลเปียน รับผิดชอบเฝ้ารถม้าคันนั้น
อวี๋เหมี่ยนมีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงฮองเฮา บวกกับที่เกือบร้อยปีที่ผ่านมานี้สกุลซ่งต้าหลีมีราชครูชุยฉานอยู่ จึงไม่เคยต้องกังวลเรื่องที่วังหลัง พระญาติฝ่ายภรรยาหรือขันทีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการปกครอง ดังนั้นอวี๋เหมี่ยนจึงถือว่าเคยได้เห็นผู้บรรลุมรรคาบนภูเขามาไม่น้อยแล้ว หล่อเหลาสง่างามเหมือนเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือ เซียนซือที่รูปโฉมอ่อนเยาว์เหมือนเด็กของศาลลมหิมะ เจ้าประมุขผู้เฒ่าสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่หนวดเครายาวสวย มองแล้วเหมือนเทพเซียน
นอกจากนี้ยังมีข้อยกเว้นที่นับนิ้วได้อีกไม่กี่ข้อที่ทำให้อวี๋เหมี่ยนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง ยกอย่างเช่นหร่วนฉงอริยะแห่งสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าหลีผู้นี้ พูดไม่ได้ว่าเขาไม่สนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวเสียเลย แต่ก็เป็นพวกที่เงียบขรึมพูดน้อย ทุกครั้งที่เข้าวังมาเข้าเฝ้า ช่างหร่วนแทบจะไม่ได้พูดอะไร ล้วนเป็นฮ่องเต้ที่ถามคำถาม และทุกครั้งคำตอบของช่างหร่วนก็ ‘กระชับเรียบง่าย’ อย่างมาก ราวกับ…รีบกลับไปตีเหล็กหลอมกระบี่ที่ภูเขาอย่างไรอย่างนั้น และยังมีถงเหวินช่างซานจวินแห่งขุนเขาตะวันตกที่ลักษณะเหมือนชาวนาในชนบท สวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ แล้วยังชอบเปลือยเท้าตลอดทั้งปี ไม่ต้องพูดถึงตอนยืนอยู่กับเว่ยป้อ ต่อให้แค่ยืนเคียงบ่าอยู่กับจิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลาง บอกตามตรงว่าต่อให้นางอวี๋เหมี่ยนไม่มองคนที่หน้าตามากแค่ไหนก็ยังอดรู้สึกจากใจจริงไม่ได้ว่าถงซานจวินผู้นั้นดูยากจนข้นแค้นอยู่มากจริงๆ
ตอนที่ถงซานจวินนั่งอยู่ตรงนั้น อวี๋เหมี่ยนยังอดกังวลไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะยกเท้าขึ้นมาแคะเมื่อไหร่
ส่วนเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แน่นอนว่าก็ทำให้อวี๋เหมี่ยนจดจำได้อย่างชัดเจนเหมือนกัน
อวี๋เหมี่ยนเป็นสตรีที่มีจิตใจละเอียดอ่อนอย่างมาก เมื่อครู่นางมองแวบเดียวก็เห็นรองเท้าผ้าที่ฝีเย็บประณีติคู่นั้นทันที
โต๊ะสุดท้ายแน่นอนว่าต้องเป็นของบ้านดองสองบ้านที่ชายหญิงของสองฝ่ายเพิ่งจะแต่งงานกันไปนั่นเอง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นตระกูลขุนนางของเมืองหลวงต้าหลี ตำแหน่งไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นขุนนางน้ำใสที่มาจากเส้นทางที่ถูกต้องอย่างการสอบ ทว่าทุกวันนี้คนที่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมประชุมเช้าในท้องพระโรงกลับมีแค่เปียนเหวินเม่าคนเดียวเท่านั้น
ทุกคนกลั้นหายใจทำสมาธิ ไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบกัน
เจ้าบ่าวเจ้าสาวตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ รู้สึกราวกับฝันไปอย่างไรอย่างนั้น
ในฐานะคนนอกเพียงคนเดียว หลินโส่วอีนั่งอยู่ข้างกายเพื่อนร่วมห้องอย่างสือเจียชุน
ก่อนหน้านี้ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนหันมายิ้มให้พวกเขา ยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองที บอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าให้นั่งลงได้
รอกระทั่งทุกคนนั่งลงหมดแล้ว เปียนเหวินเม่ากลับสังเกตเห็นว่าฮองเฮากลับยังยืนอยู่ เขาจึงอยากจะลุกขึ้นยืนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเพิ่งจะขยับก้นยกขึ้นก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไร จึงได้แต่นั่งกลับลงไปเงียบๆ แต่โดยดี
ซ่งเหอเปิดปากเอ่ยว่า “ข้ามีข้อสงสัยมาโดยตลอด อยากจะขอถามอาจารย์เฉินสักหน่อย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถามมาได้เลย”
ซ่งเหอถาม “ดูเหมือนว่าหลังจากอาจารย์เฉินประสบพบเจอเรื่องต่างๆ ของในปีนั้น ความรู้สึกที่มีต่อราชสำนักต้าหลีกลับไม่แย่?”
ยกตัวอย่างเช่นจากรายงานของสายลับต้าหลี ครั้งที่สองที่เฉินผิงอันเดินทางไกล ระหว่างทางต้องผ่านแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ได้กลายเป็นสหายต่างวัยกับซ่งอวี่เซาผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ที่มีทหารม้าหมื่นคนยกทัพมาประชิดชายแดน ในขบวนรบยิ่งใหญ่ เด็กหนุ่มที่ถือกระบี่ไม้ไหวอยู่ในมือเคยแนะนำตัวเองอย่างเปิดเผยว่า ‘เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่ที่นี่แล้ว!’
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือก็มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดใบหนึ่งโผล่มา เขาดื่มเหล้าหนึ่งอึก จากนั้นวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนหัวเข่าเบาๆ “ครั้งแรกที่ข้าออกเดินทางไกลก็คือการเดินทางไปเยือนสำนักศึกษาซานหยาที่อยู่ในอาณาเขตต้าสุยกับพวกหลินโส่วอี ออกจากชายแดนที่ด่านเหย่ฟู ตอนที่เข้าไปในแคว้นหวงถิงซึ่งตอนนั้นยังเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลเกาต้าสุย ระหว่างเส้นทางกลับบ้านเกิดก็ยังคงผ่านแคว้นหวงถิงเหมือนเดิม แต่เดินไปบนทางสะพานเลียบหน้าผา ข้ามชายแดนมาจากด่านรั้วล้อมวัว ตอนนั้นลมหิมะพัดแรงมาก ระหว่างทางได้เจอกับทหารลาดตระเวนของกองทัพชายแดนกองหนึ่ง มีทหารม้าคนหนึ่งควบม้าออกมา เป็นทหารม้าที่ยังหนุ่มมาก ตอนนั้นอย่างมากสุดก็น่าจะอายุแค่ยี่สิบต้นๆ กระมัง ปีนั้นข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดตอนที่ทหารม้าคนนั้นควบม้ามาถึง ถึงได้มีสีหน้าแววตาเด็ดเดี่ยวเหี้ยมหาญถึงเพียงนั้น ภายหลังข้าถึงเข้าใจ แรกเริ่มทหารม้ากองนี้เข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นสายลับของแคว้นศัตรู อีกทั้งยังอาจจะเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งด้วย ดังนั้นวิธีที่ถูกต้องที่สุดในเวลานั้นก็คือรีบแจ้งให้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้รับรู้ อีกทั้งการพบเจอกันบนทางแคบท่ามกลางลมหิมะครั้งนี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าทั้งสองฝ่ายอาจต้องตัดสินเป็นตายกันในเสี้ยววินาที รอกระทั่งข้าบอกสถานะออกไป แล้วมอบเอกสารผ่านด่านที่ที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียนมอบให้ พิสูจน์ได้ว่าสถานะไม่ผิดพลาดแล้ว ทหารที่นั่งอยู่บนหลังม้าคนนั้นก็ไม่ได้โยนเอกสารผ่านด่านกลับมาให้ข้า แต่พลิกตัวลงจากหลังม้า หลังจากยื่นเอกสารผ่านด่านให้แล้วยังยิ้มเอ่ยกับข้าประโยคหนึ่ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือสภาพอากาศย่ำแย่ ลมหิมะขวางทาง หากกังวลว่าจะเจอปัญหาก็สามารถไปพักค้างแรมที่ปล่องไฟส่งสัญญาณของพวกเขาก่อนได้ พวกเขามีอาหารให้กิน รอให้ลมหิมะเบาลงแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้ง”
นักเดินทางไกลคนหนึ่งที่เดินทางข้ามผ่านหมื่นภูเขาพันสายน้ำมานานแล้วเล่าเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนให้ฟังยาวเหยียด
ฮ่องเต้ซ่งเหอมีความอดทนอย่างมาก ฟังเข้าหูไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ว่าหลังจากฟังจบแล้วก็ยังอดเกิดความกังขาอยู่หลายส่วนไม่ได้
แค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้เองหรือ?
เฉินผิงอันถาม “ฝ่าบาทรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไป เลยรู้สึกไม่ค่อยกล้าเชื่อใช่หรือไม่?”
ซ่งเหอพยักหน้า “เป็นเช่นนี้จริง ข้ารู้สึกไม่ค่อยกล้าเชื่อสักเท่าไร”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องเล็กจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ถามเองตอบเอง “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก ในฐานะกองทัพม้าเหล็กต้าหลี เผชิญหน้ากับเซียนซือบนภูเขายังเหี้ยมหาญไม่กลัวตาย ทหารลาดตระเวนชายแดน เผชิญหน้ากับชาวบ้านต้าหลีก็มีความใส่ใจอย่างมาก”
นี่ทำให้เด็กหนุ่มจากอำเภอไหวหวงเขตหลงเฉวียนที่ตอนนั้นเพิ่งจะเรียนวิชาหมัดฝึกวรยุทธ ลูกศิษย์เตาเผามังกรตรอกหนีผิงที่ตอนไปเยือนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ยังกังวลว่ารองเท้าแตะของตนจะเหยียบให้พื้นหินเขียวเปรอะเปื้อน มีความทรงจำที่แจ่มชัดต่อ ‘ราชวงศ์ต้าหลี’ ที่พร่าเลือนเป็นครั้งแรก
เฉินผิงอันยกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เคาะลงบนหัวเข่าเบาๆ “ในความเห็นของข้า สิ่งที่ช่วยค้ำประคองผืนฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมาของไพศาลมีอยู่สามอย่าง แสงกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จิตใจของจอมยุทธผู้ผดุงความเป็นธรรมของอุตรกุรุทวีป กีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี”
คำพูดประเภทนี้ ต่อให้เป็นเรื่องจริง แต่หากเปลี่ยนมาเป็นคนนอกที่พูดก็ยังเห็นได้ชัดว่า…ไม่ถูกกาลเทศะ อีกทั้งยังอาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าพูดจาวางโตไม่รู้จักละอาย
แต่เมื่อหลุดออกมาจากปากของเฉินผิงอันกลับมีน้ำหนักอย่างยิ่ง ทั้งยังเหมาะสมอย่างถึงที่สุด
เมื่อก่อนบางทีไม่ว่าใครก็อาจรู้สึกว่าฉีจิ้งชุนเลือกเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่ไม่สะดุดตา รับลูกศิษย์แทนอาจารย์ เป็นการกระทำที่เหมือนเด็กเล่นเกินไปหรือไม่ ย่อมอดถามไม่ได้ว่าเพราะอะไร
แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่าฉีจิ้งชุนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้ช่วยรับลูกศิษย์ปิดสำนักที่จะมาสืบทอดควันธูปให้สายเหวินเซิ่งอย่างเฉินผิงอัน สายตาช่างดีเหลือเกิน
ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี จึงนำเหล้าหนึ่งกาและจอกเหล้าหนึ่งจอกมามอบให้ฮ่องเต้ซ่งเหอด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันยิ้มพลางผงกศีรษะให้นาง
ฮองเฮาจึงเบี่ยงกายยอบตัวคารวะ
สตรีที่อยู่ตรงหน้านี้อ่อนโยนมีเมตตา
ลูกสะใภ้สกุลซ่งที่ไทเฮาหนันจานไม่ค่อยชื่นชอบ ต้องเป็นฮองเฮาที่ไม่เลวของต้าหลีแน่นอน
อวี๋เหมี่ยนกลับไปที่โต๊ะสุราตัวก่อนหน้านี้
ซ่งเหอยิ้มเอ่ย “อวี๋เหมี่ยนรู้สึกมาโดยตลอดว่าอาจารย์เฉินคือวิญญูชนผู้เป็นสุภาพบุรุษที่ฝึกอบรมตัวเองได้ดีทั้งภายในและภายนอก”
เฉินผิงอันเกือบเข้าใจผิดคิดว่าฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าถูกเสี่ยวโม่สิงร่างแล้ว เขาถามว่า “ทำไมถึงคิดเช่นนี้?”
ซ่งเหอกล่าว “หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่วมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่งตั้งน้ำและน้ำชาเอาไว้ให้คนที่ผ่านทางมาได้ดื่ม”
เฉินผิงอันยิ้มรับ เมื่อครู่ข้าพูดถึงเรื่องเล็กน้อยไป ฮ่องเต้อย่างเจ้าก็เอาอย่างบ้างหรือ? หากเป็นเช่นนี้จริงก็คงไม่ได้ดีไปกว่าเคล็ดลับการหลอกเอาเงินของเซียนเว่ยสักเท่าไรหรอกนะ
“อีกทั้งพวกพรานป่าในพื้นที่ของอำเภอไหวหวง ช่างเตาเผาที่เข้าป่าเป็นประจำต่างก็กล้านั่งลงดื่มชา”
ซ่งเหอเอ่ยต่ออีกว่า “หากใช้คำพูดของอวี๋เหมี่ยนก็คือมองเห็นใหญ่ในเล็ก สามารถเห็นคำสั่งสอนประจำตระกูล และขนบธรรมเนียมประจำภูเขาลั่วพั่วของอาจารย์เฉินจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ครอบครัวร่ำรวยมักจะมีญาติยากจนไปมาหาสู่เป็นประจำ หากไม่เคยต้องกลับไปมือเปล่า ก็คือตระกูลที่มีคุณธรรมน้ำใจ เดินผ่านตระกูลประตูสูง ชาวบ้านไม่เดินหนีหรือจงใจเดินผ่านเร็วๆ เหมือนหลบเลี่ยงเภทภัย ก็คือตระกูลที่สั่งสมคุณความดี”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้า “ฝ่าบาทมีภรรยาผู้เพียบพร้อมฉลาดเฉลียวคอยช่วยเหลือแล้ว”
สือเจียชุนยืดคอยาวมาเหลือบตามองเฉินผิงอัน
เพียงแค่ลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงอีกครั้งก็ราวกับว่าเฉินผิงอันผู้นั้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ปักปิ่นหยกขาวบนศีรษะ สวมชุดกว้าสีเขียวตัวยาว สวมรองเท้าผ้าหนึ่งคู่
รอยยิ้มบนใบหน้าสงบนิ่งอ่อนจาง บุคลิกประหนึ่งผู้หลุดพ้นจากโลกีย์ คงเป็นเพราะฝึกบำเพ็ญตนอยู่ในตระกูลเซียนบนภูเขามานานกระมัง?
สรุปก็คือไม่ใช่เด็กหนุ่มรองเท้าสานที่ผิวดำเกรียม ดวงตาสว่างไสวในอดีตคนนั้นอีกแล้ว
สือเจียชุนถอนสายตากลับมามองสามีของตน แล้วจึงมองไปยังหลินโส่วอี
เปียนเหวินเม่าสามีของนางคือบุรุษที่เส้นผมตรงจอนหูสองข้างเริ่มเป็นสีดอกเลาแล้ว
หลินโส่วอีที่อายุพอๆ กันกลับยังมีรูปโฉมเหมือนตอนอายุยี่สิบ
ความเข้าใจที่เปียนเหวินเม่ามีต่อหลินโส่วอี ภรรยาแค่เล่าว่าหลินตอไม้คือคนหน้าตายแต่ใจอ่อน เมื่อก่อนบิดาของเขาเป็นขุนนางเล็กๆ อยู่ในที่ว่าการงานเตาเผาของบ้านเกิด ภายหลังก็เข้ามาอยู่ในเมืองหลวง ทำหน้าที่เป็นขุนนางตัวเล็กๆ ในที่ว่าการน้ำใสบางแห่งที่หน้าประตูกางตาข่ายดักจับนกได้ หากไปอยู่ในท้องถิ่นอาจถือว่ามีหน้ามีตามากแล้ว แต่เมื่ออยู่ในตรอกหนันซวินที่มีขุนนางเดินสวนกันขวักไขว่กลับไม่พอจะเป็นหน้าเป็นตาอะไรได้เลย
หลินโส่วอีเอ่ยสัพยอกเสียงเบาว่า “จำเก้าอี้ตัวที่ฮ่องเต้ประทับให้ดี หลังจากนี้ก็เอาไปเก็บรักษาไว้ สามารถเอามาทำเป็นสมบัติสืบทอดประจำตระกูลได้”
สือเจียชุนถลึงตาใส่ เดิมยังอยากเถียงสักสองสามคำ ผลคือถูกเปียนเหวินเม่ายื่นมือมารั้งแขนของนางไว้แน่นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก สือเจียชุนยื่นนิ้วมาวางไว้บนปาก บอกเตือนหลินโส่วอีว่าอย่าส่งเสียง
หลินโส่วอีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ส่งสายตาขออภัยไปให้เปียนเหวินเม่าที่เหงื่อแตกท่วมศีรษะ เปียนเหวินเม่าตอบกลับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน เขาตื่นเต้นมากจริงๆ
อวี๋เหมี่ยนมองไปยังหลินโส่วอีที่เคยรับหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลลำน้ำฉีตู้ ผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อายุสี่สิบกว่าปี
ต้องรู้ว่าผู้อาวุโสไท่ซ่างของตำหนักฉางชุนเพิ่งจะมีขอบเขตเป็นแค่ก่อกำเนิดเท่านั้น
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าหลี หร่วนฉงอริยะสำนักการทหารก็เพิ่งจะเป็นขอบเขตหยกดิบ
ทางทิศใต้มีแคว้นเล็กใต้อาณัติอยู่มากมาย เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งก็สามารถรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหรือแม้กระทั่งราชครูได้แล้ว
อันที่จริงฮ่องเต้โปรดปรานคนผู้นี้อย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าตั้งใจให้หลินโส่วอีรับหน้าที่ดูแลกองชิงลี่ฝ่ายบวงสรวงของกรมพิธีการด้วย ฝึกประสบการณ์อยู่ในวงการขุนนางเมืองหลวงสักเจ็ดแปดปีก็สามารถแหกกฎเลื่อนขั้นเป็นรองเจ้ากรมพิธีการได้แล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะคนรุ่นเยาว์ของถ้ำสวรรค์หลีจูประหนึ่งกลุ่มดวงดาวพร่างพรายที่ส่องแสงสว่างโชติช่วงมากเกินไป
ถึงได้ทำให้หลินโส่วอีดูไม่สะดุดตาเพียงนั้น
เพราะมีเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว มีหลิวเสี้ยนหยางเซียนกระบี่ที่เคยไปศึกษาต่อกับสกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปสิบปี และยังมีหม่าขู่เสวียนที่สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คนในภูเขาเจินอู่ รวมไปถึงจ้าวเหยาแห่งกรมอาญาต้าหลีที่เคยไปเยือนใต้หล้าห้าสี และยิ่งมีกู้ช่าน ‘คนวิกลจริต’ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจิ้งจวีแห่งนครจักรพรรดิขาวด้วย…
ดูเหมือนว่าได้มองข้ามหลินโส่วอีที่วนเวียนอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ไป ไม่มีอาจารย์ผู้สืบทอดบนภูเขาที่สูงส่งเกินจะปีนป่าย ไม่มีการประลองเวทบนภูเขาที่ทำให้คนตะลึงลาน แค่ตั้งใจศึกษาหาความรู้ปีแล้วปีเล่า ฝึกตนของตัวเองไปเงียบๆ เป็นเหตุให้คำว่า ‘ชื่อเสียงเลื่องลือไปสองเมืองหลวง’ ของหลินโส่วอีถูกประเมินไว้ต่ำมากกว่าที่เป็น เนื่องจากบนภูเขาและล่างภูเขาในทุกวันนี้เพียงแค่มองหลินโส่วอีเป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นการถูกคำทำนาย ‘ก่อกำเนิดร้อยปี’ ของหยวนเทียนเฟิงแห่งกองโหราศาสตร์เมืองหลวงต้าหลีทำให้เข้าใจผิดเสียแล้ว
สือเจียชุนสงสัยใคร่รู้จริงๆ นางจึงเอนตัวมา เอามือป้องปาก กดเสียงต่ำถามหลินโส่วอีเบาๆ “ฝ่าบาทคุยอะไรกับเฉินผิงอันอยู่หรือ?”
หลินโส่วอีกล่าว “ข้าก็ไม่ได้ยินเหมือนกัน”
คนเฝ้าสุสานที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ในสุสานหลวงของต้าหลีได้ร่ายตราผนึกสกัดกั้นฟ้าดินเอาไว้ชั้นหนึ่ง
สือเจียชุนอ้าปางค้าง “เฉินผิงอันใจกล้าจริงๆ อยู่กับฮ่องเต้ก็ยังทำตัวผ่อนคลายเช่นนี้ แบบนี้เรียกว่าสนทนากันอย่างครื้นเครงได้หรือไม่?”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หากไม่ใจกล้าก็เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้
อีกอย่างหากปีนั้นเฉินผิงอันขี้ขลาด จะกล้าชอบหนิงเหยาอย่างนั้นหรือ?
สือเจียชุนรู้สึกลังเลเล็กน้อย
หลินโส่วอีกลับใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ไม่ว่าจะเจรจากันสำเร็จหรือไม่ สำหรับพวกเจ้าแล้วถือเป็นเรื่องดี เฉินผิงอันทำอะไรมั่นคงมาโดยตลอดอยู่แล้ว”
ด้วยนิสัยของเฉินผิงอัน หากซ่งเหอกล้าพานโกรธมายังตระกูลเปียน ผลลัพธ์มีแต่จะยิ่งหนักหนากว่าการฉีกหน้าแตกหักกับเฉินผิงอันต่อหน้า วันหน้าวิ่งไปรื้อโต๊ะในวังหลวงก็ยังมีความเป็นไปได้
แต่เชื่อว่าด้วยความใจกว้างของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน คงไม่ได้ใจแคบเป็นไส้ไก่ขนาดนั้น
ตอนนี้หลินโส่วอียังไม่รู้ว่า อันที่จริงเฉินผิงอันได้คว่ำโต๊ะใส่ไทเฮาหนันจานไปเรียบร้อยแล้ว
สือเจียชุนพยักหน้า ไม่ว่าจะเป็นหลินโส่วอีที่เป็นสหายร่วมห้องเรียนในโรงเรียนที่บ้านเกิดมานานหลายปีตรงหน้านี้ หรือจะเป็นเฉินผิงอันที่ภายหลังเป็นอาจารย์อาน้อยของหลี่เป่าผิง นางก็รู้สึกว่าคู่ควรให้เชื่อใจทั้งสิ้น
นี่เป็นลางสังหรณ์อย่างหนึ่งของผู้หญิง