กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 888.3 ชุนซาน
เงินใส่ซองของเฉินผิงอันในวันนี้คือเงินร้อนน้อยสองเหรียญ หากหักลบตามราคาตลาดของบนภูเขาก็เท่ากับเงินขาวสองล้านตำลึงเงิน บางทีอาจมีส่วนต่างเพิ่มมาอีกหนึ่งถึงสองหมื่นตำลึงเงินได้เลยด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันเอาเงินฝนธัญพืชสองเหรียญออกมาไม่ได้ เพียงแต่ว่าไม่เหมาะสม
เปียนเหวินเม่ารีบยิ้มเอ่ย “หลายปีมานี้ได้ยินสือเจียชุนพูดถึงอาจารย์เฉินให้ฟังบ่อยๆ วันนี้ได้พบเจอกันก็ช่างสมคำเล่าลือจริงๆ”
ทุกวันนี้เปียนเหวินเม่ารับหน้าที่อยู่ในศาลกวงลู่ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้ามนตรีเล็ก ทำหน้าที่เป็นซื่อเฉิงกวงลู่ ตำแหน่งขุนนางไม่ใหญ่ แต่เป็นผู้ดูแลกิจธุระต่างๆ ในมือจึงได้กุมอำนาจที่แท้จริง
ในอดีตเปียนเหวินเม่าสอบได้จิ้นซื่อระดับสอง หลังออกไปจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ถูกโยกย้ายอยู่ในที่ว่าการเมืองหลวงหลายแห่ง ไปที่กั๋วจื่อเจียน รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอนก่อน จากนั้นก็ไต่ระดับเลื่อนขั้นไปเรื่อยๆ เป็นนายทะเบียน เป็นผู้สอนหลัก ก่อนจะเข้ามาอยู่ในศาลกวงลู่ยังเคยเป็นเฟิ่งหลี่หลางของศาลไท่ฉาง การเลื่อนขั้นในวงการของเปียนเหวินเม่าไม่เร็ว แต่ก็ถือว่ามั่นคง ปัญหาเดียวก็คือไม่เคยรับหน้าที่ในที่ว่าการของหกกรม ชั่วชีวิตนี้เป็นเส้าชิงของศาลกวงลู่ เปียนเหวินเม่ายังมีความมั่นใจ แต่หากจะบอกว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้ดูแลหลักของศาลกวงลู่ เขาไม่กล้าเพ้อฝันเลย
เวลาที่หลี่ไหวพูดถึงเปียนเหวินเม่าให้เฉินผิงอันฟัง ก็คือนายท่านขุนนางเมืองหลวงที่ตาแปะอยู่บนหน้าผาก ค่อนข้างจะดูแคลนคนบ้านนอกที่มาจากเมืองเล็กอย่างพวกเขา เจอใครก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่ก็ถือว่าดีต่อสือเจียชุนไม่น้อย
สือเจียชุนยิ้มกว้างสดใส แอบยื่นมือข้างหนึ่งออกมาโบกเบาๆ บอกเป็นนัยกับเฉินผิงอันว่าไม่มีเรื่องแบบนี้สักหน่อย แค่คำพูดเกรงใจจากสามีตน เจ้าแค่ฟังแล้วปล่อยผ่านไปก็พอแล้ว
เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีออกมาจากตระกูลเปียนแล้ว หลินโส่วอีก็ถามว่า “จะไปนั่งที่บ้านข้าสักหน่อยไหม? ท่านพ่อข้าก็ถือว่ามีชาติกำเนิดมาจากช่างเตาเผา แถมเจ้ายังเข้ากับพวกผู้ใหญ่ได้ดี คงมีเรื่องให้คุยกับเจ้าไม่น้อย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “โส่วอีอ่า อายุก็เยอะแล้วนะ อย่าเห็นว่าท่านพ่อเจ้าไม่เคยยิ้มให้เจ้าเห็น ขอแค่เจ้าแต่งงาน ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะลูกชายหรือลูกสาว ญาติที่ห่างกันรุ่นหนึ่งมักจะสนิทสนมกันเสมอ เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลให้อธิบาย รับรองว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของท่านพ่อเจ้าในหนึ่งวันต้องมากกว่าที่ยิ้มให้เจ้าตลอดทั้งปีแน่นอน หากเจ้าไม่เชื่อ พวกเราสองคนก็มาเดิมพันกันดู เดิมพันเล็กน้อยแค่ให้พอสนุก เอาเป็นเงินร้อนน้อยสองเหรียญก็แล้วกัน”
หลินโส่วอียิ้มบางๆ ริมฝีปากขยับเบาๆ คำพูดที่ไร้เสียงเหนือกว่าคำพูดที่มีเสียง มอบคำว่าไสหัวไปให้เฉินผิงอันแค่คำเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เป็นฉากสายฟ้าที่อาจารย์ฉีอนุมานออกมา มีความคล้ายคลึงกับของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์อยู่บ้าง ภายใต้โอกาสที่เอื้ออำนวย ข้าจึงพอจะเรียนเป็นอย่างผิวเผิน จึงรวบรวมขึ้นเป็นตำรา เจ้าคุณสมบัติดี เปิดอ่านแล้วก็ลองดูว่าจะพัฒนาไปได้อีกขั้นหรือไม่”
หลินโส่วอีเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุนว่า “มอบของขวัญให้ก็คือมอบของขวัญให้สิ อย่าพูดเหมือนเป็นคนรับของขวัญ”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ยังจะมีหน้ามาว่าข้า? เจ้าที่เป็นคนรับของขวัญกลับทำตัวเหมือนคนมอบของขวัญอย่างไรอย่างนั้น”
หลินโส่วอีถาม “จะกลับแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เดี๋ยวก็จะออกจากเมืองหลวงแล้ว ถ้าไม่ใช่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้ จากนั้นยังต้องเดินทางไปที่ใบถงทวีปต่อทันที งานพิธีเฉลิมฉลองของสำนักเบื้องล่างยังไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่ชัด แต่น่าจะประมาณปลายฤดูหนาวของปีนี้หรือไม่ก็ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า เอาเป็นว่าถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็แวะไปแล้วกัน แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร”
หลินโส่วอีกล่าว “หากข้าไปที่ใบถงทวีปไม่ได้ เจ้าก็ให้ต่งสุ่ยจิ่งเพิ่มเงินใส่ซองในส่วนของข้าไปด้วยแล้วกัน ถึงอย่างไรในกระเป๋าเขาก็มีเงินเยอะ มีภูเขาเงินภูเขาทองที่หลายชั่วชีวิตก็ใช้ไม่หมด เจ้าตะพาบที่ในดวงตามีแต่เงินผู้นี้ชอบทำตัวเป็นเศรษฐีบ้านนอก นอกจากก้มหน้าก้มตาหาเงินแล้วก็ไม่มีความสามารถอย่างอื่น สมควรแล้วที่เป็นชายโสด…”
เฉินผิงอันกลั้นขำ
หลิวโส่วอีเจ้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ
เพียงแต่ว่าพอเป็นต่งสุ่ยจิ่งกลับต่างออกไป เหตุผลก็เรียบง่ายมาก อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนสองคน ตอนที่เป็นเด็กหนุ่มต่างก็มีหลี่หลิ่วอยู่ในใจ จึงมองกันและกันเป็นศัตรูความรัก ผลคือท้ายที่สุดทั้งสองคนต่างก็มีจุดจบที่หมดสิ้นซึ่งความหวัง ตอนที่หลี่หลิ่วยังไม่แต่งงาน คนทั้งสองเกลียดขี้หน้ากัน แต่พอหลี่หลิ่วแต่งงานกับคนต่างถิ่นคนหนึ่ง ทุกวันนี้หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่ง ทุกครั้งที่กลับมาพบเจอกัน สายตาที่มองอีกฝ่ายกลับเป็นความขัดหูขัดตาอีกอย่างหนึ่ง ราวกับว่าบนหน้าผากของคนทั้งสองต่างก็แปะกระดาษเขียนอักษรตัวใหญ่สองคำว่า เศษสวะ…
หลินโส่วอีกำลังจะเอ่ยขอตัวลาไปก็ประสานสายตากับเฉินผิงอันแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจบอกกับเสี่ยวโม่ให้พาเซียนเว่ยติดตามตนไปเยือนสำนักศึกษาชุนซานด้วยกัน
บนรถม้า อวี๋เหมี่ยนถาม “อาจารย์เฉินว่าอย่างไรบ้าง?”
ฮ่องเต้ซ่งเหอนวดคลึงหว่างคิ้ว “เขาบอกว่าคราวหน้าที่ผ่านทางมายังเมืองหลวงจะให้คำตอบที่แน่ชัดอีกที”
อวี๋เหมี่ยนยื่นสองนิ้วมาคีบชายแขนเสื้อของฮ่องเต้ ยิ้มจนตาหยี พูดจาออดอ้อน “ห้ามโกรธนะ”
ซ่งเหอหลุดหัวเราะพรืด พลิกมือกลับมาเป็นฝ่ายกุมมือนางแทน
เพียงอิจฉายวนยาง ไม่อิจฉาเทพเซียน
อวี๋เหมี่ยนคลี่ยิ้มหวานเหมือนยามปกติ ค้อมตัวลงเอาใบหน้าแนบกับหลังมือของฮ่องเต้
นางเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ว่าในฝ่ามือของฮ่องเต้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่นางมอบเหล้าและจอกเหล้าไปให้ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้พูดคุยกันอย่างผ่อนคลายนัก
สำนักศึกษาชุนซาน
ซิ่วไฉเฒ่ารอคอยเฉินผิงอันผู้เป็นลูกศิษย์และลูกศิษย์ของลูกศิษย์อย่างหลินโส่วอีอยู่ที่นี่
หลินโส่วอีดีมากเลยนะ เพียงแต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นชายโสดอยู่ แบบนี้กลับไม่ค่อยประเสริฐแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ามีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อสำนักศึกษาแห่งนี้ คราวก่อนอยู่ที่นี่เขาก็เพิ่งนับญาติกับหลานชายที่เป็นญาติห่างๆ นามว่าโจวเจียกู่โดยไม่ต้องเสียเงินไม่ใช่หรือ
ซิ่วไฉเฒ่ายืนรออยู่ที่หน้าประตูสำนักศึกษาชุนซาน
อีกเดี๋ยวเขาก็จะต้องกลับไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้ว
ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองกรอบป้ายของสำนักศึกษา
ชุนซาน
ตัวอักษรเขียนได้ดี ชื่อก็ตั้งได้ดี
ชุนเดียวกับฉีจิ้งชุน ซานเดียวกับชุยตงซาน
เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีปรากฏกายแล้วต่างคนก็ต่างประสานมือคารวะ
ซิ่วไฉเฒ่าหันตัวกลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “ผิงอัน โส่วอี พวกเจ้าลองว่ามาสิว่าชอบความรู้บทไหนของข้ามากที่สุด?”
คำตอบของเฉินผิงอันคือบทเชวี่ยนเซวี๋ย (แนะนำสนับสนุนให้คนเรียนรู้)
ส่วนคำตอบของหลินโส่วอีคือบทเทียนลุ่น (ถกเรื่องฟ้า ทฤษฎีสวรรค์)
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ดีมากทั้งคู่”
คนทั้งสามเดินเข้าไปในสำนักศึกษาด้วยกัน ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้าว่า “วิญญูชนกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้มิอาจหยุดนิ่ง เข้าใจความต่างระหว่างธรรมชาติและเรื่องราวผู้คนอย่างชัดเจน จึงจะเรียกว่าเป็นยอดฝีมือ”
“กลุ่มดาวหมุนวน ตะวันจันทราส่องแสง สี่ฤดูกาลผันผ่าน หยินหยางแปรเปลี่ยน ลมฝนพัดโปรย ฟ้าเห็นความสว่าง ดินเห็นแสงกระจ่าง วิญญูชนล้ำค่าตรงที่รักษาคุณธรรม ประพฤติตนอย่างสำรวม”
“ฟ้าดินแปรเปลี่ยน หยินหยางจำแลง หากเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเรื่องประหลาดบังเกิด มิต้องหวั่นกลัว วิญญูชนตั้งถิ่นฐานต้องเลือกสภาพแวดล้อมที่ดีงาม ออกนอกบ้านเดินทางไกล ต้องเลือกคบหาสหายที่ดี”
“โส่วอี เกี่ยวกับบทเทียนลุ่น มีจุดไหนที่ไม่เข้าใจหรือไม่?”
“มีอยู่สองสามจุดขอรับ”
“ดี อ่านตำราไร้คำถามก็เท่ากับว่าดื่มเหล้ากินกับแกล้มจนล้นกระเพาะ พวกเราเดินไปคุยกันไป เจ้าถามข้าตอบ”
“ใช่แล้ว โส่วอี วันหน้าหากเจอปัญหายากๆ ที่คล้ายคลึงกันนี้ก็สามารถส่งจดหมายไปที่สวนกงเต๋อได้ ส่วนเรื่องของการฝึกตน หากเจอด่านที่เป็นปมของปัญหา ในด้านการฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ เจ้าก็สามารถสอบถามจิงเซิงซีผิงได้โดยตรง เรื่องมรรคกถา ข้าสามารถถามฝูลู่อวี๋เสวียนกับจ้าวเทียนซือให้เจ้าได้ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ทั้งสองท่านต่างก็ไม่ค่อยว่าง อาจต้องรอนานหน่อยกว่าจะตอบกลับจดหมายของเจ้า แต่หากเจอปัญหาที่ยากยิ่งกว่านั้น…”
เฉินผิงอันยิ้มพูดต่อประโยคว่า “หากเป็นเรื่องเงินก็ให้มาหาข้า รับรองว่าไม่เก็บดอกเบี้ย มีเงินเมื่อไหร่ค่อยคืนเมื่อนั้น ข้าไม่มีทางทวงแน่นอน”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มอย่างชอบใจ
ดูสิดู ฟังสิฟัง
อะไรที่เรียกว่าลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ
หลินโส่วอียื่นมือข้างหนึ่งออกมา “เอามา”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “อะไร?”
หลินโส่วอีกล่าว “จะฝ่าคอขวดก่อกำเนิด ข้าต้องใช้วัตถุดิบวิเศษนอกกายสองสามชิ้น ลองคำนวณดูแล้วเป็นเงินประมาณร้อยเหรียญฝนธัญพืช กำลังกลุ้มอยู่ทีเดียว ข้าเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ เดิมทีก็เพื่อมาหาเงินนี่แหละ”
เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้ามองอาจารย์ของตน
ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมหนึ่งที สายตามองตรงไปข้างหน้า ทัศนียภาพของสำนักศึกษาชุนซานช่างงดงามจริงๆ
เฉินผิงอันปัดมือหลินโส่วอีทิ้ง “รออีกสักสองสามวัน รอให้ข้ากลับภูเขาลั่วพั่วก่อนแล้วจะไปขอเงินจากเหวยเหวินหลงที่ห้องบัญชีมาให้ รับรองว่าไม่ถ่วงรั้งธุระสำคัญของเจ้าแน่นอน”
หลินโส่วอีเก็บมือมา ยิ้มถาม “เป็นถึงเจ้าขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่มีเงินเก็บส่วนตัวบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผลชอบธรรม “บุรุษต้องมีเงินเก็บส่วนตัวที่ไหนกัน”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสายเหวินเซิ่งของตนถึงมีเพียงลูกศิษย์คนสุดท้ายที่หาภรรยาได้
ความตระหนักรู้ในส่วนนี้ต้องมีอย่างมากเลยจริงๆ
หลินโส่วอีถามคำถามด้านการศึกษาเล่าเรียนที่ตัวเองสงสัยไปสองสามข้อ แม้ว่าคำถามจะไม่มาก แต่ซิ่วไฉเฒ่าที่หากอิงตามลำดับอาวุโสแล้วก็คืออาจารย์ปู่ของเขากลับอธิบายอย่างละเอียด ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม จากนั้นหลินโส่วอีก็ขอตัวลาออกไปจากสำนักศึกษา บอกว่าจะกลับบ้านสักรอบหนึ่ง
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ย “โส่วอี ในอนาคตก่อนจะปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขต หากต้องการผู้ปกป้องมรรคาต้องบอกข้าสักคำ ขอแค่ตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ทวีปอื่น ข้าจะเป็นคนเฝ้าด่านให้เจ้าเอง ตกลงไหม?”
หลินโส่วอีเอ่ยหยอกล้ออย่างที่หาได้ยาก “ข้าจะต้องเกรงใจอาจารย์อาน้อยไปไย ตกลงกันตามนี้แหละ”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “เรื่องไหนก็ส่วนเรื่องนั้นนะ วันหน้ารอให้เจ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน เงินทุนหนึ่งร้อยฝนธัญพืช คงต้องใช้คืนกระมัง? ข้าจะยอมแหกกฎลดให้เจ้าแปดส่วน คืนแปดสิบเหรียญก็ยังดี”
หลินโส่วอีเพียงยิ้มรับไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะหมดหวังแล้ว
ย้อนกลับไปที่ประตูภูเขากันอีกครั้ง หลินโส่วอีก็ทะยานลมกลับไปยังเมืองหลวง
ระหว่างนี้เจอกับคนหนุ่มสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวกับนักพรตหนุ่มที่เหลียวซ้ายแลขวามองไปทั่วด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่หยุด
ซิ่วไฉเฒ่าหยิบถุงผ้าแพรใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรับถุงผ้าแพรมาด้วยความมึนงง พอเปิดออกดูก็ต้องตกตะลึงอย่างหนัก ด้านในถึงกับเป็นเชือกหลากสีของเฟิงอี๋เส้นนั้น
หลอมมาจากเส้นชีพจรชะตาชีวิตของเทพบุปผาในพื้นที่มงคลร้อยบุปผา
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ความแค้นพึงละมิพึงผูก ผู้อาวุโสเฟิงอี๋ให้เจ้านำไปมอบให้กับเหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวก็คือต้องให้เทพีบุปผาทั้งสิบสองเดือนของพื้นที่มงคลมาขออภัยนางที่นี่ด้วยความจริงใจ”
“ความหมายของเฟิงอี๋ก็คือ ของสิ่งนี้ล้ำค่าหายาก ถึงเวลานั้นเจ้ามิอาจไปเยือนเสียเที่ยวได้ ต้องขอตำแหน่งเค่อชิงไท่ซ่างมาจากพื้นที่มงคล หากพวกเขาไม่ยอมให้ เจ้าก็ไม่ต้องมอบของสิ่งนี้ออกไป”
พื้นที่มงคลร้อยบุปผามีเทพีแห่งบุปผาอยู่มากมาย สถานะของเทพีบุปผาสิบสองเดือนสูงที่สุด และในบรรดานี้ก็มีเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลเป็นผู้นำ ลำดับต่อมาจึงจะเป็นเทพีบุปผาเจ้าแห่งชะตาสี่ท่านที่มีหน้าที่ดูแลการเบ่งบานของบุปผาสี่ฤดูกาล จากนั้นจึงจะเป็นเหนียงเนียงเทพีบุปผาเจ็ดท่านที่ดูแลบุปผาประจำเดือนตามปฏิทินจันทรคติ
เหนียงเนียงเทพีบุปผาสิบสองเดือน ทุกท่านต่างก็มีเค่อชิงแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง ตำแหน่งนี้ไม่อาจปล่อยว่างได้ นอกจากนี้ยังมีไท่ซ่างเค่อชิงที่ตำแหน่งสูงยิ่งกว่าด้วย แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นความปรารถนาเพียงฝ่ายเดียวของพวกเหนียงเนียงเทพีบุปผา ยกตัวอย่างเช่นป๋ายเหย่ก็คือไท่ซ่างเค่อชิงของดอกโบตั๋น แต่ป๋ายเหย่กลับไม่คิดจะไปเป็นแขกเยี่ยมเยือนพื้นที่มงคลร้อยบุปผาเพราะเหตุนี้
ส่วนไท่ซ่างเค่อชิงของตลอดทั้งพื้นที่มงคลร้อยบุปผา หลังจากหายนะที่ ‘ลมพัดกระโชกแรง เสียงกัมปนาทดังคำรณ ร้อยบุปผาร่วงโรย’ ครั้งนั้นชะล้างผ่านไป ตำแหน่งนี้ก็ถูกปล่อยว่างมานานหลายพันปีแล้ว
ที่รออยู่ก็คือใครสักคนที่สามารถนำเชือกหลากสีเส้นนี้กลับมาจากมือของ ‘นังไพร่ตระกูลเฟิง’ ได้
เฉินผิงอันเอ่ย “อาจารย์ ผู้อาวุโสเฟิงอี๋พูดจาอย่างไร ข้าพอจะรู้อยู่บ้าง สามารถช่วยนำของไปมอบให้และนำความไปบอกต่อได้ แต่ไท่ซ่างเค่อชิงของพื้นที่มงคลแห่งนี้ ต่อให้พื้นที่มงคลร้อยบุปผาเป็นฝ่ายเสนอให้ข้าเอง ข้าก็ไม่มีทางต้องการ”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะหึหึ ยังไม่เอ่ยโน้มน้าวอะไร “หากเจรจาไม่สำเร็จ เทพีบุปผาของพื้นที่มงคลไม่ยินดีมายอมรับผิดที่นี่ เจ้าก็ต้องตอบตกลงกับเฟิงอี๋เรื่องหนึ่ง นั่นคือปกป้องโจรเด็ดบุปผาบนภูเขาไม่ให้ถูกคนฆ่าล้างจนสิ้นซาก”
เดี๋ยวกลับไปตนจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผา ถ่ายทอดแผนการอันแยบยลให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นให้พวกนางรับเชือกหลากสีไว้ก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนใจ บอกว่าหากอาจารย์เฉินไม่ตอบตกลงเป็นไท่ซ่างเค่อชิง ก็จะไม่ไปขอโทษเฟิงอี๋ที่แจกันสมบัติทวีปแล้ว
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงอาเหลียงกับเจ้าทึ่มจั่วมากเกินไป”
“เพราะเจ้าเด็กหลี่ไหวนั่น ตอนที่ออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกกับนักพรตเนิ่นได้เอ่ยประโยคที่ไร้เจตนามาประโยคหนึ่ง บอกว่า ‘พี่น้องอาเหลียงของข้าไม่ได้มีชะตาชีวิตเป็นชายโสด ส่วนอาจารย์ลุงจั่วที่เวทกระบี่ไร้เทียมทานผู้นั้น วันหน้ายังต้องมาสอนสุดยอดเวทกระบี่ให้ข้าอีกหลายๆ บท’”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “อาจารย์ แบบนี้ก็ได้หรือขอรับ?”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “คอยดูกันไปเถอะ”
เฉินผิงอันพอจะโล่งใจได้บ้างแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ากลับไป โบกมือตะโกนเรียกเสียงดัง “เสี่ยวโม่ๆ ทางนี้ๆ”
เสี่ยวโม่ได้ยินแล้วก็บอกให้เซียนเว่ยไปเดินเล่นเองก่อน ส่วนตัวเองมาหาอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเพียงลำพัง
ไม่รู้ว่าเหตุใด เห็นเหวินเซิ่งที่อันที่จริงอายุไม่มากผู้นี้ เสี่ยวโม่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้อยู่ร่วมกับผู้อาวุโสในบ้านคนหนึ่ง
คงเป็นเพราะเหวินเซิ่งมีความรู้สูง ทั้งยังดูแก่?
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “พี่เสี่ยวโม่ อีกเดี๋ยวข้าต้องกลับศาลบุ๋นแล้ว ดังนั้นลูกศิษย์คนสุดท้ายคนนี้ก็ต้องมอบให้เจ้าดูแลแล้วล่ะนะ”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “อาจารย์เหวินเซิ่ง ข้าไม่กล้ารับรองว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันแน่นอน แต่กล้ารับประกันว่าหากมีหนึ่งในหมื่นอะไรเกิดขึ้น เสี่ยวโม่จะต้องยืนอยู่ข้างกายคุณชายและออกกระบี่ไม่ช้าเป็นแน่”
“ประเสริฐ! คำพูดประโยคนี้พูดได้เผด็จการนัก!”
ซิ่วไฉเฒ่าได้ยินประโยคนี้แล้วก็ยิ้มหน้าบาน ยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “ไม่เสียแรงที่เป็นพี่เสี่ยวโม่ที่ข้าแค่พบเจอก็เหมือนรู้จักมานาน วันหน้าจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับป๋ายเหย่ นักพรตซุน แล้วก็จ้าวเทียนซือ พวกเขาล้วนเป็นสหายรักของข้า ช่วยไม่ได้ ข้าคนนี้มีสหายไม่มาก คนที่เวทกระบี่ไม่เลวก็มีแค่คนเหล่านี้แล้ว”
เสี่ยวโม่คารวะขอบคุณ
ซิ่วไฉเฒ่ารีบรั้งแขนของเสี่ยวโม่เอาไว้ “ข้ากลับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางครั้งนี้จะไปบอกกับพวกตาแก่คร่ำครึของศาลบุ๋นกลุ่มนั้นไว้ล่วงหน้า วันหน้าพี่เสี่ยวโม่เดินทางจากใต้หล้าไพศาลข้ามทวีปไปที่นั่นก็ไม่ต้องรายงานศาลบุ๋นแล้ว”
เสี่ยวโม่คิดแล้วก็ปฏิเสธเรื่องนี้อย่างละมุนละม่อม “น้ำใจของอาจารย์เหวินเซิ่งข้ารับไว้แล้ว เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ยังคงต้องทำตามกฎดีกว่า เสี่ยวโม่ไม่ควรทำให้อาจารย์เหวินเซิ่งกับคุณชายต้องลำบากใจเพราะเรื่องนี้”
ซิ่วไฉเฒ่าตบไหล่ของเสี่ยวโม่เบาๆ จากนั้นช่วยจัดเสื้อผ้าให้อีกฝ่าย คล้ายกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เห็นผู้เยาว์ในบ้านกำลังจะออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ พึมพำว่า “เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี เข้าใจความหวังดี เป็นคนดีเข้าใจผู้อื่น เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่นดี เสี่ยวโม่ประเสริฐอย่างยิ่งแล้ว”
เสี่ยวโม่คลี่ยิ้มเขินอาย รู้สึกทำอะไรไม่ถูกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วีรบุรุษผู้กล้ามาพบเจอกัน พูดได้ตรงใจกระทั่งกระบี่วิเศษยังส่งเสียงร้องขานรับ”