กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 889.2 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด
ไล่เด็กหนุ่มสองคนไปได้แล้วก็กลับเข้าไปในลานบ้าน ยื่นมือกวักหนึ่งที ม้านั่งยาวตัวหนึ่งถูกบังคับให้ลอยออกจากในห้อง โยนให้ซูหลาง กวักมืออีกหนึ่งที ซูหลางก็ยื่นห่อกระดาษน้ำมันไปให้โจวไห่จิ้ง
โจวไห่จิ้งดื่มเหล้ากินหมูกรอบเพียงลำพัง สองตาทอประกายแสงเจิดจ้า “ครั้งแรกที่ข้าได้นั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนก็คิดแล้วว่าวันหน้าตัวเองจะต้องเปิดร้านเหล้าสักร้าน จะต้องให้ท่าเรือตระกูลเซียนทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปช่วยข้าขายเหล้า จุ๊ๆ พอคิดบัญชีปลายปี แล้วค่อยเอาเงินเทพเซียนมาหักลบเป็นเงินสีขาวกับสีทอง นั่นก็คือภูเขาเงินภูเขาทองเชียวนะ แค่คิดก็เป็นภาพที่งดงามมากแล้ว”
ซูหลางแค่ยิ้มพลางดื่มเหล้า ไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง
หากโจวไห่จิ้งคิดจะหาเงินเทพเซียนจริงๆ ก็มีเส้นทางบนภูเขาให้เดิน ขอแค่นางยอมวางศักดิ์ศรีหน้าตาลง อาศัยสถานะของผู้ถวายงานและเค่อชิง ทุกปีก็ต้องมีเงินก้อนใหญ่เข้าบัญชี
เพราะถึงอย่างไรคนที่มีตาต่างก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าอวี๋หงอายุมากแล้ว เป็นคนล่างภูเขาแล้ว แต่โจวไห่จิ้งกลับยังอยู่ระหว่างทางขึ้นเขา หากนางเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางได้สำเร็จจริง ความมีหน้ามีตาไร้ที่สิ้นสุดก็รอคอยนางอยู่
พูดถึงแค่ใบถงทวีปทางทิศใต้ ก่อนที่แผ่นดินจะจมดิ่ง ร้อยกว่าแคว้นบนขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปในอดีต มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางสักกี่คนกันเชียว? ดูเหมือนว่าก็มีแค่อริยะบู๊อู๋ซูและหวงอีอวิ๋นเท่านั้น
ส่วนธวัลทวีปที่โชคชะตาบู๊บางเบาก็ยิ่งมีแค่เพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงคนเดียว
สมมติว่าไม่นับรวมทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฉลี่ยแปดทวีปที่เหลือของไพศาล หนึ่งทวีปมี ‘ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเฝ้าพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำ’ สองถึงสามคนก็เป็น ‘ข้อกำหนดที่แน่นอน’ แล้ว
โจวไห่จิ้งเอ่ยสัพยอก “เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับแม่ทัพสือไม่ใช่หรือ? เจ้าไม่รู้หรอกว่าปีนั้นตอนที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ในพรรคของยุทธภพ เคยได้ยินเจ้าประมุขผู้เฒ่าพูดถึงแม่ทัพสือว่าเขาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ราวกับแผ่นฟ้า หากอิงตามคำกล่าวของเจ้าประมุขผู้เฒ่าก็คือ หากเขาผายลมบนโต๊ะสุราก็เสียงดังพอๆ กับเสียงฟ้าผ่าเลยล่ะ”
ซูหลางยิ้มกล่าว “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
รู้ว่าโจวไห่จิ้งกำลังพูดถึงแม่ทัพหล่งซั่วผู้นั้น คือแม่ทัพตัวเล็กๆ ขั้นสี่ในกองทัพชายแดนต้าหลี สำหรับแคว้นใต้อาณัติของแจกันสมบัติทวีปในอดีตแล้ว ถือว่าเป็นบุคลใหญ่เทียมฟ้าเหมือนกับไท่ซ่างหวงได้จริงๆ
ในอดีตหลังออกไปจากบ้านเกิด โจวไห่จิ้งก็ปิดบังชื่อแซ่ ท่องอยู่ในยุทธภพ แล้วยังเคยอยู่กับพวกคนขนส่งทางน้ำที่อยู่กับน้ำก็กินจากน้ำ อาศัยตบะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้ามาทำอาชีพที่ได้กุมอำนาจอย่างแท้จริง
ตั้งใจหาเงินยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาเสียอีก ยกตัวอย่างเช่นยามที่ไปยังซากปรักสนามรบโบราณที่มีปราณชั่วร้ายเข้มข้น ด้านหนึ่งก็หล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ขุดดินลึกสามฉื่อ เก็บเอาพวกเสื้อเกราะผุพังหรือไม่ก็ลูกธนูมาเป็นมัดๆ จากนั้นนำไปขายให้กับพวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่ใช้ข้ออ้างว่ากำจัดปีศาจปราบมารมาประทังชีพในราคาสูง ไม่ก็แอบไปขโมยเงินเหรียญทองแดงที่พวกชาวบ้านเก็บซ่อนไว้บนขื่อคาน หรือไม่ก็จงใจถือกระจกทองแดงช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้กับตระกูลสูงศักดิ์ บางทีก็แต่งกายเป็นเซียนกระบี่หญิงที่เพิ่งออกมาจากจวน พ่นเหล้าหนึ่งคำ ใช้นิ้วปาดหนึ่งที แอบใช้พายุลมกรดของผู้ฝึกยุทธสร้างภาพเหตุการณ์ตระกูลเซียนที่มีสายฟ้าตัดสลับ ช่วยจัดการกับบ้านร้างที่มีผีอาละวาดซึ่งต่อให้ขายออกไปในราคาถูกก็ยังขายไม่ได้ อันที่จริงนางล้วนอาศัยฝีมือหมัดเท้าสังหารพวกภูตผีปีศาจเหล่านั้นจริงๆ เงินที่ได้มาก็เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรงที่ยากลำบากอย่างแท้จริง
เรื่องในอดีตไม่อยากย้อนกลับไปมอง พูดมากไปก็มีแต่น้ำตาแห่งความขมขื่น
ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า
โจวไห่จิ้งคล้ายจะนึกถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงจุ๊ปากพูด “กองทัพม้าเหล็กต้าหลีชักดาบอยู่บนสนามรบ นั่นแหละคือความอำมหิตที่แท้จริง”
ทุกวันนี่นางอายุครึ่งร้อยแล้ว แต่ตอนที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบก็ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ร่อนเร่พเนจรไปทั่วทิศ แรกเริ่มก็ออกท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ขึ้นเหนือล่องใต้อยู่นานหลายปี แล้วก็เคยเจอกับกองทัพชายแดนของแต่ละแคว้นที่มีกองกำลังแข็งแกร่งมาไม่น้อย ทหารหาญแกล้วกล้า ม้าศึกสูงใหญ่แข็งแรง เชี่ยวชาญการสู้รบห้าวหาญ ยามที่สังหารคนในยุทธภพขึ้นมา นั่นต้องเรียกว่าดุจผ่าลำไม้ไผ่ ประหนึ่งผ่าแตงหั่นผัก ผลคือรอกระทั่งได้เจอกับกองทัพชายแดนต้าหลีที่กีบเท้าม้าย่ำลงใต้ กลับกลายเป็นเหมือนกระดาษเปียก มิอาจต้านทานการโจมตีได้เลย
มีครั้งหนึ่งโจวไห่จิ้งกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ อยากจะเห็นพลานุภาพในการเจาะทะลวงขบวนรบของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกับตาตัวเองสักครั้ง ได้เห็นก็จริงอยู่ แล้วก็เหมือนผ่าก้อนเต้าหู้จริงๆ เหมือนกับชายฉกรรจ์แข็งแกร่งรังแกเด็กน้อยที่ยังสวมกางเกงเปิดก้นอย่างไรอย่างนั้น
แต่ก็เพราะการปรากฏตัวครั้งนั้น โจวไห่จิ้งถึงได้ถูกผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีค้นพบร่องรอย แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่ได้ลงมือต่อกัน ทว่าภายหลังนางก็ถูกหน่วยจานกานของกรมอาญาจับตามองแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกบันทึกลงในเอกสารของกรมอาญาต้าหลี ชื่อของนางถูกบันทึกอยู่ในเอกสาร โชคดีที่โจวไห่จิ้งมีการเตรียมการมาไว้ล่วงหน้า จึงไม่ได้เผยพิรุธมากเกินไปนัก
ซูหลางไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก ก่อนจะจากไปก็ได้รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “ก่อนจะไป ข้าต้องเตือนแม่นางโจวสักคำ ระวังเฉินผิงอันผู้นั้นด้วย”
โจวไห่จิ้งยิ้มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “หรือว่าเขาเป็นวิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางมาดให้ดูภูมิฐาน? ชอบหลอกเอาเงินแล้วยังชอบหลอกเอาความรักด้วย?”
ซูหลางส่ายหน้า “ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เฉินผิงอันทำอะไรมีมาดของคนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างมาก แต่บอกตามตรง แม่นางโจวอย่าได้โกรธ หากจะพูดถึงเรื่องแข่งกันวางแผน ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ เขาทำอะไรมักมีความเคยชินที่ต้องวางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือทีหลัง เรื่องของการไปร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยงก็ต้องเรียกว่าพังราบพนาสูร สำนักแห่งหนึ่งถูกรื้อถอนจนเละเทะ ตามความเห็นของข้า สิ่งที่ภูเขาตะวันเที่ยงถูกเฉินผิงอันทำลายลงไปกับมือไม่ใช่ศาลบรรพจารย์ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เป็นจิตใจคนที่ซับซ้อนของผู้ฝึกตนของหลายยอดเขา”
ซูหลางไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีใดๆ ต่อเฉินผิงอัน เพียงแต่ความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของเซียนกระบี่ไผ่เขียวท่านนี้ไม่อนุญาตให้เขาพูดจาเหลวไหลหน้าตาเฉย
โจวไห่จิ้งพยักหน้า “มีเหตุผล มีเหตุผล”
ซูหลางเองก็ไม่รู้ว่านางฟังเข้าหูแล้วจริงๆ หรือไม่ เขาพูดสิ่งที่ต้องการพูดไปหมดแล้วจึงลุกขึ้นขอตัวลาจากไป
โจวไห่จิ้งลุกขึ้นยืน โยนกระดาษน้ำมันทิ้ง แกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ ยิ้มเอ่ย “ขออวยพรให้เซียนกระบี่ซูเดินทางราบรื่นปลอดภัย”
หลังจากซูหลางจากไป
โจวไห่จิ้งก็เริ่มโบกพัด เรื่องในใจลอยหายไปตามสายลม นางถอนหายใจยาวเหยียดพลางเตือนตัวเองว่าอย่าถอนหายใจบ่อย เพราะกลิ่นอายแห่งความร่ำรวยจะหายไปได้ง่าย เพียงแต่พอคิดถึงว่าตนหาเงินอย่างยากลำบาก กำลังทรัพย์ไม่หนามากพอ สตรีก็อดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังอีกไม่ได้
เกาโหยวพลันส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ข้างนอก “ท่านน้าโจว อาจารย์เฉินมาเป็นแขกอีกแล้ว วันนี้ข้างกายมีสหายติดตามมาด้วย!”
คราวก่อนโจวไห่จิ้งติดตามเก๋อหลิ่งไปยังที่ว่าการของเต้าเจิ้งเมืองหลวงมารอบหนึ่ง ถือโอกาสนั้นได้เจอกับองค์ชายซ่งซวี่ด้วย น่าเสียดายที่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้วไม่เหมือนพวกบ้ากามที่จะบังคับขืนใจหญิงชาวบ้าน เลี้ยงดูสตรีไว้นอกบ้าน ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อซ่งซวี่เป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าองค์ชายรองของต้าหลีท่านนี้ไม่มีชะตาที่จะได้สวมชุดคลุมมังกรนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องเจ้าเมืองก็ยังไม่มี
โจวไห่จิ้งรีบตะโกนตอบทันใด “ให้อาจารย์เฉินรอสักครู่”
เหล่าเหนียงต้องรีบไปแต่งหน้าแต่งตัวเสียหน่อย
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมีความคิดไม่ถูกไม่ควรกับเฉินผิงอัน
โจวไห่จิ้งยืนอยู่หน้าห้อง มองเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าประตูเรือนแล้วก็เอ่ยหยอกเย้าว่า “เจ้าสำนักเฉินของข้า เลิกมาตอแยสตรีที่มีสามีแล้วอย่างข้าเสียทีเถอะ หากเล่าลือกันออกไปคงไม่น่าฟัง ข้าน่ะไม่เท่าไร กลัวก็แต่ว่าจะทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ดีงามของเจ้าสำนักเฉินน่ะสิ”
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในเรือน เอ่ยว่า “แม่นางโจวพูดตลกแล้ว”
โจวไห่จิ้งเหลือบมองผู้ติดตามที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวผู้นั้นแล้วถามว่า “คุณชายท่านนี้คือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรียกเขาว่าเสี่ยวโม่ก็พอ”
โจวไห่จิ้งกวาดตามองเสี่ยวโม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มตาหยีถามว่า “เล็กแค่ไหน?” (คำว่าเสี่ยวจากเสี่ยวโม่แปลว่าเล็ก)
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยตอบ “ความรู้ในข้อนี้ต้องเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด มิอาจให้คนนอกรู้ได้ง่ายๆ”
โจวไห่จิ้งสะอึกอึ้งไปทันใด
โอ้โห เป็นพวกกะล่อนมีคารมคมคายเสียด้วย?
หากว่าอยู่ในยุทธภพนอกเมืองหลวง กล้าหยอกเย้าเหล่าเหนียงเช่นนี้ จะตบเจ้าให้หมุนติ้วอยู่ที่เดิมเลย
เสี่ยวโม่สัมผัสได้ถึง ‘เนื้อหา’ ในหัวใจของสตรีผู้นี้ก็คลี่ยิ้ม
เข้าไปในห้องหลัก ทั้งสองฝ่ายยังคงทำเหมือนคราวก่อน ยังคงนั่งหันหน้าเข้าหากัน
ก่อนหน้านี้เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจเอ่ยประโยคหนึ่ง เฉินผิงอันพยักหน้า เสี่ยวโม่จึงหมุนตัวเดินออกไปจากบ้านทันที
ในตรอกที่ห่างออกไปไม่ไกลมีผู้เฒ่าทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่คนหนึ่ง เป็นผู้ฝึกกระบี่ อายุสองร้อยกว่าปี ขอบเขตชมหาสมุทร เรือนกายและจิตวิญญาณล้วนแห้งเหี่ยวโรยรา อายุขัยก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
ถึงอย่างไรก็ว่างอยู่พอดี เสี่ยวโม่จึงคิดว่าจะไปคุยเล่นกับผู้อาวุโสที่สะกดรอยตามมาหลายช่วงถนนผู้นี้สักสองสามประโยค
โจวไห่จิ้งเป็นฝ่ายหยิบเหล้าออกมาก่อนหนึ่งกา รินเหล้าสองชาม ถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าสำนักเฉินมีชาติกำเนิดยากจนเหมือนข้าอย่างที่ภายนอกเล่าลือกันจริงๆ หรือ? แล้วยังเคยเป็นช่างในเตาเผาอยู่ที่บ้านเกิดมานานหลายปีด้วย?”
ก่อนหน้านี้เป็นนางที่หูตาคับแคบจริงๆ เป็นหายนะจากการที่ตัดใจจ่ายเงินดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำไม่ลง ทำให้โจวไห่จิ้งเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าสำนักหนุ่มของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาผู้นี้เป็นลูกหลานตระกูลเซียนบนภูเขา ไม่อย่างนั้นก็มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงของต้าหลี
ดังนั้นนางถึงได้รู้สึกเกลียดขี้หน้าเขาเป็นพิเศษ ก็แค่อาศัยร่มเงาบรรพบุรุษถือชามข้าวเคลือบทองไว้ในมือเท่านั้น ไม่รู้จักความยากลำบากของชาวบ้าน มาแสร้งทำตัวเป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่เข้ากับคนได้ง่ายกับข้าโจวไห่จิ้งไปทำไม
พูดถึงแค่สงครามครั้งนั้น เหตุใดเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งถึงไม่มีผลงาน ไม่สร้างคุณความชอบเลยสักครั้ง? แล้วลองมามองดูเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะ? เจ้าเฉินผิงอันไม่ได้รักตัวกลัวตายแล้วจะเป็นอะไร?
เพียงแต่ว่าพอลองไปสืบข่าวดู นางถึงได้รู้ว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
โจวไห่จิ้งมีชาติกำเนิดมาจากชาวประมง อีกฝ่ายเป็นช่างของเตาเผาในตรอกเก่าโทรม คนหนึ่งอยู่กับน้ำกินจากน้ำ คนหนึ่งอยู่กับภูเขากินจากภูเขา ถ้าอย่างนั้นก็มีชาติกำเนิดที่ไม่ต่างกันเลยน่ะสิ?
หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ คราวก่อนที่พบเจอกัน โจวไห่จิ้งคงจะพูดจาเหน็บแนมน้อยลงสักสองสามประโยคแล้ว
บวกกับมีเผยเฉียนที่ใช้ฉายาว่า ‘เจิ้งซาเฉียน’ ผู้นั้น ได้ยินมาว่านางก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่หนุ่มคนนี้
เป็นเหตุให้ความประทับใจที่โจวไห่จิ้งมีต่อเฉินผิงอันดีขึ้นหลายส่วน จำต้องมองเขาสูงมากกว่าเดิม
แม้คนเป็นอาจารย์จะไม่เคยปรากฏตัว ไม่เคยออกกระบี่ แต่จะดีจะชั่วก็สอนลูกศิษย์ออกมาได้ดี
คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง พูดถึงอวี๋หงและศิษย์ลูกศิษย์หลานกลุ่มใหญ่ของเขา
บนภูเขาล่างภูเขา อาจารย์เป็นอย่างไร สอนลูกศิษย์ออกมาเป็นแบบไหน น้อยครั้งนักที่จะมีข้อยกเว้น
ถ้าอย่างนั้นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วท่านนี้ ปิดบังชื่อแซ่มานานหลายปี เป็นเหตุให้พลาดสงครามดุเดือดที่ตีกันตั้งแต่นครมังกรเฒ่าไปจนถึงเมืองหลวงสำรองต้าหลีไป เกินครึ่งก็คงจะเป็นเพราะมีเรื่องลำบากใจที่ยากจะเอื้อนเอ่ยกระมัง?
จิตใจของสตรีเหมือนเข็มใต้มหาสมุทร วกวนเก้ารอบสิบแปดตลบ ก็เป็นเช่นนี้เอง
เฉินผิงอันแค่พยักหน้ารับ
โจวไห่จิ้งหรี่ตาลง ยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งอึก “มีฝีมือในการผ่าฟืนเผาถ่านจริงๆ หรือ? รู้จักเลือกวัสดุไม้ก่อเตาซ่อมประตู? อยู่บนภูเขาต้องอยู่นานถึงห้าหกวันเชียวนะ ทนรับความลำบากนี้ไหวหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พอจะคุ้นชินอยู่บ้าง”
โจวไห่จิ้งส่ายหน้า จุ๊ปากเอ่ย “ข้าไม่เชื่อหรอก”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย แล้วข้าก็ไม่ได้ดื่มเหล้าของเจ้าสักอึก
ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำการค้าที่เสนอไปช่วงแรกสุดนั้นได้แล้ว วันหน้าทั้งสองฝ่ายก็ได้แต่เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลองเท่านั้น
โจวไห่จิ้งกลับยิ้มเอ่ยรั้งเอาไว้ “จะใจร้อนไปไย ประตูบ้านหญิงหม้ายยังต้องเคาะถึงสองครั้ง อีกอย่างก็ไม่ถือว่าเป็นชายหญิงที่อยู่กันตามลำพังอะไร เหล้าบนโต๊ะชามนั้นยังดื่มไม่หมดเลยนะ ทำไม หรือข้าพูดถูก ดื่มน้ำเปล่าได้ แต่ไม่ยอมดื่มเหล้าชั้นเลว?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย
โจวไห่จิ้งยิ้มกล่าว “จะดีจะชั่วเจ้าสำนักเฉินก็ดื่มให้หมดชามก่อนแล้วค่อยไปสิ วางใจเถอะ ข้าไม่ได้วางยาพิษ ไม่มียาสลบ ส่วนยากระตุ้นกำหนัดก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แพงมาก ข้าหรือจะตัดใจซื้อได้ลง”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าให้โจวไห่จิ้ง นางเองก็ยกชามขึ้น ต่างคนต่างดื่มเหล้าคนละอึก
โจวไห่จิ้งยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เป็นช่างเตาเผา หากข้าจำไม่ผิด นั่นคืองานของทางการอันดับหนึ่งในราชสำนักต้าหลีเชียวนะ ท่านยังต้องเผาถ่านหาเงินอีกหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ข้าเป็นแค่ลูกศิษย์เท่านั้น ไม่ได้เป็นช่างอย่างเป็นทางการ อันที่จริงได้ค่าแรงไม่มาก ต้องหางานอื่นทำเพื่อใช้จ่ายในบ้าน หากเป็นวันที่อากาศหนาวมากเป็นพิเศษแล้วเผาถ่านบนภูเขาได้ร้อยจิน ก็จะได้เงินมาประมาณหนึ่งตำลึงห้าอีแปะ เผาถ่านดำประหยัดแรง ราคาในตลาดจึงถูกไปด้วย เพียงแต่ว่าพวกเราขายถ่าน คนมีเงินของเมืองเล็กเป็นผู้ซื้อ ต้องผ่านด่านพ่อค้าคนกลางด้วย ได้ยินมาว่าความต่างของราคามีไม่น้อยเลย”
ขึ้นเขาไปผ่าฟืนเผาถ่าน เฉินผิงอันจะพกผักดองไปเพิ่มหนึ่งกระปุก สะพายข้าวสารห่อใหญ่ ทำเพิงไม้บังลมบังฝนข้างเตาเผาถ่านขึ้นมาง่ายๆ ก่อเตาไฟใช้สำหรับทำอาหาร บางครั้งยังเผาพวกมันหรือไม่ก็เผือกบนภูเขากิน อีกอย่างเฉินผิงอันก็เรียนรู้งานฝีมือไม่น้อยมาจากหลิวเสี้ยนหยาง ทุกครั้งที่ขึ้นเขา ของที่นำติดตัวไปด้วยมีไม่น้อย ข้องจับปลา วางกับดัก แต่หากขึ้นเขาไปหาดินพร้อมกับผู้เฒ่าเหยา เฉินผิงอันจะไม่กล้าทำอะไร ‘ฉูดฉาด’ เช่นนี้เด็ดขาด
โจวไห่จิ้งยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนม้านั่งยาว จุ๊ปากเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เมื่อก่อนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ อยากไปดูว่าฮ่องเต้ใช้ชีวิตอย่างไร ในเดือนหนึ่งข้าเคยเสี่ยงอันตรายลอบเข้าไปในวังหลวงของแคว้นเล็กแห่งหนึ่ง ผลคือได้เปิดโลกกว้างจริงๆ นอกตำหนักแห่งหนึ่งข้าได้เห็นเทพทวารบาลสวมชุดสีสันสดใสเหมือนมีชีวิตจริงสององค์ ตัวสูงพอๆ กับตัวคน สวมชุดแพรต่วน สวมเสื้อเกราะสีสด พกดาบและหอกของจริง ถลึงตาดุดัน ทีแรกข้ายังตกใจสะดุ้งโหยง ผลคือรอจนข้าขยับเข้าไปลูบใกล้ๆ เจ้าขุนเขาเฉิน ท่านลองเดาดูสิว่าทำมาจากอะไร?”
เฉินผิงอันไม่ต้องเดาก็ตอบได้ทันทีว่า “ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปมีแคว้นเล็กอยู่สองสามแคว้นที่ในวังมีธรรมเนียมเผาถ่านเป็นรูปแม่ทัพแทนเทพทวารบาล ทุกๆ สิ้นปีจะเชิญออกมาจากคลังหลวง วันที่สองเดือนสองของปีถัดมาจึงจะนำไปเก็บ จำเป็นต้องแต่งกายให้เหมือนใหม่ ห้ามให้มีความเสียดายใดๆ ปลายปีก็เชิญออกมาอีก หากใช้คำกล่าวของคนในยุทธภพก็คือถ่านไม้ล้ำค่ายิ่งกว่าคนมีชีวิตจริงๆ เสียอีก ว่ากันว่า แม่ทัพถ่านที่ ‘อายุสูงเป็นร้อยปี’ บางส่วน คงเป็นเพราะสัมผัสกับปราณมังกรมานานจึงสามารถมีชีวิตขึ้นมาได้ ช่วงเวลาที่ ‘ทำหน้าที่’ ทุกคืนจะสามารถเดินลาดตระเวนอยู่ในวังหลวง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าเทพท่องราตรีของศาลเทพอธิบาลเมืองเสียอีก แต่ข้าไม่ได้มีความรู้กว้างขวางอย่างแม่นางโจว แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยเห็นของพวกนี้กับตาตัวเองมาก่อน ใคร่รู้อยู่มากเหมือนกัน”
โจวไห่จิ้งไม่รีรออีก นางถามเข้าประเด็นทันทีว่า “ท่านมาเยือนครั้งนี้ เพราะต้องการซักไซ้ถามข้าให้ถึงที่สุด ถามจนรู้ว่าทำไมข้าถึงมีความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมโลกกับอวี๋หงถึงจะพอใจ ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เพียงแต่ว่าอีกเดี๋ยวจะต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงแค่มาเตือนแม่นางโจวเรื่องหนึ่ง วันหน้าจะไปแก้แค้นอวี๋หงก็ดี ไม่ทันระวังเกิดความ ‘เข้าใจผิด’ ที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกรากันก็ช่าง จำไว้ว่าอย่าให้เดือดร้อนผู้อาวุโสในยุทธภพสองคนที่อยู่ในหอฝูสู่ของอวี๋หง คนหนึ่งชื่อจู๋เฟิ่งเซียน คนหนึ่งชื่ออวี่ชางหมาง ทุกวันนี้ผู้อาวุโสทั้งสองต่างก็เป็นผู้อาวุโสในหอฝูสู่ พวกเขาเพิ่งเข้าร่วมพรรคได้ไม่นาน อันที่จริงก็แค่ขอให้มีข้าวในยุทธภพกินเท่านั้น ในอนาคตหวังว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่นางโจวจะมีเมตตากับพวกเขาทั้งสองคน ให้พวกเขาถอนตัวออกมาได้”