กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 889.4 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด
เฉินผิงอันหรือจะรู้ว่าเสี่ยวโม่กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นต้องร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมแทนเว่ยซานจวินแน่นอน
หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ง่ายเลยสำหรับเว่ยป้อ
ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่จากการจัดงานเลี้ยงท่องราตรีของภูเขาพีอวิ๋นได้แพร่ไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและอุตรกุรุทวีปแล้ว
ทางฝั่งของบ้านเกิด
อำเภอไหวหวงขนาดเล็กๆ มีสถานที่โบราณเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย คนที่ไปเยี่ยมเยือนเซียนในทุกวันนี้มีมากราวกับปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ
ยกตัวอย่างเช่นศาลบุ๋นบู๊ที่สร้างขึ้นที่สุสานเทพเซียนและภูเขาเครื่องกระเบื้องก็เหมือนกับศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเมืองหลวงที่เป็นศาลของแคว้น แต่อันที่จริงแล้วศาลบุ๋นบู๊ของแต่ละแคว้นในเก้าทวีปไพศาลกลับไม่เหมือนศาลเทพอภิบาลเมือง ไม่มีการแบ่งระดับสูงต่ำ เว้นเสียจากว่าในศาลตั้งขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่มีคุณูปการต่อบ้านเมืองเอาไว้ ทว่าศาลบุ๋นบู๊สองแห่งนี้ที่สร้างในต้าหลีกลับกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่อย่างมาก
ที่ตั้งบ่อตรวนมังกรเก่าก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง ต้นท้อสองฝากฝั่งของตรอกเถาเย่ก็มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ดอกไม้เบ่งบานดอกไม้ร่วงโรยล้วนแตกต่างจากที่อื่น หลายปีมานี้จึงมักจะมีนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มือบอนแอบขโมยหักกิ่งท้อ จากนั้นก็จะถูกคุมตัวไปยังที่ว่าการอำเภอทันที ไม่เพียงแต่ต้องชดใช้ด้วยเงินเทพเซียนหนึ่งก้อน ไม่แน่ว่าอาจยังต้องกินข้าวแดงอีกมื้อ
นอกจากนี้ยังมีบ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาในตรอกหนีผิง บ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวนในตรอกเอ้อหลาง รวมไปถึงขนมดอกท้อที่ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงและเหล้าของร้านหวงซื่อเหนียง แม้ว่าจะขายแค่เหล้าธรรมดา และสตรีโตเต็มวัยก็ร่วงโรยเป็นหญิงชราแล้ว กลายเป็นลูกชายลูกสะใภ้ที่มาสืบทอดกิจการแทน แต่ว่ากันว่าอริยะหร่วนฉงเป็นแขกประจำของร้านเหล้าแห่งนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เซียนกระบี่เจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วก็ยังมักจะลงจากภูเขามาซื้อเหล้าที่นี่กับสหายรักอย่างหลิวเสี้ยนหยางของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่เป็นเซียนกระบี่เช่นเดียวกันเป็นประจำ ถ้าอย่างนั้นคนต่างถิ่นเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ จะไม่หยุดพักเพื่อสัมผัสกลิ่นอายเซียนเลยได้อย่างไร? น่าเสียดายก็แต่ภูเขาลั่วพั่วที่มีชื่อเสียงสะท้านไปทั้งทวีปดูเหมือนว่าจะปิดภูเขาไม่รับรองแขก ได้แต่หยุดอยู่นอกภูเขาเท่านั้น
นอกจากนี้ก็คือร้านเครื่องกระเบื้องน้อยใหญ่ของเมืองเล็กที่มีมากมายละลานตา ราคาขายต่ำกว่าท่าเรือตระกูลเซียนแห่งอื่นมาก แม้จะบอกว่าไม่ต้องใช้เงินเทพเซียน แต่ใครบ้างที่ไม่ชอบของถูก
แล้วนับประสาอะไรกับที่มาเยือนอาณาเขตของหลงโจวรอบหนึ่ง ไม่ซื้อเครื่องกระเบื้องที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปกลับบ้านสักชิ้นก็ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เหมือนกับมาเสียเที่ยวอย่างไรอย่างนั้น
ทางฝั่งของอำเภอไหวหวงแห่งนี้ ในอดีตมีเตามังกรอยู่มากมาย ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากเตาของทางการทั้งสิ้น ในบรรดานั้นมีอยู่หลายเตาที่ต้องผ่านการตรวจสอบแล้วคัดเลือกผลผลิตเพื่อส่งไปให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ในวังใช้งาน แน่นอนว่าย่อมมีระดับขั้นสูงที่สุดในบรรดาเตาเผาทางการ มีการแบ่งระดับขั้นอย่างเข้มงวด ระเบียบขั้นตอนชัดเจน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงกับทุบเครื่องกระเบื้องที่มีตำหนิมากมายขนาดนั้นทิ้งไปแล้วสุดท้ายก็กองกันขึ้นมากลายเป็นภูเขาเครื่องกระเบื้อง
วันเวลาผันผ่าน เตาเผามังกรส่วนหนึ่งที่สูญเสียสถานะเตาทางการไปก็ได้แต่เปลี่ยนไปเป็นเตาชาวบ้านอันดับรองที่ไม่ได้ถูกทางการตรวจสอบควบคุมอีก
มีเตาอยู่หลายเตาที่ถูกต่งสุ่ยจิ่งซื้อมาอย่างลับๆ ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างช่างผู้เฒ่าของเตาเผามังกรที่เดิมทีวางมือไปแล้วมาไว้หลายคน ให้พวกเขากลับมาทำงานอีกครั้ง ช่างผู้เฒ่าที่เป็นช่างในเตาเผามานานหลายปีเหล่านี้ ต่อให้แค่รับผิดชอบคอยตรวจสอบชิ้นงาน มาตรฐานของเครื่องกระเบื้องที่เผาออกมาก็ยังมีความต่างจากเครื่องกระเบื้องของเตาเผาที่ไม่มีพวกเขาคอยกำกับดูแลราวฟ้ากับดิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าช่างผู้เฒ่าเหล่านี้ต่างเป็นพวกที่อยู่ว่างๆ ไม่ได้ บวกกับที่เจ้านายคนใหม่จ่ายเงินฉับไว เงินเดือนที่สะสมมาได้หนึ่งปีจึงมากดูชม แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ที่พวกเขาสอนมาเองกับมือล้วนฝีมือไม่แย่ เป็นฝีมือแท้จริงที่ฝึกปรือมาจากการถูกดุด่าตลอดทั้งปี ดังนั้นเครื่องกระเบื้องหลากหลายรูปแบบของหลงโจวที่เผามาจากเตาชาวบ้านพวกนี้จึงยังคงไม่ต่างจาก ‘ทางการตรวจสอบชาวบ้านเป็นผู้เผา’ ของเตาเผาทางการในอดีต ตราประทับชื่อสถานที่ การลงนามและถ้อยคำมงคลบนเครื่องกระเบื้องแต่ละชนิดมีมากมายไร้ที่สิ้นสุด เป็นเหตุให้เมื่อนำไปขายไกลๆ ล่างภูเขาของในทวีปจึงกลายมาเป็นเครื่องประดับห้องหนังสืออันดับหนึ่งของพวกปัญญาชนในแต่ละแคว้น เพียงแต่ว่าต่งสุ่ยจิ่งยังคงชอบหลบอยู่เบื้องหลัง ไม่เปิดเผยตัวตน
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ชี้ไปยังจุดที่ห่างไปไกล แนะนำว่า “มาถึงอาณาเขตที่เชื่อมต่อกันระหว่างหลงโจวและหงโจวแล้ว อย่างมากสุดอีกหนึ่งก้านธูปก็สามารถจอดเทียบท่าที่ท่าเรือหนิวเจี่ยวได้แล้ว”
เซียนเว่ยทอดสายตามองไปไกล อยู่ห่างเกินไป มองไม่เห็นอะไรสักนิด จึงได้แต่ถามว่า “อาจารย์เฉา เมื่อครู่ฟังพวกเทพเซียนรุ่นเยาว์พวกนั้นคุยกัน บอกว่าท่าเรือหนิวเจี่ยวไม่ได้มีเงินทองไหลมาเทมาธรรมดาเท่านั้น นอกจากเรือข้ามฟากของกองทัพต้าหลีแล้ว เรือข้ามฟากบนภูเขาทุกลำที่มาจอดเทียบท่าล้วนต้องมอบค่าใช้จ่ายในการจอดเรือให้ก้อนใหญ่ นี่ไม่เท่ากับว่านอนรับเงินทุกวันหรอกหรือ? ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยหรือไร? ท่าเรือที่กว้างใหญ่แห่งนี้เป็นซานจวินใหญ่เว่ยกับเซียนกระบี่เฉินที่ได้ครอบครองร่วมกัน เจ้าตัวดี”
เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า “เรือข้ามฟากตระกูลเซียนทุกลำที่จอดเทียบท่าต้องเผาผลาญปราณวิญญาณฟ้าดินไปในปริมาณมาก หากไม่ทุ่มเงินเทพเซียน เพียงไม่นานก็จะเป็นการวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา ปราณวิญญาณจะเหือดหายสิ้น หากทำแบบนี้จริง เจ้าว่าพวกเซียนซือทำเนียบและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่ฝึกตนอยู่ในอาณาเขตของหลงโจวจะก่อกบฏหรือไม่? ดังนั้นเจ้าไม่อาจเอาแต่เห็นเงินที่ได้รับ ไม่เห็นเงินที่จ่ายไป”
เซียนเว่ยหลุดหัวเราะพรืด “เฉาเซียนซือ ประโยคนี้พูดได้น่าเบื่อแล้วนะ เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นเส้นทางทำเงินที่เงินทองไหลมาเทมา หากเปลี่ยนให้ท่านไปเป็นเจ้าของท่าเรือนั้นครึ่งหนึ่ง ท่านจะเป็นหรือไม่เล่า?”
ใครบางคนไม่พูดจาตอบโต้
เซียนเว่ยจึงถามอีก “เรือข้ามฟากลำนี้จะจอดเทียบท่าที่ท่าเรือหนิวเจี่ยวสองชั่วยาม พวกเราจะลงจากเรือไปเที่ยวชมขุนเขาสายน้ำหรือไม่? ได้ยินว่าเครื่องกระเบื้องของอำเภอไหวหวงแพงนักล่ะ ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะขายไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ขอแค่ซื้อมาได้ก็รับรองว่ามีแต่จะได้กำไรไม่มีขาดทุน ข้าต้องซื้อมาเก็บไว้สักสองสามชิ้นแล้ว!”
บนร่างของตนยังมีทองหยวนเป่าอยู่ก้อนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าสองชั่วยามนี้จะพอให้ตนเดินทางไปกลับจากท่าเรือถึงเมืองเล็กหรือไม่ ได้ยินว่าที่นั่นมีกฎเกณฑ์เข้มงวด เซียนซือมิอาจทะยานลมเดินทางไกลได้ ได้แต่เดินเท้าอย่างเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันกล่าว “เป้าหมายในการเดินทางลงใต้ของพวกเราครั้งนี้ก็คือท่าเรือหนิวเจี่ยว”
เซียนเว่ยหันมาถามอย่างสงสัย “พวกเราจะลงเรือที่นั่นหรือ? เฉาเซียนซือ ภูเขาของท่านอยู่ที่หลงโจวนี่หรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องเป็นเพื่อนบ้านกับซานจวินใหญ่เว่ยน่ะสิ?”
มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ถึงได้ตั้งแผงดูดวงหาเงินที่ท่าเรือก่าวซู่ ที่แท้ก็ยากจนเหมือนกัน
หากจะบอกว่าตนคือคนยากจนของล่างภูเขา ถ้าอย่างนั้นเฉาเซียนซือ หรือควรจะเรียกว่าเจ้าขุนเขาเฉินก็คือคนยากจนของบนภูเขาหรือ?
เซียนเว่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านถูกเรียกว่าเจ้าขุนเขาเฉิน เซียนกระบี่เฉินที่ส่งสายตาไปมาเหมือนเป็นชู้กับเว่ยซานจวินผู้นั้นก็แซ่เฉินเหมือนกัน พวกท่านรู้จักกันหรือไม่?”
เฉินผิงอันกลั้นขำ พยักหน้ารับ “ต้องรู้จักอยู่แล้ว”
เซียนเว่ยผ่อนลมหายใจโล่งอก “มีความสัมพันธ์ในชั้นนี้อยู่ ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงไม่ต้องทุบหม้อขายเหล็กเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “พูดแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะถูกนะ”
พอถูกเซียนเว่ยพูดอย่างนี้ เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่าตัวเองไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ยป้อเลยสักครั้งจริงๆ
น่าแปลกยิ่งนัก เซียนเว่ยผู้นี้พูดจาเหลวไหลวกวนไปมา แต่ดูเหมือนว่าพอถึงท้ายที่สุดเขากลับพูดตรงกับความจริงเสมอ?
หากคิดจะ ‘อย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง’ อย่างที่เจิ้งจวีจงพูดไว้ ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ในอาณาเขตของอำเภอไหวหวง ราชสำนักต้าหลีและภูเขาพีอวิ๋นต่างฝ่ายต่างร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำไว้ชั้นหนึ่ง หากผู้ฝึกตนมองลงมาจากที่สูงก็มักจะเห็นทัศนียภาพที่เมฆหมอกล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี คล้ายคลึงกับทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่าในอดีต เป็นเหตุให้วิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือของเซียนดินก่อกำเนิดก็ยังยากจะมองเห็นทิวทัศน์ที่แท้จริง เว้นเสียจากจะลงจากเรือ แล้วยังต้องพกยันต์กระบี่ถึงจะสามารถทะยานลม ก้มหน้าลงมองกลุ่มภูเขา จึงพอจะเห็นความจริงได้บ้างสองสามส่วน
ภูเขาบรรพบุรุษภูเขาลั่วพั่ว ศาลบรรพจารย์ตั้งอยู่ที่ยอดเขาจี้เซ่อ
ภูเขาใต้อาณัติแห่งอื่นๆ ภูเขาสามลูกที่มีภูเขาเป่าซานเป็นหนึ่งในนั้นให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนเช่าสามร้อยปี แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นเจ้าสำนักกระบี่หลงเฉวียนคนใหม่ได้ทำการค้าที่ประหลาดอย่างหนึ่งกับภูเขาลั่วพั่ว ให้ภูเขาลั่วพั่วจ่ายเงินเช่าภูเขาสามลูกกลับไป ประมาณสองร้อยเจ็ดสิบปี จึงต้องมอบเงินฝนธัญพืชให้หลิวเสี้ยนหยางยี่สิบเจ็ดเหรียญ
ภูเขาหลังอ๋าวให้เกาะจูไชเช่า
ภูเขาหนิวเจี่ยวที่มีท่าเรือตระกูลเซียนและร้านผ้าห่อบุญ
ปีนั้นเฉินผิงอันใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองแค่เหรียญเดียวซื้อภูเขาเจินจูเอาไว้ เนื่องจากภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดแห่งนี้เล็กเกินไป ทั้งยังอยู่ใกล้กับเมืองเล็กมาก จึงไม่เคยมีการก่อสร้างมาโดยตลอด
นอกจากนี้ยังมีภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหวงหู ภูเขาจูซา ยอดเขาเว่ยเสีย หอบูชากระบี่ที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุด
ดังนั้นภูเขาลั่วพั่วจึงมีภูเขาใต้อาณัติสิบเอ็ดแห่งมาตั้งนานแล้ว
เสี่ยวโม่จับประคองหมวก หรี่ตามองไป
แค่มองก็เห็นแนวทางไม่น้อย
อันดับแรกก็เป็นหน้าผาสังหารมังกรของภูเขาหลงจี๋ รองลงมาจึงจะเป็นภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยซานจวิน จากนั้นจึงเป็นการจัดวางอย่างลี้ลับมหัศจรรย์ของเตาเผามังกรทั้งหลาย รวมไปถึงการจัดวางตรอกฝูลู่และตรอกเถาเย่
เห็นได้ชัดว่าเป็นการลงมือครั้งใหญ่ของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว
และยังมีสะพานหินโค้งที่มองดูเหมือนไม่สะดุดตาแห่งนั้น!
หากตนไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนเลย แล้วทะเล่อทะล่าโผล่เข้ามาในที่แห่งนี้ ย่อมต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
เมืองเล็กแห่งหนึ่งกลับกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตก เส้นสายซับซ้อนที่ตัดสลับกัน โชคชะตาวิถีกระบี่ที่พุ่งทะยานเทียมฟ้า ภาพบรรยากาศอันโชติช่วงของโชคชะตาบุ๋นโชคชะตาบู๊ ชะตาขุนเขาสายน้ำที่เข้มข้นเปี่ยมล้น และยังมีท่วงทำนองวิถีแห่งเทพที่เหลือเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ แต่กลับบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตัดสลับกันฉวัดเฉวียน วุ่นวายอลหม่านถึงขีดสุด
ก็แค่ภูเขาสายน้ำแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถึงกับทำให้เสี่ยวโม่เกิดความรู้สึกลวงตาราวกับกำลังประจัญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งอยู่
อีกทั้งยังเป็นการเผชิญหน้าในระยะเผาขนอีกด้วย!
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ท่ามกลางกลุ่มภูเขาถึงได้มีพื้นที่ว่างเปล่าแถบใหญ่โผล่มาอย่างสะดุดตา
ราวกับว่าภูเขาหลายลูกได้ถูกย้ายออกไปจนเกลี้ยงแล้ว
เสี่ยวโม่ถอนสายตากลับคืน ใช้เสียงในใจเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “คุณชายฝึกตนอยู่ที่นี่ มิอาจก้าวผิดสักก้าวเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากคิดให้ซับซ้อน ก็แค่ปมเชือกพันกันยุ่งเหยิงที่นอกจากบรรพจารย์สามลัทธิก็ไม่มีใครคลี่ออกได้อีก หากคิดให้ง่ายก็แค่ภูเขาตระหง่านสายน้ำไหล ทุกอย่างปล่อยให้เป็นไปตามโชควาสนา”
เสี่ยวโม่เอ่ยจากใจจริง “จิตแห่งมรรคาของคุณชาย ใต้หล้าไร้ผู้ใดเทียบเทียมได้”
เฉินผิงอันโมโหจึงตบหมวกบนหัวของเสี่ยวโม่ “แค่พอสมควรก็พอแล้วนะ ไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็เก็บวิชาอภินิหารที่เข้าใจได้เองโดยไม่ต้องมีอาจารย์สั่งสอนของเจ้าบทนี้ไปซะ จำไว้ว่าบนภูเขาบ้านข้าไม่สนใจธรรมเนียมชั่วร้ายเอนเอียงเช่นนี้ของเจ้ามากที่สุดแล้ว”
เสี่ยวโม่ยิ้มพลางจับประคองหมวก “จำไว้แล้ว”
ท่าเรือหนิวเจี่ยว
ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ค่อนข้างเงียบสงัด ตรงราวรั้วหยกขาวที่สร้างไว้ตรงหน้าผามีแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งแบกคานหาบสีทองไว้บนบ่า ในมือถือไม้เท้าเดินป่า สะพายกระเป๋าผ้าฝ้ายใบเล็กไว้เอียงๆ
แม่นางน้อยถลึงตากว้างมองเข้าไปในเมฆขาวที่ห่างไปไกล
ไม่รู้ว่านางถามคำถามเดิมซ้ำๆ มากี่รอบแล้ว “จิ่งชิง ทำไมเจ้าขุนเขาคนดีไม่มาสักทีล่ะ?”
เฉินหลิงจวินที่อยู่ด้านข้างนั่งอยู่บนราวรั้วกับป๋ายเสวียน กำลังเล่นทายหมัดกัน ในมือของพวกเขาถือพัดไว้คนละเล่ม ใครแพ้คนนั้นก็จะโดนตี
นายท่านใหญ่สองคนนี้ คนหนึ่งไม่ต้องฝึกตน คนหนึ่งไม่ต้องฝึกกระบี่ เวลาปกติอยู่ว่างจนเบื่อ แน่นอนว่าย่อมยินดีที่จะมาเดินเล่นที่นี่กับหมี่ลี่น้อย
ห่านขาวใหญ่รีบร้อนเดินทางไปที่ใบถงทวีปล่วงหน้าแล้ว นั่งเรือข้ามฟากเฟิงยวนของภูเขาลั่วพั่วบ้านตัวเองไป พวกเฉาฉิงหล่าง อาจารย์จ้ง ชุยเหวย และสุยโย่วเปียนต่างก็ติดตามไปด้วย
ส่วนเผยเฉียนไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไปที่พื้นที่มงคลรากบัว
เฉินหลิงจวินตอบอย่างไม่ใส่ใจ “จะรีบร้อนไปไย หากดูตามเวลาที่เรือข้ามฟากจะจอดเทียบท่าในเวลาปกติยังต้องรออีกสองเค่อนะ อีกอย่างเรือข้ามฟากบนภูเขาพวกนี้ บ้างลอยตามลมบ้างลอยทวนกระแสลม เอาแน่เอานอนไม่ได้ ช้าไปครึ่งชั่วยามก็เป็นเรื่องปกติ”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม พยักหน้ารับ
เฉินหลิงจวินเหลือบตามองหมี่ลี่น้อย ยืดคอถลึงตากว้างไปมองตาปริบๆ นางจ้องมองตรงจุดนั้นนานแค่ไหนแล้วนะ?
ก่อนหน้านี้ได้รับกระบี่บินส่งข่าวที่นายท่านส่งมาจากเมืองหลวง รู้ว่าวันนี้อีกฝ่ายจะนั่งเรือข้ามฟากลำหนึ่งกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว ดังนั้นวันนี้หมี่ลี่น้อยจึงออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ฟ้าเพิ่งสว่างก็ออกไปลาดตระเวนภูเขาเสร็จแล้ว จากนั้นก็ไปรอที่หน้าประตูบ้านของเฉินหลิงจวิน แล้วก็ไม่เคาะประตู ทำตัวเป็นเทพทวารบาลอยู่อย่างนั้น
ผลคือมาถึงที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวแห่งนี้ พวกเขายังต้องมารออีกหนึ่งชั่วยามเต็ม หน้าผากของพี่น้องป๋ายเสวียนคนดีปูดนูนเป็นลูกมะนาวขึ้นมาแล้ว หากยังรอต่อไป ฮ่าๆ คาดว่าคงจะมีเขางอกออกมาแล้วกระมัง
เฉินหลิงจวินกระโดดผลุงขึ้น หุบพัดพับเข้าด้วยกันแล้วเหน็บไว้ที่เอว เริ่มกระโดดดึ๋งดั๋งไปตามราวรั้ว ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดดังพรึ่บพรั่บ ปากก็พร่ำพูดว่าจงมารับคำสั่ง ณ บัดนี้ พูดจาเหลวไหลไปรอบหนึ่งแล้วจึงทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน จบงานแล้ว
ป๋ายเสวียนกลอกตามองบน
หยิบกาน้ำชาจื่อซาขนาดจิ๋วใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ จิบชาหนึ่งอึก คือชาโก่วฉี่
ก่อนหน้านี้หน่วนซู่กลับมาที่ภูเขา เห็นป๋ายเสวียนที่ตั้งโต๊ะจดบัญชีอยู่ในศาลา จึงพูดถึงข้อพิถีพิถันเรื่องกาน้ำชาและการดื่มชาบางอย่างให้เขาฟัง
ป๋ายเสวียนถึงได้รู้ว่านายท่านใหญ่ป๋ายถูกนายท่านใหญ่เฉินหลอกเอาเสียแล้ว
หมี่ลี่น้อยรออยู่พักหนึ่งก็ยังมองไม่เห็นเงาของเรือข้ามฟาก จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “จิ่งชิง จิ่งชิง เวทคาถาของเจ้าดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์เท่าไรเลยนะ”
วันนี้หลิวจ้งรุ่นไปเยือนร้านผ้าห่อบุญมารอบหนึ่งจึงถือโอกาสมาเดินเล่นที่ท่าเรือแห่งนี้ด้วย เลยบังเอิญเจอกับพวกหมี่ลี่น้อยสามคนพอดี
การแต่งกายนั้นของแม่นางน้อยชุดดำ ช่าง…สะดุดตามากจริงๆ
เห็นเงาร่างของหลิวจ้งรุ่น หมี่ลี่น้อยก็รีบวิ่งตะบึงไปหา พอหยุดยืนนิ่งก็ยืดเอวตั้งแหงนหน้าขึ้น เรียกชื่อสามชื่อครบรวดเดียว “คารวะเจ้าเกาะหลิว ผู้ดูแลหลิว พี่หญิงหลิว!”
เจ้าเกาะหลิวคือสถานะผู้ฝึกตน ผู้ดูแลหลิวคือความสัมพันธ์ควันธูปของสองบ้าน พี่หญิงหลิวคือมิตรภาพส่วนตัว
เฉินหลิงจวินกับป๋ายเสวียนกุมหมัดเขย่าให้อยู่ไกลๆ ถือว่าได้ทักทายแล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นที่รู้กันว่าเจ้าเกาะหลิวเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว เกรงใจกันเกินไปกลับกลายจะเป็นการเล่นแง่ไร้เหตุผล
หลิวจ้งรุ่นผงกศีรษะให้สองคนนั้น จากนั้นก็ยิ้มพลางยื่นมือมาลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย
หมี่ลี่น้อยรีบหดคอก้มตัวต่ำ พูดอย่างตื่นตระหนกว่า “ลูบไม่ได้ๆ ข้าเตี้ยกว่าเผยเฉียนตั้งมากแล้ว”
หลิวจ้งรุ่นดึงมือกลับมา ยิ้มถาม “รอคนหรือ?”
หมี่ลี่น้อยกวาดตามองไปรอบด้าน กดเสียงต่ำกระซิบว่า “กำลังรอเจ้าขุนเขาคนดีกับฮูหยินเจ้าขุนเขาอยู่น่ะ”
อีกทั้งเจ้าขุนเขาคนดีได้บอกไว้ในจดหมายแล้วว่าครั้งนี้ยังพาคนสองคนกลับมาบ้านด้วย น่าเสียดายที่ในจดหมายไม่ได้บอกไว้ว่าเป็นใคร
หมี่ลี่น้อยย่อมต้องรีบมารอ จะได้มั่นใจก่อนใครว่ามีแม่นางน้อยที่เป็นฟักแคระติดตามมาด้วยหรือไม่
หลิวจ้งรุ่นพยักหน้า “ไม่อยู่ขัดขวางการรอคนของเจ้าแล้ว ข้าต้องกลับไปที่ภูเขาหลังอ๋าวก่อน”
หมี่ลี่น้อยกล่าว “เจ้าเกาะหลิว วันหน้าหากมีเวลาว่างข้าจะไปเป็นแขกที่ภูเขาบ้านท่านนะ”