กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 889.7 ออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิด
ส่วนลำคลองหลงซวีที่ได้เลื่อนจากลำธารเป็นลำคลองมานานแล้วสายนั้น หม่าหลันฮวาก็ได้เลื่อนจากแม่ย่าลำคลองเป็นเทพลำคลองด้วย แม้ว่าระดับขั้นจะไม่สูง แต่เดิมทีก็ควรได้สร้างศาลและร่างทอง แต่ฟังจากคำพูดของชุยตงซาน หยางเหล่าโถวเคยให้คำสัญญากับหญิงชราจากตรอกซิ่งฮวาผู้นั้นว่า รอให้ผ่านไปสามสิบปีก่อนนางถึงจะสามารถเสวยสุขกับควันธูปได้
เมืองหงจู๋นอกจากจะเป็นสถานที่ที่แม่น้ำสามสายไหลมารวมกันแล้ว อันที่จริงก็มีคำเรียกขานว่าห้าลำธารเช่นกัน หนึ่งในนั้นคืออำเภอหลันซี (หรือลำธารหลันซี) ที่อยู่เหนือแม่น้ำอวี้เย่ ถูกขนานนามว่าเป็นเอวของหกน้ำ ถือว่าเป็นอำเภอใหญ่จังหวัดเล็กตามแบบฉบับ ขนมซูปิ่ง ลูกหยางเหมยและลูกผีผาของที่นั่นต่างก็มีชื่อเสียงมาก บริเวณใกล้เคียงกับลำธารหลันซียังมีหน้าผาเซียนหลบฝนและแม่น้ำใต้ดินที่เชื่อมโยงกับแม่น้ำชงตั้นอยู่อย่างลับๆ
ศาลแม่น้ำอวี้เย่และจวนเทพวารี เฉินผิงอันต้องไปเยือนรอบหนึ่งแน่นอน
เทพวารีเย่ชิงจู๋ก็ต้องพบหน้ากันสักครั้ง
หมี่ลี่น้อยยกมือขึ้นป้องปาก หัวเราะฮ่าๆ “เรื่องเล็กน้อย ไม่รีบร้อนๆ”
ลดมือลงแล้ว หมี่ลี่น้อยก็ขยับเชือกร้อยกระเป๋าผ้าฝ้าย หนักจัง ปวดไหล่ไปหมดแล้ว
เรื่องน้อยใหญ่ทั้งหลาย อันที่จริงมีอยู่ไม่น้อย
ลูกศิษย์อย่างจ้าวซู่เซี่ย จ้าวหลวนหลวน จางเจียเจิน ผู้ฝึกตนสายยันต์เจี่ยงชวี่…
วันหน้ายังต้องมอบชั้นวางสมบัติที่ทำขึ้นเองกับมือให้เผยเฉียนด้วย
เรือนด้านหลังร้านยาตระกูลหยางยังมีจดหมายอีกฉบับที่รอให้ตนไปอ่าน
รอกระทั่งจนกลับมาจากเขตชิงหยวนแล้ว เฉินผิงอันจะต้องสอนวิชาหมัดอย่างจริงจังให้กับเผยเฉียนผู้เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่
หาตลาดแห่งหนึ่ง อำเภอแห่งหนึ่งที่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นหวงถิง ในอนาคตจะต้องเป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียน
มาถึงที่เรือนไม้ไผ่
จูเหลี่ยนพาเสี่ยวโม่กับเซียนเว่ยไปนั่งที่โต๊ะหินริมหน้าผา
หนิงเหยาเข้าห้องไปพร้อมกับเฉินผิงอัน
พูดถึงแค่ที่พักในชั้นหนึ่งของเจ้าขุนเขาอย่างเฉินผิงอันก็มี ‘เทียบ ณ ขณะนั้น’ ของอู๋ซวงเจี้ยงอยู่ กลิ่นอายแห่งมรรคาของตราประทับสองตราที่อยู่บนเทียบอักษรได้สลายหายไปแล้ว แต่กลับยังเหลือชื่อลงท้ายที่รวบรวมท่วงทำนองแห่งมรรคาเอาไว้ ‘หัวใจเหมือนดอกบัวเขียวบนโลก’
และยังมีเทียบอักษรอีกสองเทียบที่อาจารย์ของตนขอมาจากซูจื่อ หลิ่วชีอย่างเทียบบุปผาผลิบาน เทียบขอสุราที่ก็แฝงเร้นไปด้วยท่วงทำนองแห่งมรรคา มีโชคชะตาบุ๋นเปี่ยมล้นเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้เข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋น ได้เจอกับหลินชิงเค่อชิงของสกุลชิวอวี๋โจวแห่งหลิวเสียทวีปโดยบังเอิญ ทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันมาก ผู้เฒ่าได้มอบตราประทับสลักนูนต่ำให้เฉินผิงอันชิ้นหนึ่ง วัตถุดิบที่ใช้ดีเยี่ยม
อักษรริมขอบเป็นคำว่า ‘ท้องฟ้าตะวันตกฉาบสีทอง คือจุดที่ดวงตะวันลาลับ เซียนเมาสุรา ดวงจันทร์ลอยสูง กระบี่บินดุจสายรุ้ง สองเท้ากระทืบรากดินทางทิศใต้ ฝ่ามือพลิกกลับประตูสวรรค์แห่งดาวเหนือ’
อักษรด้านล่างของตราประทับคือ ‘เคยพบคนชุดเขียว’
วางตราประทับชิ้นนี้ลงบนโต๊ะหนังสืแล้วเฉินผิงอันก็เอาหลิงจือหยกขาวที่แกะสลักเนื้อหาความหมายแฝงได้งดงามอย่างถึงที่สุดวางลงบนชั้นวางหนังสือเบาๆ
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือออกมา ขยับตำแหน่งที่วางหลิงจือหยกขาวเล็กน้อย
เหมือนกับนกนางแอ่นคาบดินโคลนมาทำรัง เหมือนมดย้ายบ้าน เหมือนคำกล่าวที่ว่าเหลือกินเหลือใช้ทุกปี
หลังจากที่พ่อแม่จากไป ก่อนอายุสิบสี่พอจะฝืนรักษากิจการของตระกูลเอาไว้ได้ โชคดีที่หลังจากนั้น ทุกปีที่ผันผ่านล้วนเป็นปีที่ดี
จากนั้นเฉินผิงอันก็พาหนิงเหยา เรียกเสี่ยวโม่และเซียนเว่ยให้ลงจากภูเขาไปด้วยกัน เขาจะไปตรวจบัญชีที่ร้านฉ่าวโถวและร้านยาสุ้ยที่ตรอกฉีหลง
หมี่ลี่น้อยไม่ได้ตามไปด้วย นางต้องไปลาดตระเวนภูเขานะ
แม่นางน้อยวิ่งตะบึงไปอย่างร่าเริงพลางร้องเพลงไปด้วยว่าเต้าหู้เหม็นอร่อยนะ เมล็ดแตงทองหนักมากเลยไปตลอดทาง
เซียนเว่ยเพิ่งจะสะสมความมั่นใจจากบนภูเขามาได้เล็กน้อย พอได้เห็นสองร้านนี้ในตลาดก็ให้รู้สึกอ่อนใจเป็นทบทวีอีกครั้ง
นี่ก็คือต้นกำเนิดเงินทองของภูเขาบ้านตนหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็พอๆ กับตนเลยน่ะสิ ทุกวันได้แต่เก็บหอมรอมริบเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก? ช่างเถิด หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องให้ตนลงมือเอง กลับมาทำกิจการเก่าอีกครั้งก็แล้วกัน ระหว่างที่เดินทางมาเห็นว่าถนนและตรอกของเมืองเล็กหลายเส้นดูโอ่อ่าร่ำรวย วันหน้าจะลองไปดูว่าจะหาเส้นทางทำเงินจากที่นั่นได้หรือไม่
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเผยเฉียนชื่อเดิมคือโจวจวิ้นเฉิน ชื่อเล่นคืออาหมาน ฉายาว่าเจ้าใบ้น้อย
เขายืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้านหลังโต๊ะคิดเงิน วันนี้เด็กชายเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์ปู่อย่างที่หาได้ยาก
เฉินผิงอันอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ ก่อนจะยิ้มถามว่า “อาหมาน เจ้าคิดจะยืมเงินจากข้าหรือ?”
อาหมานส่ายหน้า บอกตามตรงว่า “แค่อยากจะขอให้อาจารย์ปู่ช่วยตรวจสอบให้กระจ่าง ควบคุมคนบางคนที่เฝ้าของเองขโมยเองให้ดีๆ หน่อย”
เด็กชายผมขาววิ่งมาจากเรือนด้านหลัง เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “อาหมาน ทุกวันนี้มีครั้งไหนที่ข้ากินขนมแล้วไม่จ่ายเงินบ้าง?! ใส่ร้ายคนอื่นก็ต้องมีหลักฐานนะ!”
อาหมานหัวเราะหึหึพูดว่า “กินต่อหน้าข้าน่ะจ่ายเงินแล้ว แต่ส่วนที่ถูกเจ้าแอบขโมยกินเล่า? ข้ารู้หรอกนะ”
เด็กชายผมขาวกลอกตาไปมา “อันที่จริงเป็นชุยฮวาเซิงร้านข้างกันต่างหากที่ขโมยกินขนม ข้าห้ามไม่ได้ แล้วก็ตีนางไม่ได้ด้วย”
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว
เด็กชายผมขาวจ้องคนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว สองมือเท้าเอวฉับ ผงกปลายคางชี้ “เจ้า ขอบเขตอะไร ไหนลองว่ามาสิ”
มีความรู้สึกว่าไอ้หมอนี่ค่อนข้างอันตราย
เทวบุตรมารนอกโลกที่มีนามว่าคงโหวผู้นี้ อันที่จริงชื่อเดิมในตำหนักสุ้ยฉูคือ ‘เทียนหราน’
ไม่รู้ว่าประสาทเส้นไหนในสมองกระตุกหรือว่าอย่างไร ถึงกับมีความคิดอยากจะรับลูกศิษย์ โหวกเหวกว่าจะเป็นอาจารย์ พอเป็นอาจารย์แล้วผ่านไปอีกสองสามวันก็จะเอาอย่างบรรพบุรุษอิ่นกวานเป็นอาจารย์ปู่บ้างแล้ว
มักจะอยู่ที่เรือนด้านหลังเพียงลำพัง ชอบกระโดดโลดเต้นชูไม้ชูมือหันไปทางทิศที่ตั้งของภูเขาลั่วพั่ว ตะโกนว่าขึ้นเขาแล้ว ขึ้นเขาแล้ว จะไปแย่งลูกศิษย์ คนเดียวไม่รังเกียจว่าน้อย สองคนไม่รังเกียจว่ามาก หนึ่งคนยกชาหนึ่งคนยกน้ำ…
นอกจากนี้หากไม่คอยเปลี่ยนสารพัดวิธีไปหลอกเอาเงินมาจากชุยฮวาเซิง ก็จะนั่งคาบไม้จิ้มฟันอยู่หน้าประตูร้าน แยกเขี้ยวแสยะปากอยู่กับตัวเอง
อายุน้อยแค่นี้ก็ผมขาวเต็มหัวแล้ว
เพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อายุมากแล้วเคยมาโน้มน้าวเถ้าแก่สือด้วยความหวังดีเป็นการส่วนตัวว่า รีบพาเด็กน้อยที่น่าสงสารผู้นี้ไปหาหมอเถอะ เงินบางอย่างก็ไม่ควรประหยัด
อันที่จริงเสี่ยวโม่ก็ประหลาดใจอย่างมาก ในร้านถึงกับมีเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งด้วย?
ส่วนผีสาวที่สวมคราบร่างเซียนบุรุษผู้นั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “ขอบเขตอะไรล้วนเป็นมายาล่องลอย”
มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินฝีเท้าเร่งร้อนมาจากร้านฉ่าวโถว ยอบกายคารวะเฉินผิงอันอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “บ่าวชุยฮวาเซิงคารวะท่านเจ้าขุนเขา”
เฉินผิงอันผงกศีรษะยิ้มรับ แต่แท้จริงแล้วกลับรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง
เถียนหว่านแห่งภูเขาตะวันเที่ยง ศิษย์น้องหญิงของโจวจื่อถูกชุยตงซานและเจียงซ่างเจินร่วมมือกันไปสกัดขวาง ผลคือถูกชุยตงซานดึงหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณออกมาขยี้รวมเป็นไส้ตะเกียง แล้วบรรจุใส่ไว้ใน ‘แจกันดอกไม้’ ใบหนึ่ง จึงกลายมาเป็นเด็กสาวที่ช่วยงานเบ็ดเตล็ดอยู่ในตรอกฉีหลงทุกวันนี้ นามว่าชุยฮวาเซิง ทุกวันนี้นางถือว่าเป็นน้องสาวบุญธรรมในนามของชุยตงซาน
และชุยตงซานก็ยังได้พื้นที่ลับถ้ำสวรรค์ที่ระดับขั้นสูงมากแต่กลับไม่มีชื่อแห่งหนึ่งมาจากเถียนหว่าน แม้ว่าจะไม่ติดอันดับเจ็ดสิบสองถ้ำสวรรค์เล็ก แต่ตามคำกล่าวของเถียนหว่าน วัตถุดิบวิเศษแห่งสวรรค์ที่อยู่ด้านในและโชคชะตาบนมหามรรคาต่างก็สามารถประคับประคองการฝึกตนหลอมลมปราณของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้
ความนัยในคำพูดนี้ก็คือเซียนดินคนหนึ่ง ขอแค่การฝ่าทะลุขอบเขตบนเส้นทางการฝึกตนราบรื่นพอก็จะสามารถอยู่ในถ้ำสวรรค์ที่ตัดขาดกับโลกภายนอกแห่งนี้ได้ตลอด ไม่จำเป็นต้องใช้ของนอกกายก็สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้
ในนั้นยังมีจวนเซียนเจี้ยงเชวียที่ลี้ลับมหัศจรรย์เหมือนเป็นถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง และยังมีลำธารตันซีที่ธาตุน้ำหนักทึบ น้ำไหลเหมือนหยก เหมาะกับการนำมาหลอมเป็นโอสถมากที่สุด นอกจากนี้ก็มีภูเขาชื่อซงที่มีวัตถุดิบล้ำค่าอย่างเห็ดฝูหลิง เห็ดหลิงจือ โสมคน ฯลฯ ต้นไม้วิเศษพืชพรรณเซียนมากมายเกินคณานับ
ราวกับเป็นคลังสมบัติธรรมชาติที่แค่เอื้อมมือก็คว้ามาครองได้
ในเมื่อถ้ำสวรรค์แห่งนี้เป็นเจ้าสำนักเบื้องล่างอย่างชุยตงซานที่นำกลับมา ถ้าอย่างนั้นตามเหตุตามผลแล้วก็ควรเอาไปไว้ที่สำนักเบื้องล่างในใบถงทวีป
เพราะถึงอย่างไรที่ภูเขาลั่วพั่วซึ่งเป็นสำนักเบื้องบนก็มีพื้นที่มงคลรากบัวที่เลื่อนขั้นเป็นระดับสูง อีกทั้งยังถึงคอขวดแล้วอยู่ด้วย บวกกับบ่อตรวนมังกรที่ถือเป็นการเชื่อมโยงถ้ำสวรรค์กับพื้นที่มงคลไว้ด้วยกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ในนั้นยังมีแคว้นหูที่จูเหลี่ยนเป็นคนหลอกเอามาอยู่ด้วย
เพียงแต่เนื้อติดมันชิ้นโตที่ชุยตงซานสนใจอย่างแท้จริงกลับเป็นถ้ำสวรรค์ฉานทุ่ยที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมานานแห่งนั้น
น่าเสียดายที่เถียนหว่านไม่ได้โกหก มันไม่ได้อยู่ที่นางจริงๆ
แน่นอนว่าไม่ได้อยู่ที่นาง ไม่ได้หมายความว่านางไม่รู้ว่าถ้ำสวรรค์แห่งนี้อยู่ที่ไหน คิดดูแล้วด้วยนิสัยของชุยตงซานต้องไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน
เพราะถ้ำสวรรค์ในยุคบรรพกาลแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในซากปรักที่สำคัญที่สุดของอาณาเขตสู่โบราณ เล่าลือกันว่ามีเซียนกระบี่บรรพกาลหลายท่านที่ลอกคราบแล้วบินทะยานอยู่ที่นี่ กลายเป็นเซียนยามทิวา จิตแห่งเซียนหลุดพ้น ทิ้งเนื้อหนังเหมือนคราบร่างเอาไว้ ล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้
เฉินผิงอันบอกให้เสี่ยวโม่กับเซียนเว่ยอยู่ที่ร้าน อีกเดี๋ยวจะกลับไปที่ภูเขาด้วยกัน
ตนพาหนิงเหยาเดินไปบนขั้นบันไดของตรอกฉีหลง เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นจนไปถึงขั้นบนสุด เฉินผิงอันก็หันหน้ากลับไปมอง
จากนั้นก็เดินกันไปจนถึงตรอกหนีผิง ระหว่างนี้ยังผ่านตรอกซิ่งฮวาด้วย
ปีนั้นร้านของโจวจื่อก็ตั้งอยู่ที่นี่
นักพรตเฒ่าตาบอดที่เมากรึ่มๆ คนหนึ่งกลับมาที่ตรอกฉีหลง นี่ก็เพราะว่าไปช่วยงานมงคลให้กับเพื่อนบ้านมาจึงดื่มเหล้าไปไม่น้อย ไม่ยอมรับซองแดง ก็ญาติที่อยู่ห่างไกลสู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงไม่ได้นี่นะ หากตนยังรับเงินก็เกินไปหน่อยแล้ว ไม่มีมาดแห่งเซียนมากพอ
รอกระทั่งเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยได้ยินว่าเจ้าขุนเขาเฉินกับฮูหยินเจ้าขุนเขาเพิ่งจะออกจากตรอกฉีหลงไปไม่นาน นักพรตเฒ่าก็กระทืบเท้า ตีอกชกตัว เสียใจภายหลังยิ่งนัก
ถึงอย่างไรก็เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรแล้ว แม้เจี่ยเฉิงจะตาบอด แต่แค่โคจรลมปราณเล็กน้อย อันที่จริงการมองเห็นก็เหมือนคนปกติ ได้ยินมาว่าเสี่ยวโม่คือผู้ถวายงานบนภูเขาที่เพิ่งถูกรับมาใหม่ และยังมีเซียนเว่ยที่มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นนักพรตตัวปลอม ซึ่งอีกฝ่ายจะมาเป็นเค่อชิง เขาก็รีบลากคนทั้งสองไปดื่มเหล้าที่ร้านของตัวเองทันที เด็กชายผมขาวจึงตามไปขอกินด้วย ดื่มเหล้ามื้อหนึ่งด้วยกัน กับแกล้มมีมาวางจานแล้วจานเล่า ทำเอาเซียนเว่ยดื่มจนน้ำหูน้ำตาไหลพราก ใบหน้าแดงก่ำ มือหนึ่งยกถ้วยเหล้า อีกมือหนึ่งกุมมือของนักพรตเฒ่าที่วางไว้บนโต๊ะแน่นแล้วเขย่าแรง ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย ล้วนอยู่ในสุราหมดแล้ว
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยที่เคยท่องยุทธภพมาก่อนย่อมเข้าใจความยากลำบากอย่างลึกซึ้ง อีกฝ่ายสมกับเป็นคนรู้ใจของตนจริงๆ
ต่อให้ใครมาไล่ตนไป ให้ตายตนก็ไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น
ส่วนเฉินหลิงจวิน เมื่อครู่เพิ่งจะสอนพี่น้องเสี่ยวโม่ให้เล่นทายหมัด คนทั้งสองจึงกำลังเล่นกันส่งเดชอยู่ตรงนั้น
เฉินผิงอันพาหนิงเหยาเดินไปทางตรอกหนีผิง
หากมีการสร้างสำนักเบื้องล่างแห่งที่สองขึ้นมา ภูเขาลั่วพั่วจะเลื่อนขั้นกลายเป็น ‘สำนักดั้งเดิม’ และสำนักเบื้องล่างก็จะได้ขยับเลื่อนเป็นสำนักเบื้องบน
ตระกูลเซียนที่เป็น ‘สำนักดั้งเดิม’ ในหลายๆ ใต้หล้า มีน้อยจนนับนิ้วได้
เหมือนอย่างใต้หล้าไพศาลก็มีอยู่แค่สองแห่งเท่านั้น
เดินไปถึงตรอกเล็กที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เฉินผิงอันก็ไปหยุดเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้านบรรพบุรุษ มองเรือนพักของซ่งจี๋ซินที่อยู่ติดกันแวบหนึ่ง ไม่รีบร้อนเก็บเอาเศษเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตกลับมา
จากนั้นก็ขยับเส้นสายตามองไปที่เรือนด้านข้างอีกด้าน นับตั้งแต่ตนจำความได้ ดูเหมือนบ้านหลังนี้จะไม่เคยมีคนอยู่
หนิงเหยาเองก็เหลือบตามองบ้านที่อยู่ติดกันซึ่งเป็นบ้านของนายบ่าวคู่นั้น จำได้ว่าปีนั้นเหมือนได้เห็นสตรีฟักแคระที่แสร้งวางมาดใส่นาง หากอีกฝ่ายไม่เขย่งเท้า ก็คงได้แค่โผล่ศีรษะพ้นกำแพงมาแค่ครึ่งเดียว
เฉินผิงอันเปิดประตูบ้านและเปิดประตูห้อง ในลานบ้านในห้องล้วนสะอาดเอี่ยม บนประตูแปะกลอนคู่และตัวอักษรฝูไว้ด้วย
เฉินผิงอันเข้าไปในห้อง นอนฟุบตัวบนโต๊ะ เอาคางวางเกยไว้บนแขน
หนิงเหยาถาม “เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบ “ได้ภรรยาที่เป็นเช่นนี้ คนเป็นสามียังจะต้องการอะไรอีก”
หนิงเหยาเท้าคางด้วยมือข้างเดียว
เฉินผิงอันนั่งอยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน
หนิงเหยารู้ว่าเขาจะไปที่ไหน
เดินเท้าออกจากตรอกเล็ก เดินผ่านสะพานโค้งบนลำคลองหลงซวี เฉินผิงอันกับหนิงเหยาก็เดินเท้าไปบนเส้นทางเดินเข้าป่าด้วยกัน
ไปถึงที่สุสาน
เฉินผิงอันยื่นธูปส่งให้หนิงเหยาสามดอก ตัวเองถือไว้สามดอก จุดธูปคารวะด้วยกัน
จากนั้นเฉินผิงอันก็ทรุดตัวลงนั่งยองแล้วเริ่มเติมดินลงบนหลุมศพ
หนิงเหยานั่งยองอยู่ด้านข้าง หยิบถุงใบเล็กใบหนึ่งออกมา ถามเสียงเบาว่า “ข้าเอามาจากใต้หล้าห้าสี เหมาะสมหรือไม่?”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เหมาะสิ ทำไมจะไม่เหมาะล่ะ”
หนิงเหยาโล่งอก
รับถุงใบนั้นมา เทดินที่อยู่ข้างในออกแล้วตบลงเบาๆ สองสามที เพิ่มความแน่นให้กับดินบนหลุมศพ
เฉินผิงอันตาแดงก่ำ น้ำเสียงแหบพร่า แค่เรียกสองคำว่าท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็เหมือนว่าจะพูดไม่ออกอีก ได้แต่พึมพำเบาๆ ริมฝีปากสั่นระริก
ราวกับเป็นปีที่อายุสิบสี่ เด็กหนุ่มรองเท้าสานเพิ่งจะออกจากบ้านเดินทางไกลอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
เริ่มอยู่ไกลห่างจากบ้านเกิด
แต่เฉินผิงอันไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ต่อให้เป็นหนิงเหยา หลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เคยเล่า
อันที่จริงเส้นทางใต้เท้าที่เดินผ่านมานี้ ปีนั้นภายใต้การช่วยเหลือของพวกเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง เด็กชายสวมรองเท้าสานผิวเหลืองผอมแห้งเดินอยู่ด้านหน้าสุดของโลงศพ
จากตรอกหนีผิงเดินมาจนถึงที่แห่งนี้ เส้นทางเส้นนั้นต่างหากจึงจะเป็นการเดินทางไกลที่เส้นทางยาวไกลที่สุดในชีวิตนี้ของเฉินผิงอัน
บางทีอาจเป็นเพราะการมาเยือนหลุมศพวันนี้ข้างกายมีนางเพิ่มมา หนิงเหยา สตรีที่รักที่จะต้องแต่งเข้าบ้านมาให้ได้
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาอีกหนึ่งกา หลังจากราดลงบนหลุมศพแล้วก็เอากาเหล้าวางไว้บนดินข้างฝ่าเท้าเบาๆ
บุรุษนั่งยองอยู่บนพื้น มือหนึ่งปิดหน้า ไหล่สั่นสะท้าน เสียงคร่ำครวญเบาๆ ดังลอดจากร่องนิ้ว
ราวกับว่าจนกระทั่งเวลานี้วันนี้ ผิงอันน้อยของปีนั้น เฉินผิงอันในวันนี้ เพิ่งจะได้ก่อร่างสร้างตัวอย่างแท้จริงแล้ว
เขาถึงได้กล้ามาที่หลุมศพของพ่อแม่ แล้วบอกกับพวกเขาว่าตัวเองมีชีวิตที่ดีมาก