กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 890.1 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์
เฉินผิงอันกับหนิงเหยาเดินกลับเมืองเล็ก อำเภอไหวหวงที่ไม่ได้มีแค่ที่ว่าการผู้ตรวจการแห่งเดียวอีกต่อไป คนทั้งสองเดินผ่านเหลาสุราเก่าแก่แห่งหนึ่ง กินอาณาบริเวณไม่ใหญ่ แต่กลับมีถึงสามชั้น ที่นี่เคยเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมืองเล็ก แต่ชั้นที่สามไม่เปิดให้คนนอกเข้า
เฉินผิงอันเกิดความคิดกะทันหันจึงบอกว่าจะไปดื่มเหล้าข้างใน ยังยิ้มเอ่ยกับหนิงเหยาว่าในอดีตมีแค่คนมีเงินของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่เท่านั้นถึงจะมาดื่มเหล้าที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็เป็นอาจารย์ในเตาเผามังกรที่จัดงานเลี้ยงสุรารับลูกศิษย์อยู่ที่นี่
ได้พูดคุยที่ศาลเทพอัคคีของเมืองหลวง เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่าอันที่จริงเหลาสุราแห่งนี้คือกิจการของเฟิงอี๋ ชั้นสามก็คือที่พักของนาง
นอกจากนี้เฟิงอี๋ยังสะสมโฉนดที่ดินไว้ไม่น้อย นางยังแพร่งพรายความลับสวรรค์บอกว่าเตาเผามังกรทั้งหลายที่ทุกวันนี้กลายเป็นเตาของชาวบ้านแล้ว เกินครึ่งล้วนอยู่ในนามของสารถีเฒ่า เวลาปกติสารถีเฒ่าจะพักอยู่ที่ตรอกเอ้อหลาง ส่วนลู่เหว่ยแห่งสำนักหยินหยางแผ่นดินกลางเองก็มีเรือนอยู่บนถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่อยู่หลายหลัง
เฉินผิงอันเลือกโต๊ะที่อยู่ติดกับหน้าต่าง สั่งเหล้ามาแค่กาเดียว กาเหล้ากับชามเหล้าล้วนเป็นเครื่องกระเบื้องลายครามที่เผาในท้องถิ่น
หนิงเหยาดื่มเหล้าแค่หนึ่งชาม แต่กลับไม่ได้ห้ามไม่ให้เฉินผิงอันดื่มเหล้า
เหลาสุราแห่งนี้ ในอดีตเคยมีแขกที่หายากท่านหนึ่งมาเยือน
แม้แต่เถ้าแก่ร้านเหล้าในนามก็ยังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แต่เจ้าของเหลาสุราตัวจริงอย่างเฟิงอี๋กลับเคยถอนหายใจแผ่วๆ
อาจารย์ในโรงเรียนที่เส้นผมตรงจอนหูสองข้างเป็นสีดอกเลา เคยมาสั่งเหล้าหนึ่งกาและกับแกล้มสองสามจาน กินดื่มอยู่กับตัวเอง
และหากมองจากหน้าต่างชั้นสองของเหลาสุราออกไปก็จะมองเห็นกรอบป้ายหนึ่งของซุ้มป้ายบนประตูพอดี ไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่พึงกระทำ
ดื่มเหล้าและกินอาหารเสร็จ เฉินผิงอันหน้าแดงน้อยๆ แต่ดวงตากลับเจิดจ้าสว่างไสว เขายืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองไปทางซุ้มประตูหินครู่หนึ่ง พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ลงจากเหลาสุราย้อนกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วพร้อมกับหนิงเหยา
เรือนทางทิศตะวันตกสุดเป็นบ้านของหลี่ไหว เมื่อหลายปีก่อนที่นี่ยังจัดงานเลี้ยงสุรามงคล เป็นหลี่หลิ่วที่แต่งงานให้กับบัณฑิตจากต่างถิ่น ว่ากันว่าเป็นคุณชายจากตระกูลขุนนาง ทำให้สตรีออกเรือนแล้วมีหน้ามีตาครั้งใหญ่ ไม่ด่าใครแล้ว ช่วงเวลานั้นสตรีออกเรือนแล้วชอบออกไปเดินเล่นเป็นที่สุด เจอใครก็ยิ้มให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูบ้านใกล้เรือนเคียงจำนวนไม่น้อยที่เคยทะเลาะโต้เถียงกันหรือถึงขั้นเคยข่วนหน้ากันมาก่อน เพียงแต่ว่าเวลานี้คนทั้งครอบครัวได้ย้ายกลับไปที่อุตรกุรุทวีปอีกครั้งแล้ว
หนิงเหยาประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าหลี่หลิ่วจะแต่งงานกับใคร เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดูเหมือนจะเป็นการตัดบุพเพของชาติก่อน สะบั้นเรื่องราวในโลกโลกีย์ นับจากนี้ตั้งใจฝึกตน เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานย่อมมีปัญหาไม่มาก”
หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หนิงเหยาเอียงศีรษะ
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าบอกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
อันที่จริงในนี้ได้ซ่อนความลับอย่างหนึ่งเอาไว้ ต่งสุ่ยจิ่งและหลินโส่วอีถึงยังไม่ตัดใจอย่างสิ้นเชิง หรือควรจะพูดว่าพวกเขาสองคนถึงได้ไม่เอาถุงผ้าป่านไปครอบหัวเจ้าตะพาบผู้นั้น
เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะที่เฉินผิงอันจะพูดออกมาจริงๆ ความจริงน่ะหรือ น่าจะมีแค่ทางนิตินัย แต่ไม่มีในทางพฤตินัย ส่วนบัณฑิตผู้นั้นจะคิดอย่างไร สวรรค์เท่านั้นที่รู้
วันนี้โต๊ะตัวหนึ่งบนภูเขาลั่วพั่วครึกครื้นอย่างยิ่ง คนนั่งกันจนเต็มโต๊ะ
ตำแหน่งประธานที่นั่งหันหน้าเข้าหาประตูเป็นเฉินผิงอันกับหนิงเหยาที่นั่งอยู่
จูเหลี่ยน เหวยเหวินหลงและจางเจียเจินที่ดูแลห้องบัญชี
หมี่อวี้ เสี่ยวโม่ เซียนเว่ย
ตำแหน่งท้ายสุดที่นั่งหันหลังให้ประตูคือเฉินหลิงจวิน หมี่ลี่น้อย เฉินหน่วนซู่
ก่อนหน้านี้พ่อครัวเฒ่าทำอาหารง่วนอยู่ในห้องครัว หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยต่างก็ช่วยเลือกผัก ช่วยกระพือลมใส่เตาไฟ เสี่ยวโม่รับผิดชอบยกอาหารขึ้นโต๊ะ
ทำเอาเซียนเว่ยที่มองดูอยู่ส่ายหน้า เสี่ยวโม่ผู้นี้ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกเลยจริงๆ ก็จริงนะ ตนก็ไม่ใช่คนนอก อีกเดี๋ยวก็จะได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยและเฉินหลิงจวินแล้ว รอแค่พี่ใหญ่เจี่ยเลือกวันฤกษ์งามยามดี พวกเขาสามคนก็จะตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองที่ตรอกฉีหลงกันแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนโต๊ะเหล้า เฉินหลิงจวินตบไหล่เขาจนปวด แต่ไม่เป็นไร ล้วนเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน อีกอย่างเฉินหลิงจวินก็ตบอกรับประกันแล้วว่าน้องเซียนเว่ยเจ้ารอไปก่อนเถอะ มีสุขร่วมเสพ รับรองว่าได้กินของอร่อยๆ แน่นอน วันหน้าขอแค่มีงานเลี้ยงสุรา หากครั้งใดที่บนโต๊ะมีกลับแกล้มแค่สองสามอย่างก็ถือว่าเขาเฉินหลิงจวินไร้คุณธรรมในยุทธภพ ปฏิบัติต่อพี่น้องไม่ดีพอ!
ตอนนั้นพี่ใหญ่เจี่ยตบโต๊ะ อยู่ดีๆ ก็ด่าขึ้นมาว่าผายลมมารดาเจ้าน่ะสิ ทำเอาเซียนเว่ยตกใจจนเกือบจะสร่างเมา กลับกลายเป็นว่าเฉินหลิงจวินผู้นั้นลุกขึ้นยืนบนม้านั่ง สองมือเท้าเอว หัวเราะฮ่าๆ
ที่แท้เซียนเว่ยก็ตกใจไปเอง เนื่องจากเพียงไม่นานเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็เอ่ยสองสามประโยคอย่างคนปากเร็วใจถึง บอกว่าน้องเฉินเจ้าดูแคลนร้านฉ่าวโถวของข้าหรือ หรือว่ารังเกียจฝีมือการทำกับข้าวของข้ากันแน่? ดื่มเหล้าต่อให้ดื่มเมาแค่ไหนก็ไม่อาจคุยโวส่งเดชได้ เทียบกับผู้ดูแลผู้เฒ่าจูของบนภูเขาไม่ได้ นั่นมันแน่อยู่แล้ว แต่มาตรฐานในการทำกับแกล้มสองสามจานของข้าเจี่ยเฉิง เหลาสุราในเมืองเล็กมีพ่อครัวใหญ่สักกี่คนที่เทียบข้าได้?! หา?!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยยังลากคำว่า ‘หา’ ยาวๆ อีกด้วย ทำเอาเซียนเว่ยฟังแล้วอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
นี่ต่างหากจึงจะเป็นยุทธภพและงานเลี้ยงสุราที่ตัวเองใฝ่ฝันหา
ส่วนวันนี้เวลานี้น่ะหรือ ขาดความหมายไปเล็กน้อย แต่รสชาติอาหารของอาจารย์ผู้เฒ่าจูกลับสุดยอดไปเลยจริงๆ
อีกอย่างก็คือไม่ต้องมีใครคอยทำตัวสำรวม แล้วก็ไม่มีพิธีการยิบย่อยที่ต้องคารวะสุราให้แก่กันและกันอะไร ใครที่ดื่มเหล้าได้ก็ดื่ม กินข้าวก็กิน ถึงขั้นที่ว่าไม่มีข้อพิถีพิถันส่งเดชที่บอกว่ายามนอนไม่คุยยามกินไม่พูดอีกด้วย
จูเหลี่ยนจิบเหล้าเสียงดังซู้ด แล้วยิ้มถาม “น้องเสี่ยวโม่ นักพรตเซียนเว่ย พอจะกินกันได้หรือไม่?”
เซียนเว่ยจ้วงตะเกียบเร็วราวกับบิน ก้มหน้าเอ่ย “กินได้สิ ต้องได้แน่อยู่แล้ว”
เสี่ยวโม่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถือจอกเหล้าด้วยสองมือ เงยหน้ากระดกดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นค่อยคว่ำจอกเหล้าลง
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถามจูเหลี่ยน “ทำไมเฉินยวนจีถึงไม่มาล่ะ? นางกลัวว่าคนเยอะจะไม่มีที่นั่งหรือ?”
เจี่ยงชวี่กำลังปิดด่านฝึกตน เฉินผิงอันจึงไม่ได้บอกให้จูเหลี่ยนเรียกเขามา
จูเหลี่ยนยิ้มอธิบาย “ไม่ใช่ ทุกวันนางจะกินอาหารแค่สองมื้อคือเช้าและเย็นแบบที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน อีกทั้งยังกินอาหารที่เป็นยา วันนี้เวลากินอาหารของพวกเราไม่ตรงกับของนาง นางจึงไม่มา สตรีนี่นะ ต่อให้ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงแค่ไหนก็กลัวคำว่าอ้วนอยู่ดี อีกอย่างข้าก็บอกนางแล้วด้วย นางบอกว่าวันหน้าจะต้องเลี้ยงอาหารเจ้าขุนเขากับฮูหยินเจ้าขุนเขาโดยเฉพาะเพื่อแสดงการขอบคุณ”
เฉินผิงอันได้ยินก็หลุดขำอย่างอดไม่อยู่ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้พึ่งบารมีแล้ว”
นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เฉินผิงอันจึงใช้เสียงในใจถามต่อว่า “ทุกวันนี้พ่อแม่ของเฉินยวนจีอายุเท่าไรกันแล้ว ทั้งสองยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ไหม? คราวก่อนที่กลับบ้านเกิด ข้าได้ยินหมี่ลี่น้อยเล่าให้ฟังว่าท่านแม่ของเฉินยวนจีป่วยโดนลมเย็น”
จูเหลี่ยนกล่าว “ก่อนหน้านี้ตงซานแสร้งปลอมตัวเป็นหมอไปช่วยตรวจดูให้แล้ว ไม่เป็นอะไรมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ต้องคอยใส่ใจให้มาก”
จูเหลี่ยนผงกศีรษะรับคำ
กินอาหารด้วยกันแล้วหนึ่งมื้อ เฉินผิงอันก็ให้หน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยช่วยนำทาง ต้องการไปเยือนเรือนพักของเผยเฉียน
เฉินผิงอันมองกระเป๋าผ้าฝ้ายของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแล้วยิ้มถาม “เมล็ดแตงทองถุงใหญ่ใบนั้นล่ะ? หนักเกินไปก็เลยไม่ได้พกออกจากบ้านด้วยหรือ?”
แม่นางน้อยตบกระเป๋าที่รัก อธิบายให้เจ้าขุนเขาคนดีฟังเสียงเบา “ด้านใน ‘เมืองหลวงสำรอง’ แห่งนี้ ได้แค่ให้กองทัพส่วนหนึ่งปักหลักประจำการแค่ชั่วคราว คอยติดตามข้ากรีฑาทัพขึ้นเหนือลงใต้เท่านั้น กองกำลังหลักให้รอคอยอยู่ที่อื่น ยังไม่เคลื่อนทัพ”
มีเมืองหลวงสำรอง แน่นอนว่าต้องมีเมืองหลวง ก็คือกระปุกกระเบื้องลายครามที่นาง เผยเฉียนและหน่วนซู่ต่างก็มีกันคนละใบ เป็นพ่อครัวเฒ่าที่มอบให้พวกนางทั้งสามคน
ส่วนชื่อเล่นว่าเมืองหลวงและเมืองหลวงสำรอง แน่นอนว่าเป็นฉายาที่เผยเฉียนช่วยคิดให้ เผด็จการอย่างยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเดินเข้ามาในบ้านพักของเผยเฉียน
นี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่เฉินผิงอันไม่ได้หยุดอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วเป็นเวลานานนักด้วย
เกือบสามสิบปี เจ้าขุนเขาอย่างเขาทำตัวเป็นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร้านที่ไม่ได้เกินกว่าเหตุแค่ธรรมดาทั่วไป
ไปถึงห้องของเผยเฉียน ห้องด้านข้างคือที่พัก ส่วนห้องด้านข้างอีกห้องหนึ่ง…ถือว่าเป็นห้องหนังสือของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนี้กระมัง
ห้องหนังสือไม่ได้ลงกลอน อันที่จริงด้านในก็มีตำราอยู่แค่ไม่กี่เล่มเท่านั้น
มีชั้นอันหนึ่งวางติดผนัง ด้านบนวางสมบัติต่างๆ ที่เผยเฉียนสะสมมาตลอดหลายปีที่ออกเดินทางไกล สูงๆ ต่ำๆ จัดวางไว้ตามแต่ใจ แล้วก็ไม่มีระดับขั้นว่าสูงหรือไม่สูงอะไรด้วย
แต่ได้ยินคนรายงานข่าวอย่างหมี่ลี่น้อยเล่าให้ฟังว่า ของหลายชิ้นที่ล้ำค่าที่สุด เผยเฉียนล้วนเอาไปวางไว้ในห้องด้านข้างทั้งหมด
ใต้เตียงยังมีหีบอยู่สองสามใบ บรรจุสมุดบัญชีไว้จนเต็ม แล้วยังใส่กุญแจไว้ด้วย ขนาดพี่หญิงหน่วนซู่ก็ยังไม่มีลูกกุญแจเลยนะ
เฉินผิงอันหยิบชั้นวางสมบัติสามชิ้นหนึ่งใหญ่สองเล็กออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ตั้งแต่หยิบวัสดุจนถึงการประกอบ เขาล้วนลงมือทำด้วยตัวเอง ชั้นวางสมบัติขนาดเล็กสามารถเก็บและเอาออกมาได้ทั้งชิ้น ส่วนชิ้นใหญ่ เฉินผิงอันต้องเป็นช่างไม้จำเป็น นั่งยองอยู่บนพื้นประกอบมันขึ้นมา หลังจากทำงานใหญ่สำเร็จ เฉินผิงอันก็ปัดมือ หันหน้ามองไปทางโต๊ะและม้านั่งที่อยู่ติดกับหน้าต่าง เพราะวางอยู่นานหลายปี ดังนั้นจึงยังเป็นโต๊ะหนังสือตัวเล็กๆ และม้านั่งตัวสูงๆ
ตอนที่เผยเฉียนยังเป็นเด็กจะไปฝึกหมัดที่เรือนไม้ไผ่ ทุกวันพอกลับมาถึงที่พักยังจะต้องมาคัดตำราที่นี่
เฉินผิงอันคิดไม่ถึงเลยว่า ปีนั้นถ่านดำน้อยที่กลัวเจ็บกลัวลำบากมากขนาดนั้น จู่ๆ จะคิดอยากฝึกหมัด หากเขารู้คงจะบอกให้นางไม่ต้องคัดตำราเลยกระมัง เหลือค้างไว้ก่อน วันหน้าค่อยชดเชยใหม่
เฉินผิงอันที่อารมณ์ซับซ้อน หลังออกมาจากเรือนของเผยเฉียนก็ยังอารมณ์ซับซ้อนอยู่เหมือนเดิม
ห่างจากนอกประตูไปไม่ไกล เสี่ยวโม่ยืนอยู่
หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยรีบขอตัวลาไปทำธุระของใครของมันทันที
เสี่ยวโม่โบกมือให้กับแม่นางน้อยทั้งสอง จากนั้นจึงถามคำถามที่อยากถามตั้งแต่ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากแล้ว “คุณชายจะไปเยี่ยมเยือนภูเขาพีอวิ๋นเมื่อไหร่หรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เป็นเงามืดใต้โคมไฟเสียแล้ว เป็นเพราะสนิทคุ้นเคยกับเว่ยซานจวินมากเกินไป ทุกครั้งที่กลับบ้านเกิดจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ทุกครั้งล้วนเป็นเว่ยป้อที่เป็นฝ่ายมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว อีกทั้งเว่ยป้อเองก็ไม่เคยเห็นตัวเองเป็นคนนอกของภูเขาลั่วพั่ว เมล็ดแตงของหมี่ลี่น้อย เว่ยซานจวินเองก็แทะไปไม่น้อย
แต่กระนั้นก็ยังไม่ถูกต้องตามหลักมารยาท เป็นตนที่ละเลยไปจริงๆ เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รีบไปไม่สู้ไปให้ทันเวลาพอดี พวกเราไปเยี่ยมหาเว่ยซานจวินกันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ”
คนทั้งสองทะยานลมไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
เว่ยป้อเผยตัวที่ยอดเขา รู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “แขกที่หาได้ยาก”
เฉินผิงอันขุ่นเคือง
คำพูดนี้กล่าวได้ไร้คุณธรรมแล้วนะ
เสี่ยวโม่ค้อมเอวประสานมือคารวะ “คารวะเว่ยซานจวิน”
เห็นเพียงว่าซานจวินที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เรือนกายสูงเพรียว รูปโฉมหล่อเหลา สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ ตรงหูห้อยต่างหูห่วงทองหนึ่งห่วง ล่องลอยหลุดพ้นโลกีย์ สง่างามเลิศล้ำ
ถึงอย่างไรเว่ยป้อก็เป็นซานจวินของขุนเขาแห่งหนึ่ง จึงรู้มาแล้วว่านักพรตหนุ่มที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดตรงหน้าผู้นี้มีฉายาว่าสี่จู๋ นามว่าโม่เซิง คือผู้ถวายงานที่ภูเขาลั่วพั่วรับมาใหม่ และยังเป็นผู้ถวายงานอันดับสามของกรมอาญาต้าหลีอีกด้วย
เว่ยป้อยิ้มกุมหมัดคารวะกลับคืน พูดจาเป็นกันเอง “คารวะสหายสี่จู๋”
เสี่ยวโม่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หยิบเอาของขวัญพบหน้าสองชิ้นออกมาจากชายแขนเสื้อทันที เป็นสมบัติบนภูเขาขนาดเล็กน่ารักคู่หนึ่ง ขวานหยกเขียว เยว่ (อาวุธโบราณลักษณะคล้ายขวานแต่มีขนาดใหญ่กว่า) หยกเหลือง
ตามคำกล่าวของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ล้วนถือเป็นอาวุธกึ่งเซียนทั้งคู่
เพียงแต่สำหรับเสี่ยวโม่แล้วกลับเป็นซี่โครงไก่ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้
มอบให้ใครก็คือการมอบให้ไปเหมือนกันไม่ใช่หรือ? หรือว่ายังจะเอาไปแลกเงินได้อีก?
ก็ยังคงได้แต่เป็นการเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพรที่ของขวัญเบาน้ำใจหนักเท่านั้น
เพราะถึงอย่างไรเขาก็คือเสี่ยวโม่ที่แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองก็ยังบอกว่า ‘ฉูดฉาดไม่มีประโยชน์ที่แท้จริง’
เดิมทีเว่ยป้อคิดจะปฏิเสธ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตนกับภูเขาลั่วพั่ว ไม่จำเป็นต้องทำตัวห่างเหินกันเช่นนี้
อีกทั้งซานจวินใหญ่เว่ยยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของขวัญพบหน้าสองชิ้นที่อย่างมากสุดก็มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมเท่านั้น
เพียงแต่เสี่ยวโม่ยืนกรานหนักแน่น บอกว่าเว่ยซานจวินเป็นสหายสนิทรู้ใจที่รู้จักกับคุณชายของตนตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีอะไร หลายปีมานี้ยังคอยดูแลภูเขาลั่วพั่วอยู่ตลอด หากไม่ยอมรับของขวัญน้อยนิดแค่นี้เอาไว้ก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
ถ้าอย่างนั้นหากวันหน้าภูเขาพีอวิ๋นมีงานเลี้ยงสุราอีก ต่อให้จะยินดีเชิญเขาเสี่ยวโม่มาเป็นแขก เขาก็ไม่มีทางมาแน่นอน
เว่ยป้อฟังด้วยอาการอึ้งตะลึง
เพราะบนภูเขาลั่วพั่ว ‘คนที่ขี้เกรงใจ’ กันเช่นนี้ พบเห็นได้ยากจริงๆ
ไม่มาก หรือควรจะพูดว่าดูเหมือนจะมีแค่แม่นางน้อยว่านอนสอนง่ายสองคนอย่างหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยเท่านั้น
แต่หากเสี่ยวโม่บอกระดับขั้นของของขวัญตั้งแต่แรก ดูสิว่าเว่ยป้อจะรับหรือไม่? ป่านนี้คงไปอยู่ในกระเป๋าให้สบายใจนานแล้ว เฉินผิงอันอยากจะขวางก็ขวางไม่อยู่
คิดว่าซานจวินอย่างตนมีเงินนักหรือไร?
รายงานขุนเขาสายน้ำระยำพวกนั้น โดยเฉพาะของจวนตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้ๆ กับจิ้นชิงแห่งขุนเขากลาง จรดพู่กันลงกระดาษทีไรก็ชอบใส่ร้ายป้ายสีกันทุกที
ว่ากันว่าทุกวันนี้บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปเริ่มมีคนรับเดิมพันแล้วว่าภูเขาพีอวิ๋นจะจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งต่อไปเมื่อไหร่
เฉินผิงอันไม่ได้ใช้เสียงในใจ แต่เปิดปากพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสี่ยวโม่คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด อันที่จริงมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง สถานที่ฝึกตนคือบนดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ นอนหลับมานานเป็นหมื่นปี ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะติดตามข้า หนิงเหยาและหลี่เซิ่งกลับมาที่ใต้หล้าไพศาลด้วยกัน”
แขนที่เพิ่งจะยกขึ้นของเว่ยป้อซึ่งเตรียมจะรับของขวัญมาจากมือของ ‘เสี่ยวโม่’ กลับต้องแข็งค้างอยู่ที่เดิม
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง?!
ก็ไม่ใช่ว่าเทียบเท่าราชาบนบัลลังก์เก่าท่านหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรอกหรือ?!