กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 890.2 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์
เฉินผิงอันฉวยโอกาสตอนที่เว่ยป้อเหม่อลอย ใช้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ ระดับขั้นคืออะไร?”
เสี่ยวโม่ตอบตามตรงอย่างสัตย์จริง “อาวุธกึ่งเซียน”
เว่ยป้อกำลังจะแข็งใจยื่นมือไปรับของขวัญ
เฉินผิงอันรีบใช้มือหนึ่งคว้ามือของเว่ยซานจวินเอาไว้ อีกมือหนึ่งกดข้อมือของเสี่ยวโม่ พูดบ่นว่า “ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน จะเกรงใจกันไปไย เสี่ยวโม่อ่า เจ้าเห็นเว่ยซานจวินของพวกเราเป็นใคร เก็บไปเลย เก็บไปเลย”
เว่ยป้อหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เสี่ยวโม่อ่า เฉินผิงอันพูดมีเหตุผล ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน เจ้าจะเกรงใจไปไย ของขวัญนี้ข้าจะรับไว้แล้ว แล้วก็ขอให้ข้าได้เอ่ยประโยคเกรงใจเป็นครั้งสุดท้าย ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วย งานเลี้ยงท่องราตรีคราวหน้าจะขาดพี่เสี่ยวโม่ไปได้อย่างไร ต่อให้เป็นงานเลี้ยงท่องราตรีที่จัดขึ้นเพื่อเสี่ยวโม่โดยเฉพาะก็ยังจัดให้ได้”
หากเจ้าขุนเขาเฉินไม่ทำเช่นนี้ เว่ยซานจวินก็ยังไม่แน่ใจ แต่ยิ่งเฉินผิงอันเป็นเช่นนี้ เว่ยป้อก็ยิ่งรู้ว่าหากตนไม่รับของขวัญเอาไว้ต้องเสียใจจนไส้เขียวแน่
ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาหรือไม่?
หากข้าผู้อาวุโสยังต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาจะสามารถจัดงานเลี้ยงท่องราตรีได้หลายครั้งขนาดนั้นหรือ? ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปถึงอุตรกุรุทวีปโน่นแล้ว!
หลิ่วจงหลงไร้ศัตรูทัดทานบนโต๊ะสุรา แพร่กันออกไปได้อย่างไร?
แล้วงานเลี้ยงท่องราตรีของภูเขาพีอวิ๋นบ้านตน แรกเริ่มสุดเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เฉินผิงอันมองไปยังเว่ยซานจวิน
สองชิ้นเยอะเกินไปหน่อยหรือไม่ ชิ้นเดียวพอไหม
เว่ยป้อมองเจ้าขุนเขาเฉิน
ไสหัวไป
สายตาของเจ้าขุนเขาเฉินยังคงหนักแน่น
ต้นไผ่ที่ก่อนหน้านี้กว่าข้าจะใช้เงินทองของจริงซื้อมาจากฮูหยินภูเขาชิงเสินได้อย่างไม่ง่ายล่ะ? ข้ามอบให้ภูเขาพีอวิ๋นเปล่าๆ นะ?
เว่ยซานจวินตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา
เรื่องไหนก็ส่วนเรื่องนั้น ข้ากับสหายสี่จู๋แค่พบเจอก็เหมือนรู้จักกันมานาน เจ้ามีหน้าขวาง ข้าก็มีหน้ารับไว้
เพื่อนบ้านสองคน เวลานี้แม้เงียบงันไม่ส่งเสียงกลับเหนือกว่าการพูดคุยกันออกเสียงเสียอีก
เฉินผิงอันรู้สึกว่าถึงอย่างไรฝีมือของตนก็ด้อยกว่าคนเขา จึงได้แต่หุบมือกลับมา สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่อ่า พวกเราสามารถรอเทียบเชิญของงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งต่อไปได้แล้ว ถึงอย่างไรโอกาสก็หาได้ยาก เป็นเรื่องดีที่ไม่ได้พบเจอได้บ่อยๆ”
เว่ยป้อเก็บขวานหยกเขียวและเยว่หยกเหลืองใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะดื่มเหล้าหรือดื่มชา ล้วนฟังพวกเจ้า”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึถามว่า “ดื่มโชคชะตาขุนเขาสายน้ำได้หรือไม่เล่า?”
เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อ “ตามใจ”
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าคุณชายบ้านตนกับเว่ยซานจวินมีความสัมพันธ์ที่ลึกล้ำต่อกันจริงๆ ดูท่าของขวัญที่มอบให้ไปจะไม่เสียเปล่า
ในภูเขาพีอวิ๋นมีอะไร? บนยอดเขามีเมฆหลากสี มีต้นไม้เขียวขจี มีศาลาหอเรือน
วันนี้ในภูเขามีเรื่องอะไร? สหายรักได้กลับมาพบเจอหน้า ร่ำสุราดอกสน ใช้น้ำฤดูใบไม้ผลิชงชา
สุราดอกสนที่เว่ยซานจวินหมักเองกับมือรสชาติเลิศล้ำ เพียงแต่ว่าชื่อเสียงไม่โด่งดังเท่าเหล้าหมักตำหนักฉางชุนก็เท่านั้น
จะว่าไปแล้ว ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ใครจะกล้าดื่มสุราดอกสนของภูเขาพีอวิ๋นง่ายๆ บ้างเล่า? ก็มีแค่เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้ดื่มสักกา
เหล้าหมักตระกูลเซียนที่แพงที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ นอกจากภูเขาชิงเสินแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่แล้วก็คือภูเขาพีอวิ๋นของแจกันสมบัติทวีปนั่นเอง
น้ำพุคือน้ำพุหยกมรกตที่มีเฉพาะในภูเขาพีอวิ๋นซึ่งติดอันดับหนึ่งในน้ำพุที่มีชื่อเสียงของแจกันสมบัติทวีป
อันที่จริงเรื่องของการประเมินน้ำพุมาจากฝีมือของคนเชื่อดาบสำนักโม่อย่างต่งสุ่ยจิ่ง เนื่องจากน้ำพุสามแห่งที่ติดอันดับล้วนถูกเขาเหมามาเป็นของตัวเองหมดแล้ว
ใบชาคือชาใหม่ก่อนและหลังช่วงฝนธัญพืชที่หน่วนซู่น้อยส่งมาให้ มาจากต้นชาป่าเก่าแก่หลายต้นบนยอดเขาไฉ่อวิ๋น หน่วนซู่รับผิดชอบเด็ดใบชา จากนั้นค่อยให้พ่อครัวเฒ่าเป็นคนผัดใบชาเองกับมือ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอให้ข้าได้เปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้านสักครั้ง ข้าจะเป็นคนต้มชาเอง”
หลังจากนั่งลงแล้วก็สะบัดชายแขนเสื้อชุดเขียว ร่ายเวทวารีและอัคคีสองบท
เรื่องของการต้มชา ทำได้อย่างคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล มองแล้วเพลินตาสบายใจ
เว่ยป้อสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มจนตาหยี
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะในอดีตกลับมีมาดสง่างามดุจเซียนเช่นนี้แล้ว
กลับจากภูเขาพีอวิ๋นไปยังภูเขาลั่วพั่ว
คืนนี้หนิงเหยาพักอยู่ในเรือนของหน่วนซู่น้อย หมี่ลี่น้อยมักจะมาขอนอนกับพี่หญิงหน่วนซู่เป็นประจำอยู่แล้ว คราวนี้ก็เลยตามมาด้วย ถึงอย่างไรที่นั่นก็มีผ้าห่มมากพอ
เฉินผิงอันนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ พอถึงกลางดึกก็ไปที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง ไปจุดตะเกียงแล้วนั่งอยู่ทั้งคืนโดยที่ไม่รู้สึกเปลี่ยวเหงา
……
เช้าตรู่วันที่สองกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกับหนิงเหยาก็ไปเยือนหอบูชากระบี่อีกครั้ง
ผู้ฝึกกระบี่แห่งหลิวเสียทวีปอย่างอวี๋เยว่กลับเป็นเค่อชิงของสกุลเซี่ยมี่อวิ๋นแห่งธวัลทวีป
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ค่อยกล้าพบหน้าเจ้าขุนเขาเท่าใดนัก จึงรีบเตรียมตัวออกเดินทางทันที ไม่อย่างนั้นด้วยเรื่องลูกศิษย์ที่เขาหลอกทีก็หลอกเอามาได้ถึงสองคน ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ควรจะเผ่นนานแล้ว หากยังไม่ยอมหนีอย่างรู้กาลเทศะ ทำให้ใครบางคนไม่ต้องเจอหน้าใจก็ไม่ต้องหงุดหงิด อวี๋เยว่ก็เริ่มกังวลแล้วว่าจะถูกเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ถามกระบี่เอา
อวี๋เยว่เจอเฉินผิงอันก็รู้ความหมายของใต้เท้าอิ่นกวานคร่าวๆ แล้ว จึงยิ่งสบายใจขึ้นได้หลายส่วน
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “อย่ารู้สึกว่าข้ากำลังไล่คนเชียวนะ”
“มีหรือจะกล้า”
อวี๋เยว่ยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวาน บอกหมี่อวี้ว่าอย่าโกรธเลยนะ หลายวันนี้ที่ข้าอยู่บนภูเขาจงใจเรียกเขาว่าเซียนกระบี่หมี่เองแหละ แม้จะบอกว่าข้าไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่จะดีจะชั่วก็ยังรู้ขนบธรรมเนียมของที่นั่น วันหน้าได้เจอกับสหายเฒ่าอย่างผูเหอก็จะมีเรื่องให้คุยโวบนโต๊ะสุราแล้ว ฮ่าๆ ตาเฒ่าผูอย่างเจ้ากล้าเรียกหมี่อวี้เช่นนี้ไหม? ข้ากล้า อีกทั้งทุกครั้งที่เจอหน้ายังเรียกว่าเซียนกระบี่ทุกครั้งด้วย”
หากจะบอกว่าอวี๋เยว่ไม่รู้สึกประหวันพรั่นพรึงเลย นั่นก็คือการโกหกคนอื่นแล้วยังโกหกตัวเอง โชคดีที่แม้ทุกครั้งหมี่อวี้จะมีสายตาไม่เป็นมิตร แต่กลับไม่เคยลงมือทำอะไรจริงจัง
อวี๋เยว่หุบยิ้ม เอ่ยต่ออีกว่า “รบกวนใต้เท้าอิ่นกวานอีกเรื่อง ช่วยนำความข้าไปบอกเซียนกระบี่หมี่ด้วยว่า ความเคารพในใจข้าอวี๋เยว่ที่มีต่อหมี่อวี้ ไม่ได้เสแสร้งแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตกลง ยิ้มถามว่า “คำพูดดีๆ แบบนี้ ทำไมไม่ไปพูดต่อหน้าหมี่อวี้เล่า”
อวี๋เยว่เป็นคนตรงไปตรงมา หัวเราะฮ่าๆ ตอบ “ก่อนหน้านี้ปากเปราะ เรียกว่าเซียนกระบี่หมี่บ่อยเข้าก็แอบหวาดกลัวเขาหมี่อวี้เช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็กังวลว่าหมี่อวี้จะไม่เห็นคำพูดจากใจจริงนี้เป็นจริงเป็นจัง หากให้อิ่นกวานเป็นคนพูด หมี่อวี้ต้องยินดีเชื่อแน่นอน ข้าไม่ขาดทุน แล้วยังได้กำไรด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หันหน้าไปมองเด็กสองคนที่ไม่กล้าจะมองหนิงเหยาตรงๆ
เฉินผิงอันหยิบถุงใบเล็กสองใบที่เตรียมไว้แล้วออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้อวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิง ยิ้มอธิบายว่า “เงินเกล็ดหิมะสามร้อยเหรียญ ข้าคำนวณมาเป็นเงินร้อนน้อยสามเหรียญแล้ว นี่คือข้อกำหนดของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดออกเดินทางไกลจะต้องได้รับเงินก้อนนี้ พวกเจ้ายังไม่ได้กราบไหว้เซียนกระบี่เรียนวิชาอย่างเป็นทางการ ข้าจึงไม่ได้ลบชื่อพวกเจ้าออกจากทำเนียบศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ ดังนั้นจะละเลยกฎข้อนี้ไปไม่ได้”
อวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงต่างก็รับถุงเงินที่มีน้ำหนักเบาไป แต่ความรู้สึกของพวกเขากลับหนักอึ้ง
เด็กที่ชอบอ่านตำราอย่างเฮ้อเซียงถิงปลุกความกล้าเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน เป็นพวกเราที่ไม่รู้ความ”
อวี๋ชิงจางเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอโทษนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องคิดเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความผิดความถูกอะไร ฝึกตนบนภูเขาพิถีพิถันในเรื่องโชควาสนา เรื่องบางอย่าง ข้าที่อยู่ในตำแหน่งนั้นจำเป็นต้องทำ พวกเจ้าเองก็อยู่ในสถานการณ์ของตัวเอง ย่อมต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง วันนี้ต้องจากลากันแล้ว ข้าก็จะเอ่ยความในใจกับพวกเจ้าแล้วกัน หากพวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้น ไม่ทำตัวห่างเหินกับข้า ข้าที่เป็นอิ่นกวานกลับกลายเป็นว่าจะรู้สึกไม่ดี แล้วจะต้องดูแคลนพวกเจ้า”
เด็กทุกคนในใต้หล้านี้คงจะเติบโตไปพร้อมๆ กับเหตุผลกระมัง
เฉินผิงอันหยิบตำราออกมาอีกหนึ่งปึก ด้านบนสุดคือสำเนาของ ‘คัมภีร์เวทกระบี่’ เป็นสำเนาที่เฉินผิงอันคัดลอกด้วยตัวเอง
และยังมีตำราอีกสองสามเล่มที่เป็นตำราอริยะปราชญ์และผลงานปัญญาชนที่ซื้อมาจากร้านหนังสือในเมืองหลวงต้าหลี
มอบให้เฮ้อเซียงถิงที่ชอบอ่านตำราทั้งหมด เฉินผิงอันเอ่ยว่า “‘คัมภีร์เวทกระบี่’ เล่มนี้ ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าควรอ่านอย่างละเอียด ส่วนตำราเล่มอื่นๆ ที่เหลือก็อ่านไปตามความชอบ จะอ่านหรือไม่ อ่านมากอ่านน้อยก็ตามแต่ใจ”
เฮ้อเซียงถิงรับตำรามา แล้วประสานมือคารวะขอบคุณอย่างจริงจังต่อใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาจารย์เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่ว
อวี๋ชิงจางทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ยกมือเกาหัว
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “ตอนนี้เปลี่ยนใจยังทันนะ”
เด็กสองคนยิ้มกว้าง นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขายิ้มให้อิ่นกวานหนุ่มเห็น อีกทั้งยังเป็นรอยยิ้มจากใจจริงด้วย
“กราบไหว้อาจารย์ที่ดีก็ต้องยิ่งตั้งใจฝึกตน ต่อให้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มทุกคนจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากผู้อาวุโสขอบเขตหยกดิบที่เป็นอาจารย์กันทุกคน”
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะเด็กทั้งสองเบาๆ “ฝึกตนก็เพื่อชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม แต่ชีวิตคนไม่ได้มีแค่การฝึกตนเท่านั้น เหตุผลข้อนี้พวกเจ้ายังไม่ต้องเข้าใจก็ได้”
เด็กทั้งสองพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันดึงมือกลับมา ใช้เสียงในใจพูดว่า “ผู้ถวายงานอวี๋ ขอข้าพูดมากสักหน่อย วันหน้าต้องควบคุมพวกเขาให้เข้มงวด ไม่อาจจับจ้องแต่การฝึกตนและการฝ่าทะลุขอบเขตของพวกเขา ไม่ได้บอกว่าจะต้องคอยดุด่า แต่ให้คอยใส่ใจในทุกๆ ด้าน เรื่องของการฝึกตน ต่อให้ใหญ่แค่ไหนก็ใหญ่ไม่เท่าเรื่องการวางตัวเป็นคน ต่างก็พูดกันว่าตระกูลร่ำรวยรักบุตรชายหญิง เรื่องแรกที่ทำต้องเป็นเรื่องเงินทองที่มีให้พวกเขาใช้จนพอใจ ความรักของผู้อาวุโสเป็นความรู้สึกปกติของคนทั่วไป แต่หากรักมากเกินก็ง่ายที่จะเลี้ยงให้พวกเขามีนิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ หากเย่อหยิ่งเอาแต่ใจตั้งแต่อายุยังน้อยจะกลายเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมมีปัญญาได้อย่างไร?”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวี๋ชิงจางกับเฮ้อเซียงถิงต่างก็มีชาติกำเนิดยากจน จู่ๆ ก็ได้เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ชีวิตดีขึ้นในฉับพลัน ดังนั้นจึงยิ่งต้องระวังเรื่องนี้ พวกเราที่เป็นอาจารย์ เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา สั่งสอนด้วยคำพูดและกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่างคือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่ามอบตำราลับล้ำค่าให้พวกเขาเสียอีก เมื่อเทียบกันแล้ว ใต้หล้านี้คนที่ไม่จำเป็นต้องหาเงินด้วยตัวเองที่สุดคือใคร ก็คือผู้ฝึกกระบี่”
“เรื่องหยุมหยิมทั่วไปบางอย่าง คนเป็นผู้อาวุโสมิอาจทำแทนได้เด็ดขาด และมารยาทคำสั่งสอนประจำตระกูลบางอย่างที่มิอาจขาดก็จะต้องสั่งสอนซ้ำไปซ้ำมาให้ได้ ในเมื่อเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว ก็ต้องทะนุถนอมโชควาสนาส่วนนี้ให้ดี แล้วก็ต้องให้พวกเด็กๆ บ่มเพาะนิสัยที่ไม่มองข้ามชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าอวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงจะเป็นเพื่อนรักกัน แต่นิสัยมีความต่าง ต้องให้อวี๋ชิงจางที่ติดตามท่านเดินทางไกลหมื่นลี้อ่านตำราให้มากๆ เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น เปิดจิตใจให้กว้างขวาง ส่วนเฮ้อเซียงถิงที่นอกจากจะอ่านตำราแล้วก็ให้หัดสังเกตเรื่องราวยิบย่อยรอบกายให้มาก จะเอาแต่อ่านตำราอย่างเดียวจนถูกหลักการเหตุผลพันธนาการจนมีนิสัยคร่ำครึไม่ได้ ต้องหัดเรียนรู้ที่จะเอามาใช้จริงบ้าง”
“ข้าพูดมากไปสักหน่อย”
เฉินผิงอันหัวเราะหยันตัวเอง ประโยคที่เอ่ยแฝงแววขออภัยแล้วก็ไม่พูดอะไรมากอีก
เพราะถึงอย่างไรตอนนี้อวี๋เยว่ต่างหากที่ถึงจะถือว่าเป็นอาจารย์ของเด็กสองคนในนาม
อันที่จริงการพูดแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสม โชคดีที่อวี๋เยว่ไม่ใช่ผู้อาวุโสที่จิตใจคับแคบ ไม่อย่างนั้นการเอ่ยประโยคเหล่านี้อาจทำให้เฉินผิงอันถูกอาฆาตแค้นเอาได้
อวี๋เยว่ทอดถอนใจพูดจากใจจริง “ใต้เท้าอิ่นกวาน นี่เรียกว่าพูดมากเสียที่ไหน นี่คือเวทกระบี่ คือมรรคกถา”
นึกถึงการพบกันครั้งแรกที่เกาะยวนยาง อิ่นกวานหนุ่มท่านนี้มีความมาดมั่น มีปณิธานห้าวเหิมถึงเพียงใด
แต่วันนี้ขณะที่กำลังจะจากลากัน คำพูดจากใจจริงของอิ่นกวานหนุ่มทำให้อวี๋เยว่ตระหนักได้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แท้จริงแล้วยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง คือจอมปราชญ์น้อยที่อ่านตำราอริยะปราชญ์มาอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ข้ามีแค่เรื่องเดียวที่ไม่ขอเอ่ยถ้อยคำเกรงใจอะไรกับผู้ถวายงานอวี๋”
เฉินผิงอันกล่าวต่ออีกว่า “ท่านห้ามปล่อยให้เด็กสองคนนี้ถูกคนรังแกอยู่ข้างนอกทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นฝ่ายมีเหตุผลเด็ดขาด ไม่มีเรื่องราวหรือน้ำใจในโลกมนุษย์อะไรที่ต้องคิดถึงแค่สถานการณ์โดยรวมอย่างเดียวเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่”
“ไม่ว่าจะเป็นด้านนิสัยใจคอหรือการกระทำใดๆ ข้าจะไม่ยอมให้เด็กๆ ที่ต้องพลัดจากบ้านเกิดอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านี้ล้วนกลายมาเป็นว่า…มิอาจเทียบใต้หล้าไพศาลได้ติด กลายเป็นว่าไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกต่อไป หากวันใดข้าค้นพบว่าเป็นเช่นนี้ ผู้ถวายงานอวี๋ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษแล้ว”
“ข้าจะเปลี่ยนมาเป็นคนสั่งสอนพวกเขาแทน”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “อวี๋เสียผู้ฝึกกระบี่แห่งหลิวเสียทวีปจะไม่ทำให้อาจารย์เฉินผิดหวังเด็ดขาด”
ไม่เหมือนกับความคิดที่ละเอียดอ่อนของเฉินผิงอัน
หนิงเหยายังคงทำเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดคุยกับอวี๋เยว่เอ่ยสั่งสอนเด็กน้อยสองคนของบ้านเกิด และนางก็ยังคงคร้านจะใช้เสียงในใจอยู่เหมือนเดิม
“อวี๋ชิงจาง คุณสมบัติด้านการฝึกตนของเจ้า แค่ถือว่าพอใช้ได้เท่านั้น ตัวเจ้าเองเป็นวัตถุดิบอย่างไร ตัวเจ้าย่อมรู้ดีที่สุด เรื่องของการฝึกตนต้องมานะหมั่นเพียร ไม่ใช่ว่ามาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วจะลืมกำพืด อย่าเรียนรู้เอาอย่างคำพูดทำนองที่ว่าเทียบกับคนที่อยู่สูงกว่าไม่ได้ เทียบกับคนที่อยู่ต่ำกว่าเหลือแหล่อะไรนั่น จำไว้ว่าอ่านตำราให้มากๆ เจอกับเรื่องอะไรก็ต้องหัดใช้สมอง เรียนรู้เอาอย่างอิ่นกวานของพวกเจ้าให้มาก”
“เฮ้อเซียงถิง อย่าปล่อยให้อวี๋ชิงจางทิ้งระยะห่างมากเกินไป ภายในเวลาหกสิบปี อย่างมากสุดอนุญาตให้เจ้าห่างแค่ครึ่งขอบเขตเท่านั้น ความมั่นใจนี้อย่าให้ร่วงดิ่งลงไป ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ฝึกกระบี่สามารถฝึกให้ขอบเขตไต่ทะยานอย่างเชื่องช้าได้ แต่เป็นคนอย่าได้จิตใจคับแคบชั่วร้าย เมื่อจิตใจเที่ยงตรงจิตวิญญาณก็แจ่มกระจ่าง จิตแห่งกระบี่ใสสะอาดไม่ว่าเวทกระบี่อะไรก็ล้วนใช้ได้ผล”
หนิงเหยาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พวกเจ้าสองคนจงจำคำที่ข้าสอนทุกคำไว้ให้ขึ้นใจ”
อวี๋ชิงจางกับเฮ้อเซียงถิงพูดเสียงสั่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “จำได้แล้วขอรับ!”
ความลับและเรื่องวงในบางอย่างของใต้หล้าห้าสี ห่านขาวใหญ่ผู้นั้นเคยเล่าให้ฟังแล้ว
ขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหรินและขอบเขตบินทะยานคนแรกในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าใหม่เอี่ยม!
ใช้กระบี่สังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง
พกกระบี่ออกเดินทางไกลเพียงลำพัง เมื่อการถามกระบี่ครั้งหนึ่งผ่านไป ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าก็ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส
ทุกวันนี้คือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี!
สำหรับตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งเก้าคนแล้ว พวกเขาไม่รู้สึกว่าประหลาด มีแค่ความคิดเดียวเท่านั้น
หนิงเหยาสมกับเป็นหนิงเหยา
ใต้หล้านี้หาผู้ฝึกกระบี่ที่ ‘ต่อให้จะแค่เหมือนหนิงเหยา’ สักคนก็หาไม่เจอแล้ว
อวี๋เยว่เงี่ยหูตั้งใจฟัง อันที่จริงผู้เฒ่าก็ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กทั้งสองคนสักเท่าไร