กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 890.4 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์
เฉินผิงอันเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่ ด้านหลังเคยมีสระน้ำขนาดเล็กที่ปลูกดอกบัวม่วงทองดอกหนึ่ง ตอนนี้ได้ย้ายไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัวแล้ว
มองบ่อน้ำว่างเปล่าไร้น้ำ อยู่ดีๆ ก็อดนึกถึงประโยคหนึ่งของลัทธิพุทธไม่ได้
ประหนึ่งดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำแต่ไม่สัมผัสน้ำ ประหนึ่งตะวันจันทราที่โคจรอยู่กลางอากาศไม่หยุดนิ่ง
ผู้ฝึกตนอยู่อย่างสันโดษในภูเขา คำว่าบรรลุมรรคาที่แท้จริงคงจะเป็นดวงตาคู่หนึ่งที่สว่างเหมือนตะวันจันทรา จิตแห่งมรรคาดวงหนึ่งที่ดุจดั่งดอกบัวเขียว
ออกมาจากสระเล็ก ไปที่โต๊ะหินริมหน้าผา
ระหว่างเรือนไม้ไผ่กับโต๊ะหินริมหน้าผาปูอิฐเขียวเอาไว้ สามารถใช้เดินนิ่งหกก้าวได้
ก่อนหน้านี้เขาปูพวกมันพร้อมกับชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ เพียงแต่เฉินผิงอันไม่รู้ว่าชุยตงซานแกะสลักเนื้อหาว่าอะไรไว้ตรงด้านใต้ของก้อนอิฐ
พ่อครัวเฒ่าเพิ่งจะเล่าให้ฟังว่าเว่ยเซี่ยนรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่ คือเด็กหญิงคนหนึ่งที่อายุแค่เก้าขวบ ทั้งยังเป็นเด็กกำพร้า แต่กลับฝึกตนมาห้าปีแล้ว
เป็นลูกศิษย์ที่เว่ยเซี่ยนเก็บมาได้จากสถานที่เล็กๆ ในแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่ง เด็กกำพร้าคนหนึ่ง ทว่าสี่ขวบกลับเริ่มฝึกตนแล้ว?
ครั้งแรกที่อาจารย์และศิษย์สองคนพบหน้ากัน ตอนนั้นเว่ยเซี่ยนกำลังดื่มเหล้าอยู่ในร้านเหล้าข้างจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ดื่มแค่ชามเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะถ่วงงานสำคัญเอาได้
จากนั้นเว่ยเซี่ยนก็เห็นเด็กหญิงเสื้อผ้าขาดวิ่น เรือนกายผอมแห้ง ใบหน้าเหลืองตอบ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไม่เหมือนคนปกติ ยามก้าวเดิน ไม่ว่าจะลมหายใจหรือฝีเท้าล้วนหนักแน่น
เด็กหญิงหยิบเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญออกมาจากกระเป๋า ซื้อเหล้าชั้นเลวสองถ้วยจากเถ้าแก่ร้านด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย จากนั้นก็นั่งลงโดยไม่เลือกโต๊ะว่าง เด็กหญิงเพียงแค่นั่งยองดื่มเหล้าข้างทาง มือข้างหนึ่งถือเหล้าชามหนึ่งแล้วดื่มจนหมดชาม
ดื่มเหล้าสองชามหมดแล้วก็วางชามซ้อนเข้าด้วยกัน ยื่นส่งให้กับเถ้าแก่
นับตั้งแต่ซื้อเหล้าจนถึงคืนชามเหล้า เด็กหญิงไม่เอ่ยอะไรสักคำ คำนวณเวลาและกำลังเท้าของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็ฉวยโอกาสยามสนธยาที่ยังไม่มีคำสั่งห้ามเข้าออกยามวิกาลกลับตัวอำเภอไปอย่างเงียบเชียบ
เว่ยเซี่ยนเห็นว่าเถ้าแก่คล้ายจะไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย น่าจะรู้จักกัน จึงสืบข่าวจากอีกฝ่ายเลยได้รู้ว่าเด็กหญิงที่อายุน้อยๆ ก็ดื่มเหล้าเป็นแล้วผู้นี้ถึงกับเป็นแขกประจำของร้านเหล้าแห่งนี้ ฟังเถ้าแก่เล่าว่าเด็กหญิงไม่มีบ้านให้กลับ ดูเหมือนจะเป็นชาวบ้านลี้ภัยที่พลัดพรากจากพ่อแม่ เมื่อหลายปีก่อนราชวงศ์ต้าหลีซึ่งเป็นแคว้นผู้นำอนุญาตให้แคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่งอาศัยคุณความชอบกอบกู้แคว้นกลับคืน อันที่จริงพวกชาวบ้านก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ผลคือเกิดเรื่องร้ายขึ้นจริงๆ ว่ากันว่ารัชทายาทกอบกู้แคว้นตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ บรรดาพี่น้องกลับจะแย่งชิงเก้าอี้มังกรจากเขาให้ได้ กองทัพทำสงครามวุ่นวาย ใครเล่าจะคาดคิดได้ถึง ว่ากันว่าทุกวันนี้ห่างไปไกลเล็กน้อยก็มีแคว้นเพื่อนบ้านบางแห่งที่พอทำสงครามเสร็จก็ไม่เหลือชายฉกรรจ์อีกเลย สถานการณ์ในแคว้นต่างก็สงบมั่นคงแล้ว
คิดไม่ถึงว่าพวกเขาที่ตอนแรกไม่ได้เจอกับหายนะอะไร เพียงแค่ทำสงครามชายแดนเท่านั้น แม้จะบอกว่ากองทัพชายแดนมีคนตายไปไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรในแคว้นก็ยังรักษาความสงบสุขเอาไว้ได้ ทว่าวิถีทางโลกกลับพลันวุ่นวายขึ้นมาอีก นางย่อมต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า
หลายปีนี้นางมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร ใครเล่าจะสนใจ สุสานแห่งใหม่มากมายมองไปไม่เห็นที่สิ้นสุด แต่อันที่จริงนั่นก็ถือว่าดีแล้ว ยกตัวอย่างเช่นยังมีสถานอี้จวง (องค์กรสาธารณะที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนยากจนในสมัยโบราณ) ช่วยรับตัวเอาไว้ จะดีจะชั่วก็ยังมีที่ให้หลับนอน ส่วนพวกวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นก็ไม่ต้องสนว่าจะตายอย่างไร เป็นผีไปแล้วก็ยังคงเป็นผีหิวโหยที่ไม่ได้กินข้าวจากลูกหลาน แต่อย่าเห็นว่าแม่นางน้อยผอมแห้ง เรี่ยวแรงของนางกลับมีไม่น้อย แรกเริ่มสุดนั้นเคยไปทำงานระยะสั้นอยู่ในอำเภอ สุดท้ายก็ปักหลักอยู่ที่ร้านขายธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทอง
เมื่อนางมีเวลาว่างก็มักจะเตร็ดเตร่ไปทั่วทั้งในและนอกอำเภอ คงจะตามหาพ่อแม่ของนาง ไกลที่สุดก็คือเดินมาถึงจุดพักม้าแห่งนี้ รอจนฟ้าใกล้มืดถึงจะกลับไปที่ร้านในตัวอำเภอ
เพียงแต่เถ้าแก่ร้านรังเกียจที่กิจการของนางอัปมงคลเกินไป จึงอนุญาตให้นางซื้อเหล้าได้อย่างเดียว ไม่อนุญาตให้มานั่งในร้าน แม่นางน้อยก็ไม่ได้ว่าอะไร ทุกครั้งก็ล้วนเคารพกฎเช่นนี้เสมอ
เว่ยเซี่ยนฟังจบก็เกิดความสนใจทันที
ไปรับลูกศิษย์ที่ร้านขายธูปเทียนได้ราบรื่นผิดปกติ เว่ยเซี่ยนไม่ต้องจ่ายเงินสักเหรียญ แค่รับปากว่าจะช่วยนางตามหาพ่อแม่ที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีก็พอแล้ว
เดิมทีปีที่นางอายุสี่ขวบ พ่อแม่ของนางได้เจอสุสานใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง ปากทางเข้ามีขนาดใหญ่เท่าบ่อน้ำ คงเป็นเพราะพ่อแม่รู้สึกว่าคนทั้งครอบครัวต้องไม่รอดอย่างแน่นอน ไม่ยินดีให้เด็กหญิงต้องหิวตายกลางทาง กลายเป็นอาหารของพวกสัตว์ป่า เหลือแค่กระดูกขาวโพลนในป่าร้าง จึงตัดสินใจเด็ดขาด ใช้ตะกร้าใบหนึ่งใส่นางไว้ในสุสาน ทิ้งอาหารที่เหลือทั้งหมดบนร่างไว้ให้กับนาง เด็กหญิงจึงอยู่ในสุสานเพียงลำพัง ผลคือเวลาผ่านไปหลายปี นางไม่เพียงแต่ไม่ตายอยู่ในสุสาน กลับยังออกมาจากสุสานใหญ่แห่งนั้น เหมือนเด็กคนหนึ่งที่ปีนออกจากด่านประตูผีกลับมายังโลกมนุษย์ได้ การที่นางไม่ได้หิวตาย นางก็ไม่ได้ปิดบังเว่ยเซียนที่ตัวเองรับเป็นอาจารย์ บอกแค่ว่าตอนที่นางใกล้จะหิวตายได้เห็นเต่าตัวใหญ่ในสุสาน ทุกครั้งที่มีแสงสาดส่องลงมา มันจะยื่นคอออกมาคล้ายกำลังหายใจ เพียงแต่ว่าค่อนข้างจะเชื่องช้า นางจึงเรียนรู้เอาอย่าง ทำไปทำมาก็ไม่หิวขนาดนั้นอีกแล้ว…
ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้ฟังอึ้งตะลึง
ทั้งเวทนาทั้งอึ้งและทึ่ง
หากจะพูดถึงเรื่องประหลาดและคนประหลาด เฉินผิงอันก็พบเจอมาไม่น้อยจริงๆ เป็นเหตุให้เขาไม่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องมหัศจรรย์บนภูเขามานานแล้ว
ทว่าเรื่องนี้กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึก…ตกใจจริงๆ
ลูกศิษย์คนนี้ของเว่ยเซี่ยน เขาต้องพบหน้าสักครั้งให้จงได้
ไม่มีวิสุทธิ์จารย์คอยให้คำชี้แนะ ไม่มีตำราลับตระกูลเซียน ไม่มีวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินใดๆ อีกทั้งเด็กหญิงยังอ่านหนังสือไม่ออก แต่กลับอาศัยวิชาเต่าหายใจที่เฉินผิงอันเคยอ่านเจอในตำราเดินขึ้นไปบนเส้นทางการฝึกตนได้แล้ว
หากนี่ไม่เรียกว่าผู้มีพรสวรรค์ แบบใดถึงจะเรียกว่าใช่?
ตามคำกล่าวของจูเหลี่ยน ภูเขาลั่วพั่วสามารถรับผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่มีลำดับอาวุโสเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์เช่นนี้มาได้ คาดว่าครึ่งหนึ่งต้องยกให้เป็นคุณความชอบของวาสนาระหว่างอาจารย์และศิษย์ของเว่ยเซี่ยน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งต้องยกคุณความชอบให้กับ ‘บุญกุศลที่สะสมมา’ ของภูเขาลั่วพั่วแล้ว
หยุดเท้าอยู่ตรงริมหน้าผาพักหนึ่ง เฉินผิงอันกลับมายังที่พักที่เรือนไม้ไผ่ หยิบตำราตราประทับสองเล่มนั้นมา เตรียมจะออกจากบ้านไปหาประสบการณ์อีกครั้ง
การออกเดินทางไกลครั้งนี้ เมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว อันที่จริงไม่ถือว่าไกล เรียกว่าใกล้มากแล้ว
ก็แค่ต้องไปที่แคว้นเล็กแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกของแจกันสมบัติทวีป ไปหาสหายดื่มเหล้าที่ศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กในอำเภอเซียนโหยวเขตชิงหยวน
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่ยังหนุ่มอยู่เหมือนเดิม กับจอมยุทธใหญ่ที่เคราไม่ดกและไม่ออกเดินทางไกลอีกแล้ว ดาบวิเศษไม่เก่า แต่คนเฒ่ากลับแก่แล้ว
เฉินผิงอันพกดาบสองเล่มไว้ตรงเอว ทับซ้อนกันไว้ด้านหนึ่ง
คือดาบแคบสองเล่มอย่างลงทัณฑ์และพิฆาต
เฉินผิงอันไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกลไปโดยตรง แต่เรียกเสี่ยวโม่มาแล้วคนทั้งสองก็เดินเท้าไปที่หน้าประตูภูเขาด้วยกัน วันนี้เฉินยวนจีกลับไม่ฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งอย่างที่หาได้ยาก
หมี่ลี่น้อยนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่เฝ้าประตูอยู่ตรงนั้น
ดูเหมือนว่าในมือจะแอบกำอะไรบางอย่างเอาไว้ เดี๋ยวก็ประกบฝ่ามือ เดี๋ยวก็แบมือออก เล่นสนุกอยู่กับตัวเอง
เสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ทุกวันนี้ในมือมีหีบไม้ไผ่หนึ่งใบและไม้เท้าเดินป่าหนึ่งอันมาเพิ่ม
เฉินผิงอันกังวลว่าหมี่ลี่น้อยจะคิดมากจึงให้คำมั่นสัญญาอีกครั้ง “ข้ากับเสี่ยวโม่ออกจากบ้านครั้งนี้ไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างแรง บนดวงหน้าเล็กๆ เขียนประโยคหนึ่งไว้ว่า เจ้าขุนเขาคนดีพูดคำไหนคำนั้นนะ
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย “ต้องพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”
หมี่ลี่น้อยถึงได้วางใจ เอ่ยกับเสี่ยวโม่ว่า “อาจารย์เสี่ยวโม่เหมือนบัณฑิตมากเลยนะ”
เสี่ยวโม่ทรุดตัวลง คุกเข่าข้างเดียว สายตาจึงเสมอกับหมี่ลี่น้อยพอดี ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา มีของที่อยากให้ข้าเอากลับมาฝากหรือไม่?”
ภูเขาของคุณชายบ้านตนมีภาพบรรยากาศหลากหลาย สำหรับเสี่ยวโม่แล้ว อันที่จริงยังนับว่าดี ไม่มีอะไรให้ต้องตกตะลึง
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับแม่นางน้อยอย่างหมี่ลี่น้อยและหน่วนซู่น้อย
คนหนึ่งคือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตามคำเรียกขานของใต้หล้าไพศาล คนหนึ่งคือผู้ที่ดูแลกุญแจทุกดอกซึ่งรวมกุญแจของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อเป็นหนึ่งในนั้น
หมี่ลี่น้อยรีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่มี ไม่มี อาจารย์เสี่ยวโม่อย่าได้สิ้นเปลืองเงินทองเพื่อข้าอีกเด็ดขาดเชียวนะ”
ลำพังแค่เรื่องของขวัญตอบแทนกลับคืนก็ทำให้สมองน้อยๆ ของหมี่ลี่น้อยไม่พอใช้แล้ว ได้แต่ไปสอบถามเอาจากพี่หญิงหน่วนซู่ จิ่งชิงและพ่อครัวเฒ่า
เสี่ยวโม่พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ข้าไม่ขาดเงิน”
หมี่ลี่น้อยส่ายหน้า “แต่นั่นก็คือเงินนะ ไม่ว่าใครก็หาเงินได้ไม่ง่าย”
เฮ้อ พออายุมากขึ้น ตัวสูงขึ้น นางก็ไม่ใจป้ำอีกแล้ว
หวนนึกถึงอดีตในปีนั้น ตอนที่อยู่ทะเลสาบคนใบ้ นางไม่เคยเห็นเงินเป็นเงินเลยนะ เจ้าขุนเขาคนดีสามารถเป็นพยานให้ได้!
……
เส้นทางต่อจากนั้นเฉินผิงอันก็ร่ายใช้เวทหลบหนีแสงกระบี่บทนั้นอยู่ตลอด หากจิงเสินไม่พอก็จะเปลี่ยนมาใช้ร่างเมฆาวารีที่คุ้นชินมากกว่า เพียงแต่ว่าความเร็วในการทะยานลมช้ากว่าระดับใหญ่ หากเหน็ดเหนื่อยก็จะเรียกเรือยันต์ออกมา หรือไม่ก็ให้เสี่ยวโม่ช่วยจับไหล่ลากเขาเดินทางไกลไปด้วยกัน อย่างแรกถือว่าจ่ายเงินเพื่อชมทัศนียภาพ อย่างหลังเป็นการเร่งเดินทางอย่างเดียวเท่านั้น รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กของอำเภอเซียนโหยวเขตชิงหยวน
ด้านในมีจอมยุทธใหญ่สวีที่เจอหมัดเมื่อไหร่ต้องแพ้เมื่อนั้น
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาเก็บห้องแห่งหนึ่งไว้ให้สหายสองคนที่รู้จักนานแล้วในยุทธภพ คอยเก็บกวาดด้วยตัวเองจนสะอาดเอี่ยมอยู่ตลอด
แล้วยังบอกด้วยว่าเรื่องของการดื่มเหล้า ทุกครั้งดื่มแค่สองคนย่อมไม่มีรสชาติอะไร ต้องดื่มกันให้ครบทั้งสามคน เขาคนเดียวจะขอท้าคนสองคน
กวอฉุนซีลูกศิษย์ของสวีหย่วนเสียเคยเจ็บปวดจากความรักจึงกลายมาเป็นผีขี้เหล้าที่วันๆ แช่ตัวอยู่ในถังเหล้า เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ถูกชะตากับโจวเฝย จึงออกจากบ้านเดินทางไกลไปแล้ว ทุกวันนี้อยู่ดีๆ ก็ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของหลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานอันดับรองของสำนักเจินจิ้ง จากลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธที่ได้แต่อยู่ไปวันๆ รอความตาย กลายเป็นเริ่มเดินขึ้นเขาฝึกตนแล้ว ทุกๆ ครึ่งปีกวอฉุนซีจะต้องส่งจดหมายกลับมาแจ้งข่าวให้อาจารย์ทราบว่าตัวเองสบายดี
เจ้าเด็กป๋ายเสวียนผู้นั้น คราวก่อนตามเฉินผิงอันมาเป็นแขกที่นี่ด้วย แล้วยังตื๊อขอตำแหน่งเค่อชิงจากศูนย์ฝึกยุทธ
สวีหย่วนเสียไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง แค่คิดว่าเด็กน้อยล้อเล่นจึงตอบตกลงไป
ทางฝั่งของศูนย์ฝึกยุทธยังหาเงินจากการทำหน้าที่เป็นผู้คุมภัยด้วย
คนเฝ้าประตูศูนย์ฝึกยุทธยังคงเป็นคนหนุ่มที่คราวก่อนพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง หรือก็คือลูกศิษย์ของกวอฉุนซีนั่นเอง
เห็นเฉินผิงอันก็จำได้ว่าเป็นสหายในยุทธภพของอาจารย์ปู่เจ้าศูนย์ คนหนุ่มไม่ได้ขัดขวางเหมือนคราวก่อน เพียงแต่บอกว่าตอนนี้เจ้าศูนย์ไปเป็นผู้คุมภัยอยู่ข้างนอก อีกประมาณสองวันถึงจะกลับมาที่อำเภอเซียนโหยว
เฉินผิงอันจึงสอบถามเส้นทางการคุ้มกันจากคนหนุ่ม แล้วหาตรอกที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง ร่ายร่างวารีเมฆาไปตามหาขบวนของศูนย์ฝึกยุทธ
อำพรางเรือนกายทะยานลมเดินทางไกล ไปหยุดอยู่กลางอากาศเหนือท่าเรือทั่วไปแห่งหนึ่งแล้วเฉินผิงอันก็ก้มหน้าลงมอง
ตอนนี้อยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงแห้งเย็นต้นไม้ใบไม้ร่วงโรย เพียงแต่ว่าบริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือแห่งนั้นกลับมีต้นส้มผลสีเหลืองส้มใบเขียวชอุ่มซึ่งเป็นทัศนียภาพที่งดงามน่ามองสะดุดตาอย่างมาก
เสี่ยวโม่เหลือบตามองก็พอจะมองความจริงออกได้คร่าวๆ จึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “ตามคำกล่าวของบนภูเขา เป็นภูตผีแห่งป่าเขาที่ไปพึ่งพิงอยู่ข้างกายผู้สูงศักดิ์ ขึ้นเขาลงห้วย เพื่อจะได้หลบเลี่ยงทัณฑ์จากการฝึกตนสินะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “น่าจะไม่ผิดไปจากนี้”
ภูตผีบางส่วนที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะคมอาวุธที่คล้ายจะเป็นเจตนารมณ์สวรรค์ซึ่งมองไม่เห็น ก็มักจะตามหาคนที่มีบุญบารมีเป็นที่หลบภัย
มิเช่นนั้นอยู่ในนครน้อยใหญ่ที่มีศาลบุ๋นบู๊มีศาลเทพอภิบาลเมือง หากอยู่ข้างนอกก็ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ พวกเขาก็จะเหมือนโจรป่า มีหรือจะกล้าทำตัวกร่างโอ้อวดไปทั่ว?
แต่พวกภูตผีที่รู้ว่าหายนะมาเยือนแล้ว ภัยพิบัติใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นจึงจำต้องตามหายันต์คุ้มภัยให้กับตัวเอง บ้างก็จะทำการค้าเพื่อเพิ่มพูนตบะ เนื่องจากทุกครั้งที่ผ่านอาณาเขตขุนเขาสายน้ำที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยพิทักษ์รักษามาได้ พวกภูตผีวิญญาณหยินก็จะสามารถเพิ่มกลิ่นอายแห่งมรรคาที่มองไม่เห็นได้ส่วนหนึ่ง ประหนึ่งได้พกเอกสารผ่านด่านที่มองไม่เห็นไว้บนร่าง และบนเอกสารก็มีตราประทับเพิ่มมาอีกตราหนึ่ง
เพียงแต่ว่าการกระทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสบายๆ อะไรแน่นอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในท้องถิ่นบางแห่ง หากไม่ค่อยควบคุมสนใจก็ยังดี อาจจะหลุดรอดผ่านด่านไปได้ แต่หากถูกเทพแห่งผืนดิน เทพภูเขาหรือเซียนน้ำในศาลบางแห่งตรวจสอบพบเจอ นี่ก็ไม่ต่างจากการท้าทาย ส่วนใหญ่แล้วจุดจบจึงมักจะไม่ดีไปยังไง
เฉินผิงอันหยุดเดินทาง หลุบตาลงมองท่าเรือเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าภูตผีตนนั้นหวังจะมีชีวิตรอด หรือหวังในลาภยศสักการะกันแน่ หากเป็นอย่างหลัง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเจอหายนะเอาชีวิตจริงๆ แล้ว
เพราะผีที่ท่าเรือแห่งนั้น เวลานี้ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเขตได้ตรวจสอบพบเจอร่องรอยของมันแล้ว อีกไม่นานก็จะมาซักไซ้เอาโทษที่ท่าเรือแห่งนี้
นายท่านเทพอภิบาลเมืองจะมาเยือนด้วยตัวเอง ข้างกายยังมีเทพท่องทิวาที่เพิ่งจะกลับเขตไปรายงานเรื่องนี้ติดตามมาด้วย พร้อมกับแม่ทัพผู้ล่ามตรวนอีกคนหนึ่ง
อีกทั้งพ่อปู่ลำคลองก็เฝ้าตอรอกระต่ายที่ริมฝั่งอยู่ก่อนแล้ว
ยามเที่ยงวัน พระอาทิตย์ส่องแสงแรงจ้า ที่ท่าเรือแห่งนี้มีสตรีคนหนึ่งถือร่มเดินมา นางสวมรองเท้าปักลายบุปผา เดินตามติดมาด้านหลังปัญญาชนที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงไปร่วมสอบ จึงสามารถหลบอยู่ในเงาของบัณฑิตได้พอดี
ปัญญาชนคนนั้นต้องมีตำแหน่งจวี่เหรินแน่นอน เพราะบนร่างมีเอกสารการเดินทางที่กรมพิธีการของหนึ่งแคว้นแจกจ่ายให้ เป็นเหตุให้บนร่างมีโชคชะตาบุ๋นเสี้ยวหนึ่งที่เชื่อมโยงกับเมืองหลวงอยู่ไกลๆ
เสี่ยวโม่กล่าว “คุณชาย ผีสาวที่กางร่มกำลังกังวลว่าตัวเองจะทำให้บัณฑิตคนนั้นเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่ แล้วยังคิดด้วยว่าหากตนโชคดีรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ก็จะชดเชยปราณหยางบนร่างของบัณฑิตที่เสียหายไป อยากจะหาโอกาสปกป้องลูกหลานของเขาไปนานร้อยปี”