กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 890.5 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์
เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ มีเสี่ยวโม่อยู่ข้างกายช่วยลดภาระไปได้ไม่น้อยเลยจริงๆ
“เสี่ยวโม่อ่า ข้าต้องตำหนิเจ้าแล้วนะ เคยชินที่จะออกจากบ้านเดินทางไกลพร้อมเจ้าแล้ว วันหน้าจะทำอย่างไร เปลี่ยนจากฟุ้งเฟ้อมาเป็นประหยัดมันยากนะ”
เสี่ยวโม่กล่าว “ขอแค่คุณชายไม่รังเกียจ ไม่ไล่กัน เสี่ยวโม่ก็สามารถออกเดินทางไกลเป็นเพื่อนคุณชายได้ทุกครั้งเลย”
เฉินผิงอันพลันรู้สึกขนลุกเล็กน้อย เหลือบมองเสี่ยวโม่แวบหนึ่ง
มารดามันเถอะ หรือว่าตอนนั้นที่อยู่ในตรอกเล็ก เซียนเว่ยไม่ได้มองเสี่ยวโม่ผิดไป?
ตนเองต้องคอยป้องกันอย่างยากลำบาก ต้องคอยระมัดระวังรอบคอบ ผลกลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้ก็กลายมาเป็นเงาดำใต้โคมไฟอีกเหมือนกัน?
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “คุณชายวางใจเถอะ เสี่ยวโม่มีผู้ฝึกตนหญิงที่สถานะคล้ายคลึงกับคู่บำเพ็ญตนในยุคหลังอยู่ด้วย เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม บุคลิก หรือคุณสมบัติการฝึกตนของนางก็ล้วนเทียบหนึ่งในหมื่นของฮูหยินไม่ได้”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “คิดอะไรกัน ข้าจะเข้าใจผิดเสี่ยวโม่ได้อย่างไร”
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “เป็นเสี่ยวโม่ที่เข้าใจผิดไปเอง”
“เสี่ยวโม่ เจ้าไปขัดขวางเทพอธิบาลเมืองสักหน่อย สามารถบอกสถานะของผู้ถวายงานต้าหลีออกไปได้อย่างเปิดเผย ให้พวกเขาดูป้ายสงบสุขแผ่นนั้น ส่วนที่ท่าเรือแห่งนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงไปด้านล่าง เดินไปหยุดอยู่ข้างกายผีสาวที่กางร่ม ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันดันร่มกระดาษน้ำมันไว้เบาๆ ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าว “แม่นางบังเอิญต้องรีบเดินทางเช่นนี้เชียวหรือ ถือว่าทำผิดกฎแห่งสวรรค์หรือไม่? ในฐานะผีที่ไม่อาจพบเห็นแสงสว่างได้ เหยียบเงาของคนบนโลกมนุษย์ตามใจชอบ เป็นการทำลายพลังชีวิตของคนอื่นอย่างที่มองไม่เห็น ไม่กลัวว่าอยู่ดีๆ จะเป็นการเพิ่มหายนะให้กับตัวเอง กลายเป็นว่าถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรอกหรือ?”
ใบหน้าของผีสาวซีดขาวผิดปกติ นางหันหน้าไปมองมือดาบชุดเขียวด้วยความตกตะลึงสุดขีด พูดวิงวอนเสียงสั่นว่า “เซียนซือ บ่าวมีเรื่องลำบากใจ ขอเซียนซือโปรดมีใจเมตตาให้บ่าวข้ามผ่านลำคลองสายนี้ไปเถอะ แล้วบ่าวจะจากไปทันที พระคุณยิ่งใหญ่ของเซียนซือ บ่าวจะไม่ลืมเลือนเลย…”
ระหว่างที่พูดนางก็หยุบถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เงินเทพเซียนสิบหกเหรียญเป็นเงินทั้งหมดที่บ่าวสะสมมาแล้ว ขอเพียงเซียนซือยอมให้บ่าวเก็บไว้สักเหรียญ บ่าวจะมอบให้แก่คุณชายผู้มีพระคุณข้างหน้านี้”
ร่มกระดาษน้ำมันที่นางกางอยู่ถูกมือดาบชุดเขียวใช้นิ้วดันเอาไว้แล้ว นางจึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ทว่าบัณฑิตเบื้องหน้ากลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า รอกระทั่งรองเท้าปักลายดอกไม้คู่นั้นของนางพ้นไปจากเงาของบัณฑิต บนพื้นก็พลันร้อนลวกเหมือนกระทะน้ำมันเดือดพล่าน ทำให้นางมิอาจมีที่หยัดยืนในโลกมนุษย์ได้
ใบหน้าของนางซีดเผือด ข่มกลั้นความเจ็บปวด ได้แต่ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบลงบนรองเท้าปักลายบุปผาอีกข้างเท่านั้น
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ผีสาวเลิกเปลือกตาขึ้นมองไปยังแผ่นหลังของบัณฑิตตรงหน้า สีหน้าของนางเลื่อนลอยไปเล็กน้อย มีความอาลัยอาวรณ์ แต่กระนั้นก็ยังคลี่ยิ้มปล่อยวาง
จากนั้นนางก็เตรียมจะหันไปถ่มน้ำลายใส่เซียนซือชาติสุนัขผู้นั้น ต้องถ่มน้ำลายให้โดนใบหน้าของอีกฝ่ายถึงจะยอม แล้วตัวเองค่อยกลายเป็นคุณูปการในการกำจัดปีศาจปราบมารของอีกฝ่าย
แต่กลับเห็นว่าคนชุดเขียวคลี่ยิ้ม เก็บสองนิ้วกลับคืนไป จากนั้นเคาะร่มกระดาษน้ำมันเบาๆ พริบตานั้นเส้นไยสีทองก็ไหลลงมาจากบนร่มเหมือนหยดฝน คล้ายกับผ้าม่านที่ถูกกางเป็นวงกลมโดยรอบ
นางคล้ายได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่เย็นสบายแห่งหนึ่งของตระกูลเซียน
เฉินผิงอันยื่นส่งยันต์สีเหลืองปึกหนึ่งไปให้ เอ่ยว่า “หลังจากข้ามลำคลองไปแล้วก็ตอบแทนพระคุณของบัณฑิตผู้นั้น หากยินดีก็สามารถไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าทะเลสาบซูเจี่ยน ไปหาผู้ฝึกตนนามว่าเจิงเย่ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะสามารถฝึกตนอยู่ที่นั่นได้ เทพเซียนบนภูเขาท่านนี้หาตัวเจอไม่ยาก เจ้าไปถึงที่นั่นแค่สอบถามก็รู้แล้ว หากเจ้าไม่ยินดีจะเดินทางไกลก็ตามใจ”
เมื่อครู่อยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย ผีสาวที่กางร่มก็ไม่มีจิตสังหารและกลิ่นอายความชั่วร้ายแผ่ออกมา สติปัญญาไม่เคยถูกกลิ่นอายดุร้ายที่มีติดตัววิญญาณหยินตั้งแต่เกิดกลบทับ นี่ก็คือจิตแห่งมรรคาที่บริสุทธิ์แล้ว
ไม่อย่างนั้นเพียงแค่เนื้อหาในใจที่เสี่ยวโม่ตรวจสอบพบ ผีหญิงตนนี้แบ่งแยกถูกผิด แบ่งแยกความดีความชั่วร้ายได้อย่างชัดเจน เฉินผิงอันก็ไม่มีความจำเป็นต้อง ‘บีบคั้นผู้อื่น’ เช่นนี้
ผีสาวที่กางร่มคลางแคลงไม่เข้าใจ แค่พบเจอกันอย่างผิวเผิน ไร้ความเกี่ยวข้องใดๆ เหตุใดอีกฝ่ายต้องมีน้ำใจเช่นนี้?
เพียงแต่ว่าพอคิดอีกที ตบะปลายแถวน้อยนิดของนางจะมีค่าพอให้เซียนซือที่มรรคกถาและฝีมือลึกล้ำเกินจะหยั่งตรงหน้าผู้นี้วางแผนใส่ร้ายได้อย่างไร?
แต่พอคิดในมุมใหม่ นางก็กลัดกลุ้มขึ้นมาเล็กน้อย คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายหวังในความ…งามของตน?
ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดเรื่องอะไร เฉินผิงอันก็ล้วนแบกรับไว้ได้ มีเพียงการใส่ร้ายประเภทนี้ที่มิอาจรับได้เด็ดขาด จึงเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “รีบตามบัณฑิตข้ามลำคลองไป แล้วก็คิดเรื่องที่ไม่เป็นความจริงให้มันน้อยๆ หน่อย”
ผีสาวไม่กล้าคิดอะไรอีกจริงๆ นางเก็บยันต์ตระกูลเซียนปึกนั้นมาอย่างระมัดระวัง ยอบกายคารวะเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เดินเร็วๆ ก้าวไปเบื้องหน้า หลังเดินออกมาได้สองสามก้าวแล้วก็ถึงกับค้นพบว่าต่อให้ตนไม่ต้องเดินอยู่ในเงาของบัณฑิตก็สามารถก้าวเดินไปได้อย่างราบรื่น นางอดไม่ไหวหยุดเท้าหันหน้าไปถาม “ขอทราบนามและจวนเซียนของนายท่านเซียนซือได้หรือไม่?”
มือดาบชุดเขียวที่หากมองหลายๆ ครั้งกลับมีกลิ่นอายของตำราเต็มร่างผู้นั้นส่ายหน้า “ไม่ต้องรู้เรื่องที่ไม่สำคัญพวกนี้หรอก”
นางลังเลเล็กน้อย สุดท้ายกล่าวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวหนักแน่น “บ่าวขอร้องเซียนซือจากใจจริง โปรดบอกนามของท่านด้วยเถิด”
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นตบดาบแคบที่ห้อยตรงเอว ยิ้มเอ่ย “ข้าชื่อเฉินผิงอัน เป็นมือกระบี่คนหนึ่ง”
ทั้งเอาอย่างคนบางคนพูดคำพูดหยอกล้อที่ไม่ใช่คำล้อเล่นกับผีสาวกางร่ม
ทั้งยังพูดให้เทพอธิบาลเมืองประจำเขตปกครองผู้นั้นฟัง เพราะดูเหมือนว่าป้ายสงบสุขปลอดภัยปลายแถวของกรมอาญาต้าหลีที่เสี่ยวโม่คล้ายจะใช้ไม่ได้ผลเท่าใดนัก
หันตัวไปกุมหมัดคารวะเทพอภิบาลเมืองที่ทะยานเมฆหมอกไกลๆ ก่อน จากนั้นร่ายร่างเมฆาวารีออกเดินทางไปพร้อมกับเสี่ยวโม่ต่ออีกครั้ง
หลังจากมือดาบชุดเขียวที่บอกชื่อแซ่คารวะอย่างนอบน้อมจากไปแล้ว เทพอภิบาลเมืองและเสมียนผู้ช่วยสองคนอย่างเทพท่องทิวากับแม่ทัพล่ามตรวนก็ลดก้อนเมฆลงมาที่ท่าเรือ บอกให้พ่อปู่ลำคลองที่เดิมทีควรขัดขวางปล่อยผีสาวไป
พ่อปู่ลำคลองเป็นคนนิสัยดื้อดึง ต่อให้เจอกับเทพอภิบาลเมืองประจำเขตซึ่งถือเป็นหัวหน้าในวงการขุนนางของเขาก็ยังยืนกรานจะถามหาเหตุผลให้ได้ก่อนถึงจะยอมเปิดทางให้ เทพอภิบาลเมืองอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ไม่มีโทสะ กลับยังบอกกับพ่อปู่ลำคลองด้วยว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นก็คือเจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วหลงโจวต้าหลี เฉินผิงอัน เจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง
เทพอภิบาลเมืองเอ่ยสัพยอกพ่อปู่ลำคลองว่า “มาดใหญ่เทียมฟ้านัก ถึงกับทำให้เซียนกระบี่คนหนึ่งมาหยุดอยู่ที่นี่ จำต้องแบ่งบุญกุศลบางส่วนบนร่างมาปกป้องผีสาวตนหนึ่งให้ข้ามลำคลองไปให้ได้”
ในใจพ่อปู่ลำคลองภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ต่อให้ขอบเขตของเซียนกระบี่คนหนึ่งจะใหญ่กว่าแผ่นฟ้า ก็ไม่ใหญ่ไปกว่าเหตุผลที่ขุนนางต่ำต้อยอย่างข้าพยายามทำหน้าที่ของตัวเองสุดความสามารถ”
เทพอภิบาลเมืองหัวเราะร่า ดังนั้นนี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าได้เป็นพ่อปู่ลำคลองอยู่ที่นี่ ส่วนข้าก็ได้บัญชาการณ์ศาลเทพอธิบาลเมืองประจำเขตอย่างไรล่ะ
พ่อปู่ลำคลองพลันถามว่า “คือเซียนกระบี่เฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วคนนั้นจริงๆ หรือ?”
ก็ยากจนนี่นะ ไม่ได้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ซื้อพวกรายงานขุนเขาสายน้ำไม่ไหว ข่าวคราวบนภูเขาของเขาจึงไม่ว่องไวเท่าเทพอภิบาลเมืองท่านนี้ เพียงแต่เคยได้ยินสหายร่วมงานกับพวกขุนนางที่อยู่เบื้องบนพูดถึงบ่อยๆ ตอนอยู่ในงานเลี้ยงสุราน้อยใหญ่ บอกว่าราชสำนักต้าหลีมีเซียนกระบี่หนุ่มอายุสี่สิบต้นๆ ปรากฏตัวสองคน ร่วมมือกันถามกระบี่ รื้อถอนศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงเสียเละ
โดยเฉพาะคนแซ่เฉินที่นิสัยย่ำแย่ถึงที่สุด ถึงกับใช้กระบี่ปาดคอบรรพบุรุษย้ายภูเขาตนนั้น
แล้วลองย้อนมาดูการกระทำของมือดาบชุดเขียวคนเมื่อครู่ กลับไม่เหมือนที่เล่าลือกันภายนอกสักเท่าไร ท่านเทพอภิบาลเมืองจะมองผิดไปหรือไม่?
เทพอภิบาลเมืองพยักหน้า “ไม่ผิดแน่แล้ว ของแท้แน่นอน”
พ่อปู่ลำคลองบ่น “ท่านเทพอภิบาลเมืองหนอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมท่านไม่บอกแต่แรกเล่า ข้าจะได้ขอน้ำหมึกจากเซียนกระบี่เฉินมาสักเทียบหนึ่ง”
เทพอภิบาลเมืองถลึงตาใส่ “ยังจะมีหน้ามาพูดว่าทำไมไม่บอกแต่แรกอีกหรือ?!”
พ่อปู่ลำคลองไม่พูดอะไรแล้ว ใครตำแหน่งขุนนางใหญ่คนนั้นก็มีเหตุผล
เสี่ยวโม่ทะยานลมเดินทางไกลไปพร้อมกับคุณชายขตัวเอง ถามว่า “ในอดีตยามที่คุณชายออกจากบ้านเดินทางไกลล้วนชอบ…?”
เฉินผิงอันยิ้มต่อคำ “ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน?”
เสี่ยวโม่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันกล่าว “พอขอบเขตสูงฟ้าดินก็เล็กลง ดูเหมือนว่าล่างภูเขาล้วนมีแต่เรื่องจุกจิกยิบย่อย พูดแบบนี้ก็ไม่ผิด เพียงแต่เมื่อเจ้าและข้าหยุดเดิน กาลเวลาบางอย่างมีความต่างก็แค่เท่าตอนที่เจ้านั่งเรือยันต์ชมขุนเขาสายน้ำเป็นเพื่อนข้ากับตอนที่เจ้ากุมไหล่ข้าลากให้ออกเดินทางไปด้วยกัน แต่สำหรับคนอื่นแล้ว บางทีอาจเป็นความเป็นความตาย เป็นมหามรรคา เป็นหายนะที่ต่อให้คุกเข่าโขกหัววิงวอนก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้พ้น จากนั้นก็ต้องแยกจากอยู่กันคนละฟ้าดิน แต่ข้ากลับยังหวังให้คนมีรักได้อยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า…”
เสี่ยวโม่เอ่ย “วิธีการถ่ายทอดมรรคาของคุณชาย เสี่ยวโม่ได้เรียนรู้แล้ว”
เฉินผิงอันอดทนแล้วอดทนอีก
เสี่ยวโม่กล่าว “ฟังอาจารย์ผู้เฒ่าจูเล่าว่าความเป็นมาของขนบธรรมเนียมประจำภูเขาลั่วพั่วต้องยกคุณความดีให้กับการวางตัวเที่ยงตรงดุจต้นกำเนิดน้ำใส การปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างของคุณชาย”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “พูดจาเหลวไหล ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว”
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “คุณชายช่างถ่อมตัวจริงๆ”
เส้นทางระหว่างภูเขาเลื้อยลดคดเคี้ยว หน้าผาสูงชันยากจะเดินทาง ขบวนรถขบวนหนึ่งล้วนมีแต่ม้าตัวเตี้ย
ผู้เฒ่าที่ทั้งเส้นผมและขนคิ้วล้วนเป็นสีขาวโพลนขี่ม้าพกดาบ คาดว่าคงเป็นเพราะออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ผู้คุมกันเฒ่าจึงไม่ได้โกนหนวดเครา
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งขี่ม้าอยู่เคียงข้าง
ตรงหัวเลี้ยวของเส้นทางภูเขา มีคนชุดเขียวที่ตรงเอวพกดาบคู่คนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ ยิ้มเอ่ยว่า “มาปล้น”
ด้านหลังของเขามีคนหนุ่มลักษณะคล้ายบัณฑิตยืนอยู่
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “ซานเฟิง แค่มองก็รู้ว่าไม่ปล้นทรัพย์สิน ปล้นแต่ความงามเท่านั้น คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
นักพรตหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ยังคงเป็นพี่ใหญ่สวีที่หล่อเหลามากกว่า ไหนท่านชอบพูดว่าเรื่องของหน้าตา ข้ากับเฉินผิงอันรวมกันก็ยังหล่อสู้ท่านไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
คนทั้งสองพลิกตัวลงจากหลังม้า เดินเคียงกันไปหาคนผู้นั้น
ผู้คุ้มกันจากศูนย์ฝึกยุทธเห็นเพียงว่ามือดาบชุดเขียวก้าวเดินเร็วๆ ชูสองมือขึ้นแล้วแยกกันกำมือของสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเอาไว้
พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนรู้จักคนผู้นี้ แซ่เฉิน เป็นสหายของเจ้าศูนย์ผู้เฒ่า
แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คนชุดเขียวผู้นั้นถึงกับเดินเท้า ช่วยจูงม้าให้กับเจ้าศูนย์ พูดคุยหัวเราะไปด้วยกัน
ลงจากภูเขา เดินทางผ่านโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง คนทั้งสี่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน เจ้าศูนย์ยอมแหกกฎ ไม่เพียงแต่ดื่มเหล้าตอนที่ตัวเองเป็นผู้คุมภัย ยังอนุญาตให้ลูกศิษย์ทุกคนของศูนย์ฝึกยุทธดื่มเหล้ากันคนละชามด้วย
น่าประหลาดนัก เจ้าศูนย์ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องระหว่างทางจริงๆ หรือ?
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น จิบเหล้าหนึ่งอึก หยิบตำรารวมเล่มขนาดไม่หนาออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ลองเปิดอ่านดูไหม?”
สวีหย่วนเสียเช็ดปาก เพ่งมองจนชัดเจนแล้วก็รีบเอามือเช็ดชายแขนเสื้อ แล้วถึงได้หยิบขึ้นมา เป็นรวมเล่มวลีของซูจื่อ
คราวก่อนตอนที่อยู่บนโต๊ะสุรา ตนได้พูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเด็กเฉินผิงอันก็เริ่มคุยโวโดยไม่ต้องร่างคำพูด บอกว่าสามารถช่วยตนขอรวมเล่มวลีของซูจื่อเล่มหนึ่งได้ ถึงขั้นที่ว่ายังสามารถช่วยขอให้ซูจื่อเขียนคำนำในบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นของตนได้ด้วย สวีหย่วนเสียเปิดอ่านอย่างระมัดระวัง ผลคือมีชื่อของซูจื่อจริงๆ แล้วยังลงตราประทับส่วนตัวไว้ พร้อมกับประโยคที่ว่า ‘แม้ร่างจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าเนื้อหยาบ แต่ความรู้และบุคลิกภายในกลับสาดประกายเป็นเอกลักษณ์ ขอมอบให้กับจอมยุทธพเนจรเคราดกสวีหย่วนเสีย’ ลงท้ายด้วยเดือนและปี
สวีหย่วนเสียใบหน้าแดงก่ำ เก็บใส่ไว้ในอ้อมอก หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “เจ้าเด็กหน้าเหม็นเขียนลายมือเลียนแบบได้เหมือนนักนะ ข้าก็จะถือว่าเป็นของจริงแล้ว”
เฉินผิงอันยกชามเหล้าขึ้น “เรื่องที่วันหน้าจะช่วยท่านเขียนคำนำ ซูจื่อก็ตอบตกลงแล้ว รอแค่ให้ท่านเขียนให้จบเท่านั้นแล้วข้าจะช่วยนำต้นฉบับส่งไปให้ซูจื่อ”
สวีหย่วนเสียทำสีหน้าคลางแคลง
จางซานเฟิงจึงเริ่มยุแยงใส่ไฟ “มัวอึ้งอยู่ทำไมเล่า ยังไม่รีบดื่มสุราคารวะนายท่านใหญ่เฉินของพวกเราอีกหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “ข้ายังมีเทียบอักษรของซูจื่ออยู่ด้วยฉบับหนึ่ง แต่คราวนี้ออกจากบ้านลืมพกมาด้วย หากอยากได้ก็ไปเอาที่ภูเขาลั่วพั่วเอง”
สวีหย่วนเสียยกนิ้วขึ้นสามนิ้ว ส่ายไปมา “เจ้าหนูเจ้าใช้ได้เลยนี่นา พูดแค่สามประโยคก็คุยโวไปสามรอบแล้ว”
อันที่จริงหลายวันที่ผ่านมานี้สวีหย่วนเสียคอยไปเดินเล่นแถวภูเขาตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับศูนย์ฝึกยุทธเป็นระยะเพื่อสอบถามเรื่องบางอย่างบนภูเขา
ดังนั้นผู้เฒ่าจึงรู้เรื่องที่ภูเขาลั่วพั่วไปเข้าร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยง และการประชุมที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางมาแล้ว
ทุกครั้งจะต้องเดินขึ้นเขาช้าๆ ตอนลงจากภูเขากลับรีบร้อน พอกลับไปถึงบ้าน ดื่มเหล้าจนเมากรึ่มๆ แล้วก็หลับไป
สวีหย่วนเสียยกชามเหล้าขึ้นชนกับของเฉินผิงอันแรงๆ ยิ้มเอ่ย “หากมีธุระยุ่งก็ไม่ต้องกลับอำเภอเซียนโหยวกับพวกเราแล้ว แค่เหล้าไม่กี่มื้อเท่านั้น ธุระย่อมสำคัญกว่า”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “เลิกแสร้งทำเป็นมีมาดองอาจกับข้าเสียทีเถอะ หากข้าไปจริงๆ ท่านจะไม่ด่าข้าให้จางเจินเหรินฟังตายเลยหรือ”
จางซานเฟิงยิ้มบางๆ ผงกศีรษะรับ ทุกวันนี้ตนเป็นเทพเซียนขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว ถูกเรียกว่าเจินเหรินบนโต๊ะสุรา ไม่เกินกว่าเหตุ
สวีหย่วนเสียหันหน้าไปมองคนหนุ่มหมวกเหลืองแล้วก็ให้เสียใจภายหลังทันที จริงดังคาด เจ้าคนที่รับผิดชอบช่วยรินเหล้าให้ผู้นี้ผงกศีรษะกับตัวเอง เอ่ยประโยคเดียวว่า ข้าดื่มก่อนล่ะ แล้วก็ดื่มหมดรวดเดียว
เหล้ามื้อนี้ ก่อนหน้านั้นขอแค่มีคนดื่มสุราคารวะ เสี่ยวโม่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหล้าชามใหญ่เขาจะต้องดื่มหมดในรวดเดียว หลายครั้งเข้า ขนาดสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็ไม่กล้าดื่มสุราคารวะแล้ว แต่หลังจากนั้นขอแค่สายตามองสบกัน เสี่ยวโม่ก็จะทำเหมือนถูกคนยุให้ดื่ม แล้วก็ยังคงดื่มเงียบๆ หมดชามเหมือนเดิม
บนโต๊ะเหล้ากลัววีรบุรุษที่เป็นเช่นนี้ที่สุด พฤติกรรมยามดื่มดีเยี่ยม แต่กลายเป็นว่าดื่มได้เก่งดื่มได้ดียิ่งกว่านิสัยการดื่มเสียอีก
แล้วนับประสาอะไรกับที่เสี่ยวโม่ยังรู้จักหนักเบา ทุกครั้งแค่ให้จอมยุทธใหญ่สวีดื่มแค่พอเป็นพิธีก็พอ หากว่าสวีหย่วนเสียดื่มหมดรวดเดียว เสี่ยวโม่ก็จะรินเหล้าให้ตัวเองสองชามใหญ่ เป็นเหตุให้สวีหย่วนเสียจะดื่มสุราคารวะก็ไม่ใช่ จะดื่มเหล้าเฉยๆ ก็ไม่ดี จึงได้แต่ทำตัวตามสบายกับเสี่ยวโม่เท่านั้น สรุปก็คือ…มีความสุขมากจริงๆ ดังนั้นอันที่จริงสวีหย่วนเสียจึงไม่ได้ดื่มไปมาก เพียงแค่ว่าจำนวนครั้งที่ยกชามเหล้ากลับไม่น้อย ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเหมือนได้ดื่มอย่างจุใจเต็มคราบ