กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 890.6 อะไรคือห่มดาวสวมจันทร์
เส้นทางกลับอำเภอเซียนโหยวหลังจากนั้น พอรู้ว่าเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้ถึงกับกำลังจะไปสร้างสำนักเบื้องล่างที่ใบถงทวีป สวีหย่วนเสียก็อดไม่ได้บอกให้เฉินผิงอันรีบๆ ไสหัวไปได้แล้ว
เฉินผิงอันคร้านจะสนใจเขา นั่งบนหลังม้า สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ไหล่โยกไปมา ตรงเอวเหน็บดาบสองเล่ม ขี่ม้าอย่างเอ้อระเหย คุยเล่นกับจางซานเฟิงไปเรื่อยเปื่อย ทั้งสองฝ่ายนัดกันว่าจะไปที่ใบถงทวีปด้วยกัน จางซานเฟิงจึงถามสวีหย่วนเสียว่าเผด็จการจนน่าโมโหหรือไม่? ช่วยไม่ได้นี่นะ คนบางคนอายุมากแล้ว แข้งขาก็ไม่ค่อยดี เดินทางคุ้มกันไม่มีปัญหา แม้จะต้องกัดฝันเลียนแบบชายฉกรรจ์ที่ออกไปหาประสบการณ์ในยุทธภพก็ตาม ดื่มเหล้าเคล้านารี เห็นสาวงามก็ได้แต่มีใจอยากสังหารโจรแต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะจับโจรแล้ว
ทำเอาสวีหย่วนเสียโมโหไม่เบา
ตลอดทางที่กลับไปยังเขตชิงหยวนนี้ สวีหย่วนเสียคอยสานสัมพันธ์กับที่ว่าการ จุดพักม้าหรือไม่ก็พรรคในยุทธภพไปด้วย บางครั้งก็จะให้ลูกศิษย์ได้ฝึกปรือฝีมือ
ไม่รู้ว่าเหตุใดเสี่ยวโม่ถึงได้รู้สึกว่าคุณชายของตนไม่เหมือนกับตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วเลย เขาเองก็มีท่าทีเกียจคร้าน อาบแดดสบายใจ จิบเหล้าคำเล็กๆ บางครั้งยังผิวปาก ดูเหมือนว่าจะเป็นทำนองของบทเพลงพื้นบ้าน
พอไปถึงศูนย์ฝึกยุทธที่อำเภอเซียนโหยว เสี่ยวโม่ก็ยิ่งได้เปิดโลกกว้าง ถึงกับเป็นคุณชายบ้านตนที่เข้าครัวทำอาหารโต๊ะหนึ่งด้วยตัวเอง
สวีหย่วนเสียเอาสองมือกอดอกเอนตัวพิงประตูห้องครัว ยิ้มมองสหายเก่าสองคนกับสหายใหม่อีกคนหนึ่งที่ง่วนไปมาอยู่ตรงนั้น
วันนี้ที่ดื่มเหล้ากัน เป็นเพียงแค่งานเลี้ยงเล็กๆ เรียบง่ายเท่านั้น
พอไปถึงห้องของจางซานเฟิง เฉินผิงอันก็แย่งไปเปิดตำราเล่มหนึ่งก่อน ในตำรามีภาพวาด เขาถึงกับจุ๊ปากไม่หยุด
จางซานเฟิงบ่น “พี่ใหญ่สวี ข้าเป็นนักพรตคนหนึ่ง ท่านเอาหนังสือพวกนี้มาวางไว้บนโต๊ะ หมายความว่าอะไรกันแน่?!”
สวีหย่วนเสียหัวเราะหึหึ “คงเป็นเพราะหนังสือมีขาก็เลยแอบเดินเข้ามาด้วยตัวเองกระมัง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
ตอนกลางคืนยังมีอาหารมื้อดึกอีกมื้อ สวีหย่วนเสียพาคนทั้งสามออกจากศูนย์ฝึกยุทธ ไปหาร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เปิดอยู่ในตรอกเก่าโทรม เหล้ามื้อนี้เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงดื่มกันอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าจะความขัดแย้งภายในเกิดขึ้น
ยามฟ้าสางของวันต่อมา เฉินผิงอันนวดคลึงขมับ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาที่ศูนย์ฝึกยุทธได้อย่างไร
พอตื่นขึ้นมาแล้วก็ผลักประตูเดินออกไป เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็สังเกตเห็นว่าเสี่ยวโม่นั่งยองอยู่บนขั้นบันไดข้างลานประลองยุทธ มองสวีหย่วนเสียที่กำลังสอนพวกศิษย์ลูกศิษย์หลานให้ฝึกหมัดเดินนิ่ง
เจ้าโง่จางซานเฟิงถึงกับยืนถือเหล้าชามหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง กำลังใช้เหล้าถอนเหล้าคืนวิญญาณอยู่กระมัง
สวีหย่วนเสียกวักมือเรียกเฉินผิงอัน “มานี่ มาสอนวิชาหมัดสักสองสามกระบวนท่าสิ”
พวกลูกศิษย์ในศูนย์ฝึกยุทธพากันหันขวับมามองคุณชายเฉินที่ถูกเจ้าศูนย์พูดเสียจนลี้ลับมหัศจรรย์อย่างพร้อมเพรียงกัน
สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกขาว สวมรองเท้าผ้าสีดำพื้นหนา
พวกเขาจำต้องยอมรับว่ารูปโฉมของอีกฝ่ายพอจะคมคายอยู่บ้าง ส่วนเรื่องความสามารถด้านหมัดเท้าน่ะหรือ ในเมื่อเป็นสหายในยุทธภพของเจ้าศูนย์บ้านตน ฝีมือสูงหรือต่ำก็พอจะรู้กันได้แล้ว
เหตุใดเจ้าศูนย์ถึงได้มีชื่อเสียงที่ดีขนาดนั้นในยุทธภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของเพื่อนร่วมอาชีพ? ก็ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ควันธูปที่ได้มาจากการแพ้หมัดหรอกหรือ?
หากไม่เป็นเพราะเจ้าศูนย์เป็นคนมีคุณธรรม ข้าวทุกมื้อมีให้กินจนพออิ่ม ไม่เคยถ่วงเวลาการจ่ายเงินเดือน ไม่อย่างนั้นก็คงรั้งคนไว้ได้แค่ไม่กี่คนจริงๆ
เมื่อครู่นี้จางเจินเหรินก็ได้ถูกเจ้าศูนย์ลากตัวมาให้ช่วยถ่ายทอดวิชาหมัดชุดหนึ่ง เจ้าตัวดี คาดว่าคงเป็นเพราะยังไม่สร่างเมา ถึงได้วนเป็นวงกลมอ่อนปวกเปียกอยู่ตรงนั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยฝากความหวังไว้ที่คุณชายเฉินซึ่งมักจะออกท่องยุทธภพบ่อยๆ ผู้นี้มากนัก
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม กระตุกมุมหนึ่งของชุดกว้าตัวยาวสีเขียวมาเหน็บไว้ตรงเข็มขัด มาหยุดอยู่ข้างกายสวีหย่วนเสีย หันหลังให้กับลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธ แล้วเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาก่อนรอบหนึ่ง
พวกคนหนุ่มฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลังหันมาสบตากัน
นี่ก็ถูกต้องแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นสหายของเจ้าศูนย์บ้านตน
เสี่ยวโม่หัวเราะ
ปณิธานหมัดของทั้งร่างประหนึ่งขุนเขาสายน้ำ ประหนึ่งฟ้าดินที่เชื่อมโยงถึงกัน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอย่างพวกอวี๋หง โจวไห่จิ้ง โชคดีได้เจอกับคุณชายบ้านตน ก็เป็นแค่เรื่องของหมัดเดียวเท่านั้น
สวีหย่วนเสียนั่งลงข้างกายเสี่ยวโม่ พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เจ้าพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ไหนเลยจะมองความตื้นลึกออก ทำให้เสี่ยวโม่เห็นเรื่องตลกแล้ว”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ต่างคนต่างมีสูงต่ำ ต่างคนต่างมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน”
สวีหย่วนเสียรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “ตลอดทางนี้รบกวนเสี่ยวโม่แล้ว”
เฉินผิงอันเป็นคนอย่างไรเขารู้ชัดเจนดียิ่งนัก ออกจากบ้านมาดื่มเหล้ากับตนและจางซานเฟิง หากไม่เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ไม่มีทางพาคนมาด้วยเด็ดขาด
สวีหย่วนเสียมองไปยังเงาร่างที่ยิ่งนานหมัดเท้าก็ยิ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วบนลานประลองยุทธ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าเองก็อายุมากแล้ว หากเร็วกว่านี้สักสิบยี่สิบปี จะต้องดื่มเหล้ากับเสี่ยวโม่อย่างไม่เมาไม่กลับแน่นอน”
เสี่ยวโม่เอ่ยเสียงเบา “ในสายตาของคุณชาย บางทีจอมยุทธใหญ่สวีอาจจะไม่ถือว่าหนุ่มเท่าไรแล้วจริงๆ แต่เชื่อว่าในใจของคุณชาย จอมยุทธใหญ่สวีจะต้องเป็นจอมยุทธเคราดกผู้กล้าหาญที่เดินอยู่ท่ามกลางลมฝนคนนั้นตลอดไปอย่างแน่นอน”
ผู้เฒ่านวดคลึงปลายคาง ยิ้มเอ่ยว่า “มีเหตุผล”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็อยู่ในศูนย์ฝึกยุทธต่อไปอีกสามวัน สุดท้ายก็เป็นสวีหย่วนเสียที่ไล่คน ยิ้มด่าว่าเจ้าตะพาบใจดำอย่างเฉินผิงอันและจางซานเฟิงสองคนไม่เพียงแต่มากินเปล่าดื่มเปล่าอยู่ที่นี่ ยังรอคอยให้ตนตายเพื่อจะได้แบ่งสมบัติด้วยใช่ไหม?
หลายวันมานี้เฉินผิงอันคอยสอนหมัดและป้อนหมัดอยู่ตลอด ในที่สุดพวกลูกศิษย์ของศูนย์ฝึกยุทธที่รู้สึกตัวอย่างเชื่องช้าก็เปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่ออีกฝ่าย ถึงได้เชื่อว่าคุณชายเฉินผู้นี้เป็นยอดฝีมือจริงๆ คาดว่าอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะจัดการกับเจ้าศูนย์ได้ถึงสองคน
หากมาเปิดศูนย์ฝึกยุทธที่อำเภอ กิจการจะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะลูกศิษย์ผู้หญิงที่ต้องมีไม่น้อยแน่
เช้าตรู่วันนี้นั่งอยู่บนขั้นบันได เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้วพลางถือชามเหล้ามองจางซานเฟิงที่สอนหมัดอยู่ตรงนั้น พวกลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธออกหมัดกันอย่างประดักประเดิด แต่ละคนกลั้นขำ เฉินผิงอันเองก็กลั้นขำเหมือนกัน
ก่อนจะออกเดินทาง สวีหย่วนเสียพลันมีข้อเรียกร้องขอให้เฉินผิงอันช่วยเขียนกรอบป้ายของห้องโถงใหญ่ ยังบอกด้วยว่าต้องให้เป็นคำพูดที่วางโตสักหน่อย มีพลังอำนาจสักหน่อย
เตรียมพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกไว้เรียบร้อย เสี่ยวโม่ฝนหมึกให้อยู่ด้านข้าง เฉินผิงอันยกพู่กันเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ลงไปสี่ตัว ลงท้ายว่าเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพัว แล้วยังหยิบตราประทับส่วนตัวชิ้นหนึ่งออกมา ประทับลงไปด้านบน เป็นคำว่าเฉินสืออี
เฉินผิงอันวางพู่กันไว้บนที่วางพู่กัน หันไปมองสวีหย่วนเสีย ยิ้มเอ่ย “หากยังรู้สึกว่าไม่มีพลังอำนาจมากพอ สามารถเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นเก้าได้นะ”
สวีหย่วนเสียหัวเราะดังลั่น บอกว่านี่ก็พอสมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นศูนย์ฝึกยุทธใหญ่เท่าก้นแห่งนี้ย่อมสยบไว้ไม่อยู่
ตัวอักษรสี่ตัวบนกรอบป้ายคือคำว่า หมัดสยบหนึ่งทวีป
สวีหย่วนเสียเดินไปส่งตลอดทางจนถึงนอกอำเภอ ไม่อิดออดชักช้าแม้แต่น้อย กุมหมัดเอ่ยกับคนทั้งสามว่า เดินทางปลอดภัย
……
ไปถึงอำเภอไหวหวง จางซานเฟิงไม่ได้ตามเฉินผิงอันไปพักอยู่บนภูเขา แต่ไปพักอยู่ที่ร้านฉ่าวโถวตรอกฉีหลงแทน ดื่มเหล้าจนมืดฟ้ามัวดินพร้อมกับเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย เฉินหลิงจวินและนักพรตหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซียนเว่ยซึ่งพูดเสียไพเราะว่าต้องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาไปอีกมื้อ จากนั้นจางซานเฟิงก็แอบบอกให้เฉินหลิงจวินนำทาง บอกว่าจะไปที่ศาลเหนียงเนียงเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูสักครั้ง เฉินหลิงจวินยักคิ้วหลิ่วตา ทำท่าเข้าอกเข้าใจ เซียมซีทำนายชะตาชีวิตคู่ของที่นั่นแม่นยำอย่างมากเลยล่ะ! เพียงแต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเหนียงเนียงเทพวารีผู้นั้นได้ย้ายบ้านไปแล้ว ทว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ยากสำหรับนายท่านใหญ่เฉิน เขาจึงพาจางซานเฟิงไปยังศาลเทพภูเขาแห่งอื่นในหลงโจว ที่นั่นก็ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน แรกเริ่มเซียนเว่ยได้ยินว่าจะไปที่ศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูก็คิดจะตามไปด้วย แต่รอกระทั่งได้ยินว่าจะไปจุดธูปที่ศาลเทพภูเขาบางแห่งแทน เขาก็ไม่ยินดีจะตามไปด้วยแล้ว
เฉินผิงอันไปที่ตรอกหนีผิงเพียงลำพัง เขาปีนกำแพงเข้าไปก่อน พลิ้วกายลงในลานบ้านของซ่งจี๋ซิน เรื่องแบบนี้เฉินผิงอันเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก
จากนั้นจึงร่ายร่างวารีเมฆา เข้าไปในห้องหนังสือของซ่งจี๋ซิน ไม่ต้องค้นหาชั้นวางหนังสืออะไรด้วยซ้ำ เขาคลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่ลี้ลับอำพรางแต่กลับเปิดประตูไม่ยากบนแจกันกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ สุดท้ายเฉินผิงอันก็หาเศษกระเบื้องชิ้นนั้นเจอ นอกจากนี้ยังมีกระดาษสีออกเหลืองอีกหลายแผ่นที่หนันจานไทเฮาต้าหลีทิ้งเอาไว้ เป็นคาถาเต๋าที่ไม่สมบูรณ์ของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว
จากนั้นเขาก็มาที่หน้าประตูบ้านบรรพบุรุษของตัวเอง เฉินผิงอันนั่งยองขุดดินหยิบเอากล่องชาดประทินโฉมตลับหนึ่งที่ฝังอยู่ในตรอกเล็กมานานหลายปีออกมา
ครั้นจึงไปที่ป่ารกร้างชานเมืองที่ไม่มีเงาผู้คนให้เห็น หาหลุมศพเล็กๆ ที่ไม่มีป้ายตั้งหน้าหลุมศพจนเจอ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องวงในที่เฟิงอี๋บอกเขาตอนอยู่ในศาลเทพอัคคีก่อนหน้านั้น
บนหลุมศพมีก้อนหินวางทับกระดาษสีแดงที่สีซีดจนกลายเป็นสีออกขาวแล้ว คงเป็นเพราะช่วงชิงหมิงของปีนี้มีคนมาไหว้ที่หลุมศพ จากนั้นก็เจอฝนที่ตกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
อีกทั้งบนหลุมศพเล็กยังมีแววว่าถูกเติมดินเพิ่มใหม่ทุกปีเช่นกัน
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบเหล้าออกมาสองกา กาหนึ่งเป็นเหล้าหมักข้าวเหนียวของบ้านเกิด อีกกาหนึ่งคือเหล้าสามยามของบนภูเขา เขาราดลงด้านหน้าหลุมศพเล็กทั้งหมด
หลังจากเดินเท้าห่างออกไปไกลมากแล้ว เฉินผิงอันก็หันไปมองแวบหนึ่งแล้วทะยานลมจากไป
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันยกม้านั่งเล็กตัวหนึ่งออกมานั่งอยู่ใกล้กับเตาเผามังกรแห่งหนึ่ง นั่งอยู่คนเดียวทั้งคืนจนฟ้าสาง
หลงโจวได้เปลี่ยนชื่อเป็นฉู่โจวอย่างเป็นทางการแล้ว
การโยกย้ายขุนนางเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ก็เหมือนอย่างที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนั้นที่เปลี่ยนผู้ว่าการคนใหม่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เป็นลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงจากเมืองหลวง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งคิดอยากมีผลงานเท่าไรก็ยิ่งไม่มีผลงานมากเท่านั้น เทียบกับพฤติกรรมของผีขี้เหล้าอย่างเฉาเกิงซินในวงการขุนนางแล้วแย่กว่าไม่ใช่น้อยๆ
ซากปรักตำหนักดวงจันทร์ที่เสี่ยวโม่มอบให้มาจากดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ คล้ายคลึงกับคฤหาสน์หลบร้อนแห่งหนึ่งในสมัยโบราณ
เฉินผิงอันได้บอกกล่าวกับเสี่ยวโม่ไว้ก่อนแล้วว่าจะนำของขวัญชิ้นนี้ไปมอบให้กับหลิวเสี้ยนหยาง เสี่ยวโม่พูดง่ายมาก แน่นอนว่าย่อมไม่มีความเห็นใดๆ ต่อเรื่องนี้
เฉินผิงอันรอจนฟ้าสางก็เก็บม้านั่งกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
การเข้าร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยงก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันไหว้วานให้กวนอี้หรานนำจดหมายลับฉบับหนึ่งไปส่งให้กับทูตผู้ตรวจการเฉาผิง พอได้รับจดหมาย เฉาผิงก็ไม่เข้าร่วมงานพิธีอีก แต่จากไปโดยตรง
รอกระทั่งภูเขาลั่วพั่วทำสัญญาเป็นพันธมิตรสามร้อยปีกับสกุลเฉาเสาค้ำยันแคว้นก็ไม่ต้องให้เฉินผิงอันไปพบเหน้าเฉาผิง ยิ่งไม่จำเป็นต้องเขียนสัญญานั้นลงบนกระดาษ ไม่ต้องมีกระดาษขาวตัวอักษรดำอะไร เป็นแค่สัญญาของวิญญูชนที่สองฝ่ายรู้กันดีอยู่ในใจเท่านั้น
ภูเขาลั่วพั่วจะปกป้องควันธูปของสกุลเฉาไม่ให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ‘บางอย่าง’ สำหรับเรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจว่าคำว่าเรื่องไม่คาดฝัน ไม่ใช่การที่สกุลเฉาจะสูญเสียสถานะเสาค้ำยันแคว้นที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นไป แต่เป็นการบ้านแตกสาแหรกขาด ควันธูปขาดสะบั้นตามความหมายที่แท้จริง แม้จะบอกว่าความเป็นไปได้นี้มีน้อยมาก แต่เฉินผิงอันเปิดประเด็นพูดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนต้นของจดหมายกลับแสดงให้เห็นถึงความจริงใจได้มากกว่า
จากนั้นก็คือภายในเวลาสามร้อยปี ตระกูลเฉาสามารถส่งผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือตัวอ่อนผู้ฝึกตนมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ให้พวกเขาฝึกตนอยู่บนภูเขาได้ ภูเขาลั่วพั่วจะตั้งใจอบรมปลูกฝังเป็นอย่างดี หากเรื่องนี้เปิดเผยร่องรอยมากเกินไป ง่ายที่จะทำให้ราชสำนักสกุลซ่งกริ่งเกรง เฉินผิงอันยังสามารถส่งบางคนให้ไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในอุตรกุรุทวีปอย่างสำนักกระบี่ไท่ฮุย หรือไม่ก็สำนักกระบี่หลงเซี่ยงที่ทักษินาตยทวีปอย่างลับๆ ได้
เฉาผิงทำให้เฉินผิงอันสัมผัสถึงการที่ทำอะไรรวดเร็วฉับไวของสกุลเฉาได้ในทันที
เพราะสกุลเฉาได้ส่งคนสองคนมาที่ภูเขาลั่วพั่วอย่างเงียบเชียบแล้ว เป็นลูกหลานสกุลเฉาสองคน คือเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่ง
เด็กหนุ่มเฉินอิน นามว่าเฟิ่งเซิง เป็นลูกหลานสายรองของสกุลเฉา คือตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ เด็กสาวได้รับการประทานแซ่ แซ่เฉานามยาง ชื่อเล่นคืออู๋ถง ทุกวันนี้นางเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่แล้ว พื้นฐานปูมาได้ไม่เลว
ตามกฎของตระกูลชนชั้นสูง เด็กสาวก็คือสาวใช้ควบด้วยตำแหน่งนักรบพลีชีพของเฉาอิน
คนทั้งสองถูกจูเหลี่ยนพาไปเข้าพักที่จวนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่หลังภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว
ชุยตงซานเคยชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับเด็กหนุ่มเฉาอิน แล้วยังมอบตำราลับบนภูเขาให้หลายเล่ม ส่วนเฉายาง ก่อนหน้านี้สุยโย่วเปียนและเผยเฉียนต่างก็เคยสอนหมัดนางแล้วหลายครั้ง
เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะไปที่เรือนหลังนั้นเพื่อพูดคุยกับคนทั้งสอง แต่หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็ยังให้เฉินหลิงจวินไปเรียกพวกเขามาแทน นัดมาพบกันที่โต๊ะหินริมหน้าผา
เด็กหนุ่มเด็กสาวเดินมาที่ภูเขาด้านหน้าด้วยกัน
พวกเขาเห็นเรือนไม้ไผ่ก่อน จากนั้นจึงเห็นเงาร่างชุดเขียวที่ยืนอยู่ริมหน้าผา มาดสง่างามราวเทพเซียน
คนผู้นั้นยิ้มมองมายังพวกเขา ผงกศีรษะให้
เฉาอินก้าวเร็วๆ ไปด้านหน้า เด็กสาวตามติดไปด้านหลัง
เด็กหนุ่มประสานมือคารวะ “เฉาอินคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เด็กสาวยืนเยื้องไปด้านหลังเฉาอินหนึ่งก้าว นางเพียงแค่ก้มหัวค้อมเอว กุมหมัดคารวะผู้อาวุโสเจ้าสำนักที่ชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้ เนิ่นนานก็ยังไม่ยืดตัวขึ้นมา เนื่องด้วยกฎเกณฑ์บางอย่างของตระกูลชนชั้นสูงที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นางจึงต้องสำรวมรักษาหน้าที่ ไม่ได้บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองออกไป
คนชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้า
คือเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง
แล้วยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของโลกมนุษย์อีกด้วย
เฉินผิงอันผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มเอ่ย “เฉาอิน เฉายาง นั่งลงเถอะ”
เด็กหนุ่มเด็กสาวที่คล้ายกับหยกงามคู่นี้ทยอยกันนั่งลง
เฉินผิงอันนั่งลงไปแล้วก็ถามว่า “อยู่บนภูเขาคุ้นชินแล้วหรือยัง?”
เด็กหนุ่มเฉาอินมีนิสัยสุขุมหนักแน่นเหมือนคนมีอายุ ตอบไปตามตรงว่า “ตอบเจ้าขุนเขา คุ้นชินแล้วขอรับ ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว พวกเจ้าไม่ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไป เวลาปกตินอกจากฝึกหมัดฝึกตนแล้วสามารถเดินไปเที่ยวดูให้ทั่วๆ ได้”
เด็กสาวคือคนที่เรียนวรยุทธ เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางท่านนี้ อันที่จริงจึงรู้สึกเคารพยำเกรงยิ่งกว่าเฉาอินเสียอีก
เคารพบูชาเขาดุจเทพเจ้า
เป็นเหตุให้วันนี้นางที่ได้พบเจอกับเฉินผิงอันก็คล้ายกับกำลังจุดธูปคารวะทวยเทพที่มาจุติบนโลกมนุษย์อย่างนอบน้อม